Sunday, March 22, 2009

Bride of a Wicked Scotman // Samantha James

หนังสือเล่มนี้หยิบมาอ่านคั่นเวลาค่ะ เพราะแม็กซ์ไม่อยากอ่านอะไรที่จะมีความหมายมากจนเกินไป เลยเลือกเรื่องของคนแต่งที่เราไม่คาดหวังอะไรนัก และก็ได้อย่างที่คาดค่ะ คือ ไม่มีอะไรให้คาดหวังได้

Bride of a Wicked Scotman ของซาแมนธา เจมส์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มสาม หรือเล่มสุดท้ายในชุดไตรภาคเรื่องราวของสามพี่น้องตระกูลแม็คไบร์ด ที่เล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวของอเล็ค แม็คไบร์ดพี่ชายคนโต และยังเป็นดยุคแห่งเกลนเดนอีกด้วย (สำหรับคนที่สนใจ แม็กซ์สับเละหนังสือสองเล่มแรกในชุดแล้วที่บลอกนี้ค่ะ)

เรื่องนี้ตั้งต้นดูน่าสนใจดีนะคะ เล่าถึงเลดี้มัวร่า โอดอนเนลผู้ที่บิดาได้สั่งเสียก่อนตายให้เธอออกตามหาสมบัติล้ำค่าของตระกูล ที่ถูกขโมยไปเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน เบาะแสเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ก็คือ การบอกว่าอเล็ค แม็คไบร์ดซึ่งเป็นดยุคชาวสก๊อตที่เดินทางมาเที่ยวไอร์แลนด์อันเป็นบ้านเกิด ของเธอมีส่วนรู้เห็น นั่นเพราะอเล็คเป็นลูกหลานของโจรสลัดที่ปล้นสมบัติชิ้นนี้ไป

สมบัติชิ้นนี้เป็นเครื่องลางนำโชคดีมาให้กับตระกูลโอดอนเนล ซึ่งเมื่อสูญเสียไปแล้ว ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งก็เดินจากไปจากตระกูล ทำให้มัวร่าที่แม้จะเป็นลูกสาวของเอิร์ล แต่ก็มีความเป็นอยู่ไม่ต่างไปจากสาวชาวบ้านทั่วไป แต่เมื่อให้คำมั่นกับบิดาที่จะตามหาสมบัติของตระกูลกลับมา เธอก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง แม้กระทั่งการหลอกลวงดยุคหนุ่มให้แต่งงานกับเธอ

นั่นเพราะมัวร่ามองไม่เห็นทางอื่นที่จะให้อเล็คพาเธอกลับไปสก๊อตแลนด์บ้าน เกิดของเขาด้วย เธอแน่ใจว่าสมบัติประจำตระกูลจะต้องถูกซ่อนอยู่ที่บ้านของอเล็ค และการหลอกให้เขาเชื่อว่า เขาได้ล่วงเกินเธอ จนกระทั่งยอมแต่งงานกัน จึงเป็นทางเดียวที่เธอจะแทรกตัวเข้าไปในชีวิตของเขาได้

แต่การใช้ชีวิตร่วมกับอเล็คโดยไม่ตกหลุมรักเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอเล็คไม่มีอะไรเหมือนกับบรรพบุรุษผู้เป็นโจรสลัดของเขา อเล็คเป็นสุภาพบุรุษและหล่อเหลา แถมยังเอาใจใส่ต่อ "ภรรยา" คนนี้ของเขาเป็นอย่างดี แต่มัวร่าก็รู้ว่า การแต่งงานระหว่างทั้งคู่เป็นเพียงเรื่องจอมปลอม และเธอจะต้องกลับไปไอร์แลนด์ในที่สุด ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมปล่อยใจให้รักเขา

แต่นี่คือหนังสือโรแมนซ์ ดังนั้นแม็กซ์จึงคิดว่า พวกเราน่าจะรู้ถึงจุดจบของเรื่องกันดีนะคะ

อย่างที่บอกไปแล้วนะคะ แม็กซ์ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการอ่านเล่มนี้ ซึ่งเป็นข้อดีค่ะ เพราะถ้าคาดแม็กซ์คงต้องเขวี้ยงหนังสือทิ้งขยะไปแล้วล่ะ หลายจุดในเรื่องไร้เหตุผลอย่างรุนแรง เราเข้าใจนะคะว่า คนแต่งตั้งใจจะใช้แง่มุมของพารานอมอลหน่อย ๆ กับสมบัติประจำตระกูลของมัวร่า แต่ขอโทษนะ การให้นางเอกของเรื่องซึ่งความจะเป็นหญิงสาวที่ฉลาดและมีปัญญา ทำทุกอย่างด้วยความรู้สึก เธอแน่ใจว่า สมบัติของตระกูลจะต้องถูกซ่อนเอาไว้ที่บ้านของอเล็ค เพราะเธอสัมผัสบางอย่างได้จากอากาศ เธอมั่นใจว่า อเล็คเป็นลูกหลานของโจรสลัดที่ขโมยสมบัติประจำตระกูลไป เพราะเธออ่านชื่อของเขาจากหนังสือพิมพ์แล้วก็รู้สึกแน่ใจ มันดูทำให้สติปัญญาของนางเอกถดถอยลงไปน่ะค่ะ เพราะในแง่มุมอื่นของเรื่อง มัวร่าก็ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษอะไรทั้งสิ้น

แล้วการออกตามหาสมบัติประจำตระกูลชนิดทุ่มสุดตัวนี่ีอีก แม้ว่าท้ายสุดมันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เมื่อสมบัติคืนมา ตระกูลโอดอนเนลก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ในยุคที่วางพล็อตเรื่องนี้ไว้ก็น่าจะราว ๆ ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุคที่มนุษย์พัฒนาวิทยาศาสตร์จนเจริญสูงสุด การได้เห็นนางเอกงมงายจนไร้เหตุผล (แม้ว่ามันจะเป็นความเชื่อที่ถูกต้องก็ตาม) เราจึงรู้สึกเหยียด ๆ นางเอกคนนี้สักหน่อย เพราะตลอดทั้งเรื่องเราก็ไม่เห็นเหตุการณ์อะไรที่จะสนับสนุนความเป็นพารานอ มอลส่วนอื่นในเรื่องเลย

แม็กซืรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหากับนางเอกของซาแมนธา เจมส์เกือบทุกเรื่องเลยนะคะ แต่สำหรับพระเอก เราค่อนข้างโอเคกับอเล็ค แต่นั่นก็ไม่อาจบอกอะไรได้มากหรอกนะคะ เพราะเราก็รู้สึกนิดหน่อยว่า ผู้ชายที่ฉลาดไม่น่ามาเอาผู้หญิงอย่างมัวร่า เขาน่าจะได้ใครที่ดีกว่านี้นะ

แต่อย่างที่บอกนะคะ เราหยิบมาโดยที่ไม่คาดหวัง ดังนั้นเมื่อเราไมไ่ด้อะไรจากการอ่านเล่มนี้เลย (แม้กระทั่งความสนุก) แม็กซ์ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร แต่คงไม่ได้คาดหวังหรอกนะคะว่าแม็กซ์จะให้คะแนนสูง

ต้องขอโทษสำหรับแฟน ๆ ของซาแมนธา เจมส์ (ที่เรารู้ว่ามีเยอะเหมือนกันในเมืองไทย) แต่เราไม่ถูกทางกับงานของเธอจริง ๆ ค่ะ คะแนนที่ 43

Kept // Jami Alden

นี่เป็นหนังสือเล่มที่อยากอ่านมากที่สุดของเดือนนี้เลยค่ะ แต่ก็ดันเป็นเล่มที่มาถึงเมืองไทยช้าที่สุดจนได้ ดังนั้นพอได้มาอยู่ในครอบครองจึงรีบอ่านทันที

แต่แม็กซ์ก็ยังงงตัวเองนิดนึงนะคะว่า ทำไม้ทำไมหนังสือชุดนี้ถึงกลายเป็นเรื่องที่เราอยากอ่านมากขนาดนี้ได้ ทั้งที่ตอนอ่านเล่มแรกใน ชุดจบไป เราก็ยังไม่ได้เกิดอาการเครซี่คลั่งไคล้เล่มนี้อะไรนัก แต่อย่างช้า ๆ และไม่รู้ตัว พี่น้องตระกูลแท็คเกิร์ตก็แทรกเข้ามาอยู่ในใจเราได้ซะงั้น

Kept ของเจมี่ อัลเด้น

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด The Gemini Men ซึ่งเล่าเรื่องราวของสามศรีพี่น้องตระกูลแท็คเกิร์ตที่ร่วมกันก่อตั้งบริษัท รักษาความปลอดภัยที่ชื่อว่าเจมมิไน แต่ไม่มีความจำเป็นต้องอ่านเล่มแรกก่อนนะคะ ก็สามารถอ่านเรื่องนี้รู้เรื่องได้ เพียงแต่ถ้าคุณอ่านเล่มนี้ก่อน มันอาจจะเป็นการสปอลย์เล่มแรกไปบ้างเล้กน้อย

หนังสือเปิดเรื่องขึ้นที่งานเลี้ยงเพื่อการกุศลสุดหรูที่เดเร็ค แท็คเกิร์ตพี่ชายคนรองทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ เดเร็คเป็นคนที่ขรึมที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง เขาค่อนข้างเก็บตัว และไม่ได้มีเสน่ห์เหลือเฟือเหมือนน้องชายฝาแฝดอย่างเอธาน (พระเอกเรื่อง Caught ซึ่ง เป็นเล่มแรกในชุด) ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยพลังเอาจริงเอาจังอย่างแดนนี่พี่ชายคนโต (ซึ่งจะเป็นพระเอกเล่มสาม) เดเร็คเคยเป็นนักแม่นปืนในกองทัพ และเขาก็เงียบขรึม และใจเย็นอย่างที่นักแม่นปืนเป็นกัน

จนกระทั่งเขาได้ทำสิ่งที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำ ด้วยการพาลูกสาวเศรษฐีที่อยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างอลิสา มิลล์กลับบ้าน และด้วยเหตุผลบางอย่างอลิสาต้องการเขา และเดเร็คก็พบว่าตัวเองไม่อาจปฏิเสธเธอได้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่คิดว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วข้ามคืน

แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อของอลิสาถูกฆ่าตาย และลุงของเธอเรียกตัวเดเร็คให้มาเป็นบอดี้การ์ดคอยดูแลหญิงสาวที่มีแต่ข่าว ฉาวโฉ่คนนี้ และนั่นทำให้เขาได้รู้จักเธอมากขึ้น และเรียนรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าในสวยงามของอลิสา ก็ยังมีผู้หญิงที่แท้จริง ผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อ และต้องการความรักอย่างมาก

นั่นเพราะตลอดชีวิตของอลิสา ชีวิตที่ดูเหมือนจะครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินและเงินทอง เธอไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร เธอเป็นลูกสาวนอกกฎหมายของมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทค้าเพชร กับดาราฮอลีวู้ด อลิสาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางเลนส์ของนักข่าว ทุกความเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของเธอถูกจับตามองโดยช่างภาพ และเด็กหญิงที่ขาดความรักก็เดินพลาดหลายครั้ง เธอติดยา และมีรูปวาบหวิวโพสต์ในอินเตอร์เน็ต เธอถูกมองว่าเป็นปาร์ตี้เกิร์ลที่ไร้สมอง แต่ในวัยยี่สิบสี่ อลิสากำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอทำสัญญาสงบศึกกับผู้เป็นบิดา กลายเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายอาการป่วยของผู้เป็นมารดา แต่แล้วโลกของเธอก็ดูเหมือนจะถล่มลงมาอีกครั้ง

เมื่อพ่อของเธอถูกฆ่า ใครสักคนจ้องจะทำลายชื่อเสียงที่เธอพยายามสร้างขึ้น และผู้ชายคนเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งก็ไม่ยอมเชื่อว่า เธอไม่ได้หันกลับไปหายาเสพติดอีกครั้ง

ปกติแม็กซ์จะไม่ค่อยชอบนางเอกอย่างอลิสานะคะ เธอค่อนข้างอ่อนแอในทางอารมณ์ ในหลายครั้งเรารู้สึกว่าเธอโง่และซื่อเกินไป แถมยังมีประเด็นขัดใจที่เราไม่ชอบมาก ๆ นั่นก็คือ เรื่องราวที่นางเอกแสนจะดีดี้ดี แต่คนรอบข้างกลับไม่มีใครชอบเธอเลยสักคน แม็กซ์ไม่ชอบพล็อตแนวนี้ เพราะความเชื่อส่วนตัวว่า ถ้าเราเป็นคนดี คนอื่นก็จะต้องเห็นความดี แต่ในกรณีนี้ ดูเหมือนทุกคนจะเกลียดอลิสามาก เกลียดที่เธอสวย เกลียดที่เธอร่ำรวย เกลียดที่มีชื่อเสียง ทั้งที่ในความประพฤติแล้ว อลิสาไม่ได้มีอะไรเลวร้าย ทำให้แม็กซ์ตั้งข้อสงสัยถึงความแคบของตัวละคร (ที่เกลียดนางเอก)

แต่ในความอ่อนแอของอลิสา เธอกลับมีความเข้มแข็งบางอย่าง ที่ำทำให้เธอมีเสน่ห์ในตัวเอง ไม่ได้ดูเป็นตัวละครที่ร้องโอดโอยให้แต่พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย (จริงอยู่นะคะในเ่ล่มนี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นเดเร็คนั่นแหละที่ต้องออกโรงมาช่วยเธอทุกครั้ง แต่การดำเนินเรื่องกลับไม่ทำให้แม็กซ์รู้สึกสิ้นหวังกับความไม่ได้เรื่องขอ งอลิสา) ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะทุกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ อลิสาไม่ได้แสวงหามัน อันที่จริงเธอไม่ได้ประพฤติตนดั่งเช่นนางเอกที่โง่จนสมควรตาย เธออาจเดินเข้าไปหาอันตรายเอง แต่ทุกครั้งมันมีคำอธิบายที่แม็กซ์ยอมรับได้

แม็กซ์ไม่แน่ใจว่า คนที่ไม่ได้อ่านเรื่อง Caught จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของเดเร็คมากนัก เพราะในเล่มนี้เดเร็คเปลี่ยนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับอลิสา เขาไม่ใช่ตัวเขาที่คนอ่านรู้จัก (แต่มันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนะคะ มันเป็นการเปลี่ยนชนิดที่ชายซึ่งตกหลุมรักเท่านั้นจะเป็นได้) ทำให้คนที่ไม่ได้อ่านเล่มแรกในชุด ที่ยังไม่เคยรู้จักคาแร็คเตอร์ของเดเร็ค จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดีนัก แต่สำหรับคนที่อ่าน การได้เห็นชายที่ดูเหมือนจะไม่แยแสอะไร ออกอาการร้อนรนจะเป็นจะตายเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว มันก็สนุกดีค่ะ

คู่ของเดเร็คและอลิสาไม่ใช่คู่พระนางที่ถึงกับยอดเยี่ยมในโลกโรแมนซ์หรอก นะคะ แต่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี นางเอกที่เปรียบเสมือนปารีส ฮิลตันในโรแมนซ์ กับพระเอกที่ไม่เคยอ่านข่าวสังคมมาพบกัน แม็กซ์เข้าใจถึงแรงดึงดูดของความแตกต่างในคู่นี้ (และมันเป็นพล็อตที่เจมี่คนแต่งใช้อีกแล้ว)

ในส่วนของประเด็นการสืบสวน แม็กซ์ไม่ชอบวิธีการที่ให้คนร้าย (สปอยล์) มาคลั่งไคล้อลิสาจนเพี้ยน มันเป็นพล็อตโบราณมากที่นักเขียนชอบใช้กัน จนแม็กซ์รู้สึกว่า มันโบไปแล้วน่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไม นางเอกมีดีตรงไหน ถึงต้องมารุมคลั่งกันอย่างนี้ มันน่ารำคาญพอ ๆ กับการเขียนให้นางเอกเป็นคนดี แต่ไม่มีใครรักเธอเลยแหละ

อาการขาดความรักของนางเอกเป็นส่วนที่ทำให้แม็กซ์ไม่ค่อยมั่นใจในโรแมนซ์ของ ทั้งอลิสาและเดเร็คนัก เพราะเราไม่แน่ใจว่า ที่เธอเลือกเดเร็คเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่รักเธอ หรือเพราะเขาเป็นผู้ชายที่เธอรัก แต่ในขณะเดียวกัน แม็กซ์ค่อนข้างเชื่อว่าอลิสาเป็นผู้หญิงที่เดเร็คต้องการ และเหมาะกับเขาอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เขากระทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาตลอดชีวิต

โดยรวมหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มต่อที่น่าอ่าน และยิ่งทำให้แม็กซ์อยากอ่านเล่มสุดท้าย (หรือเปล่า ไม่แน่ใจนะคะ คิดว่าถ้าขายดี คนแต่งคงจะขยายชุดเป็นแน่) ที่เป็นเรื่องราวของแดนนี่ พี่ชายคนโดตที่แหกกฎการเป็นพี่ชายคนโตทั้งหมด ด้วยการที่ไม่ใช่คนที่บ้าความรับผิดชอบ และห่ามน่าดู

สำหรับเล่มนี้คะแนนที่ 70

Kiss me While I Sleep // Linda Howard

หลังจากถูกดองมานานถึงห้าปี ในที่สุดหนังสือเล่มนี้ถูกหยิบมาอ่าน มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดของแม็กซ์หรอกนะคะที่ลงทุนซื้อฉบับปกแข็งมา (แต่ไม่ได้อ่านจนปกอ่อน และฉบับแปลกำลังจะออกขายแล้ว) แต่เป็นเพราะการเขียนรีวิวของคุณบีแห่งสำนักพิมพ์แก้วกานต์ที่นี่

แม็กซ์ก็รู้นะคะว่ามันเป็นการโฆษณาอย่างนึง (ก็แหมเขาอุตส่าห์ซื้อลิขสิทธิ์แล้วแปลขายนี่) แต่การบรรยายเนื้อเรื่อง และตัวละครทำให้เรารู้สึกว่า เรื่องนี้น่าอ่านมาก ดังนั้นพออ่านเรื่อง First Comes Marriage จบ ก็เลยหยิบเล่มนี้มาอ่านต่อทันที

และก็บอกได้ตั้งแต่เปิดเรื่องค่ะ ว่าเล่มนี้แตกต่างไปจาก FCM มาก และไม่ใช่แค่เรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติคสืบสวน ในขณะที่อีกเล่มเป็นแนวย้อนยุคนะคะ จังหวะในการดำเนินเรื่องก็คนละเรื่องกันเลย

แต่ก็เช่นเดียวกัน หนังสือแต่ละเล่มล้วนมีจังหวะของมันเอง และมีเสน่ห์ในตัวเอง เล่มนี้ก็เป็นเช่นนั้น

Kiss Me While I Sleep ของลินดา โฮเวิร์ด

หนังสือเรื่องนี้ถูกโฆษณาว่าเป็นเล่มที่สามในชุด (ต่อเนื่องกับ Kiss and Tell, และ All the Queen's Men) แต่ส่วนเกี่ยวข้องเดียวของเล่มนี้กับเล่มอื่นก็คือ ตัวเอกที่เป็นสายลับซีไอเอ และตัวละครที่ชื่อแฟรงค์ วินเนย์ (ถ้าใครจะจำเขาได้) เท่านั้นเอง ดังนั้นแม็กซ์จึงบอกได้เลยว่า คุณไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือสองเล่มแรกหรอกนะคะ คุณก็สามารถหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านได้อย่างรู้เรื่องแน่นอน

ลิลี่ แมนส์ฟิลด์เป็นนักฆ่ารับจ้างที่ทำงานให้กับซีไอเอ แต่งานที่เธอเพิ่งทำเสร็จลงไปไม่ใช่งานที่ซีไอเอจะอนุมัติ เพราะซัลวาตอเร่ เนอฟ์วีที่แม้จะเป็นอาชญากรชั่วช้า แต่เขาก็ยังมีประโยชน์ต่อซีไอเอเป็นอย่างสูง มันไม่สำคัญหรอกว่าซัลวาตอเ่ร่คือคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของเพื่อนสนิท สองคนของลิลลี่ และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนที่ออกคำสั่งฆ่าเด็กสาวที่เปรียบเสมือนลูกสาวของเธออีก และนั่นเป็นความผิดที่ลิลลี่ไม่อาจให้อภัยได้

และแม้จะต้องแลกด้วยชีิวิต ลิลลี่ก็จะต้องแก้แค้น ดังนั้นเมื่อแผนการวางยาพิษซัลวาตอเร่ดูจะไม่เป็นผล เพราะเขาปฏิเสธที่จะดื่มไวน์ที่เจือยาพิษ หากลิลลี่ไม่ดื่ม เธอแม้จะรู้ว่ามันมีอันตราย และอาจทำให้เธอตายได้ ลิลลี่ก็ดื่มมัน

แผนการสำเร็จ ซัลวาตอเร่ตาย แต่มันก็ทำให้ลิลลี่เจ็บหนัก เธออาจจะรอดแต่ร่างกายของเธอไม่แข็งแรงเหมือนเก่า มีรอยรั่วในหัวใจของเธอ ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วย แต่ลิลลี่ไม่อาจรอเวลาได้ เพราะแม้หัวหน้าขององค์กรที่สั่งฆ่าได้ตายลงไปแล้ว แต่ลูกชายของเขาก็ยังคงอยู่ และเธอต้องการทำลายทุกอย่างที่พวกเนอฟ์วีมี

การกระทำของลิลลี่สร้างความตื่นตระหนกให้กับซีไอเอ พวกเขากลัวว่าเธอจำทำลายเครือข่ายสายลับของซีไอเอที่สร้างไว้กับพวกเนอฟ์วี แฟรงค์ วินเนย์จึงส่งตัวสายลับมือเอกอย่างลูคัส สเวนไปยังปารีสเพื่อจัดการกับปัญหาที่ชื่อว่าลิลลี่นี้เสีย

แต่ลูคัสไม่ใช่สายลับอย่างที่เราคาดหวังว่าจะได้เห็นกัน เขาไม่ใช่เจมส์ บอนด์ที่เคร่งขรึมและไร้อารมณ์ขัน ลูคัสเป็นด้านที่ตรงข้ามของลิลลี่ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขาเลือกที่จะใช้วิธีที่ไม่เหมือนใคร เพราะแทนที่จะจับตัวเธอทันทีที่หาเธอพบ ลูคัสกับยื่นข้อเสนอช่วยเหลือลิลลี่ในภารกิจของเธอ และอย่างช้า ๆ หนุ่มเท็คซัสคนนี้ก็ได้แทรกตัวเข้าไปอยู่ในหัวใจที่ดูเหมือนจะปิดตายไปแล้ว ของลิลลี่ได้

