Thursday, November 7, 2013

Review: Lick


Lick
Lick by Kylie Scott

My rating: 4 of 5 stars



ก่อนจะหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เราก็เตรียมทำใจไว้เลยนะคะว่า เล่มนี้คงจะอาภัพ เพราะเราอ่านหลังจากอ่านเรื่องชุด Consequence ซึ่งเราอ่านสนุกชนิดวางไม่ลง แถมทำอารมณ์เราติดกับพล็อตเรื่อง (ที่ค่อนข้างซับซ้อน) ของเรื่องชุดนั้นแบบมาก ๆ ทุกครั้งที่เรารู้สึกแบบนี้กับหนังสือเล่มไหน หนังสือเล่มถัดไปที่เราหยิบมาอ่านก็จะมีกรรมค่ะ เพราะเราจะเกิดอาการเมาค้าง สมองไม่ค่อยทำงาน อ่านไปแบบไม่มีสติมากมายนัก ลงเอยด้วยการรู้สึก "เฉย" มาก ๆ กับเล่มที่อ่านต่อมา

เราเลือกเล่มนี้มาอ่าน เพราะพล็อตเรื่องง่าย ๆ เรื่องราวของเอฟเวลีน หญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาวันนึง หลังจากฉลองงานวันเกิดครบรอบยี่สิบเอ็ดปีในลาสเวกัส เพื่อพบว่าตัวเองแต่งงาน ค่ำคืนที่เอฟจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ที่วุ่นวายยุ่งยากก็คือ สามีของเธอไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่างหาก เขาคือเดวิด เฟนริส นักดนตรีเพลงร็อคชื่อดัง การแต่งงานที่ทำให้เอฟกลายเป็นหัวข้อข่าว และเป้าหมายของนักข่าวทุกคนในประเทศ พร้อมกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เรื่องนี้เป็นแนว New Adult ที่รวมเอาพล็อตสูตรสำเร็จหลายอย่างเข้ามาด้วยกัน พระเอกที่เป็นร็อคสตาร์ นางเอกที่เป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยที่กำลังค้นหาตัวเอง เราไม่คาดหวังอะไรมากมายกับการอ่านเรื่องนี้

แต่ผิดคาดค่ะ ขอบอกตรง ๆ ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกดีมาก ๆ กับเรื่องแนว New Adult แม้ว่าตอนที่เราอ่าน จะไม่ได้รู้สึกว่า มันเป็นแนว New Adult แต่อย่างใด

สำหรับเราแล้วคิดว่า เนื้อแท้ของเรื่องนี้ก็คือ แนวเรื่องของฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นส์ เรื่องราวของนางซินที่ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอไม่เคยคาดฝันว่าจะมีโอกาส เอฟเวอลีนเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตย์ที่ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้สวยงาม หรือหรูหรา แต่ชั่วข้ามคืน ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป เธอกลายเป็นภรรยาของสมาชิกวงสเตจไดว์ วงดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นหญิงสาวที่ทุกคนต้องอิจฉา

เหตุผลหลักที่เรื่องนี้เวิร์คมาก ๆ สำหรับเราก็คือ คาแร็คเตอร์ของเอฟเวอลีน เพราะมันตอบคำถามสำคัญที่สุดของพล็อตเรื่องในเล่มนี้ได้ ทำไมเดวิดถึงได้เลือกเธอ อย่างที่บอกเอฟไม่ได้สวยเลิศเลอ ไม่ได้ฉลาดมากมาย การพบกันแค่คืนเดียว แถมเป็นค่ำคืนที่เธอจำไม่ได้อีกต่างหาก อะไรทำให้นักดนตรีชื่อดังและร่ำรวยอย่างเดวิดตกลงปลงใจเข้าพิธีวิวาห์กับเธอ พล็อตมันเหลือเชื่อค่ะ แต่เราอ่านเล่มนี้แบบเชื่อสนิทใจเลย เพราะเรามองเห็นเหตุผลที่เดวิดเลือกเธอ ตัวตนของเอฟเวอลีนคือสิ่งที่สำคัญมาก และคนแต่งก็ถ่ายทอดมันให้เราเห็นได้ชัด

นั่นเพราะเดวิดแสวงหาความธรรมดา ความจริงใจ และซื่อสัตย์ ซึ่งนี่คือคุณสมบัติที่สำคัญของนางเอก ตลอดทั้งเรื่องเธอแสดงคุณลักษณะเหล่านี้ออกมาตลอด และมันก็ทำให้เธอแตกต่าง และโดดเด่นเหนือหญิงสาวคนอื่นที่อาจจะสวยกว่า มีเสน่ห์กว่า

เราอ่านแนว New Adult มาหลายเรื่องนะคะ เกือบทุกเล่มจะมีอาการรำคาญนางเอกพระเอกที่คร่ำครวญเรื่องมากเกินเหตุ แต่เล่มนี้เราไม่รู้สึกแบบนั้นเลย เราชอบตัวตนของนางเอกมาก ๆ ในขณะที่พระเอกก็อยู่ในปริมาณที่กำลังพอดี ไม่ได้มีด้านมืด หรือภูมิหลังรันทด หรือเป็นแบดบอยมากมายอะไร

อย่างที่บอกล่ะค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้ว นึกถึงนิยายพาฝันของเพรสเซ่นมากกว่า แต่กระนั้นส่วนที่เป็น New Adult ก็สมจริงนะคะ เราคิดว่า คนแต่งเขียนคาแร็คเตอร์เหมาะกับช่วงอายุของพวกเขา (นางเอกอายุยี่สิบเอ็ด พระเอกยี่สิบหก) พฤติกรรม ความคิด อารมณ์ก็ดูตรงช่วงอายุดี และที่สำคัญไม่ได้มีพฤติกรรมน่ารำคาญหลาย ๆ ของตัวเอกเรื่องแนวนี้ (ประชดเอาแต่ใจ เอาอดีตมาเป็นข้ออ้างในการทำพฤติกรรมที่ทำลายตัวเอง)