จุดเด่นที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ คาแร็คเตอร์ค่ะ โดยเฉพาะด้านที่แตกต่างกันมากของลูคัสและลิลลี่ เพราะแม้ทั้งสองจะทำงานในโลกด้านมืดของการเป็นนักฆ่าและสายลับ ทั้งสองก็มีวิธีการจัดการกับชีวิตส่วนตัวที่แตกต่างกัน ลิลลี่ซึ่งเป็นนักฆ่าถอนตัวออกจากโลก และตัดความสัมพันธ์กับทุกคนที่มีความหมาย นอกจากเพื่อนทั้งสอง และลูกสาวบุญธรรมของพวกเขา เด็กสาวที่ลิลลี่ช่วยชีวิตมาจากการปฏิบัติภารกิจครั้งนึง เด็กที่ลิลลี่ดูแลมาตลอด และเมื่อทั้งหมดถูกฆ่าตาย แรงยึดเดียวที่ลิลลี่มีต่อโลกใบนี้ก็ขาดผึงลง เธอไม่แคร์การมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ชีวิตทั้งหมดมีเพื่อแก้แค้น

ส่วนลูคัสดูเหมือนจะใช้การเป็นสายลับเป็นบันไดแห่งการเติบโต จากเด็กหนุ่มที่เข้าสู่ธุรกิจแห่งเงามืดเพราะต้องการความตื่นเต้น ลูคัสเติบโตขึ้นเป็นชายผู้รู้จักชีวิต และรับผิดชอบ แน่ล่ะเขาเสียใจกับการกระทำในอดีต แต่ก็รู้ว่าบางอย่างมันก็ไม่อาจแก้ไขได้ เขาก็แค่ทำสิ่งที่เหลือให้ดีที่สุด อย่างที่บอกนะคะลูคัสเป็นด้านตรงข้ามของลิลลี่ และเขาก็เข้ามาในชีวิตของเธอ ในยามที่เธอต้องการเขามากที่สุด

เพราะนอกจากเขาจะเป็นคู่หูในปฏิบัติการ เขายังนำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมาให้เธอ และก็คือเขาที่นำชีวิตกลับมาให้กับลิลลี่อีกครั้ง

ในแง่นึงลูคัสเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังสือของลินดา โฮเิวิร์ดเท่าไหรนัก หรืออย่างน้อยคุณก็ไม่เห็นในตัวพระเอก เพราะเขาไมไ่ด้ออกอาการอัลฟ่า หรือหัวดื้อถือตัวเองเป็นใหญ่เลยสักนิด และมันก็เหมาะกับเนื้อเรื่อง เพราะลิลลี่ในเรื่องนี้ก็แข็งมากพอแล้ว แต่ลูคัสก็ไม่ใช่พระเอกสไตล์เบต้าหรอกนะคะ เขาเป็นสายลับซีไอเอ และมีความสามารถทุกอย่างที่สายลับควรมี เหนืออื่นใด เขานับถือลิลลี่ และนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเอกจะคิดต่อนางเอกได้

จะว่าไปบทบาทของพระเอกและนางเอกในเล่มนี้ออกจะสลับกันอยู่นะคะ เพราะเป็นพระเอกที่ดึงนางเอกออกมาจากด้านมืด และช่วยให้เธอกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

ดังนั้นคงไม่ต้องบอกนะคะว่า หนังสือโรแมนติกสืบสวนเล่มนี้ ส่วนของโรแมนติกสอบผ่านค่ะ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่เลยล่ะ กว่าพระนางจะได้พบหน้ากัน (แต่ก็เป็นฉากการพบที่ช่างน่าตื่นเต้นอย่างมาก เมื่อลูคัสพุ่งรถเข้าไปขวางระหว่างลิลลี่กับมือปืนที่หมายมั่นเอาชีวิตของ เธอ)

ส่วนของสืบสวนต่างหากที่รบกวนใจของเรา ปกติแม็กซ์จะไม่ค่อยเรื่องมากกับพล็อตส่วนสืบสวน ซึ่งในกรณีนี้คือพล็อตที่เป็นทริลเลอร์ เพราะไม่มีการสืบสวนค่ะ เรารู้อยู่แล้วว่าผู้ร้ายเป็นใคร แต่เป็นการปฏิบัติภารกิจของลิลลี่มากกว่า แต่เล่มนี้คงเป็นเพราะการโฟกัสอย่างมากของลิลลี่ในการแก้แค้น ทำให้เรารู้สึกว่า หลายอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้มันง่ายเกินไป

เพราะสำหรับคนที่กร้านโลกและมองโลกด้วยสายตาตายด้านอย่างลิลลี่ แม็กซ์รู้สึกไม่ค่อยเชื่อนักที่จู่ ๆ เธอจะไว้ใจลูคัสทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร โดยให้เขามาร่วมปฏิบัติการด้วย จริงอยู่ที่เธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ และเขาก็เข้ามาในเวลาที่เหมาะเจาะ แต่เราคิดว่า คาแร็คเตอร์ของลิลลี่น่าจะระวังตัวมากกว่านี้ (แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะคิดถูกที่ให้ลูคัสมาช่วยนะคะ แต่ในเวลาที่เจอกับเขา ลิลลี่กำลังหนีการตามล่า และไม่น่าจะไว้ใจใครง่าย ๆ)

แม็กซ์ชอบการสรุปเรื่องตอนจบ ที่เฉลยว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นยังไง เราคิดว่ามันเสียดสีดี (สปอยล์) ที่สุดท้ายแล้วคนที่บ่อนทำลายอาณาจักรเนอฟ์วีก็คือ คนที่จะได้ประโยชน์จากมันมากทีุ่สุด และเขาทำไปก็เพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้แม็กซ์รู้สึกว่า งานของลิลลี่ง่ายเกินไปหน่อยนะคะ เธอเสียสละไปมากเพื่องานนี้ เราจึงอยากให้มันเป็นงานที่ยากลำบาก (กว่านี้) เพื่อที่ทุกอย่างที่ลิลลี่ลงทุนไปดูคุ้มค่ามาก ๆ (เข้าใจลอคจิกของเราไหมคะ)

ปัญหาที่แม็กซ์มีต่อเล่มนี้ คงเพราะเรายังตัดสินใจไม่ได้น่ะค่ะว่า เรากำลังอ่านโรแมนซ์อยู่ หรือว่าอ่านทริลเลอร์ เพราะเรื่องนี้มันเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ปัญหาการคือ การเป็นอย่างนึงมันจะทำให้อีกส่วนหนึ่งดูไม่ครบถ้วน ในแง่ของโรแมนซ์เล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีค่ะ (แม้มันจะไม่ใช่โรแมนซ์ชนิดที่พระนางตัวติดกันตลอดเวลา) ลิลลี่เมื่อเลือกที่จะไว้ใจลูคัส เธอก็ไว้ใจเขาอย่างหมดใจ แม้กระทั่งตอนที่เธอคิดว่าเขาทรยศ เธอก็ยังรักเขา แต่ถ้าคิดในแง่ของทริลเลอร์ ยังมีหลายอย่างที่แม็กซ์ไม่ค่อยเชื่อนัก

แต่ในเมื่อบลอกนี้เป็น Mostly Romance เราก็จะเน้นในโรแมนซ์แล้วกันนะคะ ดังนั้นจึงสรุปว่า แนะนำให้อ่านกันดูแล้วกัน หนังสือเล่มนี้ไม่เหมือนกับเล่มไหนของลินดา โฮเวิร์ดที่อาจจะดูมีด้านมืดที่มากกว่า แต่การเดินทางออกจากด้านมืดของลิลลี่มาสู่แสงสว่าง (ด้วยความรักของพระเอก) ก็เป็นการเดินทางที่แฟนโรแมนซ์น่าจะชื่นชอบค่ะ

First Comes Marriage // Mary Balogh

ใช้เวลาอ่านเรื่องนี้ไปสองวันเต็มเลยค่ะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งของหนังสือที่เขียนโดยแมรี่ บาล็อคธ์ที่คุณต้องใช้เวลาในการซึบซัมเรื่องราวที่เธอสร้างสรร ไม่ใช่ว่าเธอใช้ภาษายากหรอกนะคะ แต่เป็นจังหวะของเรื่องที่คุณไม่อาจเร่งให้มันเร็วขึ้นได้ และเช่นกันไม่ใช่เรื่องราวที่เธอเล่าจะน่าเบื่ออะไรเลยนะคะ เพียงแต่มันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่คุณดูแล้วจบในครั้งเดียว หนังสือของเธอเป็นความประณีตที่น่าดื่มด่ำ

และเช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องแรกในหนังสือชุดห้าเล่มที่ เล่าเรื่องราวของตระกูลฮัซเทเบิ้ล ที่ประกอบด้วยพี่สาวสามคน และน้องชาย กับญาติห่าง ๆ อีกหนึ่งคน เล่มนี้เป็นเรื่องราวของวาเนสซ่า พี่สาวคนรอง ที่ได้พบกับความรักในการแต่งงานชนิดที่เธอไม่เคยคาดหวัง

First Comes Marriage ของแมรี่ บาล็อคธ์

พี่น้องสามสาวและหนึ่งหนุ่มแห่งตระกูลฮัซเทเบิ้ลมีชีวิตที่เรียบง่ายใน ชนบท มาร์กาเร็ตพี่สาวคนโตในวัยยี่สิบห้าปีเป็นผู้ดูแลน้อง ๆ มานับจากการตายของผู้เป็นบิดา เมื่อตอนเธออายุได้เพียงสิบเจ็ดปี เม็คทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แม้ว่านั่นจะหมายความว่า เธอจะต้องเสียสละคนรักเมื่อจำใจต้องปฏิเสธคำขอแต่งงานจากเขาก็ตาม แต่เม็คก็ไม่เคยเสียใจ

วาเนสซ่า น้องสาวคนรองเป็นคนเดียวในครอบครัวที่แต่งงาน แต่ชีวิตคู่ของเธอก็ช่างสั้นนัก เพราะเพียงแค่ปีเดียวสามีของเธอก็เสียชีวิตลง แต่นั่นก็เป็นเรื่องทีคาดกันเอาไว้อยู่แล้ว เพราะเขาป่วยหนักมาตั้งแต่ก่อนการแต่งงาน แต่วาเนสซ่าก็ยังเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอต้องการทำให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของเขามีความสุขที่สุด การทำให้คนอื่นมีความสุข มีเสียงหัวเราะเป็นพรสวรรค์ของวาเนสซ่า สาวน้อยที่อาจจะเป็นคนที่สวยน้อยที่สุดในครอบครัว

แคธทารีน น้องสาวคนที่สามเป็นครูอยู่ในหมู่บ้าน เธอก็เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่สวยงาม ชายหนุ่มจากทั่วหมู่บ้านล้วนหมายปองเธอ แต่ก็ไม่มีใครที่เป็นคนพิเศษในชีวิตของเธอได้

และสตีเฟ่น น้องชายคนเล็ก ผู้ที่ถึงจะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน แต่เขาก็ยังถูกมองเป็นเด็ก กระนั้นสตีเฟ่นก็รู้หน้าที่ของตัวเอง เขารู้ว่าพี่สาวของเขาเสียสละชีวิตเพื่ออนาคตของเขามากเพียงใด ดังนั้นสตีเฟ่นจึงหวังที่จะทำเต็มที่ในการเรียน และการงาน เพื่ออนาคตเขาจะได้ตอบแทนบรรดาพี่สาวของเขาให้มากที่สุด

แต่โอกาสของสตีเฟ่นมาเร็วกว่านั้น และผู้นำสารน์ก็คือเอลเลียต วัลเลซ ไวส์เคาท์ลินเกต

ด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปี เอลเลียตจำเป็นต้องรับความรับผิดชอบรวดเร็วกว่าที่คาด เขาไม่คิดว่าผู้เป็นบิดาจะเสียชีวิตกระทันหัน และตนเองจะต้องกลายเป็นผู้ดูแลโจนาธาน เอิร์ลแห่งเมอร์ตัน แต่โจนาธานจะไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเสียชีวิตในวัยสิบหกปี และเอลเลียตซึ่งตามหาทายาทคนต่อไปก็พบว่า สตีเฟ่นซึ่งบัดนี้คือเอิร์ลแห่งเมอร์ตันก็มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น และนั่นยังทำให้เขาคงต้องรับผิดชอบภาระนี้ต่อไป

เอลเลียตคิดว่าทุกอย่างคงเป็นเรื่องง่าย เขาเดินทางมาหมู่บ้านหลังเขา แจ้งข่าวดีสุดสุดให้กับครอบครัวฮัซเทเบิ้ลทราบ จากนั้นก็พาตัวสตีเฟ่นไปเพื่อฝึกฝนให้เขาเป็นเอิร์ลผู้เหมาะสม เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับครอบครัวที่รักใครใยดีกันเช่นนี้ ครอบครัวที่พี่สาวทั้งสามไม่ยอมให้สตีเฟ่นไปกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เย็นชาอย่างเขา

โดยไม่มีทางเลือก เอลเลียตตกลงพาทั้งสี่ไปพร้อมกัน แม้เขาจะไม่แน่ใจว่า จะทำยังไงถึงจะให้สังคมลอนดอนยอมรับสี่พี่น้องหลังเขาครอบครัวนี้ กับสตีเฟ่นเขาพอจะรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่กับสามสาวที่แน่นอนว่าจะต้องออกสังคม เอลเลียตไม่มีทางเลือกมากนัก จำเป็นจะต้องมีใครสักคนที่มีฐานะทางสังคมสูงพอที่จะพาพวกเธอออกงาน เขาคาดหวังให้เป็นมารดาของเขา แต่ก็รู้ว่าเป็นภาระหนัก เนื่องจากน้องสาวคนเล็กของเขาก็จะออกงานในปีนี้เช่นกัน

แต่แล้วความคิดนึงก็แทรกเข้ามา ถ้าหากเอลเลียตซึ่งได้สัญญากับผู้เป็นปู่แล้วว่า จะแต่งงานก่อนอายุครบสามสิบปี เลือกที่จะแต่งงานกับมาร์กาเร็ตเล่า เธอซึ่งเป็นพี่สาวคนโต และจะดำรงฐานะไวส์เคาท์เตสลินเกต ก็จะพาน้อง ๆ ออกงานได้โดยไม่มีปัญหา ในขณะเดียวกันเขาก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ความรักไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะผู้ชายในตระกูลวัลเลซไม่เคยรักผู้หญิงที่พวกเขาแต่งงานด้วย

ทว่าก่อนที่เอลเลียตจะทำตามความคิด วาเนสซ่าซึ่งไม่ค่อยชอบหน้าเอลเลียตนัก เพราะไม่พอใจความหยิ่งทรนง และไร้อารมณ์ขันของเขา เสนอตัวเข้ามาแทน เธอรู้ว่า ถ้าเอลเลียตขอ เม็กก็คงตอบตกลงแต่งงานด้วยเป็นแน่ เพราะเม็กทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่เธอไม่ต้องการให้พี่สาวต้องเสียสละมากไปกว่านี้อีกแล้ว เม็กควรจะมีโอกาสที่จะมีความหวัง เพื่อรอคอยการกลับมาของชายผู้เป็นที่รัก ในขณะที่วาเนสซ่าเอง เคยรักมาแล้ว ดังนั้นถ้าเป็นเธอที่จะเข้าสู่การแต่งงานที่ปราศจากความรัก ก็น่าจะเหมาะมากกว่า

การแต่งงานที่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวปฏิเสธความรักจึงเกิดขึ้น และก็เหมือนโรแมนซ์ค่ะ ที่ความรักมันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นกว่าหนังสือเรื่องอื่นในพล็อตเดียวกันก็คือ แม็กซ์เชื่อในความรักที่เกิดขึ้น

วาเนสซ่าไม่ได้หลงไปกับภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้อ่อนระทวยไปกับความหล่อเหล่า หรือเป็นผู้ดีของเอลเลียต เธออ่านเขาออกตั้งแต่แรกเห็น ในครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่งานเลี้ยงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเธอ เพียงแว่บแรก วาเนสซ่าก็อ่านเอลเลียตออกราวกับรู้จักเขามาทั้งชีวิต เธอรู้ว่า เขาไม่ได้ปลื้มไปกับงานเลี้ยงที่คนทั้งหมู่บ้านอุตส่าห์จัดขึ้น เขาเบื่อหน่าย และเหยียดหยามพวกเธอด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เธอไม่ "ตกหลุมรัก" เขาตั้งแต่แรกเห็น

และเธอก็ไม่ "ตกหลุมรัก" เขาเมื่อได้พบเขาเป็นครั้งสอง และสาม (และสี่ และห้า) เพราะเอลเลียตยังเป็นคนเย็นชาที่ไม่มีความสุขกับชีวิต เขาไม่รู้จักเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้ม สำหรับเขา ครอบครัวของเธอคือภาระหน้าที่

แต่เมื่อวาเนสซ่าตัดสินใจแต่งงานกับเขา เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสวยเหมือนพี่น้อง สิ่งเดียวที่เธอมอบให้กับการแต่งงานนี้ก็คือ เธอจะทำให้เอลเลียตมีความสุข และวาเนสซ่าก็เป็นคนที่นำความสุขมาให้กับคนรอบข้าง นั่นดูเหมือนจะเป็นข้อดีเดียวที่เธอมี

การแต่งงานทำให้ทั้งสองค้นพบว่า ทั้งคู่มีอะไรมากกว่านั้น เอลเลียตพบว่าตัวเองไม่อาจปฏิเสธความเป็นวาเนสซ่าได้ เธอเป็นผู้หญิงที่หัวเราะให้กับความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่นำความสว่างไสวมาให้กับคนรอบข้าง และเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบ (นั่นเพราะเขารู้จักเธอดียิ่งกว่าเปลือกนอก) ในขณะเดียวกันวาเนสซ่าก็ต้องการมากกว่าความสุขของเอลเลียต เธอต้องการความสุขของตัวเอง เธอต้องการความรัก แม้มันจะผิดสัญญาที่ให้กันไว้ตั้งแต่ต้น

ครึ่งเรื่องแรกของหนังสือเรื่องนี้ใช้เวลาไปกับการแนะนำตัวละครในชุดนะคะ แต่มันก็ไม่ได้น่ารำคาญ หรือเบื่อหน่ายอะไร เรื่องน่าเสียดายเดียวก็คือ แม็กซ์ชอบความสัมพันธ์ระหว่างวาเนสซ่า กับเอลเลียตมากจนอยากให้คนแต่งใช้เวลากับพวกเขามากกว่านี้ (แต่ในทางกลับกัน เราก็ชอบเรื่องราวของพี่น้องฮัซเทเบิ้ลไม่น้อยเช่นกัน) ครึ่งหลังเรื่องเป็นการปรับตัวเข้าหากันของคู่สามีภรรยาที่ไม่คาดหวังความ รัก แต่ความรักก็มาเยือนพวกเขา

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกมาก ๆ ไม่มีความรู้สึกว่าบังคับ หรือไม่สมจริงในพัฒนาการของความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่มีช่วงเวลาที่จู่ ๆ เอลเลียตก็โพร่งขึ้นมาว่า รักเธอ รักเธอ แบบทำลายจังหวะเรื่องนะคะ แต่เมื่อคุณอ่านไปถึงจุดนึง คำว่า "รัก" มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะการกระทำได้บ่งบอกทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว (และคำว่ารัก มันก็ตามมาเอง"

หนังสือเล่มนี้จบลง แบบไม่สนิทในประเด็นเรื่องของญาติห่าง ๆ ของตระกูลฮัซเทเบิ้ล คอนสแตนติน ฮัซเทเบิ้ลเป็นพี่ชายคนโตเอิร์ลคนเก่า แต่เขาไม่มีสิทธิได้บรรดาศักดิ์ เพราะดันเกิดก่อนที่พ่อและแม่จะแต่งงานกันได้สองวัน ทรัพย์สินและบรรดาศักดิ์ที่เป็นของสตีเฟ่น แท้จริงแล้วควรจะเป็นของเขา แต่คอนก็สูญเสียมันไปทั้งหมด

แม็กซ์เคยบอกไหมคะ ว่าชอบตัวละครแบบนี้แหละ ข่าวร้ายก็คือ เรื่องของคอนจะยังไม่ออกขายจนกว่าจะปีหน้า แถมยังออกเป็นปกแข็งอีกต่างหาก

วกกลับมาที่คะแนนเรื่องนี้ค่ะ อยู่ที่ 83

ใช้เวลาอ่านเรื่องนี้ไปสองวันเต็มเลยค่ะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งของหนังสือที่เขียนโดยแมรี่ บาล็อคธ์ที่คุณต้องใช้เวลาในการซึบซัมเรื่องราวที่เธอสร้างสรร ไม่ใช่ว่าเธอใช้ภาษายากหรอกนะคะ แต่เป็นจังหวะของเรื่องที่คุณไม่อาจเร่งให้มันเร็วขึ้นได้ และเช่นกันไม่ใช่เรื่องราวที่เธอเล่าจะน่าเบื่ออะไรเลยนะคะ เพียงแต่มันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่คุณดูแล้วจบในครั้งเดียว หนังสือของเธอเป็นความประณีตที่น่าดื่มด่ำ

และเช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องแรกในหนังสือชุดห้าเล่มที่ เล่าเรื่องราวของตระกูลฮัซเทเบิ้ล ที่ประกอบด้วยพี่สาวสามคน และน้องชาย กับญาติห่าง ๆ อีกหนึ่งคน เล่มนี้เป็นเรื่องราวของวาเนสซ่า พี่สาวคนรอง ที่ได้พบกับความรักในการแต่งงานชนิดที่เธอไม่เคยคาดหวัง

First Comes Marriage ของแมรี่ บาล็อคธ์

พี่น้องสามสาวและหนึ่งหนุ่มแห่งตระกูลฮัซเทเบิ้ลมีชีวิตที่เรียบง่ายใน ชนบท มาร์กาเร็ตพี่สาวคนโตในวัยยี่สิบห้าปีเป็นผู้ดูแลน้อง ๆ มานับจากการตายของผู้เป็นบิดา เมื่อตอนเธออายุได้เพียงสิบเจ็ดปี เม็คทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แม้ว่านั่นจะหมายความว่า เธอจะต้องเสียสละคนรักเมื่อจำใจต้องปฏิเสธคำขอแต่งงานจากเขาก็ตาม แต่เม็คก็ไม่เคยเสียใจ