เล่มนี้สวยงามตรงความราบเรียบของพล็อต ไม่ได้สร้างสรร ไม่ต้องคิดมาก ติดน้ำเน่าก็เยอะ แต่ตัวละครเป็นอะไรที่งดงามสำหรับเรา เราชอบนางเอก ทำให้การอ่านมีความสุข เพราะเธอเป็นคนเล่าเรื่อง การมองโลกของเธอ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และความรู้สึก พฤติกรรมที่เราเข้าใจได้ (เราพบว่าตัวเองมีปัญหาหลายครั้งในการทำความเข้าใจพฤติกรรมวัยรุ่นอเมริกัน แต่อาจจะเพราะว่า คาแร็คเตอร์ของเอฟที่วางมา เธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เป็นเด็กดี ทำให้เราพอสื่อสารกับเธอได้มากหน่อย) เรื่องราวง่าย ๆ แต่บีบหัวใจ

คะแนนที่ 83

ป.ล. เรื่องนี้ออกขายกับสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ในออสเตรเลีย (นักเขียนเป็นคนออสเตรเลีย) แต่เรื่องนี้ถือว่าดังไมน้อย ทำให้ตอนนี้มีสนพ.ซื้อลิขสิทธิ์ไปพิมพ์ขายเรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่ชอบพรินต์บุ๊คก็อดใจรอหน่อย ปีหน้าพรินต์บุ๊คก็น่าจะออกขายแล้วค่ะ (พร้อม ๆ กับเล่มสองในชุด ซึ่งเป็นเรื่องของสมาชิกคนอื่น ๆ ในวงนี้)



View all my reviews

Tuesday, November 5, 2013

Review: Smart, Sexy and Secretive


Smart, Sexy and Secretive
Smart, Sexy and Secretive by Tammy Falkner

My rating: 3 of 5 stars



เตือนเลยค่ะว่า เราเขียนรีวิวเรื่องนี้แบบสปอยล์เหตุการณ์ของเล่มแรกนะคะ สำหรับคนที่คิดจะอ่าน ขอแนะนำให้หยุดอ่านรีวิวตรงนี้เลยค่ะ อันที่จริงเราแนะนำว่า อย่าอ่านกระทั่งคำโปรยของเล่มนี้ด้วยซ้ำ เพราะมันสปอยล์มาก ๆ

หลังจากเอมิลีเลือกที่จะกลับไปหาครอบครัวที่ร่ำรวยของเธอ เพื่อต่อรองให้บิดาออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับพี่ชายของโลแกน ในที่สุดเธอก็ได้กลับมานิวยอร์คเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และพบกับโลแกนอีกครั้ง

และแม้ทั้งคู่จะแยกจากกันไปโดยไม่มีคำอธิบาย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ประสานกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความไม่เห็นของชอบของผู้เป็นบิดาของเอมิลี ท่ามกลางความแตกต่างกันทางด้านฐานะ ทั้งคู่เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรมาแยกพวกเขาออกจากกันได้

ส่วนที่เราชอบในเล่มนี้ก็ยังคล้ายคลึงกับเล่มแรกค่ะ เราชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลแกนและพีน้องของเขา เราชอบคาแร็คเตอร์ของเอมิลี เธอไม่ได้ทำตัวงี่เง่า ยอมไปตามคำสั่งของพ่อที่วางแผนแยกเธอออกห่างจากโลแกน ในแง่ของตัวละครแล้ว พวกเขายังเป็นคนคนเดิมที่เราชอบอยู่

แต่พล็อตเรื่องของเล่มนี้ค่อนข้างอ่อนมาก ๆ เมื่อเทียบกับเล่มแรก (ที่ก็ไม่ใช่ว่า พล็อตจะแข็งแรงอะไร) เล่มนี้แทบไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย เรื่องราวส่วนใหญ่ใช้ไปกับความสัมพันธ์ของเอมิลี และโลแกน แต่เมื่อถึงจุดนี้ในเรื่อง ทั้งคู่บอกรัก และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่มีอะไรมาแยกพวกเขาออกจากกันได้ เราชื่นชอบคนแต่งตรงที่ไม่ได้พยายามใช้พล็อตความเข้าใจผิด หรือแยกคาแร็คเตอร์ออกจากกันเพื่อสร้างแรงบีบให้กับคนอ่าน แต่การที่พวกเขารู้ใจตัวเอง และรักกันมากขนาดนั้น ก็ทำให้แทบจะไม่เหลือประเด็นอะไรให้เล่นเท่าไหรนัก

เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนการที่โลแกนเอาชนะใจพ่อของเอมิลี เพื่อให้เห็นว่า เขาคือคนที่เหมาะสมกับเธอ แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวจน ๆ ในขณะที่เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ปัญหาก็คือ การวางคาแร็คเตอร์พ่อของเอมิลีนั้นทำให้เราคิดว่า ไม่มีอะไรที่จะเอาชนะใจเขาได้

คาแร็คเตอร์พ่อของเอมิลีเป็นจุดอ่อนที่สุดของเรื่อง เราคิดว่า เราเข้าใจเขา แล้วเราก็ไม่เข้าใจ เขาคือเหตุผลที่เอมิลีหนีออกจากบ้าน เขาดูถูกลูกสาวที่เป็นโรคดิสเล็กเซีย (ทำให้อ่านหนังสือไม่ออก) จนถึงกับพูดว่า เธอไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากแต่งงานกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เขาพูดถึงลูกสาวของตัวเองแบบนั้นกับโลแกนในเล่มนี้ ซึ่งแสดงว่า การหนีออกจากบ้านของเธอ ไม่ได้ทำให้เขาเรียนรู้อะไรแม้แตนิดเดียว เขาไม่เห็นคุณค่าของเธอ สำหรับเราแล้ว นี่ไม่ใช่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงได้เพียงชั่วข้ามวัน แต่มันก็ดันเกิดขึ้น เพียงแค่เขาไปร่วมงานแสดงดนตรีของเอมิลีที่จัดโดยมหาวิทยาลัย มันดรามาเกินเหตุ และไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก เอมิลีถูกจูลิยาร์ดรับเข้าเรียนนะคะ ถ้าเธอไม่ได้มีความสามารถ ก็คงเข้าไม่ได้ แต่พ่อของเธอทำเหมือนไม่รู้จักจูลิยาร์ด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่เขาทำราวกับอึ้งที่เห็นลูกสาวมีความสามารถทางดนตรีขนาดนี้ มากขนาดทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอไปได้

มันไม่น่าเชื่ออย่างรุนแรง


เราคิดว่า ส่วนหนึ่งที่เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรก ก็เพราะเวลาที่เรื่องให้กับพี่น้องตระกูลรีดน้อยไปหน่อย เราชอบ (ย้ำว่า ชอบมาก ๆ) กับการได้เห็นพี่น้องพูดคุยกัน บทสนทนาของพวกเขาเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่อง

โดยรวมชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรก หลายอย่างดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่เราชอบเล่มนี้มากกว่าเรื่องแนว New Adult หลายเล่มที่อ่าน เพราะเล่มนี้พระเอกนางเอกไม่ได้อยู่ตามลำพัง และไม่ได้เป็นคนที่โดนสังคมทอดทิ้ง พวกเขามีคนที่ค่อยให้กำลังใจ และช่วยพวกเขา แม้ว่าหลายคนในนั้น พ่อของนางเอก รวมทั้งแม่ที่ในเรื่องดูจะเป็นคนที่มีความคิดมาก ๆ และจัดการผู้เป็นพ่อได้ ปัญหาคือ ถ้าเธอจัดการได้ ทำไมเอมิลีหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่แรก ดูจะไม่น่าเชื่อว่าจะทำแบบนั้น

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Tall, Tatted and Tempting


Tall, Tatted and Tempting
Tall, Tatted and Tempting by Tammy Falkner

My rating: 4 of 5 stars



เรากำลังอยู่ในภาวะที่พยายามหาเรื่องแนว New Adult ที่โดนใจอยู่คะ แต่หลังจากอ่านไปไม่กี่เล่ม (ย้ำว่าไม่กี่เล่มจริง ๆ ไม่ใช่เซียนแนวนี้เท่าไหรนัก) ส่วนใหญ่ก็ผิดหวัง เพราะพล็อตเรื่องเป็นสูตรมาก ๆ ตัวละครบางครั้งก็เด็กเหลือเกิน ขนาดหางานของนักเขียนชื่อดัง ๆ ประมาณว่าติดอันดับขายดีมาอ่านก็แล้ว ก็ยังไม่ถึงกับเจอเล่มไหนที่ถูกใจเท่าไหร

เราเลือกเรื่องนี้มาอ่าน เพราะชอบฝีมือการเขียนของนักเขียนค่ะ เธอคือครึ่งหนึ่งของนามปากกาลิเดีย แดร์ และในงานเขียนนามปากกาของตัวเอง ก็ออกเรื่องแนวพารานอมอล (ที่ไม่ใช่ New Adult) ออกมาได้สนุกไม่น้อย เราชอบการเขียนของเธอนะคะ เราว่า เธอเขียนเรื่องกุ๊กกิ๊กน่ารักได้ดี ทำให้ดูลาดเลาแล้ว น่าจะเขียนเรื่องแนว New Adult ได้ดีเช่นกัน

แล้วเราก็คิดว่า ตัวเองคิดถูกนะคะ เรื่องนี้ไม่ได้สดใหม่ มีพล็อตที่แตกต่าง ส่วนของพล็อตค่อนข้างเป็นสูตรอยู่ไม่น้อย แต่การเขียนทำให้เรื่องน่าติดตามอ่านได้ตลอด นอกจากนี้โทนของเรื่องก็ไม่มืดจนเกินไป อ่านแล้วมีความสุข และมีความหวังในเพื่อนมนุษย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีหลายส่วนในเรื่องมาก ๆ ที่ออกแนว Too good to be true แต่เราโอเคกับมันค่ะ

โลแกน รีดหูหนวกตั้งแต่อายุสิบสามปี และหลังจากโดนเพื่อนล้อเกี่ยวกับเสียงพูดที่อาจจะฟังดูประหลาด เขาก็ตัดสินใจไม่พูดอีกเลยนับจากนั้น การไม่พูดของเขาทำให้คนในครอบครัวเข้าใจผิด คิดว่าเขากลายเป็นใบ้ไปด้วย ทำให้โลแกนอยู่ในโลกแห่งความเงียบ และสื่อสารผ่านภาษามือ และการเขียนตัวหนังสือเพื่อสื่อสารกับคนทั่วไป

นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจนกระทั่งเขาได้พบกับเอมิลี (ที่ในเล่มนี้เขารู้จักเธอในชื่อว่า คิท) หญิงสาวที่เขาปิ๊งตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเดินเข้ามาในร้านสักของครอบครัว เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า สนใจเธอ แต่โลแกนไม่เคยมีความสัมพันธ์อย่างโรแมนติกกับผู้หญิงคนไหน มันเป็นแค่เซ็กส์สำหรับเขา การแสดงออกนั้นทำให้เอมิลีโกรธจนชกหน้า จากนั้นเธอก็จากไป

สถานการณ์ของเอมิลีไม่ค่อยดีนัก หลังจากหนีออกจากบ้าน เธอใช้ชีวิตตามลำพัง และเอาตัวรอดด้วยการเล่นกีตาร์ขอบริจาคเงินตามสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อโลแกนมาพบกับเธออีกครั้ง เอมิลีกำลังมาถึงทางตัน เงินเก็บของเธอถูกขโมย บ้านพักคนจรจัดก็เต็ม สถานการณ์นำให้เธอไปพักทีบ้านของเขา และได้พบกับพี่น้องตระกูลรีด