วาเนสซ่า น้องสาวคนรองเป็นคนเดียวในครอบครัวที่แต่งงาน แต่ชีวิตคู่ของเธอก็ช่างสั้นนัก เพราะเพียงแค่ปีเดียวสามีของเธอก็เสียชีวิตลง แต่นั่นก็เป็นเรื่องทีคาดกันเอาไว้อยู่แล้ว เพราะเขาป่วยหนักมาตั้งแต่ก่อนการแต่งงาน แต่วาเนสซ่าก็ยังเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอต้องการทำให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของเขามีความสุขที่สุด การทำให้คนอื่นมีความสุข มีเสียงหัวเราะเป็นพรสวรรค์ของวาเนสซ่า สาวน้อยที่อาจจะเป็นคนที่สวยน้อยที่สุดในครอบครัว

แคธทารีน น้องสาวคนที่สามเป็นครูอยู่ในหมู่บ้าน เธอก็เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่สวยงาม ชายหนุ่มจากทั่วหมู่บ้านล้วนหมายปองเธอ แต่ก็ไม่มีใครที่เป็นคนพิเศษในชีวิตของเธอได้

และสตีเฟ่น น้องชายคนเล็ก ผู้ที่ถึงจะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน แต่เขาก็ยังถูกมองเป็นเด็ก กระนั้นสตีเฟ่นก็รู้หน้าที่ของตัวเอง เขารู้ว่าพี่สาวของเขาเสียสละชีวิตเพื่ออนาคตของเขามากเพียงใด ดังนั้นสตีเฟ่นจึงหวังที่จะทำเต็มที่ในการเรียน และการงาน เพื่ออนาคตเขาจะได้ตอบแทนบรรดาพี่สาวของเขาให้มากที่สุด

แต่โอกาสของสตีเฟ่นมาเร็วกว่านั้น และผู้นำสารน์ก็คือเอลเลียต วัลเลซ ไวส์เคาท์ลินเกต

ด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปี เอลเลียตจำเป็นต้องรับความรับผิดชอบรวดเร็วกว่าที่คาด เขาไม่คิดว่าผู้เป็นบิดาจะเสียชีวิตกระทันหัน และตนเองจะต้องกลายเป็นผู้ดูแลโจนาธาน เอิร์ลแห่งเมอร์ตัน แต่โจนาธานจะไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเสียชีวิตในวัยสิบหกปี และเอลเลียตซึ่งตามหาทายาทคนต่อไปก็พบว่า สตีเฟ่นซึ่งบัดนี้คือเอิร์ลแห่งเมอร์ตันก็มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น และนั่นยังทำให้เขาคงต้องรับผิดชอบภาระนี้ต่อไป

เอลเลียตคิดว่าทุกอย่างคงเป็นเรื่องง่าย เขาเดินทางมาหมู่บ้านหลังเขา แจ้งข่าวดีสุดสุดให้กับครอบครัวฮัซเทเบิ้ลทราบ จากนั้นก็พาตัวสตีเฟ่นไปเพื่อฝึกฝนให้เขาเป็นเอิร์ลผู้เหมาะสม เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับครอบครัวที่รักใครใยดีกันเช่นนี้ ครอบครัวที่พี่สาวทั้งสามไม่ยอมให้สตีเฟ่นไปกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เย็นชาอย่างเขา

โดยไม่มีทางเลือก เอลเลียตตกลงพาทั้งสี่ไปพร้อมกัน แม้เขาจะไม่แน่ใจว่า จะทำยังไงถึงจะให้สังคมลอนดอนยอมรับสี่พี่น้องหลังเขาครอบครัวนี้ กับสตีเฟ่นเขาพอจะรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่กับสามสาวที่แน่นอนว่าจะต้องออกสังคม เอลเลียตไม่มีทางเลือกมากนัก จำเป็นจะต้องมีใครสักคนที่มีฐานะทางสังคมสูงพอที่จะพาพวกเธอออกงาน เขาคาดหวังให้เป็นมารดาของเขา แต่ก็รู้ว่าเป็นภาระหนัก เนื่องจากน้องสาวคนเล็กของเขาก็จะออกงานในปีนี้เช่นกัน

แต่แล้วความคิดนึงก็แทรกเข้ามา ถ้าหากเอลเลียตซึ่งได้สัญญากับผู้เป็นปู่แล้วว่า จะแต่งงานก่อนอายุครบสามสิบปี เลือกที่จะแต่งงานกับมาร์กาเร็ตเล่า เธอซึ่งเป็นพี่สาวคนโต และจะดำรงฐานะไวส์เคาท์เตสลินเกต ก็จะพาน้อง ๆ ออกงานได้โดยไม่มีปัญหา ในขณะเดียวกันเขาก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ความรักไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะผู้ชายในตระกูลวัลเลซไม่เคยรักผู้หญิงที่พวกเขาแต่งงานด้วย

ทว่าก่อนที่เอลเลียตจะทำตามความคิด วาเนสซ่าซึ่งไม่ค่อยชอบหน้าเอลเลียตนัก เพราะไม่พอใจความหยิ่งทรนง และไร้อารมณ์ขันของเขา เสนอตัวเข้ามาแทน เธอรู้ว่า ถ้าเอลเลียตขอ เม็กก็คงตอบตกลงแต่งงานด้วยเป็นแน่ เพราะเม็กทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่เธอไม่ต้องการให้พี่สาวต้องเสียสละมากไปกว่านี้อีกแล้ว เม็กควรจะมีโอกาสที่จะมีความหวัง เพื่อรอคอยการกลับมาของชายผู้เป็นที่รัก ในขณะที่วาเนสซ่าเอง เคยรักมาแล้ว ดังนั้นถ้าเป็นเธอที่จะเข้าสู่การแต่งงานที่ปราศจากความรัก ก็น่าจะเหมาะมากกว่า

การแต่งงานที่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวปฏิเสธความรักจึงเกิดขึ้น และก็เหมือนโรแมนซ์ค่ะ ที่ความรักมันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นกว่าหนังสือเรื่องอื่นในพล็อตเดียวกันก็คือ แม็กซ์เชื่อในความรักที่เกิดขึ้น

วาเนสซ่าไม่ได้หลงไปกับภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้อ่อนระทวยไปกับความหล่อเหล่า หรือเป็นผู้ดีของเอลเลียต เธออ่านเขาออกตั้งแต่แรกเห็น ในครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่งานเลี้ยงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเธอ เพียงแว่บแรก วาเนสซ่าก็อ่านเอลเลียตออกราวกับรู้จักเขามาทั้งชีวิต เธอรู้ว่า เขาไม่ได้ปลื้มไปกับงานเลี้ยงที่คนทั้งหมู่บ้านอุตส่าห์จัดขึ้น เขาเบื่อหน่าย และเหยียดหยามพวกเธอด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เธอไม่ "ตกหลุมรัก" เขาตั้งแต่แรกเห็น

และเธอก็ไม่ "ตกหลุมรัก" เขาเมื่อได้พบเขาเป็นครั้งสอง และสาม (และสี่ และห้า) เพราะเอลเลียตยังเป็นคนเย็นชาที่ไม่มีความสุขกับชีวิต เขาไม่รู้จักเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้ม สำหรับเขา ครอบครัวของเธอคือภาระหน้าที่

แต่เมื่อวาเนสซ่าตัดสินใจแต่งงานกับเขา เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสวยเหมือนพี่น้อง สิ่งเดียวที่เธอมอบให้กับการแต่งงานนี้ก็คือ เธอจะทำให้เอลเลียตมีความสุข และวาเนสซ่าก็เป็นคนที่นำความสุขมาให้กับคนรอบข้าง นั่นดูเหมือนจะเป็นข้อดีเดียวที่เธอมี

การแต่งงานทำให้ทั้งสองค้นพบว่า ทั้งคู่มีอะไรมากกว่านั้น เอลเลียตพบว่าตัวเองไม่อาจปฏิเสธความเป็นวาเนสซ่าได้ เธอเป็นผู้หญิงที่หัวเราะให้กับความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่นำความสว่างไสวมาให้กับคนรอบข้าง และเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบ (นั่นเพราะเขารู้จักเธอดียิ่งกว่าเปลือกนอก) ในขณะเดียวกันวาเนสซ่าก็ต้องการมากกว่าความสุขของเอลเลียต เธอต้องการความสุขของตัวเอง เธอต้องการความรัก แม้มันจะผิดสัญญาที่ให้กันไว้ตั้งแต่ต้น

ครึ่งเรื่องแรกของหนังสือเรื่องนี้ใช้เวลาไปกับการแนะนำตัวละครในชุดนะคะ แต่มันก็ไม่ได้น่ารำคาญ หรือเบื่อหน่ายอะไร เรื่องน่าเสียดายเดียวก็คือ แม็กซ์ชอบความสัมพันธ์ระหว่างวาเนสซ่า กับเอลเลียตมากจนอยากให้คนแต่งใช้เวลากับพวกเขามากกว่านี้ (แต่ในทางกลับกัน เราก็ชอบเรื่องราวของพี่น้องฮัซเทเบิ้ลไม่น้อยเช่นกัน) ครึ่งหลังเรื่องเป็นการปรับตัวเข้าหากันของคู่สามีภรรยาที่ไม่คาดหวังความ รัก แต่ความรักก็มาเยือนพวกเขา

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกมาก ๆ ไม่มีความรู้สึกว่าบังคับ หรือไม่สมจริงในพัฒนาการของความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่มีช่วงเวลาที่จู่ ๆ เอลเลียตก็โพร่งขึ้นมาว่า รักเธอ รักเธอ แบบทำลายจังหวะเรื่องนะคะ แต่เมื่อคุณอ่านไปถึงจุดนึง คำว่า "รัก" มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะการกระทำได้บ่งบอกทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว (และคำว่ารัก มันก็ตามมาเอง"

หนังสือเล่มนี้จบลง แบบไม่สนิทในประเด็นเรื่องของญาติห่าง ๆ ของตระกูลฮัซเทเบิ้ล คอนสแตนติน ฮัซเทเบิ้ลเป็นพี่ชายคนโตเอิร์ลคนเก่า แต่เขาไม่มีสิทธิได้บรรดาศักดิ์ เพราะดันเกิดก่อนที่พ่อและแม่จะแต่งงานกันได้สองวัน ทรัพย์สินและบรรดาศักดิ์ที่เป็นของสตีเฟ่น แท้จริงแล้วควรจะเป็นของเขา แต่คอนก็สูญเสียมันไปทั้งหมด

แม็กซ์เคยบอกไหมคะ ว่าชอบตัวละครแบบนี้แหละ ข่าวร้ายก็คือ เรื่องของคอนจะยังไม่ออกขายจนกว่าจะปีหน้า แถมยังออกเป็นปกแข็งอีกต่างหาก

วกกลับมาที่คะแนนเรื่องนี้ค่ะ อยู่ที่ 83

ลิขสิทธิ์ในนิยายโรแมนซ์: คุณรู้ดีแค่ไหน

เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนแม็กซ์บังเอิญเข้าไปในเว็บไซด์ที่เป็นคอมมูนิตี้ดัง แห่งหนึ่งของเมืองไทย และได้อ่านเจอประเด็นการทะเลากันระหว่างสำนักพิมพ์และนักแปล ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะพูดถึงหรอกนะคะ แต่ดันมีอีกประเด็นที่หลุดออกมาจากการแฉกันเองระหว่างสนพ.และนักแปล และถูกหยิบยกขึ้นไปพูดต่อกันพอสมควรในกระทู้ที่เว็บบอร์ดแห่งนั้น นั่นก็คือ หนังสือที่สนพ.ส่งให้นักแปลดำเนินการแปล ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง

แต่เมื่อประเด็นถูกนำมาพูดถึงก็มีการตอบกลับจากคนที่ให้การสนับสนุนการทำงาน ของสนพ. โดยใช้คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นสากลในวงการนิยายแปลโรแมนซ์ไปแล้ว แม็กซ์จำประโยคที่เขียนชัดเจนไม่ได้หรอกนะคะ แต่มันเป็นคำพูดทำนองที่ว่า "ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์เป็นประเด็นสีเทา ซึ่งไม่อยากให้พูดกันในที่นี้ เพราะจะทำให้นักอ่านเดือดร้อนกันไปหมด"

คำพูดทำนองนี้ แม็กซ์ได้ยินอย่างชาชินหู ตั้งแต่เราเริ่มเข้าวงการนิยายแปลโรแมนซ์ในเมืองไทยสักเมื่อห้าหกปีก่อน (ก่อนหน้านั้นแม็กซ์รู้เรื่องแต่ต้นฉบับนิยายภาษาอังกฤษ และไม่สนใจนิยายแปลที่เมืองไทยทำขายเลย) คำพูดที่ว่า "ถ้าหากมีการซื้อลิขสิทธิ์ ก็จะทำให้ราคาหนังสือแพงมาก ๆ และทางสนพ.ก็จะไม่สามารถผลิตงานมาให้นักอ่านอ่านกันได้อีก ดังนั้นถ้าใครจะเป็นแฟนหนังสือโรแมนซ์ ก็ต้องปิดปาก/หุบปากเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ ต้องปกป้องสำนักพิมพ์ยิ่งกว่าชีวิต ใครก็ตามที่เอาเรื่องสนพ.ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปพูด จะต้องตามทำลายล้างให้หมดไปจากโลกนี้ให้ได้"

และสำหรับคนที่ใหม่มากในวงการนิยายแปล แม็กซ์ก็เชื่อนะคะ แม้ว่าใจจริงเราจะรู้สึกพอสมควรกับการที่สนพ.ในเมืองไทยเอางานที่มี ลิขสิทธิ์ของต่างชาติมาแปลขายหากินกัน แต่ไม่จ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของผลงานเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เราก็เชื่อว่า ถ้าซื้อลิขสิทธิ์ วงการโรแมนซ์ในเมืองไทยคงจะถึงกาลวินาศเป็นแน่

แม็กซ์เชื่อมาตลอด

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เราเริ่มตื่นจากความฝัน (หรือจะพูดว่าความกลัวดีคะ) เราเริ่มตั้งข้อสงสัยคำพูดอันนี้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน หรือเป็นแค่เรื่องเล่าหลอกเด็ก เป็นเพียงตำนานเรื่องสยองขวัญที่หามูลความจริงไม่ได้

ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นค้นหาข้อมูล ในทางนึงแม็กซ์พูดคุยกับนักเขียนต้นฉบับจากต่างประเทศ อีกด้านแม็กซ์พูดคุยกับตัวแทนผู้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ในประเทศไทย (บทสนทนาระหว่างแม็กซ์กับทางตัวแทนผู้ดูแลลิขสิทธิ์ในเมืองไทยจะตามมานะคะ แต่ตอนนี้ยังตีพิมพ์ไม่ได้ เพราะแม็กซ์กำลังรอคำอนุญาตจากคนที่ให้สัมภาษณ์อยู่ค่ะ) แม็กซ์เก็บข้อมูลในเชิงสถิติเกี่ยวกับเรื่องราคาขายของหนังสือที่ซื้อ ลิขสิทธิ์ และไม่ซื้อลิขสิทธิ์

และแม็กซ์ก็เชื่อว่า ตนเองได้พบกับความจริง ที่ไม่ใช่ภาพลวงตาที่หลอกนักอ่านมาตลอด

แม็กซ์ไม่ได้เขียนบลอกนี้เพื่อให้คนเชื่อว่า สิ่งที่แม็กซ์คิดคือสิ่งที่ถูก แต่แม็กซ์อยากให้คุณถามตัวเองนิดนึงก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ในการสนับสนุนการกระทำของคนที่ไม่ซื้อลิขสิทธิ์

ก่อนอื่นขอแม็กซ์พูดถึงความเห็นของตัวเองต่อเรื่องสิทธิทางปัญญาก่อนนะคะ

แม็กซ์ไม่ใช่คนที่เถรตรง หรือจะบอกว่า ซื่อสัตย์กับเรื่องสิทธิทางปัญญาเต็มร้อยหรอกนะคะ เราสนันสนุนในเรื่อง Compulsory license โดยเฉพาะในเรื่องยา เพราะนี่คือความเป็นความตายของมนุษย์ เราไม่เชื่อว่า การที่เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง (นั่นคือจัดการเรื่องสิทธิบัตรยาอย่างถูกต้องจนเป็นที่พอใจของประเทศตะวันตก ) จะคุ้มค่ากับชีวิตมนุษย์ ดังนั้นเราเชื่อในการซื้อยา (ที่ผลิตอย่างถูกต้องตามสิทธิบัตรยา) ของประเทศที่สาม เพื่อมาใช้ในประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่แท้จริง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ สองข้อ

1. มันเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์ และ

2. บริษัทยารวยมากอยู่แล้ว (มันเป็นเหตุผลที่ห่วย เรารู้ค่ะ แต่นี่คือสิ่งที่เราคิด)

แต่เมื่อย้อนกลับมาเรื่องลิขสิทธิ์ในนิยาย แม็กซ์คิดแตกต่างออกไป โดยเฉพาะเมื่อเรารู้แล้วว่า ค่าลิขสิทธิ์ไม่ได้แพงอย่างที่สนพ.ทำให้คนอ่านเข้าใจกันเลย

เท่าที่รู้ราคาค่าลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 500 - 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 18,000 - 36,000 บาทเท่านั้น เมื่อคิดเฉลี่ยต่อเล่ม (กรณีพิมพ์ขายสามพันเล่ม) ก็ตกเล่มละ 6 - 12 บาทเท่านั้นเอง

คำถามคือ คุณคิดว่า เงินจำนวนหกบาท หรือสิบสองบาทนี่มันมากเกินไปที่จะจ่ายให้กับนักเขียนที่คุณชอบงานของเขานั้นเหรอ

ในเมื่อปากคุณก็พูดว่า นักเขียนคนนั้นคนนี้คือคนโปรดในใจ คุณชอบงานของเขา คุณอยากอ่านงานของเขานักหนา เงินแค่หกบาท (หรือสิบสองบาท) คุณจ่ายเพิ่มเพื่อพวกเขาไม่ได้เหรอ

หรือคุณกำลังจะใช้เหตุผลเดียวกับแม็กซ์ที่ว่า นักเขียนรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องการเงินของพวกคุณหรอก

ถ้าคิดอย่างนั้น ก็ขอแม็กซ์ให้ข้อมูลพวกคุณเพิ่มเติมหน่อยแล้วกันค่ะ

นักเขียนไม่ว่าในสังคมไหน ก็ยังเป็นอาชีพที่ไม่ได้ทำรายได้มากมายอะไรหรอกนะคะ แน่นอนว่านักเขียนอเมริกันย่อมทำเงินมากกว่านักเขียนไทย แต่ค่าครองชีพในอเมริกาและเมืองไทยก็ต่างกัน และจริงค่ะว่ามีนักเขียนบางคนที่ทำงานสูงมาก มีฐานะเป็นมหาเศรษฐี แต่ไม่ใช่นักเขียนทุกคนเป็นเช่นนั้น ความจริงก็คือ นักเขียนส่วนใหญ่ก็คือ คนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ เป็นคนที่ต้องทำมาหากิน บางคนเขียนหนังสือเป็นอาชีพเสริม หารายได้พิเศษเพื่อเลี้ยงปากท้อง

แล้วรู้อะไรไหมคะ สำนักพิมพ์ในเมืองไทยไม่ค่อยกล้าละเมิดลิขสิทธิ์นักเีขียนดัง ๆ หรอกนะคะ เพราะนักเขียนพวกนี้มีทีมกฎหมายค่อยดูแลผลประโยชน์ของพวกเขา ดังนั้นจึงน่าจะสังเกตว่า นักเขียนระดับที่ดังมาก ๆ มักจะถูกซื้อลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง เพราะสำนักพิมพ์ไม่กล้าเสี่ยง

แต่พวกเขากล้าเสี่ยงกับนักเขียนใหม่ หรือนักเขียนระดับกลางที่พวกเขารู้ว่า ไม่มีวันเอาผิดการกระทำของพวกเขาได้ เพราะนักเขียนพวกนี้ก็เหมือนแม็กซ์ เหมือนคุณคนอื่น ที่เป็นเพียงตัวเล็ก ๆ และก็อยู่ไกลถึงต่างประเทศ การละเมิดสิทธิของพวกเขาจึงทำได้ง่าย และไม่ต้องคิดมาก รวมทั้งโอกาสจะถูกจับก็น้อยลงไปกันใหญ่

นักเขียนเหล่านี้มีภาระทางครอบครัว บางคนต้องหาเงินมาผ่อนบ้าน จ่ายค่าเทอมลูก เงินเพียงแค่ห้าร้อยหรือพันเหรียญอาจจะช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกนิด นึง มันเป็นเงินที่ไม่เยอะเลย เมื่อหาต่อเล่ม แต่มันก็เป็นเงินที่มีความหมายต่อพวกเขา เงินที่สนพ.ในเมืองไทย และนักอ่านในเมืองไทยโกงไปจากพวกเขา ในขณะที่พวกคุณกำลังมีความสุขจากการอ่านหนังสือของพวกเขา

สำหรับนักอ่าน แม็กซ์อยากให้ข้อมูล เพื่อกลับไปคิดในถ่องแท้ว่า เจ้าความกลัวที่สำนักพิมพ์ฝังเข้าไปในความคิดของพวกเขาเป็นเพียงภาพหลอน เป็นเพียงตำนานหลอกเด็ก ค่าลิขสิทธิ์ไม่ได้มีมูลค่าเป็นแสน (ยกเว้นหนังสือบางเรื่องซึ่งถ้าเอ่ยชื่อก็น่าจะรู้จักกันนะคะ แต่กระนั้นถึงซื้อเป็นแสน สนพ.นั้นก็ได้รายได้กลับมาเกินคุ้มค่ะ) แต่ค่าไม่กี่หมื่น แม็กซ์อยากรู้ว่า มันแพงตรงไหน โดยเฉพาะแม็กซ์ก็คิดให้แล้วว่า มันสามารถผลักลงมาหาคนอ่านได้เลย

มีคนพูดให้แม็กซ์ถึงระบบจัดจำหน่ายในเมืองไทย ที่พูดว่า บริษัทจัดจำหน่ายกินหัวคิวไปมากกว่า 40% แม็กซ์คิดเลขเป็นนะคะ เอาเป็นว่า ทางสนพ.ต้องตั้งราคาเวอร์เกินเพื่อหักเงินให้บริษัทจัดจำหน่าย เอาเป็นว่า แม็กซ์คิดให้เลยนะคะว่า ซื้อลิขสิทธิ์มาเป็นเงิน 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 36,000 บาท ทางสนพ.ไม่ต้องการรับภาระค่าลิขสิทธิ์ไว้กับตัวเองเลย ซึ่งนั่นหมายความว่า สนพ.ต้องตั้งราคาหนังสือเพิ่มขึ้นอีก 60,000 บาท เพื่อที่จะหลังหักค่าจัดจำหน่าย 40% สนพ.จะได้เงินคืนมาเบ็ดเสร็จ 36,000 บาทเป็นค่าลิขสิทธิ์