พล็อตเรื่องน้ำเน่าประมาณนึงค่ะ ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร และพึ่งพาองค์ประกอบของความบังเอิญเยอะมาก นิวยอร์คไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ เราไม่เชื่อว่า อยู่ดี ๆ โลแกนจะเดินถนนไปเจอกับเอมิลี และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอ ซึ่งช่วยเธอไว้กับการใช้ชีวิตบนถนนในนิวยอร์คเป็นเวลาหลายเดือน จะทำให้เธอยินยอมไปพักที่บ้านของผู้ชายห้าคน (โลแกนอุ้มเธอขึ้นไปที่อพาทเมนต์ของเขา แต่เราไม่คิดว่า เอมิลีจะตัดสินใจอยู่ต่อ ถ้าเธอแกร่งอย่างที่เรื่องปูพื้นวางเอาไว้)

แต่ความชอบที่เรามีให้กับเรื่องนี้มีมากกว่าค่ะ เราชอบคาแร็คเตอร์ในเรื่องมาก ๆ ชอบความคิดของพวกเขา และแม้จะมีหลายองค์ประกอบที่เป็นสูตรสำเร็จของแนว New Adult เรื่องนี้ก็มีความแตกต่างที่มากพอ

ในแง่นึงภูมิหลังของนางเอกทำให้เราแปลกใจ แม้คิดย้อนกลับไปแล้ว จะไม่สมจริงอย่างรุนแรง การที่เอมิลีเป็นลูกสาวเศรษฐีพันล้าน แต่หนีออกจากบ้านเพราะพ่อบังคับให้แต่งงาน ก่อนที่ควรจริงข้อนี้จะเปิดเผยออกมา เราอ่านแล้วนึกว่า นางเอกจะต้องโดนคนที่บ้านทำร้ายทางเพศแน่ ๆ แต่เมื่อเรื่องพลิกมาเป็นอย่างนี้ เราก็เลยชอบ เพราะแตกต่าง แต่ไม่สมจริง

ส่วนที่ทำให้เราชอบเรื่องนี้มาก ๆ ก็คือ พี่น้องตระกูลรีด ไม่ใช่ในแง่ของการรูปลักษณ์ หรือความเท่ห์ของพวกเขานะคะ (ซึ่งมีมากอยู่แล้ว เพราะคนแต่งจะเขียนเรื่องพวกเขาเป็นซีรีย์) แต่เป็นปฏิสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งห้าคน บทสนทนาของทั้งหมดดูสมจริง น่าอ่าน สำหรับเรานี่คือไฮไลท์ของเรื่องเลย เราเชื่อความสัมพันธ์ของทั้งห้าว่าเป็นจริง

นอกจากนี้เรายังชอบการที่ทั้งหมดอ้าแขนรับเอมิลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จุดเริ่มต้นของการที่เธอมาถึงบ้านของพวกเขาจะดูเหลือเชื่อ แต่การที่เธอตกลงใจอยู่ต่อกับพวกเขาเป็นสิ่งที่เชื่อได้ เราเข้าใจความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างชายหนุ่มทั้งห้าคน และเอมิลี และนั่นทำให้เราเชื่อการเสียสละของเธอตอนท้ายเรื่อง

เรื่องนี้เป็นหนังสือที่เราต้องใช้คำว่า อ่านแล้วมีความสุข ซึ่งเราไม่ค่อยรู้สึกอย่างนี้เท่าไหรกับการอ่านเรื่องแนว New Adult พล็อตเรื่องบีบหัวใจในระดับนึง เมือมีประเด็นอาการป่วยของพี่ชายของโลแกนเข้ามาเกี่ยว แต่ความผูกพันระหว่างพี่น้อง การที่พวกเขาเปิดใจยอมรับเอมิลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมาก ๆ ค่ะ

โทนของเรื่องไม่ถึงกับเครียด และประเด็นที่เราคิดว่า จะร้ายแรงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้

สรุปก็คงต้องบอกว่า เล่มนี้มีหลายประเด็นที่ไม่สมจริง และเหลือเชื่อ แต่เรามองข้ามมันไปได้ค่ะ

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Monday, November 4, 2013

Review: Convicted


Convicted
Convicted by Aleatha Romig

My rating: 3 of 5 stars



แล้วก็มาถึงเล่มสามและเล่มสุดท้ายในชุด เราเข้าใจว่า คนแต่งจะเขียนเรื่องในชุดนี้ออกมาอีกสามเล่ม แต่นั่นจะเป็นเรื่องราวเดียวกับสามเล่มแรก แต่เล่าในมุมมองของโทนี่ และเราขอบอกว่า อยากอ่านมาก เพราะเราอยากรู้ว่า มันจะเปลี่ยนความคิดที่เรามีต่อเขาได้ไหม เพราะสำหรับเราโทนี่ถือเป็นตัวละครทีซับซ้อนมากที่สุดตัวนึงที่เราอ่านเจอในหน้าหนังสือ

เช่นเดียวกับเล่มสองค่ะ โปรดหยุดอ่านรีวิวตรงนี้ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านสองเล่มแรก เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์สองเล่มแรก

หลังจากถูกปั่นหัวจนหลงเชื่อ แคลร์ก็ทำตามแผนการที่ตัวร้ายวางเอาไว้ เธอหนีไปจากโทนี่เพื่อปกป้องลูกในท้อง หลังจากได้รู้ถึงคำสาบานที่เขาให้ไว้กับปู่ของเขา (ที่จะแก้แค้นกับทุกคนที่ทำให้ปู่ของเขาเข้าคุก รวมไปถึงชั้นลูกและหลาน) แต่โทนี่ไม่ใช่คนที่แคลร์ต้องหวาดกลัว เขาไม่ใช่คนเดียวที่ให้คำสาบานเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้น โทนี่เองก็เป็นลูกของคนที่ทำให้ปู่ของเขาเข้าคุก (เพราะพ่อของเขาก็ให้การในชั้นศาลเพื่อปรักปรัมพ่อของตัวเองเช่นกัน)

ศัตรูของเธอคือคนที่เธอไม่เคยคาดคิด

แต่กว่าจะรู้ความจริง มันก็สายเกินไปแล้ว แคลร์หนีจากไป ทิ้งความยุ่งยากทั้งหลายไว้เบื้องหลัง หลักประกันที่เธอสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อรองกับโทนีถูกนำมาใช้ เพราะการหายตัวไปเฉย ๆ ของเธอ ทำให้ทุกคนคิดว่า นี่คือการกระทำของเขา