เงินจำนวนหกหมื่นบาทเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการพิมพ์หนังสือ 3,000 เล่ม ทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นจากเล่มที่ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์เป็นเงินแค่เล่มละ 20 บาท

เงินยี่สิบบาทนี่ คุณว่ามันแพงไปไหมที่จะจ่ายให้กับนักเขียนที่คุณรักได้ (และถ้าค่าลิขสิทธิ์แค่ 500 เหรียญสหรัฐ ราคาส่วนเพิ่มก็แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง)

เหตุผลทุกอย่างที่ถูกยกและอ้างมา ล้วนเป็นข้อแก้ตัวของความโลภ เพราะอะไรเหรอคะ การที่ไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ก็จะอุบกำไรในส่วนนี้มาเป็นของตัวเองทั้งหมด คำถามก็คือ นักอ่านควรจะสนับสนุนใครมากกว่ากัน

สำนักพิมพ์ หรือนักเขียน

แม็กซ์เข้าใจนะคะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักอ่านกับสนพ.ในเมืองไทย อาจจะแน่นแฟ้นมากกว่านักเขียนที่อยู่ไกลโพ้น คุณไม่รู้จักนักเขียน แต่คุณรู้จักสนพ. มันย่อมจะง่ายที่จะ "ช่วย" สำนักพิมพ์ แม็กซ์ก็รู้สึกอย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อตัวแม็กซ์เองก็รู้จักกับหลายสนพ.ที่ผลิตงานโดยไม่ซื้อ ลิขสิทธิ์

บทความนี้มันจึงยากที่จะเขียน แต่ข้อเท็จจริงที่แม็กซ์หาได้ มันก็ยากเช่นกันที่จะเมินเฉย แม็กซ์ไม่ได้ตั้งตัวเป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง แม็กซ์ไม่ได้เป็นตัวแทนของนักเขียน หรือมีผลประโยชน์ แต่แม็กซ์คิดว่า มันไม่ใช่เรื่องยาก หรือลำบากเลยในการทำให้ถูกต้อง

แม็กซ์คิดว่า เราทุกคนก็อยากจะทำให้ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้ยากเย็น หรือเสียเงินเยอะแยะอะไรเลย

อย่างที่บอกนะคะ แม็กซ์ก็แ่ค่คนคนเดียว ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลที่แม็กซ์หามา เป็นความคิดของแม็กซ์ซึ่งไม่สำคัญเลยว่า คุณจะยอมรับหรือไม่ แต่แม็กซ์อยากรู้ค่ะว่า ถ้าไม่เห็นด้วย และคิดว่า ไม่ซื้อลิขสิทธิ์เป็นเรื่องดีกว่า แม็กซ์อยากได้เหตุผลค่ะ เพราะเราอยากรู้ว่า มันเป็นเหตุผลที่แท้จริง หรือเป็นเพียงความกลัวที่บังความถูกต้อง

Edited to Add: แม็กซ์นึกประเด็นเพิ่มขึ้นมาได้อีกเรื่องนึงค่ะ มีคนพูดว่า ถ้าสนพ.ต้องซื้อลิขสิทธิ์ อีกหน่อยก็จะผลิตงานออกมาน้อยลงเพราะต้องคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ ลิขสิทธิ์เรื่องไหน ทำให้นักอ่านไม่มีหนังสืออ่าน

แม็กซ์คิดอย่างนี้นะคะ ตราบใดที่เขาผลิตหนังสือออกมา แล้วมีนักอ่านตามอ่านอยู่ ประเด็นก็มีเพียงเรื่องเดียวคือ ราคา ถ้าราคาหนังสือแพงขึ้นมาอีกยี่สิบบาท ถ้านักอ่านยอมรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ได้ (หรือสนพ.หั่นกำไรของตัวเองลงสักหน่อยรับภาระกันคนละครึ่งกับคนอ่าน) นักอ่านก็ยังซื้อหนังสือเหมือนเดิม แล้วมีเหตุผลอะไรที่สนพ.จะไม่ผลิตของมาขายล่ะ

นี่มันธุรกิจนะคะ ถ้าของเขายังขายได้ ทำไมเขาจะไม่ขาย

ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่า เขาสังเกตจากในตลาดหนังสือ พบว่า สนพ.ที่ซื้อลิขสิทธิ์ผลิตหนังสือออกมาขายน้อยมาก บางแห่งออกปีละแค่ห้าถึงหกเล่มเท่านั้นเอง แม็กซ์คงตอบว่า เขาจะผลิตออกมาเยอะได้ยังไง ในเมือตลาดส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เขาไม่อาจสู้การแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมเหล่านี้ได้หรอกค่ะ เพราะสนพ.ที่ซื้อลิขสิทธิ์เขามีต้นทุนส่วนเพิ่ม ในขณะที่พวกไม่ได้ซื้อเอาเปรียบเขา

ซึ่งถ้าทั้งตลาดกลายเป็นตลาดที่ซื้อลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง แม็กซ์เชื่อว่า ปริมาณหนังสือโรแมนซ์ในตลาดจะไม่ลดน้อยลงไปหรอกค่ะ เพราะสนพ.ที่ซื้อลิขสิทธิ์เขาก็จะกล้าลงทุนมากขึ้น เพราะเขาแน่ใจแล้วว่า มันเป็นการแข่งขันอย่างยุติธรรม

The Vampire's Bride // Gena Showalter

จีน่า โชว์วอลเตอร์เป็นนักเขียนที่แม็กซ์ติดตามอ่านมานานแล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่เล่มแรกที่เธอเขียนจนถึงเล่มล่าสุด หลายครั้งเรารู้สึกว่า เธอเขียนเกือบจะดีแล้วล่ะ แต่ก็มักมีบางอย่างในเนื้อเรื่องทำให้เราละความสนใจในเนื้อเรื่องไปก่อนที่ จะจบทุกครั้ง แต่ก็ต้องยกให้นะคะว่า จีน่าเป็นคนที่เขียนเปิดเรื่องได้ดีที่สุดคนนึง

จนกระทั่งเมื่อปีก่อนที่แม็กซ์เริ่มต้นอ่านชุด The Lords of the underworld (โดยเฉพาะเรื่อง The Darkest Kiss และ The Darkness Pleasure) ที่เรารู้สึกว่า เธอมาถึงจุดที่เธอควรจะเป็นเสียที ถึงความสามารถที่เธอมี

ดังนั้นในปีนี้ที่เธอออกหนังสือเล่มล่าสุด แุถมยังเป็นเรื่องราวของตัวละครที่แม็กซ์อยากอ่านมากที่สุดคนนึงในหน้านิยาย มันจึงเป็นสิ่งที่เราพลาดไม่ได้

The Vampire's Bride ของจีน่า โชว์วอลเตอร์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่ในชุดแอตแลนติส ซึ่งไม่ใช่ดินแดนในตำนานอย่างที่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจ เพราะแอตแลนติสแม้จะเป็นดินแดนที่จมลงไปสู้ใต้ทะเล แต่มันไม่ใช่ที่อยู่ของเหล่ามนุษย์ แอตแลนติสเป็นที่ที่เหล่าพระเจ้า (ตามตำนานกรีกโรมันโบราณ ไม่ใช่พระเจ้าตามศาสนา) นำความผิดพลาดในอดีตของพวกเขามาซุกซ่อนไว้ นั่นเพราะว่าก่อนที่พวกเขาจะสร้างมนุษย์สำเร็จ พวกเขาทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเดม่อน, แวมไพร์, มังกร, และสิ่งมีชีวิตตามตำนานทั้งหลายมนุษย์เชื่อว่าไม่มีจริง

พวกนี้มีจริง และอาศัยอยู่ในแอตแลนติสซึ่งจมอยู่ใต้ทะเล พระเจ้าผู้สร้างพวกเขาทอดทิ้งพวกเขาไป ปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง

เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของตัวละครที่แม็กซ์คิดว่าน่าสนใจมากที่สุดในชุด สองเล่มแรกในชุด (Heart of the dragon และ Jewel of Atlantis) จีน่าพูดถึงตัวละคร "ฝ่ายดี" นั่นก็คือมังกร พวกเขาต้องรับภาระในการเฝ้าประตูที่เชื่อมระหว่างแอตแลนติสและโลกมนุษย์ ในทั้งสองเล่มตัวร้ายก็คือ ฝ่ายนิมและแวมไพร์ แต่จะเป็นแวมไพร์มากกว่าที่โชว์ความร้ายกาจ ดังนั้นเมื่อเล่มสาม (The Nymph King) จับเอาราชาแห่งนิมมาเป็นพระเอก มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรนัก แต่เมื่อมาถึงเล่มนี้ เป็นคราวของเลย์เอล ราชาแห่งแวมไพร์

คนที่อ่านสามเล่มแรกก็จะรู้ว่าเลย์เอลไม่ใช่คนร้ายที่ถูกเข้าใจผิด เขาร้าย และเป็นศัตรูของมังกรอย่างแท้จริง แต่ก็มีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงดูดให้แม็กซ์คิดว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจ มาก ความจริงก็คือ เขาน่าสนใจที่สุด

เคยไหมล่ะคะที่คุณอ่านนิยายเล่มนึง แต่มองหาตัวร้ายให้ออกมามีบทเสียที เขาน่าสนใจว่าดาเรียส พระเอกที่เป็นมังกรในเล่มแรก เขาน่าสนใจว่าวาเลอเรียนพระเอกเล่มสาม และแน่นอนว่าเขาน่าสนใจกว่าเกรย์ มนุษย์ที่บุกลงไปในแอตแลนติสเพื่อค้นหาสมบัติอันล้ำค่าที่สุดแห่งแอตแลนติส

เพราะอะไรเหรอคะ

นั่นเพราะเลย์เอลมีมิติ เขาไม่ใช่มังกรที่วันทั้งวันพูดแต่เรื่องเกียรติยศ (และทำตัวห่วยแตก) เลย์เอลเจ้าเล่ห์ และร้ายกาจ ชนิดที่ได้ใจแม็กซ์เต็ม ๆ (และขอใบ้ว่า คนที่ชอบพระเอกแนวแอน สจ๊วต น่าจะรักเขามากอย่างที่แม็กซ์รัก)

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลย์เอลเป็น ไม่ได้ทำให้การกระทำของเลย์เอลดูเป็นสิ่งที่ดีขึ้นมา แต่มันให้เหตุผลว่า อะไรทำให้เลย์เอลกลายเป็นคนเช่นนี้

เลย์เอลเริ่มต้นด้วยการเป็นพระเอกในนิยายโรแมนซ์ทั่วไป เขาเป็นคนที่มีเกียรติและรักครอบครัว ซูซานซึ่งเป็นคู่ชีวิตของเขากำัลังตั้งท้องลูกสาวคนแรก ตอนที่ทุกอย่างในชีวิตของเลย์เอลถูกแย่งชิงไปด้วยการกระทำที่โหดร้ายที่สุด เพราะเลย์เอลเป็นกษัตริย์แห่งแวมไพร์ เหล่ามังกรโทษเขาเป็นต้นเหตุที่ของพฤติกรรมอันเลวร้ายของแวมไพร์นอกรีต พวกนั้นบอกว่าเป็นความผิดของเลย์เอลที่ไม่ควบคุมแวมไพร์ให้อยู่ในแถว และลงโทษด้วยการข่มขืนและฆ่าซูซาน ทำลายศพของเธอต่อหน้าเลย์เอล และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เขามีชีวิตอยู่เพื่อการทำลายล้างมังกร ทุกการกระทำตลอดช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา ก็เพื่อทำล้ายมังกรให้หมดไปจากแอตแลนติส แม้ว่าพวกมังกรต้นเหตุที่ฆ่าซูซานจะถูกเขาลงโทษอย่างสาสมไปหมดแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ไม่อาจเลือนหายไปได้ เลย์เอลฆ่ามังกรต่อไป แม้ว่าพวกนั้นจะไม่ใช่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม ทำไมเขาต้องหยุดด้วยล่ะ ในเมื่อเขาเองก็ถูกลงโทษในการกระทำของคนอื่นเช่นกัน

"Hadn't he been blamed for the actions of others? It was only fair to use that same logic against the dragons."

ในศึกครั้งนึงที่เขาโจมตีเหล่ามังกรที่กำลังต่อสู้กับสาวอเมซอน (เพราะมังกรไปจับตัวทายาทแห่งบัลลังค์อเมซอนเอาไว้) เลย์เอลก็ได้พบกับผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกบางอย่าง เธอชื่อเดไลล่าห์ และเธอคือทุกอย่างที่เป็นด้านตรงข้ามของซูซาน

เดไลล่าห์เป็นนักรบแห่งเผ่าอเมซอน กลุ่มนักรบสตรีตามตำนาน เธอเข้มแข็ง เก่งกาจ ก็ไม่ต้องการผู้ชายคนไหน แต่มีอะไรบางอย่างในตัวแวมไพร์ที่โอหังคนนี้ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มต้นอะไรกัน ทั้งหมด (รวมทั้งมังกรที่ต่อสู้กันอยู่) ก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยพลังอำนาจบางอย่าง ไปยังเกาะแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมเกมการแข่งขันของเหล่าเทพเจ้า

หลังจากที่ทอดทิ้งแอตแลนติสมานาน เหล่าเทพเจ้าจดจำผู้คนที่เขาลืมไปได้ แต่ปัญหาคือ ต่างคนก็อยากจะเป็นผู้ครอบครองแอตแลนติสเพียงหนึ่งเดียว และเนื่องจากสิ่งมีชีวิตในแอตแลนติสแต่ละกลุ่มมีลักษณะเด่นจากเทพเจ้าแต่ละ องค์ พวกเขาจึงท้าพนันกัน ถ้าชนชาติที่พวกเขาให้การสนับสนุนเป็นผู้ชนะในเกมการแข่งขัน เทพเจ้าองค์นั้นก็จะมีสิทธิกลับไปที่แอตแลนติสได้

นักรบผู้เก่งสุดของแต่ละชนชาติถูกเลือกมาอย่างละสองคน ทั้งเลย์เอล และเดไลล่าห์เป็นตัวแทนของชนชาติของเขาพวกเขา ในเกมที่พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะเล่น แต่ก็ไม่มีทางเลือก โดยเฉพาะถ้าพวกเขาอยากมีชีวิตรอดกลับไปแอตแลนติส

ผู้เล่นทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองทีม แต่เลย์เอลและเดไลล่าห์อยู่กันคนละทีม ซึ่งนั่นทำให้เรื่องยุ่งขึ้นไปอีก ทีมที่แพ้การแข่งขันในแต่ละครั้งจะต้องเลือกผู้เล่นคนนึงออกมาให้ถูกฆ่า นึกถึงรายการทีวีเซอร์ไวเวอร์น่ะค่ะ รูปแบบเหมือนกันเลย เพียงแต่คนที่ถูกคัดออกไม่ได้กลับบ้าน แต่จะเผชิญหน้ากับความตายเท่านั้นเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างเลย์เอลและเดไลล่าห์น่าสับสน วินาทีนึงเลย์เอลไม่อาจเก็บความสนใจที่ตนเองมีต่อเธอได้ อีกวินาทีนึงเขาพยายามผลักไสเธอออกไป (เพราะรู้สึกผิดที่ปันใจให้หญิงอื่นนอกจากซูซาน) แต่เขาก็ไม่อาจขับไล่เธอได้นาน ทุกครั้งเขาก็จะกลับมาหาเธอ

แม็กซ์ชอบบทสนทนาในฉากนี้มากนะคะ เพราะคิดว่ามันบรรยายอาการของเลย์เอลได้ดีที่สุด

"You confuse me" she said softly

"I know. I confuse myself"

และที่สำคัญแม็กซ์เข้าใจความรู้สึกของเลย์เอลนะคะ เขาจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้คนรักตายโดยไม่อาจช่วยเธอได้ เขามีชีวิตอยู่เพื่อการแก้แค้น แต่เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง เลย์เอลได้พบกับหญิงสาวอีกคน คนที่ทำให้เขากลับมามีความรู้สึก เพียงแต่เขารู้สึกว่า เขาไม่สมควรมีความสุข ไม่ควรลืมเลือนคนรักคนแรก แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้ เขาต้องการเดไลล่าห์ และไม่อาจอยู่ห่างจากเธอได้

แม้ว่าการที่อยู่ต่างทีม จะหมายความว่า หากเขาต้องการให้เดไลล่าห์มีชีวิตอยู่ต่อ และไม่เสี่ยงกับการถูกคัดออก เขาจะทำให้เพื่อนร่วมทีมเดียวกันแพ้การแข่งขัน

และเดไลล่าห์ เธอเป็นนางเอกที่เหมาะกับเลย์เอล หรืออย่างน้อยเลย์เอลที่เขากลายมาเป็นหลังจากสูญเสียซูซาน เธอชื่นชมความแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมของเลย์เอล และคิดว่ามันเป็นลักษณะที่ดี ในฉากแรกที่เธอได้พบกับเลย์เอลระหว่างการรบ เมื่อเลย์เอลทำให้เธอล้มลงไปนอนกับพื้นได้เป็นครั้งแรก เธอไม่ได้โกรธที่เขาทำร้ายผู้หญิง แต่มันความประทับใจ เขาเอาชนะเธอที่เป็นนักรบอเมซอนได้ นั่นทำให้เขาเป็นผู้ชายที่คู่ควร

"That bastard! Delilah thought. That bloodsucking fiend. That black-hearted warrior. That ... man! He had no concscience, no sense of fairness. And she.. liked it. A sigh slipped from her, and she nearly melted to the ground in a boneless heap of feminine delight."

และความตรงไปตรงมาของเดไลล่าห์ก็เป็นส่วนต่อที่ดีกับความโลเลของเลย์เอล (ว่าเขาควรจะมีความสัมพันธ์กับเดไลล่าห์หรือไม่) เพราะทำให้เธอมองเห็นเจตนาที่แท้จริงของเลย์เอล ไม่ใช่แค่การกระทำ ตลอดทั้งเรื่อง ปากเลย์เอลบอกว่าเขาไม่ต้องการเธอ แต่เดไลล่าห์ก็มองออกว่า เขาปากไม่ตรงกับใจ

ปกติแม็กซ์จะไม่ชอบเรื่องที่พระเอกมีรักกับผู้หญิงอื่นมาก่อนเจอกับนาง เอกนะคะ เรามักรู้สึกว่า ทำให้นางเอกเป็นเบอร์สอง หรือเป็นตัวแทน แต่เล่มนี้เราพอจะเข้าใจว่าทำไมคนแต่งต้องทำ มันจำเป็นเพื่อที่จะเสนอด้านที่ถูกทรมานของเลย์เอลให้คนอ่านเห็น และอะไรจะทรมานพระเอกในโรแมนซ์ได้เท่ากับการเสียคนรัก

แต่เราคิดว่า คนแต่งแยกแยะได้ดีนะคะว่า เดไลล่าห์ไม่ใช่ัตัวแทนของซูซาน อันที่จริงเลย์เอลในอดีต คนที่รักซูซานไม่ใช่คนที่จะรักเดไลล่าห์ เธออาจจะแข็งกร้าวเกินไป เขาต้องการคนที่อ่อนโยน และไร้เดียงสาต่อโลกอย่างซูซาน และเช่นเดียวกัน คนที่เลย์เอลกลายมาเป็น คนที่ถูกไฟแห่งความแค้นแผดเผา คนที่ทำหลายอย่างที่ต้องเสียใจภายหลัง เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมที่ซูซานตกหลุมรัก และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายของเธออีกต่อไป หากแต่เป็นเดไลล่าห์ต่างหากที่เหมาะสมกับเขา และแม้จะได้ซูซานกลับมา เลย์เอลก็พบว่าเขาเปลี่ยนแปลงไป (เพราะความสูญเสียซูซาน) จนซูซานไม่ใช่คนที่เขาต้องการอีก หากแต่เป็นเดไลล่าห์คนเดียวสำหรับเขา

อ่านรีวิวแล้วคนพอรู้นะคะว่าแม็กซ์รักตัวละครมากแค่ไหน แต่ปัญหาใหญ่สุดของเรากลับเป็นที่พล็อตค่ะ

เคยบ้างไหม ที่คุณชอบตัวละครมาก ๆ แต่พล็อตเรื่องห่วยแตก และเล่มนี้ก็เป็นยังงั้น แม็กซ์ไม่ชอบพล็อตเรื่องเลย ไม่ชอบจริง ๆ มันดูปัญญาอ่อนและไร้สาระ ไม่มีทิศทาง แม็กซ์อยากเห็นเลย์เอลและเดไลล่าห์ในพล็อตเรื่องในโลกแห่งแอตแลนติสมากกว่า ไมใช่การเป็นตัวแทนเทพเจ้าแข่งเกมบ้า ๆ นี่ มันเป็นการเอาตัวละครออกจากโลกแห่งความจริง (ของพวกเขา ซึ่งก็คือแอตแลนติส) มาอยู่ในสถานการณ์ปลอม ๆ ที่ดูไม่สมจริงเนี่ย

เสียดายตัวละครและความเป็นไปได้ที่ว่าเรื่องนี้จะสนุกยิ่งไปกว่านี้

เพราะแม้จะเป็นพล็อตห่วย ๆ เรื่องนี้มันก็ยังสนุกค่ะ เพียงแต่มันไ่ม่ถึงจุดที่มันควรจะเป็นได้

คะแนนที่ 83

17 Question for Reader

แม็กซ์โดนเพื่อนแท็คให้ตอบคำถามสิบเจ็ดข้อเกี่ยวกับหนังสือนะคะ

1) Which book has been on your shelves the longest? (หนังสืออะไรที่อยู่บนชั้นหนังสือของคุณยาวนานที่สุด)

Deception by Amanda Quck เป็นหนังสือโรแมนซ์ภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ซื้อมาอ่าน (แต่ไม่ใช่โรแมนซ์เล่มแรกที่อ่านหรอกนะคะ ก่อนหน้านั้นยืมจากห้องสมุดอ่านค่ะ)


2) What is your current read, your last read and the book you’ll read next? (กำลังอ่านอะไรในตอนนี้? เพิ่งอ่านจบไป? และจะอ่านอะไรต่อไป?)