เรายอมรับนะคะว่า อ่านด้วยความสะใจมาก ๆ ถือว่า นี่เป็นฉากที่เรารอคอย แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถูกเล่าผ่านแคลร์เป็นหลัก (เรื่องไม่ได้ใช้คำว่า ฉันนะคะ แต่ฉากส่วนใหญ่เล่าผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ) ทำให้เราก็ยังรู้สึกว่า ความทุกข์ที่โทนี่ได้รับมันยังน้อยเกินไป (และนั่นทำให้เรารอคอยหนังสือ Companion ของเล่มนี้ที่จะเล่าเรื่องผ่านสายตาของเขา)

การหายตัวไปของแคลร์ทำให้โทนี่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ และหลังจากเหตุการณ์อันซับซ้อน โทนี่ก็หายไปอีกคน เป้าหมายของเขาก็คือ การเดินทางไปเจนีวา เพื่อเบิกเงินที่เขาซ่อนเอาไว้ที่นั่น เพียงเพื่อจะพบว่า แคลร์ได้ถอนเงินไปหมดแล้ว ที่ซึ่งเขาได้พบเบาะแสเกี่ยวกับแคลร์ เบาะแสที่นำเขาไปพบกับเธอในที่สุด

ในจำนวนสามเล่มในชุดนี้ เรายอมรับว่า เล่มนี้น่าติดตามน้อยที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน เล่มนี้มีความเป็นโรแมนซ์มากที่สุดเช่นกัน หลังจากผ่านอะไรต่ออะไรมาด้วยกันมากมาย โทนี่และแคลร์ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง และการยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อย่างที่เราบอกไปนะคะ เราไม่คิดว่า จะมีอะไรทำให้เรารู้สึกว่า สามารถไถ่บาปให้กับการกระทำของโทนี่ได้ เราก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจแนวคิดที่คนแต่งนำเสนอ และการยอมรับของแคลร์

คนเราเปลี่ยนแปลงได้ และนี่คือเหตุผลเดียวที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเล่มนี้

เราชอบที่คนแต่งไม่ได้ทำให้การกระทำของโทนี่กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม หรือพยายามย้อมสีทำให้ดูมีดีมากกว่าทีมันเป็น เขาเป็นคนเลว และทำหลายอย่างที่ผิดพลาดมากมาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ในสองเล่มแรก) ทำให้เขาเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นด้วยเพราะคนเพียงคนเดียว

และนั่นคือ แคลร์

เราเป็นนักอ่านที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ และนั่นทำให้เรายอมรับหลักการนี้ได้ เราเชื่อว่า ความรักเปลี่ยนแปลงคนได้ และมันเปลี่ยนแปลงโทนี่

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้อยากให้เขาต้องชดใช้กรรมในการกระทำของเขา (เราเชื่อในหลักการของศาสนาพุทธเช่นกัน ความดีที่เกิดขึ้นภายหลังลบล้างความเลวที่ก่อขึ้นไม่ได้)

ดังนั้นเรายอมรับบทสรุปของเรื่องในชุดนี้ได้ แม้จะต้องบอกตามตรงว่า เหตุการณ์ในเล่มนี้ไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับที่เรารู้สึกตอนอ่านสองเล่มแก เนื่องจากทั้งโทนีและแคลร์ ซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์หลักถูกจำกัดขอบเขตอยู่บนเกาะร้าง และคนที่สืบสวนและตามเรื่องกลายเป็นตัวละครรองตัวอื่นไป ที่สำคัญเล่มนี้เปิดเผยความจริงทุกอย่างที่ถูกซ่อนออกมา จึงทำให้มีลักษณะเป็นเล่มที่ "เฉลย" ทุกอย่าง ปริศนาไม่ได้มีอีกต่อไป

กระนั้นเนื่องจากเราอ่านหนังสือทั้งสามเล่มติดต่อกัน เราจึงมองเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องราวเดียวกัน เล่มแรกคือบทนำเปิดเรื่องที่แนะนำตัวละคร เล่มสองเข้าพล็อตหลัก และเล่มสามคือบทสรุป เมื่อคิดเช่นนี้เล่มนี้ก็ตอบโจทย์ของมันได้อย่างครบถ้วน

เราไม่ชอบวิธีการเล่าเรื่องของคนแต่งที่ตัดเหตุการณ์ระหว่างปี 2016 (บทสรุปของเรื่องนี้เล่าเกินไปในอนาคต) และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2013 (ซึ่งคือเหตุการณ์ต่อเนื่องจากตอนจบของเรื่อง Truth) เราคิดว่ามันสร้างความเมโลดรามาที่เกินความจำเป็น อันที่จริงเราคิดว่า การสรุปเรื่องโดยให้แคลร์เกิดอาการสติแตกจนหลงระหว่างโลกแห่งความจริง และจินตนาการ มันมากเกินไป สำหรับตัวละครที่ผ่านอะไรมากมายอย่างเธอ เราเชื่อว่า แคลร์ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ๆ การที่มาเล่มนี้แล้วสรุปว่า หลังจากยิงปืนแล้วเข้าใจผิดว่า ฆ่าโทนี่ถึงกับทำให้เธอประสาทหลอนไปนานถึงสองปี มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อเกินเหตุ เราเข้าใจว่าคนแต่งพยายามนำเสนอว่า แคลร์ไม่อาจมีชีวิตโดยขาดโทนี่ได้ และเขาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของเธอ (แม้เขาจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็ตาม) แต่การหาทางออกให้กับเรื่อง หรือใช้เพื่อหลอกให้คนอ่านสับสน เราว่าเป็นวิธีที่ง่ายเกินไป และเราเคารพคนแต่งมากกว่านี้ เธอมีความสามารถมากกว่านี้ กล่าวคือ เราคาดหวังมากกว่านี้

เราคิดว่า ส่วนนึงที่เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มอื่นในชุด ก็เพราะว่า บทสรุปของเรื่องเกี่ยวกับโทนี่ ที่เราคิดว่า เขามีทางออกที่ง่ายเกินไป สำหรับการกระทำทั้งหมดที่เขาทำ เขาติดคุกแค่สามปี แล้วก็ออกมา มีชีวิตที่เป็นสุขชื่นมื่นกับผู้หญิงที่เขารัก และรักเขา กับครอบครัวอย่างมีความสุข มันมีความยุติธรรมในโลกใบนี้ไหมล่ะ แต่ในอีกแง่นึงเราก็เข้าใจนะคะ ถ้าโทนี่ติดคุกนาน แคลร์ก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เธอพึ่งพาเขามากเกินไป (แต่นั่นก็เป็นสิ่งเข้าใจได้ จากการกระทำของเขาในเล่มแรก แคลร์ไม่มีวันกลับมาเป็นหญิงสาวที่ปกติอีกได้) และหากการที่โทนี่ต้องใช้กรรมให้สมกับการกระทำของเขา เท่ากับการที่แคลร์ต้องทนทุกข์ทรมาน มันก็เลือกยากเช่นกัน

เราคิดว่า เราคงจะยอมรับชะตากรรมของโทนี่ได้ดีกว่านี้ หากเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องประสบหลังจากฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง การที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้าย ต้องโดนแยกจากแคลร์และลูก ต้องเข้าไปติดคุกรับโทษ เพราะถ้าเราได้อ่านฉากเหล่านี้ จากการที่เรารู้จักโทนี่ แม้โทษจะแค่สามปี แต่ก็เป็นสามปีที่เขาสูญเสียทุกอย่างที่สำคัญกับเขา แคลร์ ลูกสาว และฉากหน้าอันเป็นภาพลักษณ์ที่เขาต้องรักษาไว้ด้วยทุกอย่าง นี่จึงเป็นการทำร้ายโทนี่ที่ดีที่สุด เราคงสะใจกว่านี้ถ้าได้อ่านฉากนั้น และคงคิดว่า เขาได้รับใช้กรรมเพียงพอแล้ว แต่เพราะเรื่องตัดจบไปหลังจากเหตุการณ์ไคลแม็กซ์ แล้วเล่าย้อนเป็นคำพูดเพียงอย่างเดียว เราจึงรู้สึกว่า หลายอย่างขาดหายไป


แต่ถึงเราจะวิจารณ์ทางออกที่คนแต่งใช้เกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ เราก็ต้องบอกว่า เราชอบบทสรุปของเรื่อง หัวใจสีชมพูที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ก็ยังเอาชนะได้ทุกอย่าง เราเลือกตอนจบแบบในเล่มนี้ มากกว่าตอนจบที่สมจริงและควรจะเป็น

คะแนนที่ 73

โดยภาพรวมของชุดแล้ว เราอยากให้ลองอ่านกันดูนะคะ นี่เป็นหนังสือที่สนุกและน่าติดตามมาก ๆ อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ใช่โรแมนซ์ แต่เราคิดว่า น่าสนใจสำหรับแฟนหนังสือโรแมนซ์ เราอยากรู้ว่า จะคิดกันอย่างไรกับความสัมพันธ์ระหว่างแคลร์ และโทนี่



View all my reviews

Review: Truth


Truth
Truth by Aleatha Romig

My rating: 5 of 5 stars



เล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด และเราไม่แนะนำให้เริ่มต้นอ่านที่เล่มนี้ แต่นี่คือเล่มที่ดีที่สุดในชุด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ๆ ค่ะ เพราะปกติเล่มสองในชุดจะเป็นเล่มที่อ่อนด้อยที่สุด (เนื่องจากต้องเชื่อมเหตุการณ์จากเล่มแรก และตั้งต้นไปสู่จุดจบ)

เราไม่แนะนำให้ใครที่ต้องการอ่านเรื่องชุดนี้อ่านรีวิวเล่มนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก (Consequence) ก่อน เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ในเล่มแรก

หลังจากสิบสี่เดือนในคุก แคลร์ นิโคลก็ได้รับอิสรภาพ แต่เธอรู้ว่า ชีวิตของเธอยังไม่ปลอดภัย ดังนั้นการออกจากไอโอวาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่แคลร์ตัวคนเดียว ครอบครัวของเธอก็แทบไม่เหลือใครแล้ว พี่สาวเองก็ต้องดูแลพี่เขยซึ่งก็ถูกใส่ความ (เช่นเดียวกับเธอ) จนติดคุก แม้จะได้พ้นโทษออกมา แต่ก็ติดทัณฑ์บน คนเดียวที่เธอนึกออกก็คือ คู่หมั้นของคนรักเก่า เพราะคนรักเก่าของแคลร์ก็ถูกโทนี่ฆ่าตาย นั่นทำให้ผู้หญิงทั้งสองมีจุดหมายร่วมกัน นั่นก็คือ การแก้แค้น

ถ้าเล่มแรกเป็นจุดเริ่มต้น ที่เปลี่ยนแปลงแคลร์จากหญิงสาวธรรมดา ๆ ทั่วไป จากคนที่ตกเป็นเหยื่อ เล่มนี้เราได้เห็นแคลร์ในด้านที่เข้มแข็งมากขึ้น เมื่อเธอใช้เวลาแยกออกจากห่างจากโทนี่ ผู้ชายที่ครอบงำเธอมาตลอดเวลาสองปี เล่มนี้เป็นเรื่องราวของการเผชิญหน้า หักเหลี่ยมระหว่างคนทั้งสอง ในการเอาชนะในเกมที่แคลร์เองก็ยังไม่เข้าใจเต็มที่นัก

เธอรู้ว่า มันเป็นเรื่องของการแก้แค้น ที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกลียดโทนี่ เพราะมันเป็นการแก้แค้นที่แย่มาก ปู่ของเขาคือคนผิด ในขณะที่ปู่ของแคลร์คือฝ่ายดี และทำตามหน้าที่ แต่เขาใช้มันเป็นเหตุผลในการเอาคืนครอบครัวของคนที่เกียวข้อง แต่นั่นคือทั้งหมดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เจอกับโทนี่อีกครั้ง