ตอนนี้อ่าน: First Comes Marriage by Mary Balogh & The Bikini Diaries by Lacey Alexander (อ่านพร้อมกันสองเล่ม)

เพิ่งอ่านจบ: The Vampire's Bride by Gena Showalter

คิดว่าจะอ่านต่อ: ไม่รู้ค่ะ เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะไม่เคยคิดไกลเกินเล่มที่กำลังอ่านอยู่เลย


3) What book did everyone like and you hated? (หนังสือเรื่องอะไรทีทุกคนชอบแต่คุณเกลียด)

Acheron by Sherrilyn Kenyon

4) Which book do you keep telling yourself you’ll read? (หนังสือเรื่องอะไรที่คุณพยายามบอกให้ตัวเองอ่านเสียที)

Scandal in Spring by Lisa Kleypas

5) Which book coming out in 2009 is top priority to read? (หนังสืออะไรที่ออกในปี 2009 ที่คุณให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก)

Frostbitten by Kelley Armstrong (ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่อง As Shadow Fade แต่ตอนนี้ได้อ่านเล่มนี้ไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเรื่องค่ะ)

6) Last page: read it first or wait 'til the end? (แอบเปิดตอนจบอ่านก่อนรึเปล่า)

เปิดทุกครั้งค่ะ

7) Acknowledgements: waste of ink and paper or interesting ? (คำอุทิศที่คนแต่งเขียนตอนต้นเล่มคิดว่าน่าสนใจ หรือเปลืองกระดาษและน้ำหมึกไปเปล่า ๆ)

เนื่องจากเคยมีคนเขียนคำนำเอ่ยชื่อเรา ก็เลยคิดว่าเป็นความคิดที่ดีค่ะ

8) Which book character would you switch places with? (มีตัวละครตัวไหนไหมที่คุณอยากมีชีวิตแบบเขา)

พอใจชีวิตที่ตัวเองเป็นดีแล้วล่ะค่ะ ไม่อยากเป็นนางเอกในโรแมนซ์ เพราะแม้จะชอบอ่าน แต่คิดว่า คงจะทนพระเอกโรแมนซ์ในชีวิตจริงไม่ได้แน่

9) Which Authors do you want to read that you haven't yet? (นักเขียนคนไหนที่คุณอยากอ่าน แต่ดันไม่ได้อ่านสักที)

Megan Hart

10) Which books are still on your shelf from when you were in school. (หนังสือเรื่องอะไรที่ค้างอยู่บนชั้นตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ)

มีเยอะค่ะ เพราะว่าไม่เคยทิ้งหนังสือที่ซื้อเลยสักเล่ม

11) Which book has been with you to the most places? (หนังสือเรื่องอะไรที่เดินทางไปกับคุณในหลายสถานที่มาก)

Desperately seeking duke by Celeste Bradley เพราะเอาติดตัวไปอเมริกาด้วยเมื่อปีก่อน

12) Any “required reading” you hated in high school that wasn’t so bad ten years later? (หนังสืออะไรที่โดนบังคับให้อ่านสมัยเรียนหนังสือ ที่ตอนนี้กลับมาอ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายเท่าไหร)

ไม่มีค่ะ เพราะชอบอ่านหนังสืออ่านนอกเวลาเกือบทุกเล่มที่ได้อ่าน

13) Stephen King or Anne Rice (เลือกใครระหว่างสตีเฟ่น คิงกะแอน ไรซ์)

Stephen King 100%


4) Used or brand new? (ซื้อหนังสือเก่า หรือหนังสือใหม่)

ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องเิงิน ชอบหนังสือใหม่ค่ะ แต่ก็มีซื้อหนังสือเ่ก่าด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เพิ่งรู้จักนักเขียนทีหลัง แล้วตามไปหาเล่มเก่า ๆ ของเขาน่ะ

15) Have you ever seen a movie you liked better than the book? (มีหนังเรื่องอะไรที่ทำออกมาแล้วดีกว่าหนังสือ)

Forest Gump

16) Who is the person whose book advice you’ll always take? (คำแนะนำของเพื่อนคนไหนที่คุณเชื่อเสมอ เวลาเขาแนะนำหนังสือให้อ่าน)

พี่เอริกา กะวิเวียน

17) Recommend a series/ or book: (มีหนังสือเล่มไหน หรือชุดไหนที่อยากแนะนำให้อ่านรึเปล่า)

Demonica by Larissa Ione

แม็กซ์ไม่ได้แท็คใครต่อนะคะ แต่อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อน ๆ จะตอบกันว่ายังไงบ้าง

The Dream Thief // Shana Abe

อย่างไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันที่อ่านเรื่องนี้จบ เพราะเมื่อวานต้องไปงานเลี้ยงกับเพื่อน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนแรกตั้งใจว่าจะแค่เปิดอ่านสักสองสามบท แล้วเข้านอน (ปกติแม็กซ์จะทำอย่างนี้เสมอ เริ่มต้นอ่านเรื่องตอนกลางคืน แล้วค่อยมาอ่านต่อจนจบในวันรุ่งขึ้น) ผลก็คือ นั่งอ่านรวดเดียวจบเมื่อคืนนี้แหละ ดังนั้นคงไม่ต้องบอกนะคะว่า วันนี้ง่วงนอนแค่ไหน

อย่างที่เคยบอกไปในบลอกก่อน ว่าเล่มนี้แหละคือเป้าหมายที่แท้จริงของแม็กซ์ในอ่านหนังสือชุดดราก้อนของชา น่า เพราะได้ยินหลายคนพูดมาว่า เล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือที่ดีที่สุดของคนแต่งคนนี้ ซึ่งคำพูดนี้นี่เองทำให้แม็กซ์ตัดสินใจซื้อหนังสือชุดนี้มาทั้งชุด (ที่ตอนนี้ออกมาแล้วสามเล่ม) ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบผลงานของเธอในอดีตเลยด้วยซ้ำ

รีวิวของหนังสือเรื่องนี้เีขียนยากค่ะ ซึ่งเราจะอธิบายต่อไป

The Dream Thief ของชาน่า เอบเบ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด Drakon ที่เล่าเรื่องราวของอมีเลีย แลงค์ฟอร์ด ลูกสาวของคิท และรัว แลงค์ฟอร์ดจาก The Smoke Thief ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุด

อมีเลีย หรือเลียเป็นมนุษย์มังกรที่แตกต่างจากคนอื่น ตรงที่เธอสามารถได้ยินเสียงเรียกของเพชรเลอค่าแห่งมนุษย์มังกร (เพชรคนละอันกับที่เป็นประเด็นในเล่มแรก) ที่ยิ่งไปกว่านั้น เธอมีญาณสามารถมองเห็นอนาคต แต่มันไม่ใช่อนาคตที่งดงาม เธอรู้ว่าใครคือชายผู้จะได้ครอบครองหัวใจของเธอ แต่เขาก็ยังเป็นยิ่งกว่านั้น เพราะเขาคือคนที่ทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์มังกร

เขา่คือเซน เด็กชายที่มารดาของเธอเก็บมาดูแล และเป็นมนุษย์คนเดียวที่ได้รับการไว้ชีวิตเมื่อล่วงรู้ความลับของเหล่า มนุษย์มังกร แต่กระนั้นเซนก็ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของมนุษย์มังกร เขาเป็นแค่คนที่มีประโยชน์เอาไว้ใช้สอยยามจำเป็น (ฉากที่รัวโชว์ให้เซนดูหลุมศพที่เผ่ามนุษย์มังกรฆ่าคนที่ล่วงรู้ความลับ เพื่อเป็นการย้ำให้เขาหุบปาก เป็นฉากที่ทำให้เราเกลียดรัวได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก)

ซึ่งเวลานั้นก็มาถึง เมื่อเซนถูกรัวตามตัวให้มาพบ พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอให้เซนออกตามหาเพชรที่สูญหายไปนาน ในฐานะโจรที่เลื่องชื่อ และเงินล่อใจที่มากพอ เซนไม่ลังเลที่จะตกลง แม้เขาจะรู้สึกว่า มันจะต้องมีอะไรมากไปแค่คำพูดของรัว

เซนออกเดินทางไปทางตะวันออก ตามทิศทางชนิดกว้างมากที่รัวมอบให้ ในขณะเดียวกันเลียที่ทุกคนเข้าใจว่ากำลังเรียนหนังสืออยู่ในสก๊อตแลนด์ก็ออก เดินทางเช่นกัน นั่นเพราะเธอรู้ว่า นี่คือโชคชะตาที่กำหนดไว้ให้เธอ เลียจะเป็นคนที่ค้นพบเพชรเม็ดนั้น และเลียก็จะคือคนที่ทรยศเผ่ามนุษย์มังกรของเธอเช่นกัน

ทั้งสองได้พบกัน และทำสัญญาเป็นมิตรกันในการออกตามหาเพชร ซึ่งมันก็ไม่ได้ถึงกับยากเย็นอะไรหรอกนะคะ เพราะเลียได้ยินเสียงเรียกจากเพชร และรู้ว่าควรจะไปมุ่งตรงไปยังทิศทางไหน แต่สิ่งที่ยากยิ่งก็คือ ความพยายามเอาชนะพรหมลิขิต และการพิสูจน์ว่า อนาคตไม่ใช่สิ่งที่จารึกอยู่บนก้อนหิน และเปลี่ยนแปลงไม่ได้

คนที่อ่านรีวิวของแม็กซ์ของเรื่อง The Smoke Thief คงจะรู้ถึงความไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่เรามีต่อการที่ตัวเอกของเล่มนั้น (ซึ่งเป็นพ่อแม่ของนางเอกในเล่มนี้) ปฏิบัติต่อเซน ซึ่งเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปีเท่านั้นเอง เราไม่รู้สึกว่าทั้งสองรัก และห่วงใยเซนอย่างแท้จริง แต่พอแม็กซ์ได้อ่านเล่มนี้ ก็ทำให้เราเข้าใจแล้วนะคะว่า ทำไมพฤติกรรมของคิทและรัวที่มีต่อเซนจึงเป็นเช่นนั้น

เพราะมันทำให้เซนกลายเป็นคนอย่างที่เขาเป็น และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องนี้

จริงอยู่มันอาจจะไม่ได้ทำให้เรื่อง TST กลายเป็นหนังสือที่ดีขึ้นมาได้ (คุณจะรักหนังสือเล่มนั้นได้ยังไง ถ้าพระเอกและนางเอกทำตัวห่วยแตกกับเด็กที่ต้องการความรักมาก ๆ อย่างเซน) แต่มันทำให้ The Dream Thief มีความชัดเจนในแง่ของแรงผลักดันที่กระตุ้นให้เซนเป็นคนอย่างที่เขาเป็น เพราะในตัวเรื่องของเล่มนี้เอง แม็กซ์คิดว่า คนแต่งปูภูมิหลังของเซนน้อยเกินไป (จนอาจทำให้คนที่ไม่ได้อ่าน TST อาจจะไม่ชื่นชมความเป็นเซนได้อย่างเต็มที่)

เพราะถ้ารัวและคิทปฏิบัติต่อเซนดีสักหน่อย ยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว เซนก็จะไม่ใช่คนที่เขาเป็นในเล่มนี้ และนั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

สำหรับคนที่ถูกกันให้อยู่วงนอก การได้ล่วงรู้ความลับของการมีอยู่ของมนุษย์มังกร แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกปฏิบัติเยี่ยงกับเป็นข้าทาสบริวาร (โดยคนที่เขาคิดว่ารักเขาด้วยซ้ำ) เซนไม่เชื่อมันในความถูกต้องดีงาม เขาเข้าใจการแย่งชิงในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่า เขาเชื่อในอำนาจ และเงินตราว่า มันจะนำทุกสิ่งที่เขาถวิลหา ทุกสิ่งที่ขาดหายไป หรือกระทั่งความรักมาให้เขาได้ ดังนั้นแม็กซ์จึงเข้าใจอย่างยิ่งว่าทำไม เขาถึงคิดว่า (สปอยล์) เพชรเม็ดนั้นจะทำให้เขาได้เลียมาครอบครอง เมื่อรู้ว่ามันมีอำนาจในการควบคุมมนุษย์มังกร

และบอกตามตรงนะคะ แม็กซ์ไม่โทษเซนเลยสักนิด อันที่จริงถ้าเราเป็นเขา เราจะทำมากกว่านั้นอีก และนี่แหละคือความยากในการรีวิวของแม็กซ์

ตัวละครในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซน และเีลีย มีความโดดเด่น (โอเคสำหรับแม็กซ์เซนเด่นมากกว่าเยอะ) และมีบุคลิคเป็นของตัวเอง กระทั่งเลียที่ดูแว่บแรกจะเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา แต่เธอก็พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องหลายครั้งถึงความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง เลียเป็นผู้หญิงที่เราคิดว่าเหมาะสมกับเซน เธอทำให้เราเชื่อว่า (สปอยล์) ทำให้เซนละทิ้งอำนาจที่อยู่ในรูปของเพชร เพราะเขาเห็นสิ่งที่มันทำกับเธอ และไม่ต้องการทำกับเธอในรูปแบบเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอทำให้เซนเชื่อว่า (สปอยล์) เขาไม่จำเป็นต้องมีเพชร ก็จะได้ความรักจากใจจริงมาจากเธอได้

โดยรวมแล้วทั้งเซน และเลียเป็นการจับคู่ที่เหมาะสมค่ะ

ปัญหาของแม็กซ์ก็คือ แม็กซ์เกลียดเหล่ามนุษย์มังกรทั้งหมด กลายวัฒนธรรมของพวกเขา เกลียดทัศนคติ เกลียดมาพอที่อยากจะเชียร์ให้เซนทำลายพวกนี้ให้หมดโลกไปเลย (ยกเว้นเลียไว้คนนึง) ทำไมเหรอคะ

ปกติเวลาแม็กซ์อ่านเรื่องแนวพารานอมอล หรือแนวที่มีการสร้างโลกที่มีความแตกต่างจากโลกที่เรารู้จักกัน โลกที่ถูกสร้างขึ้นอาจจะดูไม่เฟอร์เฟ็ค แต่อย่างน้อยในกลุ่มสังคมที่เป็นของตัวเองมันก็จะต้องมีข้อดีบางอย่างอยู่ บ้างนะคะ แต่ในโลกของมนุษย์มังกร มันไม่มีอะไรเลยที่แม็กซ์คิดว่า มีค่าควรจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปบนโลก

พวกนี้เป็นกลุ่มเหยียดยามทางชนชาติที่ทุเรศที่สุดกลุ่มนึง พวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์มังกรแล้วจะดีเลิศประเสริฐศรีกว่ามนุษย์ธรรมดา ทั้งนี้ดูแล้วก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง สังคมของมนุษย์มังกรก็ห่วยแตกพอกัน สังคมที่แบ่งแยก และกีดกัน กักขังสมาชิคในเผ่า คนที่มีความเห็นแตกต่าง เราอ่านเล่มนี้เรายังรังเกียจตัวเอกจากเล่มแรก ขอด่านิดนึงนะคะ รัวเองก็เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นคนนอก เพราะพ่อของเธอเป็นมนุษย์ ทำให้เธอเป็นที่รังเกียจมาอยู่แล้ว แต่เมื่อเธอมีโอกาสเข้ามาเป็นอัลฟ่าในเผ่า เธอเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์อะไรบ้างไหม เปล่าเลย ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ตัวรัวนั่นแหละที่หน้าไหว้หลังหลอกมากที่สุด

แม็กซ์ไม่รู้สึกว่าตัวเองรังเกียจสังคมหรือโลกที่ควรจะเป็นฝ่ายดีในนิยายมาก เท่ากับเรื่องนี้เลยนะคะ วัฒนธรรมทุกอย่างที่เหล่ามนุษย์มังกรใช้ ยิ่งตอกย้ำความเหยียมหยามทางเผ่าพันธุ์ ถ้ามนุษย์มังกรมันดีมากขนาดนี้ แล้วทำไมถึงได้หนีตายจากการถูกล่าจากมนุษย์เล่า

แม็กซ์แคร์ตัวละครในเรื่องนี้เอามาก ๆ นะคะ ในขณะเดียวกันก็ไม่แคร์กับชะตากรรมของเหล่ามนุษย์มังกรเลย (จะพูดว่าแคร์ให้ถูกฆ่าตายให้หมดก็ได้) มันจึงเป็นรีวิวทีเ่ขียนยาก เพราะในฐานะของหนังสือชุดที่เล่าเรื่องราวของเหล่ามนุษย์มังกร เล่มนี้สอบตกอย่างรุนแรง แม็กซ์ไม่อยากอ่านเรื่องราวของมนุษย์มังกร ไม่อยากรู้ว่าพวกนี้จะเอาตัวรอดในสังคมมนุษย์ได้ยังไง ไม่สนใจเลย

แต่แม็กซ์ก็รัก และแคร์เซนกับเลียมาก ในฐานะตัวละครพวกเขาสอบผ่านอย่างสบาย เรื่องราวของพวกเขาน่าเชื่อ และสนุก

สรุปว่าแนะนำให้อ่านกันนะคะ และต้องขอโทษด้วยที่จะต้องแนะนำให้อ่านเรื่อง The Smoke Thief อีกเล่ม เพราะมันจะทำให้เข้าใจตัวตนของเซนได้อีกขึ้นมาก ๆ

อย่างที่บอกนะคะ รีวิวก็เขียนยาก คะแนนก็ให้ยาก ถ้าให้เฉพาะเรื่องราวของเซน และเลีย กับการผจญภัยของพวกเขา คะแนนอยู่ที่ 85 แต่ถ้าเอาบรรดาเหล่ามนุษย์มังกรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คะแนนเหลือแค่ 77 ค่ะ

ป.ล. ไปแอบอ่านตอนท้าย ๆ Queen of Dragon ซึ่งเป็นเล่มสามในชุดมาแล้วแหละ (สปอยล์) ไม่ ชอบใจเลยที่เอาเซนเข้ามายุ่งกับพวกมนุษย์มังกรห่วย ๆ พวกนี้เอง เขาน่าจะมีชีวิตที่แฮ็ปปี้โกลักกี้ไปแล้ว ไม่ต้องมายุ่งกับไอ้พวกที่ไม่เห็นคุณค่าของเขาอีกต่อไป

The Smoke Thief // Shana Abe

หนังสือเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดองข้ามปี (เขียนตั้งแต่ปี 2005) ทั้งที่แม็กซ์ก็ตั้งใจจะอ่านมาตั้งแต่ออกวางขายเป็นปกอ่อนแล้วนะคะ แต่ไหงถึงได้เก็บมานานถึงขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้ โดยเฉพาะได้ยินมาจากหลายปากมากว่า เล่มสองในชุด (แต่ไม่ใช่เล่มนี้นะ) เป็นเรื่องที่สนุกมาก ๆ เลยล่ะ

ครั้งนี้ได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาอ่านก็เป็นเพราะคุณมิ้งจากบลอกนี้นะคะ ที่อ่านเรื่อง The Dream Thief จนแม็กซ์รู้สึกว่า ต้องเริ่มอ่านชุดนี้ได้แล้วล่ะ ขอบคุณมากนะคะ

ประเด็นก็คือ การที่คุณเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนึง ทั้งที่ใจอยากจะอ่านอีกเล่ม (ซึ่งแม็กซ์เป็นในกรณีนี้ เนื่องจากอยากอ่าน The Dream Thief มากกว่า แต่รู้สึกว่าจำเป็นต้องอ่าน The Smoke Thief ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดก่อน) มันจึงอาจเป็นการไม่ยุติธรรมนักในการอ่านหนังสือเล่มนั้น เพราะใจของคุณไม่ได้อยู่กับเล่มที่กำลังอ่านอย่างเต็มร้อย

ดังนั้นเตือนไว้ก่อนนะคะว่า รีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่เป็นมาจากใจที่เป็นกลางอย่างแท้จริงเท่าไหรนัก เพราะใจมันท่าจะลอยตามตัวละครรองในเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ

The Smoke Thief ของชาน่า เอบเบ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด Drakon ที่แม้จะสะกดไม่เหมือนอย่างที่คุ้นเคยกัน แต่ก็เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์มังกรที่ปะปนอยู่ในโลกของเรามานาน ข่าวว่าหนังสือทั้งชุดจะมีทั้งหมดห้าเล่ม ซึ่งตอนนี้ออกมาแล้วสามเล่ม (เล่มสี่กำลังจะออก) แม็กซ์คิดว่า ชาน่าเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือช้ามากนะคะ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเล่มแรกในชุดออกขายตั้งแต่ปี 2005 นี่ก็สี่ปีแล้ว ยังออกไม่ครบเลย (แต่ถ้าพิจารณาจากมาตรฐานของนักเขียนในแนวเอพิค แฟนตาซีแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าช้าหรอกนะคะ เพราะบางชุดนั้น คนแต่งตายไปแล้วยังเขียนไม่จบก็มี)

ตั้งแต่เริ่มต้นฉากเปิดเรื่องก็เป็นปัญหาสำหรับแม็กซ์แล้ว เราค่อนข้างเข้าใจนะคะว่า เป็นการปูพื้นว่าเหล่ามนุษย์มังกรมาจากไหน แต่แม็กซ์ไม่รู้สึกเลยว่า มันเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องยังไง เพราะโฟกัสของมันอยู่ที่เหล่ามนุษย์มังกรที่คาร์พาเธียน (ใช่แล้วค่ะ ในชุดนี้หุบเขาคาร์พาเธียนเป็นที่อยู่ของมนุษย์มังกร ไม่ใช่แวมไพร์เหมือนอย่างที่คริสตีน ฟีแฮนเคยบอกเอาไว้) และถึงจะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมนุษย์มังกรจากสองเผ่านี้จะมารวมตัวกันได้ในเล่มต่อ ๆ มาในชุด แม็กซ์ก็ตั้งคำถามว่า มันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องเปิดเรื่องด้วยกลุ่มมังกรที่ไม่มีบทในเล่มนี้ด้วย ซ้ำ

เรื่องย้อนกลับมาโฟกัสที่ตัวเอก คริสตอฟ แลงค์ฟอร์ดเป็นทายาทของหัวหน้าเผ่ามนุษย์มังกร ในฐานะของอัลฟ่า (หรือผู้นำเผ่า) เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังนั้นแม้จะมีการคัดค้านจากสภาที่ปรึกษาเผ่า คิทก็ยังดึงดันที่จะนำเอาเพชรประจำเผ่าเป็นเหยื่อล่อจับโจรที่ได้รับฉายาว่า The Smoke Thief

จอมโจรควันออกอารวาดล่าเหยื่อในหมู่สังคมชั้นสูงในลอนดอนเป็นเวลาหลายปี แล้ว และจากหลักฐานที่รวบรวมได้ ดูเหมือนโจรร้ายคนนี้จะเป็นหนึ่งในสมาชิกมนุษย์มังกร (เพราะมนุษย์มังกรจะแปลงร่างเป็นได้ทั้งควัน และมังกร) ที่แอบหลบหนีออกไปจากเผ่า ซึ่งมีกฎห้ามสมาชิกทุกคนไปไหน ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอัลฟ่า และสภาราวกับประชาชนในประเทศเผด็จการ การถูกบังคับให้ทำตามระบอบ ตามกฎที่มาอยู่นาน แม้มันจะเป็นกฎที่มีไว้เพื่อรักษาความลับของเหล่ามนุษย์มังกรไม่ให้ล่วงรู้ ไปถึงหูมนุษย์ เพื่อความปลอดภัยของเผ่าโดยรวม ไม่เป็นที่ต้องการนักในหมู่สมาชิกหลายคน ดังนั้นจึงมีความพยายามหนีออกไป ซึ่งโทษของการหนีก็คือความตายโดยน้ำมือของอัลฟ่า