เราคิดว่า สิ่งที่คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ในเล่มนี้ก็คือ การทำให้เราเข้าใจ แม้เราจะไม่เลือก หรือทำอย่างที่แคลร์ทำ แต่เราเข้าใจการตัดสินใจของเธอ มันอาจจะไม่ถูกใจเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราเข้าใจ และยอมรับมัน คำพูดที่ถูกยกขึ้นมาประโยคนึง (เราจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่แปลคร่าว ๆ ได้ก็คือ) ด้านที่ตรงข้ามกับความรัก ไม่ใช่ความเกลียด หากแต่เป็นความเฉยเมย ความรักและความเกลียดเป็นอารมณ์ที่ใกล้ชิดกันมาก มันทั้งรุนแรงและหมกหมุ่น

นั่นคือส่วนที่จริงที่สุด และความรู้สึกของแคลร์ในเล่มนี้ก็เป็นเช่นนี้ อดีตระหว่างเธอและโทนี่ แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่มันก็คือบางอย่างที่ฝังรากอยู่ในตัวเธอ บุคคลที่แคลร์เป็นในปัจจุบันก็คือคนที่โทนีสร้างขึ้น นั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเราเข้าใจทางเลือกของเธอ

และมาถึงโทนี่ เราจำได้ว่า ตอนที่อ่านเล่มแรกเราโพสต์ในเฟซบุ๊คว่า ถ้าคนแต่งทำให้เรายอมรับโทนีได้ เราจะขอคารวะ เล่มนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น เรายังคงเกลียดเขา และรู้สึกว่า เขาควรจะต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อไถ่บาป แต่เราก็ไม่รู้ว่า มันจะมีวันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไถ่บาปได้ เราเชื่อว่า เมื่อเขาตาย โทนี่จะตกนรก นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะใช้กรรมที่ก่อได้ แต่ในระหว่างนี้ที่เขามีชีวิต เขาเป็นตัวละครที่โคตรทรงพลังเลย

ขนาดว่าเราเกลียดเขา เรายังแทบจะลืมหายใจเวลาอ่านฉากที่เขามีบทบาท ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับแคลร์ที่ถูกปั่นหัวมาตั้งแต่เล่มแรก เธอจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร สำหรับเราที่มองด้วยสายตาแบบรู้ดี (มองอย่างคนนอกที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่แคลร์ต้องเผชิญ) เรายังแทบไม่อาจละสายตาจากเขาได้ แล้วเราจะหวังให้แคลร์ทำได้งั้นเหรอ

เราชอบตอนจบของเรื่อง และสะใจกับชะตากรรมของโทนี่ ยกเว้นแค่ มันเกิดขึ้นจากแผนการของคนอื่น ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของแคลร์ เราคิดว่า เรื่องจะเฟอร์เฟ็คกว่านี้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่แคลร์วางแผนไว้แต่ต้น แต่ถ้าแคลร์ทำแบบนั้น เธอก็จะไม่ใช่ตัวละครที่ถูกวางเอาไว้ เราเข้าใจนะคะ แต่ก็อดหวังไม่ได้ นี่คือความขัดใจหลักของเราเกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ ก็คือ การเติบโตในคาแร็คเตอร์ของแคลร์ เรารู้สึกว่า เธอไม่เข้มแข็งอย่างที่เราหวังให้เธอเป็น แต่แม้จะคิดเช่นนั้น ก็กลับมาที่คำว่าเข้าใจอีกล่ะค่ะ เราว่าคนแต่งเลือกถูกต้องแล้วที่วางคาแร็คเตอร์ของแคลร์ให้เป็นเชนนี้ ถ้าเธอแข็งแกร่งมากกว่านี้ เธอจะไม่แคลร์ และกลายเป็นคนอื่นไป

ในแง่ความน่าติดตาม เล่มนี้ยิ่งอ่านสนุกกว่าเล่มแรกซะอีก เราอ่านแบบวางไม่ลง และนั่งอ่านในที่ทำงานแบบไม่แคร์สื่อ มันสนุกมากขนาดนั้น

คะแนนที่ 85
ป.ล. มันก็ยังคงไม่ใช่โรแมนซ์ และเรายังภาวนาให้โทนี่ต้องชดใช้กรรมกับการกระทำของเขา





View all my reviews

Review: Consequences


Consequences
Consequences by Aleatha Romig

My rating: 4 of 5 stars



นี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่เมื่ออ่านจบเรา "จำเป็น" ต้องเขียนถึง เพราะเป็นทางเดียวที่เราจะผลักดันเรื่องนี้ให้ออกไปจากสมองได้ ตอนนี้มันรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรามาก เนื่องจากเราคิดถึงเรื่องราวในชุดนี้ตลอดเวลา

ดังนั้นจึงไม่ต้องบอกนะคะว่า หนังสือที่ส่งผลต่อเราเป็นการส่วนตัวได้มากขนาดนี้ทรงพลังมากขนาดไหน

เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในหนังสือชุด Consequence ตามชื่อเรื่องของเล่มนี้เลย ในชุดมีทั้งหมดสามเล่ม (และอีกสามเล่มที่ถือเป็น Companion คือเล่าเรื่องราวเดียวกันแต่จากอีกมุมมองนึง) แต่ความจริงก็คือ ทั้งสามเล่มคือเรื่องราวต่อเนื่องกัน ดังนั้นถ้าคิดจะอ่านเล่มนี้ ก็เตรียมใจที่จะอ่านอีกสองเล่มที่เหลือด้วยนะคะ (ยกเว้นว่า พล็อตเรื่องในเล่มนี้ทำร้ายจิตใจคุณมากเกินไป จนอ่านต่อไม่ได้)

ก่อนจะเริ่มเข้าเนื้อเรื่อง คนแต่งเขียนคำเตือนคนอ่านเอาไว้ สรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่า เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ความรุนแรง การลักพาตัว การข่มขืน การทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ใครที่ไม่ชอบอ่านเรื่องราวดังกล่าว ขอให้หลีกเลี่ยงหนังสือเล่มนี้