ข่าวคราวที่จอมโจรควันสร้างขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องความลับเกี่ยวกับ มนุษย์มังกรจะถูกเผยแพร่ออกไป และทางเดียวที่คิทคิดว่าจะล่อโจรรายนี้ออกมาได้ก็คือ นำเพชรประจำเผ่ามาเป็นเหยื่อล่อ และมันก็สำเร็จ คิทได้พบกับมนุษย์มังกรที่กำลังตามล่า เพียงแต่เธอไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่คิด (เพราะมนุษย์มังกรในยุคนี้ที่แปลงร่างได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้น กลุ่มผู้หญิงไม่มีใครแปลงร่างได้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว) และเธอยังเป็นบางคนจากอดีตที่คิทรู้จักอีก

รัว ฮอร์ธอร์นเป็นหนึ่งในมนุษย์มังกรผู้หลบหนีออกจากเผ่าสำเร็จ ด้วยการเสแสร้งการตายของตัวเอง และที่เธอทำเช่นนั้นก็เพราะว่า รัวพบว่าตนเองเป็นหญิงสาวคนแรกในรอบหลายรุ่นของมนุษย์มังกรที่สามารถแปลง ร่างเป็นได้ทั้งควัน และมังกรได้ และนั่นหมายความว่า เธอเป็นอัลฟ่าคนนึง และเธอจะต้องเป็นของคิท แม้ว่ารัวจะแอบรักคิทมาตั้งแต่เด็ก แต่การได้เขามาด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่ทางที่เธอต้องการ รัวจึงเลือกที่จะหนี และใ้ช้ชีวิตของตัวเองในลอนดอน

เหยื่อล่อถูกงับ แต่คนที่ขโมยเพชรไปไม่ใช่รัว หากแต่เป็นมือที่สาม ทว่าฐานะของรัวถูกเปิดเผยออก และเหล่ามนุษย์มังกรรู้แล้วว่า เธอคือคนที่หลบหนีไป แถมยังมีความสามารถในการแปลงร่างได้อีก

รัวจึงพยายามหาทางออกให้ตัวเองจากการที่ต้องกลับไปที่เผ่า และใช้ชีวิตราวกับถูกขัง เธอบอกว่า เธอสามารถส่งมอบตัวคนที่ขโมยเพชรตัวจริงได้ แต่เผ่าจะต้องปล่อยให้เธอมีอิสระ ดังนั้นถึงรัวและคิทจึงเริ่มต้นการค้นหาเพชร และผู้หลบหนีอีกคน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้น

แม็กซ์ไม่รู้ว่ามันเป็นด้านที่ดีของหนังสือเล่มนี้ไหมนะคะ หากเราจะบอกว่า ตัวละครเดียวที่จับใจเราได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาออกมามีบทบาท คือเด็กชายวัยสิบสองปี ที่ไม่ใช่ทั้งพระเอกและนางเอก และตลอดทั้งเรื่องที่ดำเนินกันไป พระเอกและนางเอกไม่อาจแย่งเอาความเด่นมาจากเซน เด็กชายวัยสิบสองคนนั้นได้เลย (และเซนนี่แหละที่จะเป็นพระเอกในเล่มสองที่เขาลือกันหนักหนาว่าสนุกมาก)

เซนเป็นเด็กข้างถนนที่รัวเก็บเอามาดูแล เด็กชายที่ยังมีความดิบจากประสบการณ์ที่เติบโตมา เด็กชายที่รักรัวอย่างสุดหัวใจ และทำหลายอย่าง (ที่อาจจะไม่น่าทำ) เพื่อเธอ เราประทับใจคาแร็คเตอร์ของเขามาก เพราะมันสมจริงในแง่ความเป็นเด็ก และความดิบที่เขามีมันผสมกันออกมาได้ลงตัวมาก กระทั่งการที่เขาแสดงออกว่ารักรัว (ไม่ใช่ในฐานะชู้สาวนะคะ) ก็เป็นการแสดงออกชนิดที่อดีตโจรข้างถนนอย่างเขาเท่านั้นที่คิดออกมาได้

นั่นเป็นความประทับใจในเรื่อง กลับมาส่วนที่ไม่น่าประทับใจแล้วกันค่ะ

เริ่มตั้งแต่ต้น แม็กซ์รู้สึกคิทไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าเผ่า เขาไม่มีความเป็นผู้นำเพียงพอ ไม่ฉลาดพอด้วย เพราะอ่านจนจบเรื่องแม็กซ์ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเอาเพชรประจำเผ่ามา เป็นเหยื่อล่อจนถูกขโมยไป ในเมื่อตลอดทั้งเรื่องก็ชัดเจนดีอยู่แล้วว่า ทั้งรัวและโจรอีกคนก็สามารถถูกล่อด้วยเพชรอันอื่น (ที่อาจจะไม่มีค่าเท่ากับเพชรประจำเผ่า) ได้ แล้วทำไมต้องเอาของสำคัญของเผ่าไปเสี่ยง มันไม่มีเหตุผล และสมควรที่จะถูกสภาที่ปรึกษาด่ามาก และอีกอย่างในฉากที่คิทพบกับรัวครั้งแรก (เมื่อเขารู้ว่าเธอคือโจรคนที่เขาตามหาอยู่) มันไม่จำเป็นต้องใช้เพชรด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่แว่บแรกคิทก็รู้ในทันทีว่ารัวคือใคร แม็กซ์เข้าใจว่า ฉากนี้ต้องการแสดงให้ความอ่านเห็นถึงอาการปิ๊งกันอย่างรุนแรงระหว่างพระเอก และนางเอกนะคะ แต่ในอีกด้านนึงมันเป็นการแสดงว่า ไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องใช้เหยื่อล่อ เพราะรัวยังไม่ทันลงมือก็ถูกพบตัวก่อนเลยด้วยซ้ำ

และแม็กซ์ไม่รู้ว่าอะไรที่เลวร้ายกว่ากันระหว่างการที่คิทขู่จะฆ่าเซน เพราะดันมาล่วงรู้ความลับการเป็นมังกรของเขาและรัว กับการที่รัวแสดงความเฉยเมยต่อความห่วงใยของเซน ให้ตายเถอะนะ เด็กชายคนนี้ดั้งด้นมาเมื่อช่วยเหลือเธอจากคิท (เพราะคิดว่ารัวโดนจับมา ซึ่งมันก็จริงในตอนแรก) แต่สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อเจอเซนก็คือ ไล่ให้เขากลับไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกอย่างที่รัวทำให้เซนเป็นเรื่องจอมปลอม ไม่มีความสมจริงในฐานะของคนที่ดูแลเซนมาเป็นเวลากว่าสองปี เพราะตลอดทั้งเรื่อง แม็กซ์แทบจะไม่เห็นเธอคิดถึงเขาเลย ทุกอย่าง ทุกการกระทำเธอแคร์คิท ซึ่งแม้จะเป็นพระเอกนะคะ แต่เขามาทีหลัง (แถมก็ไม่ได้กระทำต่อเธอดีนักหรอกนะ)

อีกประเด็นนึงที่เราคิดว่าทำให้เนื้อหาของเรื่องนี้อ่อนด้อยลงไปก็คือ การออกตามหาเพชร ซึ่งเราไม่ได้ความรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งคิทและรัวทำเหมือนเด็กเล่นซ่อนหา ไม่มีความพยายาม (อย่างจริงจัง) หรือความรู้สึกมีส่วนร่วม (อย่างจริงใจ) ในการตามหาเพชร และตัวผู้หลบหนีอีกคนเลย

แม็กซ์เข้าใจนะคะว่า เป็นโรแมนซ์ ที่จำเป็นต้องโฟกัสเรื่องราวไปที่ความรักและการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัว เอก แต่การเป็นโรแมนซ์ก็ไม่ใช่เป็นข้ออ้างที่จะทำให้ตัวละครละทิ้งความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้ แม็กซ์ไม่เชื่อว่า ความรักจะสำคัญกว่าภารกิจที่ตัวละครได้รับมอบหมาย เพราะในสายตาของตัวละคร พวกเขาไม่ได้มาอยู่ในหน้าหนังสือเพื่อความรัก (แม้มันจะเป็นวัตถุประสงค์ของโรแมนซ์) แต่พวกเขาเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เพราะความขัดแย้งที่เป็นประเด็นเกิดขึ้นใน เรื่อง ดังนั้นแม็กซ์จึงคาดหวังว่า ตัวละคร (แม้จะในนิยายโรแมนซ์) จะต้องทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้ได้ และแถมด้วยว่า หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้ถูกโฆษณาว่าเป็นโรแมนซ์ชัดเจน (ที่สันหนังสือเขียนว่า Novel) แม็กซ์ยิ่งคาดหวังความพยายามของตัวละครในการค้นหาเพชรให้มากกว่านี้ค่ะ

จับความผิดพลาดในเรื่องได้นิดหน่อย แต่แม็กซ์ไม่แน่ใจว่าเป็นความผิดพลาดที่ตั้งใจเอาไว้ หรือผิดจริง ๆ นั่นก็คืออายุของนางเอกในวันที่เธอแกล้งตาย ในข้อมูลแรกที่นำเสนอในเรื่องเหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์บอกว่าเธอตายในวัน เกิดครบรอบอายุสิบแปดปี แต่ส่วนที่เหลือของเรื่องกลับเป็นวันเกิดปีที่สิบเจ็ด (ที่คิดว่าอาจตั้งใจก็เพราะ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นางเอกไร้ความสำคัญต่อเผ่า ขนาดคนจำอายุของเธอไม่ได้)

ที่ยิ่งไปกว่าความไม่ชอบทั้งหมด แม็กซ์ไม่รู้สึกถึงความรักที่คิทและรัวมีต่อกันเลย เรารู้สึกว่า คิทต้องการเธอเพราะเห็นว่าเธอเป็นหญิงที่แปลงร่างได้ ในขณะที่รัวก็ยังติดภาพในวัยเด็ก ที่เคยคิดว่าคิท ซึ่งเป็นทายาทของหัวหน้าเผ่า เป็นเจ้าชายรูปงามที่จะทำให้เธอได้รับการยอมรับในสังคมมนุษย์มังกรได้ (รัวถูกกันเป็นคนนอกเพราะแม่ของเธอแต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา) เราไม่รู้สึกทั้งสองคนรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเท่าไหรนัก แต่ก็มีบางฉากที่เผยอีกด้านของทั้งคู่นะคะ แต่เราคิดว่าไม่มากพอ และไม่ต่อเนื่องด้วย วินาทีนึงคิทดูเป็นมนุษย์ที่เข้าใจรัวในสิ่งที่เธอต้องการ แต่จากนั้นเขาก็พลิกกลับมาเป็นหัวหน้าเผ่าผู้เย็นชาอีกรอบ ในขณะที่รัว แว่บนึงเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องการเป็นอิสระ แต่สักพักก็กลับมาเป็นหญิงสาวที่หลงรักภาพในอดีตอีกแล้ว

ยังมีอีกหลายประเด็นที่ขัดใจค่ะ แต่ชักจะรู้สึกว่าเขียนมายาวมากแล้ว (จะต้องไปเข้าประชุมแล้ว) ก็เลยสรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเซน เราคงไม่อ่านต่อเล่มสองแน่ ๆ

คะแนนที่ 47

Desire Unchained // Larissa Ione

ท่ามกลางหนังสือชุดแนวพารานอมอลที่ออกมาดาษดื่นในตลาด หนังสือเรื่อง Pleasure Unbound โดด เด่นมากกว่าเล่มไหนที่แม็กซ์อ่านเมื่อปีที่แล้ว และเืมื่อคิดว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นเพียงเล่มแรกของชุด ก็ิยิ่งทำให้แม็กซ์เกิดความอยากอ่านเล่มต่อ ๆ มาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า เล่มสองและสามในชุดจะออกขายติด ๆ กัน ห่างกันเพียงแค่สองเดือน

และหลังจากอ่านเล่มนี้จบลง ก็บอกได้เลยค่ะว่า ลาลิสสาคนแต่งเรื่องชุดนี้กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนแนวพารานอมอลแถวหน้าที่ แม็กซ์อยู่ในอาการที่เรียกว่า ต้องอ่านแล้วล่ะ เพราะไม่น่าเชื่อนะคะ (เมื่อคิดว่าเล่มแรกดีมาก) เล่มที่สองในชุดนี้ ยังสนุกมากกว่าเสียอีก

Desire Unchained ของลาลิสสา ไอโอน

อย่างที่เกริ่นนำไปแล้วนะคะ เล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุดเดมอนนิก้า ซึ่งเป็นเรื่องราวของสามพี่น้องปีศาจสายพันธ์ซิมินัส (ซึ่งเป็นหนึ่งในปีศาจทางเพศ) ที่ร่วมกันบริหารโรงพยาบาลสำหรับปีศาจ และเช่นเดียวกับหนังสือชุดทั่ว ๆ ไป หนังสือชุดนี้ก็เดินตามรอยสูตรตัวละครที่เป็นองค์ประกอบของเรื่องในหนังสือ ชุดไตรภาคนั่นคือ

พี่ชายใหญ่ผู้รับผิดชอบ (อายโดลอนใน Pleasure Unbound)

น้องคนรองผู้ง่าย ๆ สบายกับชีวิต (เชดในเล่มนี้แหละ)

และน้องคนเล็กผู้ทุกข์ทรมาน (ราธใน Passion Unleased ที่ยังไม่ออกขาย)

แม็กซ์ไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับการได้อ่านเรื่องของเชดเท่าไหรนักหรอกนะคะ อย่างน้อยก็จนกระทั่งได้อ่านตัวอย่างหนังสือที่ลาลิสสาโฆษณาไว้ในเว็บไซด์ ของเธอ จากนั้นเราก็อยากอ่านเล่มนี้มาตลอด เพราะมันเป็นการเล่นประเด็นที่เราชอบมาก ๆ ประเด็นนึง

เชดเป็นปีศาจซิมินัสที่กำลังจะอายุครบหนึ่งร้อยปี และนั่นหมายความว่า เขาจะเจริญเต็มวัยเต็มที่ และจะสามารถสืบพันธุ์ได้ และสำหรับซิมินัสนั่นเป็นเหมือนคำสาป เพราะซิมินัสที่อายุครบร้อยปีแล้วยังไม่มีคู่เป็นตัวเป็นตน พวกเขาจะกลายเป็นปีศาจที่กระหายหิวทางเพศอย่างรุนแรง และไม่สนใจความผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป เชดก็เสียพี่ชายไปให้กับความบ้าคลั่งแล้วคนนึง

และยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก เพราะเชดยังโดนคำสาปจากพ่อมดเมื่อแปดสิบปีก่อน เมื่อเขาย่องไปตีท้ายครัวพ่อมด ทำให้โดนสาปให้ไม่รู้จักความรัก และเมื่อใดก็ตามที่เขารักหญิงสักคน เชดก็จะกลายเป็นเงาตลอดไป ไร้ตัวตัว ไร้ร่าง และอยู่อย่างทรมาน ดังนั้นนี่จึงเป็นข้ออ้างที่เชดใช้ชีวิตอย่างที่เขาใช้ จากหญิงคนนึงไปยังอีกคน ทุกอย่างก็เพื่อความสุขทางกาย

จนกระทั่งเขาถูกกลุ่มนักค้าอวัยวะปีศาจในตลาดมืดจับตัวมา และหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ในห้องเดียวกับเขาก็คือคนจากในอดีตอันเสเพลของเขา นั่นเอง เพียงแต่คราวนี้รูน่าไม่ใช่มนุษย์ผู้ไร้เดียงสา และหลงรักชายที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นปีศาจ เพราะการทรยศของเชด (ที่ยุ่งกับผู้หญิงอื่นระหว่างที่กำลังคบกับเธอ) ทำให้รูน่ากลายเป็นเหยื่อของมนุษย์หมาป่า ทำให้เธอสูญเสียความเป็นมนุษย์ของตัวเองไปด้วย ทำให้เธอต้องก้าวเข้าสู่ด้านมืดอันเป็นโลกของปีศาจ

แม็กซ์คิดว่า ไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มแรกในชุดหรอกนะคะ ก็สามารถเข้าใจความเป็นไปในเนื้อเรื่องได้อย่างไม่น่าปวดหัวอะไร เพียงแต่ถ้าอ่านเล่มนี้ก่อนเล่มแรก ก็จะมีสปอยล์ของเล่มแรกโผล่มายุ่บยั่บไปหมดเท่านั้นเอง (หลายอย่างที่เป็นไคลแม็กซ์ในเล่มแรกก็ถูกเฉลยซะงั้นในเล่มนี้) และนั่นรวมทั้งตัวตนของหัวหน้าแก๊งค์ค้าอวัยวะปีศาจซึ่งเป็นตัวร้ายที่ต่อ เนื่องมาจากเล่มแรกด้วย

ดังนั้นบอกก่อนเลยนะคะว่า ถ้าอ่านต่อก็จะเป็นสปอยล์แล้ว แม็กซ์จะไม่กาสีดำนะคะ เพราะคิดว่าคงเล่าอะไรไม่ได้ถ้ามัวแต่กลัวสปอยล์ หยุดอ่านตรงนี้แล้วกันค่ะ ถ้าไม่อยากรู้

เป็นอย่างที่แม็กซ์คาดไว้ หัวหน้าแก๊งค์ค้าอวัยวะก็คือคนจากอดีตของสามพี่น้องนั่นเอง (ซึ่งก็คือโร้ค พี่ชายคนโตที่ถูกเข้าใจกันว่าตายไปแล้ว) ไฟไหม้อันเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนคิดว่าโร้คตาย ได้ทำลายรูปลักษณ์ของเขา (และยิ่งไปกว่านั้นทำลายความสามารถทางเพศของเขาด้วย ทำให้โร้คซึ่งเป็นปีศาจสายพันธุ์ทางเพศ ไม่อาจมีเซ็กส์ได้ มันยิ่งทำให้เขาคลั่งเข้าไปใหญ่) และโร้คคิดว่า คนที่วางแผนกำจัดเขาก็คือ น้องชายทั้งสามของเขานั่นเอง

แม้ว่าเชดจะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่เหตุผลก็ใช้ไม่ได้กับชายที่ต้องการแก้แค้น โร้ควางแผนที่จะตอบแทนเชดอย่างเจ็บปวด และเพราะเขาล่วงรู้ถึงคำสาปที่เชดกำลังเผชิญ เขาจึงต้องการให้เชดได้รับผลการคำสาปนั้น ด้วยการหลอกให้เชดและรูน่ากลายเ็ป็นคู่กัน (ผ่านการควบคุมทางจิตใจที่โร้คมีความสามารถ)

และเชดรู้ดีว่า เขาจะต้องตำหลุมรักรูน่าในไม่ช้า ทางออกเดียวของเขาก็คือ ฆ่ารูน่าก่อนที่เขาจะรักเธอจนหมดใจ (และตัวตนของเขาก็จะสลายไปเพราะความรักนั้น)

แม็กซ์ชอบหนังสือเล่มนี้เพราะความซื่อตรงต่อตัวละครค่ะ เื่รื่องราวในชุดเดมอนนิก้า เป็นเรื่องราวของปีศาจ (ที่ไม่ใช่ปีศาจอย่างที่เรารับรู้ทั่วไปหรอกนะคะ) ที่มีทั้งปีศาจที่ดี และเลว แต่โดยเนื้อแท้แล้ว พวกเขาคือปีศาจ ดังนั้นความรุนแรงจึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต (เพราะคุณมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ ความเจ็บปวด และเลือดออกจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรอีกต่อไป) ทำให้หลายฉากอาจจะดูรุนแรงไปบ้างนะคะ แต่มันสมจริง และสมกับคาแร็คเตอร์ที่คนแต่งวางไว้ให้ตัวละคร

อย่างฉากที่อายโดลอนซึ่งเป็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาล (ที่รักษาปีศาจ) เห็นด้วยกับราธเรื่องการฆ่ารูน่า มันไม่ใช่การกระทำที่เขาอยากทำ แต่เขารู้ว่ามันจำเป็น เพราะทางเลือกอีกอย่างนึงเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ (เพราะนั่นคือการเสียเชดไป และอายโดลอนก็รักน้องชายของเขามากพอที่จะข้ามเส้นแห่งความถูกต้องดีงาม)

เช่นเดียวกับในเล่มแรกที่แม็กซ์ชอบบรรยากาศในโลกปีศาจที่ลาลิสสาสร้าง ขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนเท่ากับใน PU เพราะเรื่องราวเน้นไปที่ตัวละครมากกว่า

และเชดเป็นตัวละครที่ผิดคาดค่ะ เขามีความลึกมากกว่าความเสเพลที่แสดงออกให้เห็น ในขณะเดียวกันรูน่าก็เข้มแข็งสมกับที่คนแต่งกำหนดให้เธอเป็นมนุษย์หมาป่า ทั้งคู่หนีออกมาจากที่คุมขังของโร้คด้วยกัน แต่ผลพวงของการกลายเป็นคู่กันทำให้ทั้งสองไม่อาจแยกจากกันได้ เรารู้สึกถึงความต่อเนื่องกันระหว่างเชดและรูน่า และเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ทำไมพี่น้องของเชดถึงได้แน่ใจว่า หากเชดเลือกหญิงใดเป็นคู่แล้ว เขาจะต้องตกหลุมรักเจ้าหล่อนได้อย่างไม่ยากเย็นกัน เพราะเชดไม่ใช่พระเอกชนิดที่ปฏิเสธความรัก แต่วิ่งหนีความรักเพราะกลัวคำสาป ในอีกนึงเราก็มีคิดเหมือนกันว่า รูน่าเฮงพอดีที่เข้าใจชีวิตของเชดในช่วงนี้ (ทำให้เธอกลายเป็นนางเอกของเขาในที่สุด) แต่ความโดดเด่นของรูน่าเองก็มีความพิเศษ และเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ความคิดนี้ไม่ถึงกับกลายเป็นประเด็นน่าขัดใจใหญ่ อะไร

แล้วเราก็ชอบที่ตัวร้ายในเรื่องนี้มีมิติ โร้คไม่ใช่ตัวร้ายชนิดที่แม็กซ์แอบเทใจให้หรอกนะคะ ก่อนหน้าที่จะเกิดการลอบทำร้าย เขาก็ไม่ใช่ปีศาจที่ดีนัก มีเพียงอายโดลอนคนเดียวที่เข้าถึงจิตใจของเขาได้ (และมันก็ถูกพูดถึงผ่านเรื่อง PU ไปเยอะพอสมควร) ในขณะที่เชดและราธก็ไม่ค่อยจะชอบใจพี่ชายคนนี้นัก แต่กระนั้นการที่เขากลายสภาพเป็นคนโฉดและเลวชนิดเกินพิกัดก็มีเหตุผล เขาอาจจะเข้าใจผิดว่าน้องชายทั้งสามวางแผนทำร้ายเขา (ซึ่งเขาคิดผิดในทางนึง แต่ก็ถูกในอีกทางนึง) นั่นใำ้ห้เขามีเหตุผลเพียงพอในการตามจองเวรน้องชาย และแม็กซ์ก็ชอบที่แม้กระทั่งโร้คเองก็ยังมีความรัก (ซึ่งมันกลายเป็นจุดจบของเขาเช่นกัน)

ส่วนเดียวในเรื่องที่แม็กซ์ไม่ชอบก็คือ เรื่องความรักของคู่รอง ที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากเล่มแรก ข่าวว่าความรักของคู่นี้จะลงเอยในเล่มสาม แม็กซ์ไม่แน่ใจว่าเราไม่อยากอ่านเรื่องของเจมและไคแนนเป็นเพราะเราชอบเชดและ รูน่ามาก ๆ จนไม่อยากให้คนแต่งไปเสียเวลากับคู่อื่น หรือว่าเรื่องราวของสองคนนั้นมันจะไม่ได้เรื่องจริง ๆ

ความน่าปวดหัวของหนังสือชุดนี้ก็คือ มีคำศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับปีศาจเยอะหน่อยนะคะ โดยที่ไม่มีคำอธิบายให้ไว้ในหนังสือ ซึ่งเรื่องนี้ทางลาลิสสาเองก็คงรู้ดี (เพราะแม็กซ์ก็เป็นคนอ่านคนนึงที่บ่นให้เธอฟัง) เธอจึงจัดทำหนังสือที่เรื่องว่า The Demonica Compendium ซึ่งรวบรวมคำศัพท์ และรายชื่อตัวละครเด่น ๆ ในชุดเอาไว้ คนที่สนใจก็ลองคลิกไปอ่านกันได้นะคะ ลิงค์อยู่ที่ไซด์บาร์ด้านขวาบนสุดค่ะ ในเล่มนี้ยังมีเรื่องสั้นที่เป็นตอนที่โร้ค,อายโดลอน, และเชดเข้าไปช่วยราธมาจากบรรดาญาติแวมไพร์ที่หมายเอาชีวิตเขาด้วยค่ะ

คะแนนที่ 83

The Sherbrooke Bride // Catherine Coulter

สารภาพแต่โดยดีค่ะว่า ตั้งแต่กลับจากสิงคโปร์มานี่ยังอ่านหนังสือไม่จบเป็นเรื่องเป็นราวเลยสัก เล่ม รีวิววัีนนี้เลยเป็นการขุดกรุของเก่ามาเขียนให้อ่านกัน คิดอยู่นานนะคะว่าจะเลือกเอาเรื่องไหนมาเขียนดี ก่อนที่จะลงตัวเป็นเล่มนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังสือที่แม็กซ์ไม่น่าจะชอบ แต่ด้วยอะไรบางอย่างกลับทำให้มันกลายเป็นหนังสือที่เราชอบมากที่สุดเล่มนึง ไปเลย

The Sherbrooke Bride ของแคทเธอรีน คูลเตอร์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด Bride ที่แรกเริ่มเดิมทีคนแต่งตั้งใจจะเขียนเป็นเพียงแค่ไตรภาค แต่ด้วยความฮิตติดอันดับ หนังสือชุดนี้จึงถูกขยายออกมา จนเบ็ดเสร็จตอนนี้มีสิบเล่มแล้วค่ะ (เล่มที่สิบเอ็ดกำลังจะออกภายในปีนี้ปีหน้านี้แหละ)

เรื่องราวการแต่งงานเพื่อความสะดวกระหว่างท่านเอิร์ลหนุ่มผู้งานยุ่งเสียจน ไม่มีเวลาไปรับเจ้าสาวมาด้วยตัวเอง กับลูกเป็ดขี้เหร่น้องสาวของหญิงที่ได้ชื่อว่า งามที่สุดในเกาะอังกฤษ

ดักกลาส เชอร์บรูค ท่านเอิร์ลแห่งนอร์ธคริฟฟ์ผู้เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวผู้รับผิดชอบ และรู้ดีว่า เขาจำเป็นจะต้องมีทายาทไว้สืบทอดบรรดาศักดิ์ และด้วยฐานะที่ร่ำรวย และทรงอิทธิพล เขาก็รู้อีกเช่นกันว่า เขาสามารถได้หญิงคนไหนมาครอบครองก็ได้ และดักกลาสก็เลือกเมลิแซนด์ แชมเบอร์ บุตรสาวคนโตของดยุคแห่งแบริสฟอร์ดผู้งดงาม ความผิดพลาดเดียวของดักกลาสก็คือ เขาส่งให้โทนี่ญาติสนิทเดินทางไปรับเจ้าสาวมาให้เขา เพราะดักกลาสติดภารกิจต้องไปฝรั่งเศสเพื่องานสายลับอันเป็นหนึ่งในงานที่เขา ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ

ซึ่งเมื่อเขากลับมา ก็ได้พบว่า แทนที่จะเป็นเมลิแซนด์สุดสวยรอเขาอยู่ที่บ้าน กลับกลายเป็นอเล็กซานดร้า แชมเบอร์น้องสาวที่งามไม่เท่าเทียมพี่สาวเลยอยู่แทน แถมยังเล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกว่า โทนี่แอบตีท้ายครัวและพาเมลิแซนด์หนีไปแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ไม่พอ โทนี่ยังหวังดีช่วยดักกลาสหาตัวเจ้าสาวมาแทนคนที่ตัวเองแย่งไปเรียบร้อย นั่นก็คืออเล็กซานดร้านั่นเอง

และแม้ดักกลาสจะบอกตัวเองว่า อเล็กซานดร้าไม่มีอะไรเทียบเท่าพี่สาวของเธอได้เลย เขา็ก็จำใจต้องยอมรับกับสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเขาห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เผลอไปมีความสัมพันธ์กับเจ้าสาวของตัวเองเข้าให้ซะอีก

หนังสือเรื่องนี้เกือบจะทั้งเล่มเป็นการล้อเลียนดักกลาสที่ ทรนงตัวเสมอในความเยือกเย็น และการควบคุมตัวเองของเขา เขาได้ชื่อว่าเป็นชายไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลยเมื่อเขาได้อยู่กับอเล็กซานดร้า แม็กซ์ชอบทุกครั้งที่ชายหนุ่มผู้ปากก็พูดปาว ๆ ว่า ตัวเองแข็งแกร่งเยือกเย็น ออกอาการดีแตกเพราะสาวน้อยที่เขาเองไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่ารัก

องค์ประกอบทุกอย่างในเรื่องนี้ แม้แต่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นำพาคนอ่านให้เข้าใจถึงความปั่นป่วนที่อเล็กซานดร้านำมาสู่ชีวิตของดักกลาส เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาคิดว่าตัวเองต้องการ แต่เธอคือทุกอย่างที่เขาต้องการ

เธอเป็นหญิงสาวที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ จากชายที่เคยภูมิใจในความสามารถทางเพศของตัวเอง ดักกลาสกลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มมีเซ็กส์เมื่ออยู่กับเธอ (นี่เป็นฉากที่อ่านแล้วฮาที่สุดฉากนึงเลยทีเดียว) ดักกลาสไม่เคยเข้าใจว่า เหตุใดเขาจึงควบคุมตัวเองไม่ได้ จนกระทั่ง (สปอยล์) เขา ยอมรับกับตัวเองแล้วว่า รักอเล็กซานดร้า เขาจึงสามารถทำทุกอย่างกับเธอ (บนเตียง) ได้อย่างที่ตั้งใจ โดยไม่สูญเสียความควบคุมตัวเองไปเสียก่อน

ปกติแม็กซ์จะไม่ชอบพล็อตเรื่องที่นางเอกแอบรักพระเอกเป็นเวลานาน โดยเฉพาะถ้าพระเอกทำตัวไม่น่ารักนะคะ แต่ในเล่มนี้ซึ่งใช้พล็อตแบบเดียวกันที่อเล็กซานดร้าแอบรักดักกลาสมาตั้งแต่ เด็ก กลับค่อนข้างเวิร์คสำหรับเรา ส่วนหนึ่งเพราะแม้จะรู้ว่ารัก เธอก็มีสติพอที่จะไม่เอาคำว่ารักเป็นเหตุผลอธิบายการกระทำเห่ย ๆ ของดักกลาส โดยเฉพาะเมื่อเขาทำเสมือนไม่เห็นคุณค่าในตัวเธอ เธอกล้ายืนหยัดเพื่อตัวเองได้ และเป็นคู่ที่เหมาะสมกับเขาอย่างยิ่ง

พล็อตเรื่องเล่มนี้เป็นโรแมนซ์แบบไม่ต้องคิดมากนะคะ ชายและหญิงที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกันเท่าไหรถูกจับให้มาแต่งงานกัน อย่างไม่เต็มใจนัก (อย่างน้อยดักกลาสก็ไม่เต็มใจ) ก่อนที่จะเรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วทั้งสองเหมาะสมต่อกันและกันมาเพียงใด แต่เล่มนี้เป็นหนังสือที่เรารู้สึกว่ามีครบทุกรสนะคะ ทั้งฮาไปกับพฤติกรรมของดักกลาสที่ไม่เข้าใจตัวเองเสียเลยว่าทำไมถึงควบคุม ตัวเองกับอเล็กซานดร้าไม่ได้ แต่ในเล่มก็มีฉากซึ้ง ๆให้อ่านกันด้วยนะคะ (สปอยล์)ฉาก ที่เราชอบมาเมื่ออเล็กซานดร้าดั้นด้นพยายามเรียนภาษาฝรั่งเศส และดักกลาสเสนอตัวมาสอนให้ก่อนที่จะลงเอยด้วยการที่เขาบอกรักเธอด้วยภาษา ฝรั่งเศส แต่เธอก็กลับไม่เข้าใจ

ไม่รู้นะคะว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เป็นโรแมนซ์เรื่องแรก ๆ ที่แม็กซ์อ่านรึเปล่า มันถึงอยู่ในความทรงจำมากขนาดนี้ แต่เล่มนี้ก็เป็นหนังสือไม่กี่เล่มที่เราหยิบมาอ่านหลายรอบมาก และความชอบก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกครั้ง แม็กซ์ชอบขนาดเอาฉบับภาษาไทยมาอ่านด้วยนะ (และคิดว่าแปลได้ดีเลยล่ะค่ะป

คะแนนที่ 97

A Vampire's Claim // Joey W. Hill

โจอี้ ดับเบิ้ลยู ฮิลล์เป็นนักเขียนนิยายแนวพารานอมอลอีโรติคโรแมนซ์ที่แม็กซ์ชอบมากที่สุด (อย่างน้อยก็ในเวลานี้) และก็เป็นโชคดีของแม็กซ์มาก ๆ ที่ปีนี้มีหนังสือใหม่ของเธอออกมาหลายเรื่อง

เราชอบงานของโจอี้ไม่ใช่เพราะว่ามันวาบหวาม (แม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น) แต่เป็นที่อารมณ์ในเรื่องของเธอมันท่วมท้นและรุนแรง แม้กระทั่งเรื่องนี้ที่แม็กซ์รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่อาจจะเบาที่สุดที่เธอเขียนมาให้กับเบิร์กเลย์แล้วนะคะ มันก็ยังมีช่วงเวลาที่แม็กซ์สัมผัสถึงเบาะบางของตัวละครได้

A Vampire's Claim ของโจอี้ ดับเบิ้ลยู ฮิลล์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มทีสามในชุดแวมไพร์ที่เริ่มต้นด้วยหนังสือคู่สองเล่ม (The Vampire Queen's Servant และ Mark of the Vampire Queen) แต่ในลำดับการเล่าเรื่องนี้ เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าสองเล่มแรกค่ะ เล่าเรื่องราวของตัวละครที่มีบทบาทใน MOVQ และเล่มนี้เล่าเหตุการณ์ย้อนไปตั้งแต่ต้นในออสเตรเลียยุคปีค.ศ. 1953

เดฟลินหนุ่มชาวออสซี่ที่เดินเข้าไปในบาร์ คาดหวังว่าจะเจอผู้หญิงสักคนที่จะช่วยให้ค่ำคืนอันยาวนานสั้นลงมาบ้าง หลังจากที่เขาสูญเสียภรรยาและลูกชายไปกับการฆาตกรรม เดฟก็กลายเป็นคนไร้รัง เขากลายไปเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อสู้กับญี่ปุ่นเพื่อปกป้องออสเตรเลีย เพราะความรุนแรงเป็นทางออกเดียวที่เขาค้นพบ จากนั้นเดฟก็ใช้ชีวิตร่อนเร่ รับจ้างทำงานอยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่าเอาท์แบ็ค (ซึ่งเป็นบริเวณตอนกลางของประเทสออสเตรเลียที่เป็นทะเลทราย และแห้งแล้ง) เดฟไม่ใช่คนที่มีความศิวิไลซ์นัก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยจะเชื่อตัวเองเหมือนกันที่หญิงสาวที่ดูมีชาติตระกูล และเป็นผู้ดีมาก ๆ อย่างเลดี้ดาเนียล่า เดินตรงเข้ามาหาเขา และอย่างไม่ปิดบังนัก บอกว่าต้องการเขา

ตามสไตล์เรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์นะคะที่ทั้งคู่จบลงกันบนเตียงอย่างรวดเร็ว แต่เดฟก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเลดี้แดนนี่ (หรือเลดี้ดีอย่างที่คนอื่นเรียก) ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอเป็นแวมไพร์ แต่นั่นไม่สำคัญเลย เพราะสิ่งที่เขาได้รับจากเธอมันคุ้มค่ากับเลือดที่เธอดื่มจากเขา

ในเช้าวันรุ่งขึ้น เดฟตื่นขึ้นมาตามลำพัง พร้อมกับจดหมายที่แดนนีทิ้งเอาไว้ ชักชวนให้เขาไปทำงานเป็นหัวหน้าคนงานที่สถานีเลี้ยงแกะของเธอ ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่จะเข้าไปพัวพันกับเธอมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเป็นแวมไพร์ที่ทำให้เดฟถอยหนี แต่เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่ภรรยาและลูกตายลง เดฟเริ่มรู้สึกผูกพันกับใครสักคน

และความผูกพันอันนี้ก็มากพอที่จะทำให้เดฟรีบบึ่งไปช่วยแดนนี่ เมื่อเขารู้ว่าแวมไพร์คู่ปรับวางแผนลอบทำร้ายเธออยู่ เดฟไปทันเวลาและช่วยชีวิตแดนนี่เอาไว้ได้ และดูเหมือนชีวิตของเขาจะเข้าไปพัวพันกับเธออย่างขาดกันไม่ได้

แม้ฉากเซ็กส์ในเรื่องจะเป็นแนว BDSM ตามแนวเรื่องชุดแวมไพร์ของโจอี้ แต่มันแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างจาค็อบและลิสซ่า (จากเรื่องคู่ Vampire Queen) เพราะแดนนี่ไม่ใช่แวมไพร์ในโลกยุคเก่าที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียม เธอเป็นแวมไพร์อายุน้อย แต่มีอิทธิพลสูงเนื่องจากชาติกำเนิด เธอเป็นเด็กที่เกิดจากแวมไพร์สองคน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของเธอเพิ่งตายลง ทำให้แดนนี่กลายเป็นทายาทอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในเอ้าท์แบ็ค อาณาจักรอันเป็นที่หมายปองของหลายคน

ในทางนึง หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองอย่างยิ่ง การแย่งอำนาจระหว่างแวมไพร์คนอื่น และแดนนี่ ผู้ซึ่งปฏิเสธอำนาจมาตลอด เธอเพียงแค่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบในเอ้าท์แบ็ค แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าแดนนี่ต้องการมีชีวิตรอด เธอก็ต้องเล่นการเมืองของแวมไพร์ให้เป็น และเดฟก็เป็นองค์ประกอบที่เธอไม่อาจขาดเขาได้ ในขณะเดียวกันแดนนี่ก็แข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดในสังคมแวมไพร์อันโหดเหี้ยม ได้ด้วยตัวเอง ฉากที่เธอกำจัดคู่ปรับซึ่งเป็นศัตรูเก่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแดนนี่ก็สามารถทำในสิ่งที่จำเป็นได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะรังเกียจทางเลือกที่เธอทำ แต่เธอรู้ว่าต้องทำ

ในทางนึงแดนนี่ยังเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ เธอเป็นแวมไพร์ที่อายุน้อย (แค่สองร้อยกว่าปี) และไม่ต้องการเล่นเกมแย่งอำนาจกับแวมไพร์ผู้ถวิลหามัน แดนนี่เคยเลือกที่จะหนีไปจากการเผชิญหน้า และพบว่ามันไม่ใช่ทางออก ครั้งนี้เธอกลับมาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต โดยไม่ลังเลว่าจะต้องเีสี่ยงชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังแสดงความไร้เดียงสาที่คิดว่า เธอเป็นเพียงคนเดียวที่จะแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้องได้ แม็กซ์ชอบความไม่สมบูรณ์แบบของคาแร็คเตอร์ค่ะ

แม็กซ์ชอบความสัมพันธ์ระหว่างแดนนี่ และเดฟ มันเป็นความรักชนิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการอธิบาย เราพบว่าทั้งสองคือส่วนที่ขาดระหว่างกัน เดฟในตัวตนก่อนที่เขาจะสูญเสียภรรยาและลูก คงไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นคนรับใช้ของเลดี้ดี แต่เดฟที่ผ่านความสูญเสีย จนแทบจะไม่แคร์อะไรในชีวิตแล้ว การได้ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ (ซึ่งเป็นตำแหน่งเสมือนคนสนิทที่สุดของแวมไพร์คนนั้น) ได้ดูแลแดนนี่ มันกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตที่เดฟกำลังต้องการ

ในแง่นึงความรักระหว่างแดนนี่และเดฟไม่ใช่เรื่องต้องห้ามมากเท่าที่ลิสซ่า และจาค็อบต้องเผชิญ (การที่แวมไพร์แคร์ความรู้สึกของคนรับใช้ของตัวเองมากเกินไป ถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ และต้องห้ามในสังคมแวมไพร์) นั่นเพราะแดนนี่เป็นแวมไพร์ที่อยู่ในซีกโลกที่ไม่ได้เป็นจุดสนใจ และฐานะของแดนนี่เองก็ไม่ใช่ราชินีแห่งแวมไพร์เหมือนอย่างลิสซ่า (ซึ่งมีความคาดหวังมากกว่า) และเพราะว่าเป็นเรื่องราวความรักระหว่างแวมไพร์และข้ารับใช้ของเธอ ตอนจบของเรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นไปแบบอนุรักษ์นิยมนะคะ ไม่มีการแต่งงานในโบสถ์ ไม่มีการแสดงความยินดีในความรักของทั้งสอง แต่มันเป็นฉากจบที่แม็กซ์พอใจ

เช่นเดียวกับงานเกื่อบทุกเรื่องของโจอี้ ที่ตัวละครรองมีความน่าสนใจมาก ๆ และดูจากข้อมูลในเว็บไซด์ของเธอแล้ว เธอก็ยังมีแผนที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครอีกหลายตัวที่มีบทในเล่ม นี้ ซึ่งเราชอบค่ะ

สนุกอย่างที่คาดค่ะ ในด้านอารมณ์อาจจะไม่ถึงกับทำให้แม็กซ์ร้องไห้ (เหมือนกับเล่มอื่น ๆ ของเธอที่เราเคยอ่านมา) แต่มันก็เป็นประสบการณ์การอ่านที่ประทับใจ และคุ้มค่า

คะแนนที่ 85

ทริปซื้อหนังสือที่สิงคโปร์

กลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพแล้วนะคะ มีเรื่องน่าตื่นเต้นนิดหน่อยเกิดขึ้นตอนอยู่บนเครื่องบิน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราหรอกนะคะ

แม็กซ์มีโอกาสอาศัยอยู่ในหลายประเทศเป็นระยะเวลานานมากกว่าแค่การท่องเที่ยว ธรรมดา แต่บอกเลยนะคะว่าไม่มีประเทศไหนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า อยากอยู่ในประเทศนั้นมากไปกว่าประเทศไทย แต่สิงคโปร์อาจจะเป็นประเทศเดียวที่ถ้าเราไม่มีความผูกพันเรื่องครอบครัว เราอาจจะตัดสินใจอยู่ที่นั่น แม็กซ์เคยทำงานในสิงคโปร์เกือบหนึ่งปี และเคยเดินทางไปที่นั่นไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือธุรกิจหลายครั้ง เราชอบประเทศนี้ โดยเฉพาะร้านหนังสือ แต่มันก็ไม่ใช่ร้านหนังสือหรอกนะคะที่ทำให้เราคิดว่าประเทศนี้น่าอยู่ มันเป็นภาพรวมมากกว่า เพราะที่นั่นแม็กซ์จะไม่ใช่พลเมืองชั้นสอง (เหมือนที่เราจะเป็นหากอยู่ในประเทศทางตะวันตก) ในขณะเดียวกันสิงคโปร์ก็มีความเป็นตะวันตกมากพอที่จะดึงดูดใจ คนที่ชอบสังคมลักษณะเมืองอย่างเรา

อ่านดูก็น่าจะรู้นะคะว่าเราชอบสิงคโปร์มากแค่ไหน (และก็เข้าใจนะคะหากหลายคนจะบอกว่า สิงคโปร์เป็นเมืองที่ไม่มีอะไรน่าท่องเที่ยวเลย ซึ่งมันก็จริง เพราะแม็กซ์ไม่เคยไปเที่ยวสิงคโปร์ ทุกครั้งที่ไปก็มักจะเป็นเรื่องงาน หรือไม่ก็ซื้อของเท่านั้นเอง)

การเดินทางครั้งนี้เป็นหนี้บุญคุณบริษัทบัตรเครดิตค่ะ (หรือก็ต้องบอกว่าตัวเรานั่นแหละที่ใช้เงินจนสะสมแต้มจนแลกตั๋วเครื่องบิน ได้) และด้วยความงกไม่อยากจ่ายค่าโรงแรม ประกอบกับวันหยุดวันลาก็ใช้หมดแล้ว (ไปกับทริปที่จะไปอเมริกาช่วงเมษายน และกรกฎาคมนี้) แม็กซ์จึงตัดสินใจเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งเราไม่แนะนำให้ใครทำตามนะคะ ยกเว้นว่าคุณจะมั่นใจพอว่าตัวเองต้องการไปทำอะไรที่นั่น เพราะคุณจะเสียเวลาแม้แต่หนึ่งนาทีไม่ได้เลย