และเราก็ยืนยันอย่างที่คำเตือนบอกนะคะ ในบรรดาสามเล่ม สำหรับเราแล้ว เล่มนี้อ่านยากที่สุด เพราะมันคือจุดเริ่มต้น คำเตือนที่บรรยายออกมาคือสิ่งที่นางเอกถูกกระทำ แม้จะไม่ได้บรรยายให้เห็นภาพ แต่ก็อนุมานได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอ

แคลร์ นิโคลฟื้นคืนสติขึ้นมาในห้องนอนอันหรูหรา ความทรงจำของเธอไม่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว กระนั้นเธอก็รู้ว่า เกิดอะไรบางอย่างที่เลวร้ายมาก ๆ ขึ้น รอยฟกช้ำบนร่างกาย ความเจ็บปวดที่อวัยวะบางส่วนย้ำเตือนเธอถึงความจริงที่ได้เกิดขึ้น เรื่องที่แย่กว่านั้นก็คือ เธอหาทางออกไม่ได้ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในห้องที่ถูกล็อคจากด้านนอก ไม่มีใครอธิบายว่า ทำไมสิ่งเลวร้ายพวกนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือ มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก

หญิงสาววัยยี่สิบหกปีที่ผันตัวเองหลังจากตกงานจากอาชีพนักพยากรณ์อากาศในสถานีโทรทัศน์แห่งนึง มาเป็นบาร์เทนเดอร์ ได้เจอกับชายหนุ่มที่มีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เธอตอบรับคำชวนไปออกเดทกับเขา ทุกอย่างดูปกติ เป็นกันเอง จนกระทั่งความทรงจำทั้งหมดวูบหายไป และเธอตื่นขึ้นมาในห้องแห่งนี้

เรื่องราวทุกอย่างนับจากนี้ก็คือ การเรียนรู้ของแคลร์ในการเอาชีวิตรอด ในการทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดดีขึ้นมาบ้าง การที่เธอต้องเรียนรู้ที่จะเล่นเกมเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของเกมที่อันตรายนี้

มันยากมาก ๆ นะคะที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์ และในขณะเดียวกันเหตุการณ์เกือบทั้งหมดในเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน นี่เป็นเรื่องราวของการเรียนรู้ ของความเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของการที่หญิงสาวผู้ถูกลักพาตัว และถูกทำร้ายเอาชนะใจคนที่จับตัวเธอไป เรื่องราวที่ดูเหมือนว่า น่าจะมีตอนจบอย่างสมหวัง แม้จะบิดเบี้ยวไปบ้าง เพียงเพื่อจะพบว่า มันมีอะไรมากกว่านั้นซ่อนอยู่

สำหรับเราที่ไม่เคยชอบเรื่องจำเลยรัก เราไม่คิดว่า ตัวเองจะชอบเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเชลยสาวที่ถูกจับ กับชายผู้ลักพาตัวเธอไป ดังนั้นเราอ่านเล่มนี้ด้วยความรู้สึกโกรธ และขยะแขยงชายคนที่ (ในที่สุด) เป็นพระเอกของเรื่อง คำเตือนที่คนแต่งเตือนเอาไว้ก่อนเริ่มต้นเรื่องเกิดขึ้นกับนางเอก และคนที่กระทำกับเธอก็คือ เขา

เรื่องนี้เป็นหนังสือที่น่าติดตามมากที่สุดเรื่องนึง ตั้งแต่เปิดหน้าแรก เราพบว่า ตัวเองไม่อาจวางลงได้ เราต้องการรู้จุดจบของการเดินทางของแคลร์ เราอยากเห็นเธอเอาชนะชายคนที่คิดว่า กดขี่เธอได้สำเร็จ เรายอมรับเลยนะคะว่า เราพลิกอ่านไปแต่ละหน้า ก็คาดหวัง และรอคอยฉากนั้น ฉากที่แคลร์จะเอาชีวิตรอดออกไปได้

ซึ่งฉากนั้นไม่เคยมาถึง ในแง่นึงเล่มนี้กลายเป็นเรื่องจำเลยรักไป เมื่อแคลร์พบว่า ตัวเองตกหลุมรักผู้จับกุมตัวเธอ แม้ในความรักเธอก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หากเธอทำผิดพลาด ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามกฎที่เขาวางเอาไว้ เรื่องแปลกก็คือ แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง เราก็ไม่อาจวางหนังสือเล่มนี้ หรือหงุดหงิดที่คนแต่งไม่ไปในทิศทางที่เราอยากเห็น นั่นก็เพราะว่า ทิศทางที่คนแต่งพาเราไป มันน่าสนใจกว่าเยอะมาก

นี่เป็นหนังสือที่เราเกลียดพระเอกมาก ๆ ไม่อยากให้คำว่าพระเอกเรียกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าแคลร์คือนางเอก โทนี่ก็คือพระเอก แม้พฤติกรรมของเขาจะไม่เหมือนพระเอกคนไหนที่เราอ่าน

นี่ไม่ใช่หนังสือโรแมนซ์

มันเป็นคำที่เราท่องในสมองตอนที่อ่านเรื่องนี้ ถ้าเราเอาส่วนความเป็นโรแมนซ์ไปจับ ความสัมพันธ์ระหว่างแคลร์และโทนี่เป็นบางสิ่งที่บิดเบี้ยว โรแมนซ์หลายเล่มที่พระเอกเริ่มต้นด้วยการข่มขืนนางเอก แต่เราไม่คิดว่า มีหนังสือโรแมนซ์เล่มไหนที่พระเอกซ้อมนางเอกจนอาการโคม่า ดังนั้นสำหรับเรานี่ไม่ใช่โรแมนซ์

ตัดประเด็นโรแมนซ์ออกไป นี่เป็นหนังสือทริลเลอร์ที่สนุกมาก การค้นหาว่าอะไรนำพาโทนีมาสู้ชีวิตของแคลร์ และจุดจบมันจะเป็นเช่นไร เป็นแรงผลักดันทำให้เราอ่านต่อเนื่องไป

อย่างที่บอกนะคะ เรื่องราวไม่ได้จบที่เล่มนี้

คะแนนที่ 80



View all my reviews