แม็กซ์โดยสารเครื่องบินสายการบินไทยที่มีตารางออกบินเวลา 8 โมงเช้า แต่เมื่อเหลือบดูนาฬิกาเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เครื่องก็ยังจอดอยู่ที่สนามบิน และนั่นเป็นเหตุผลที่แม็กซ์ไปถึงสิงคโปร์ช้ากว่ากำหนดเกือบสิบห้านาที เที่ยวบินขาไปไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหรอกค่ะ ยกเว้นว่าเขาไม่ยอมเข็นรถน้ำมาเสิร์ฟ ได้แต่ยกแก้วน้ำเปล่ากับน้ำส้มออกมาให้เลือกดื่มกัน ซึ่งก็โอเคนะคะ (แต่เรายังอยากกินน้ำอัดลมอยู่บ้าน แต่ด้วยความง่วงก็เลยขี้เกียจขอจากแอร์โดยตรง)

เมื่อไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง แม็กซ์ก็เจอคำถามว่า พักอยู่ที่ไหนระหว่างที่อยู่ในสิงคโปร์ เราก็งงไปชั่วครู่ เพราะในอดีตถึงจะเคยมาสิงคโปร์ชนิดเช้าเย็นกลับแล้ว แต่เป็นเรื่องงาน ดังนั้นแม็กซ์จะลงที่อยู่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่สิงคโปร์เป็นที่อยู่ แต่คราวนี้มาเรื่องส่วนตัว แถมยังต้องร่อนเร่ไปหลายที่อีก เราก็เลยเขียนไม่ถูก แต่ทางตม.สิงคโปร์ก็ยังคาดคั้น สุดท้ายแม็กซ์ก็เลยตอบชื่อช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่เราจะไปกับเขา ก็เลยถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามนิดนึง (ว่าฟุ้งเฟ้อไปไหม แต่อย่างที่แม็กซ์เคยบอกนะคะ เราได้ตั๋วมาฟรีน่ะค่ะ)

พอหลุดจากตม.มาแล้ว แม็กซ์ก็ออกจากสนามบินโดยอาศัยรถไฟฟ้าหรือที่เรียกกันว่า SMRT เพราะเป็นการเข้าเมืองที่ราคาถูกที่สุด ด้วยราคาเพียง 1.80 เหรียญ แม็กซ์ก็เดินทางไปยังสถานีที่ชื่อว่า City Hall ซึ่งเป็นทางออกที่ใกล้ที่สุดกับร้านหนังสือจุดแรกที่เราจะแวะไป

ร้านหนังสือที่แม็กซ์ไปเยี่ยมไม่ได้อยู่ตรงสถานีหรอกนะคะ ต้องมีการเดินนิดหน่อย แต่สำหรับนักเดินทางที่ต้องประหยัดทุกอย่าง (เพื่อหาเงินมาซื้อหนังสือ) มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จุดหมายปลายทางมีชื่อว่า Bras Basah Complex ซึ่งแม็กซ์ขอบอก (ตามความเห็นของตัวเอง) ว่าเป็นแหล่งขายหนังสือที่ถูกที่สุดในสิงคโปร์แล้ว ที่นั่นหนังสือมีสภาพไม่ค่อยดีหรอกนะคะ แต่จะถูกมาก และแถมถ้าตาดีก็อาจจะเจอหนังสือที่คุณคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีวันได้เจอ และแม็กซ์ก็เจอค่ะ

แม็กซ์เลือกแวะร้านหนังสือไล่ตามระดับราคาค่ะ โดยจะเริ่มจากร้านที่ขายถูกที่สุดก่อน ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ชั้นล่างสุดของคอมเพล็กซ์แห่งนี้ แม็กซ์ไม่เคยจำชื่อร้่านนะคะ รู้แต่ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง ร้านนี้จะขายหนังสือในราคาถูกมาก (ประมาณหนึ่งเหรียญ) แต่สภาพก็สมราคานะคะ ข้อดีคือ คุณจะได้พบกับหนังสือเก่า ๆ หายากหลายเล่ม ครั้งนี้เราไม่ได้เจออะไรสำหรับตัวเองหรอกค่ะ แต่มีหลายเล่มทีเดียวล่ะ ที่เราคิดว่าเพื่อนหลายคนของเราอาจจะกำลังมองหาอยู่

หลังจากแวะร้านนี้เสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปที่ชั้นสามแวะที่ร้าน Knowledge Book ซึ่งร้านนี้เดินยากนิดนึง เพราะมีร้าน Knowledge book อยู่ทั้งหมดสามร้านในชั้นเดียวกัน เรายังไม่ถึงกับสนิทกับคนขายขนาดจะถามว่า ทั้งสามร้านนี้เกี่ยวข้องกันยังไง แต่หนึ่งในสามร้านนั้นมีหนังสือโรแมนซ์ที่เยอะใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญคนขายเป็นมิตรมาก แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่ค่อยโรแมนซ์เฟรนลี่เท่าไหรก็ตาม (เป็นผู้ชายค่ะ)

หนังสือของร้านนี้จะแพงขึ้นมาหน่อยนึง (ประมาณหนึ่งถึงห้าเหรียญ) แต่ถ้าเลือกจ่ายเงินกับคนขายหนุ่ม (มีสองคนค่ะ คนหนุ่มซึ่งดูท่าว่าจะเป็นเจ้าของร้าน กับคนแก่กว่าที่ท่าทางจะเป็นเพื่อนมาช่วยกันขาย) ก็อาจจะมีการลดราคาพิเศษให้บ้าง แล้วแต่รอยยิ้มที่มอบให้คนขายนะคะ และที่ร้านนี้แหละค่ะที่แม็กซ์ได้เจอหนังสือหายากโคตร ๆ เล่มนึง ซึ่งก็คือเรื่อง Love Come to me ของลิซ่า เคลย์แพส (ในราคาสองเหรียญ) ตอนแรกก็ซื้ออยู่ไม่กี่เล่มหรอกนะคะ (ราคาเบ็ดเสร็จยี่สิบหกเหรียญ) แต่พอเดินออกจากร้าน สายตาเหลือบไปเห็นกองหนังสือแนวฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นเก่ามากที่ขายในราคาเล่มละหนึ่งเหรียญ เราก็เลยตัดสินใจคุ้ย และพบว่ามีงานของซาร่า วู้ดซึ่งเป็นนักเขียนเพรสเซ่นไม่กี่คนที่แม็กซ์ติดตามอ่าน อยู่เยอะเหมือนกัน ก็เลยกลับเข้าไปในร้านอีกรอบ ยิ้มอาย ๆ ให้คนขาย (เผื่อเขาจะลดราคาให้อีกรอบ) แม็กซ์เอาเป้ไปหนึ่งใบ กับถุงพลาสติกใบขนาดกลางที่พับเอาไว้ในเป้ ตอนนี้ของเต็มเป้าแล้วค่ะ แต่ยังไม่กล้าเอาถุงพลาสติกออกมากางน่ะ (ยังอายชาวบ้านอยู่บ้าง)

เสร็จจากร้าน Knowlege Book แล้ว แม็กซ์ก็เดินไปดูหนังสือที่อีกร้านนึง ซึ่งชื่อว่า Knowledge book เช่นกัน แต่ร้านนี้หนังสือเก่ากว่าและน้อยกว่าค่ะ แต่แม็กซ์ก็ยังได้ของอยู่ดีแหละ

เรียบร้อยจากชั้นสาม แม็กซ์ก็ลงบันไดไปชั้นสองเพื่อแวะร้าน Pro Saint Book ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่แม็กซ์ใช้บริการกันมานาน คำทักทายแรกจากเจ้าของร้านซึ่งเป็นลุงกะป้าสองสามีภรรยาทำให้แม็กซ์ปลื้มใจ มาก ๆ ก็คือ "ปีนี้ หนูแวะมาสิงคโปร์"

นั่นก็เพราะว่าเมื่อปีก่อนแม็กซ์ไม่ได้แวะไปที่ร้านนี้เลย แต่เขายังจำเราได้ ปลื้มมากเลยค่ะ แถมตอนที่เข้าไปมีลูกค้ากำลังนั่งคุยกับลุงและป้าอยู่ แม็กซ์จึงเสนอหน้าสวมรอยเข้าไปคุยกับเขาอย่างหนิดหนมอีกต่างหาก ด้วยความที่คอโรแมนซ์เหมือนกัน เราเลยเสียเวลาที่ร้านนี้ไปเยอะพอควรเลย (เพราะมัวแต่เม้าส์)

ทำให้มีเวลาแวะไปที่ร้านอื่นน้อยลงค่ะ เราใช้เวลาที่ Bras Basah Complex สี่ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าที่ตั้งใจไปชั่วโมงนึง ขากลับก็เดินกลับไปที่สถานี City Hall อีกครั้ง แต่ก่อนจะลงรถไฟฟ้า แม็กซ์แวะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่แถวสถานีนั้นเพื่อซื้ออาหารโปรดของเรา (ซึ่งคิดว่าหลายคนน่าจะเดาได้ว่าเป็นอะไรนะคะ) ส่งผลให้น้ำหนักของของที่แบกหนักขึ้นไปอีก

จากสถานี City Hall แม็กซ์มุ่งหน้าเข้าเมืองไปอีก ลงที่สถานที Orchard เพื่อเดินต่อไปยังถนนสก๊อต และแวะที่ Far East Plaza ซึ่งเป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมาบุญครองที่มีร้านค้า หลากหลายอย่าง ร้านที่แม็กซ์แวะไปก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากร้านหนังสือ ซึ่งแม็กซ์ขอยืนยันว่าเป็นร้านที่ดีที่สุดในสิงคโปร์แล้วล่ะ

ร้านที่มีชื่อว่า Sunny Bookshop ที่เป็นสวรรค์ของคนรักหนังสือ แม็กซ์ยังจำได้ตอนครั้งแรกที่เราเจอร้านนี้ เราอายุสิบหก และไม่เคยเจอร้านไหนที่ขายหนังสือภาษาอังกฤษเยอะขนาดนี้

ขออธิบายลักษณะของร้านมือสองในสิงคโปร์ให้ฟังกันหน่อยแล้วกันนะคะ ที่นั่นไม่มีร้านหนังสือเช่า แม็กซ์ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับกฎหมายรึเปล่านะคะ เพราะการเช่าหนังสือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในหลายประเทศ เพราะมันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในรูปแบบนึง แต่ร้านมือสองที่สิงคโปร์จะขายหนังสือมือหนึ่งและมือสอง โดยมีการกำหนดราคารับซื้อคืนเอาไว้ ถ้าคุณเอาหนังสือมาขายคืนภายในกำหนด คุณก็จะได้เครดิตตามเงินที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งคุณสามารถเอามาใช้ในการซื้อหนังสือในครั้งต่อไปได้

ร้านซันนี่เป็นสวรรค์ของแม็กซ์นะคะ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นสะสมหนังสือภาษาอังกฤษ หรือตามหางานของนักเขียนบางคนเป็นพิเศษ แม็กซ์แนะนำร้านนี้เลยนะคะ เพราะว่ามีเกือบทุกอย่าง คนขายมีความรู้เรื่องหนังสือดีมาก ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นพิเศษ ขอให้คนขายแนะนำก็ได้นะคะ แม็กซ์เคยใช้วิธีนี้หลายครั้ง และทำให้เราค้นพบนักเขียนดี ๆ เยอะมาก

แต่คราวนี้แม็กซ์ไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะตอนนี้แม็กซ์ไม่ได้อยู่ในภาวะที่ตามเก็บงานของนักเขียนคนไหน เป็นพิเศษแล้ว เราก็เลยแค่เดินดู แล้วพูดคุยกับคนขายเพื่อทบทวนอดีตกันเท่านั้น (และนี่เป็นอีกที่นึงที่ยังจำเราได้)

เสร็จจากที่นี่แม็กซ์ก็มุ่งหน้าไปยังร้านสุดท้ายในลิสต์ที่ตั้งใจไป นั่นก็คือร้านหนังสือบอร์เดอร์ ซึ่งเป็นร้านในเครือหนังสือจากอเมริกา ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ สถานี Orchard ค่ะ เพียงแค่ข้ามถนนไปหน่อยก็เจอแล้ว ร้านบอร์เดอร์แห่งนี้ราคาแพงค่ะ เพราะเป็นหนังสือใหม่ และเมื่อคิดว่าราคาหนังสือใหม่ในสิงคโปร์แพงกว่าเมืองไทยมาก ลองเทียบกันดูนะคะ เรื่อง Men of the otherworld ขายเมืองไทยราคาเล่มละ 755 บาท แถมได้ลดอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ร้านบอร์เดอร์ขายในราคา 40.99 เหรียญสิงคโปร์ (หรือประมาณเกือบพันบาทค่ะ)

ข้อดีของร้านนี้ก็คือ จะมีหนังสือใหม่ ๆ ออกขาย และแม็กซ์ก็เจอกับเล่มที่ตามหาหลายเล่ม แต่ไม่ได้เอามาทุกเล่มหรอกค่ะ เพราะราคาแพงกว่าเมืองไทย แถมบางเล่มเรายังสั่งซื้อที่ร้านคิโนะในเมืองไทยเอาไว้แล้ว ก็เลยตัดใจไม่เอามา (แต่ไม่รู้ว่าเมืองไทยเมื่อไหรจะมานะคะ)

เสร็จสิ้นจากร้านนี้ก็ได้เวลาหกโมงเย็นพอดี เราจึงมุ่งหน้ากลับไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อขึ้นรถต่อกลับไปยังสนามบิน

คล้าย ๆ กับขามานะคะที่ไม่ค่อยยุ่งยากอะไร แต่ขณะกำลังนั่งรอขึ้นเครื่อง สายตาเราก็เหลือบไปเห็นดาราฮอลีวู้ดดัง แต่ไม่ใช่ดาราดังในยุคนี้หรอกนะคะ เธอคือ Lauren Bacall (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เพื่อนหลายคนของแม็กซ์ไม่รู้จักเธอ) แม็กซ์เกิดอาการ star-struck ไปพักใหญ่ อยากจะเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยนะคะ แต่ก็เกรงใจ เพราะคิดว่าเธอคงไม่ต้องการให้คนเข้าไปรบกวน

การได้เจอกับลอเรนไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่แม็กซ์เกริ่นไว้ตอนเริ่มบลอก หรอกนคะ แต่เป็นตอนที่เครื่องบินลงต่างหากที่เรื่องน่าตื่นเต้นนี้เกิดขึ้น เมื่อผู้โดยสาวผู้หญิงที่นั่งข้างหน้าแม็กซ์เกิดเป็นลมล้มสลบลงมา แต่ก็กลายเป็นฝรั่งสองคนที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลยที่เป็นคนช่วย เหลือ ในขณะที่ผู้ชายซึ่งเดินทางมาพร้อมกับเธอ (แม็กซ์ไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน) ยืนมองเฉย ๆ แม็กซ์รับหน้าที่วิ่งไปตามแอร์โฮสเตส

ไม่รู้นะคะว่า สุดท้ายแล้วเธอคนนั้นเป็นยังไงบ้าง เพราะมีคนเข้าไปช่วย แล้วเอาเครื่องช่วยหายใจเข้าไป แต่แม็กซ์ถูกขอให้ออกจากเครื่องบิน

โดยรวมการเดินทางเป็นไปอย่างสวัสดิภาพค่ะ มีตอนกลับนี่แหละที่เจอปัญหางี่เง่ากับสนามบิน เพราะรถเข็นหายไปหมดสนามบินค่ะ โชคดีที่เราไม่ได้แบกกระเป๋าใหญ่โตอะไร ก็เลยลากกันออกมาได้ ในขณะที่เดินไปที่ลานจอดรถ เราก็ได้พบกับรถเข็นจอดทิ้งเต็มไปหมด ในขณะที่พนักงานยืนถือว.กันเฉย ๆ เต็มสนามบิน ไม่มีใครคิดจะมาเก็บรถเข็นกันแม้แต่คนเดียว

กลับมาบ้านก็นอนไปจนถึงเที่ยงวันเลยค่ะ

สำหรับแฟนหนังสือ ถ้าอ่านภาษาอังกฤษกันนะคะ แนะนำให้ลองไปสิงคโปร์เพื่อซื้อหนังสือกันดูบ้างนะคะ เพราะสำหรับเรา แม้จะเหนื่อย แต่ก็เป็นความสุขอย่างนึงในชีวิต

Dangerous To Touch // Jill Sorenson

คนที่อ่านรีวิวของแม็กซ์เรื่อง Crash into Me ที่เขียนไว้เมื่อช่วงต้นเดือนคงจะพอรู้ว่า แม็กซ์ชอบงานของนักเขียนหน้าใหม่อย่างจิล ซอเรนสันมากแค่ไหนนะคะ และก็เป็นโชคดีของเราอีกค่ะที่เมื่อปีก่อน แม็กซ์ตัดสินใจสั่งซื้อหนังสือเรื่องนี้เอาไว้แล้ว (มิฉะนั้นถ้าไม่สั่ง ตอนนี้คิดจะสั่งก็ไม่มีของขายแล้วล่ะ เพราะหนังสือของฮาร์ลิควินหมดเร็วมาก) ทำให้เรามีงานของจิลอีกเล่มเอาไว้อ่าน

ในฐานะที่หนังสือเรื่องนี้เป็นเล่มแรกที่จิล ซอเรนสันเขียน แม็กซ์ให้คะแนนสอบผ่านนะคะ แต่สำหรับนักเขียนที่เขียนเรื่องอย่าง Crash into Me เธอสอบตก เพราะเรื่องนี้ไม่อาจเทียบกันได้เลย

ปัญหาใหญ่ที่เรามองเห็นก็คือ ขนาดความยาวของเรื่อง ในขณะที่ CIM หนามากกว่าสี่ร้อยหน้า หนังสือเรื่องนี้หนาเพียง 215 หน้า ในขณะที่ความเข้มข้นของพล็อตเรื่องก็มีมากพอกัน ทำให้เวลาเราอ่านเล่มนี้ เรารู้สึกถึง "ความขาด" ของเนื้อเรื่องไปหลายส่วนเลยล่ะ

Dangerous to Touch ของจิล ซอเรนสัน

ซิดนี่ย์ มาร์โลว์เป็นหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์พิเศษ นั่นก็คือเธอสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้โดยการสัมผัส และเหตุการณ์ที่เธอเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ซิดนี่ย์ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องเลย เพราะมันคือเหตุการณ์ฆาตกรรมหญิงสาวคนนึง นิมิตที่เธอเห็นผ่านการสัมผัสสุนัขของหญิงสาวผู้นั้น

และแม้รู้ว่าจะไม่มีใครเชื่อ ซิดนี่ย์ก็ตัดสินใจแจ้งสิ่งที่เห็นกับตำรวจ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูด ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ผู้หมวดมาร์ค ครูซถูกส่งมาติดตามความเคลื่อนไหวของซิดนี่ย์ เพราะหวังว่าเธอจะนำเขาไปสู่ฆาตกรตัวจริง และหวังว่ามันจะทันเวลาก่อนที่ฆาตกรรายนั้นจะฆ่าอีกครั้ง

พล็อตหนังสือเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานของแนวโรแมนติคสืบสวนทั่วไปนะ คะ นางเอกที่เห็นนิมิต พระเอกที่เป็นตำรวจไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเห็น และตั้งคำถามทุกอย่าง (คุ้น ๆ กันไหม กับพล็อตนี้ เรื่องนึงที่โดดเด่นในใจแม็กซ์ก็คือเรื่อง Dream man ของลินดา โฮเวิร์ด) ในขณะเดียวกันมาร์คก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้จับตามองพฤติกรรมของ ซิดนี่ย์ทุกอย่าง และนั่นหมายถึงการติดเครื่องดักฟังที่บ้านของเธอด้วย (แม็กซ์ผิดหวังนิดนึงนะคะที่ไม่มีการใช้พล็อตเครื่องดักฟังกับฉากรัก เรานึกถึงเรื่อง Behind Closed door ของแชนน่อน แม็คเคนน่าน่ะค่ะ)

แต่เมื่อดูเหมือนว่าซิดนี่ย์จะพูดความจริง มาร์คก็ถึงเวลาต้องเลือกว่าระหว่างอาชีพ กับการปกป้องซิดนี่ย์จากคนร้าย

ในด้านนึงหนังสือเรื่องนี้มีพล็อตที่คล้ายกับ Crash into me พอสมควร เพราะพระเอกในเล่มนี้ (หรือนางเอกใน CIM) ปลอมตัวเข้าไปตีสนิทกับนางเอก เพื่อสืบข้อมูลของเธอ ก่อนที่ท้ายที่สุดจะยอมสละอาชีพที่ตัวเองรักเพื่อปกป้องเธอ (เช่นเดียวกับที่นางเอกใน CIM เลือกที่จะเข้าข้างพระเอกทั้งที่หลักฐานชี้ว่าเขาเป็นคนผิด) แม็กซ์ชอบที่ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีการลงโทษที่มาร์คเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัย (หรือซิดนี่ย์) เราอ่านหนังสือแนวนี้หลายเล่ม แทบจะไม่มีเล่มไหนพูดถึงผลพวงของการเข้าไปยุ่งเกี่ยว (ทางเพศ) กับผู้ต้องสงสัยสักเล่ม เล่มนี้ให้มุมมองที่สมจริงมากกว่า

ข้อเสียก็เหมือนอย่างที่แม็กซ์พูดไปแล้ว ด้วยข้อจำกัดเรื่องหน้ากระดาษ ทุกอย่างในเล่มเร่งรัดและดูไม่เป็นจังหวะกับเนื้อเรื่อง กระทั่งการเฉลยตัวคนร้ายตอนจบเรื่องก็ราวกับว่า คนแต่งมีอะไรในใจมากกว่านี้ แต่หน้ากระดาษมันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่ได้เขียน แม็กซ์อยากรู้ค่ะว่า ถ้าให้จิลเขียนเล่มนี้ใหม่อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้วางขายกับฮาร์ลิควิน (ซึ่งมีนโยบายในการจำกัดหน้ากระดาษมาก) เรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง

เพราะเล่มนี้มีองค์ประกอบที่จะเป็นหนังสือที่สนุกไ้ด้ค่ะ เพียงแต่วิธีการนำเสนอเรื่องราวยังไม่ดีพอ มันสั้น และห้วนเกินไป จนแม็กซ์ไม่รู้สึกว่าเรารู้จักตัวละครเลย (ซึ่งนี่เป็นเรื่องแย่ที่สุด เพราะแม็กซ์ชอบการกำหนดคาแร็คเตอร์ของจิลมาก เรื่อง CIM ได้ใจเราไปเต็ม ๆ เพราะคาแร็คเตอร์นี่แหละ ไม่ใช่พล็อต)

คะแนนที่ 63