Wednesday, October 30, 2013

Review: For the Love of Magic


For the Love of Magic
For the Love of Magic by Janet Chapman

My rating: 2 of 5 stars



เราอยากอ่านเล่มนี้มากเลยนะคะ เมื่อรู้ว่า จะเป็นการเล่าเรื่องของไททัส และรานา ซึ่งเป็นราชาและราชินีแห่งอาณาจักรแอตแลนติส ถ้าอ่านแล้วงง เราก็แนะนำว่า อย่าเริ่มอ่านหนังสือชุดนี้ที่เล่มนี้เลยค่ะ ไม่เวิร์คแน่ ๆ เพราะมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าเล่มนี้

หลังจากอยู่ด้วยกันมานานแสนนาน จู่ ๆ รานาก็เก็บของและแยกออกไปอยู่ตามลำพัง นั่นทำให้ไททัสตกใจและหวาดกลัวอย่างยิ่ง หญิงสาวที่เขารักมากที่สุด และใช้ชีวิตอยู่ด้วยมาตลอดเลือกที่จะเดินจากเขาไป และเขาก็ไม่รู้เลยว่า เป็นเพราะอะไร

จริง ๆ ประเด็นนี้ทำให้เรารู้สึกว่า เรื่องน่าสนใจมาก ๆ นะคะ เราชอบเรื่องแนวนี้ ยิ่งพระนางในเรื่องอยู่ในช่วงอายุห้าหกสิบกันแล้วทั้งคู่ เราว่า มีประเด็นให้เล่นได้เยอะ แต่พอเอาเข้าจริง เป็นเพราะรานาคิดว่า ตัวเองตั้งท้อง และการท้องครั้งสุดท้าย ทำให้เธอเกือบตาย และไททัสคลั่งสติแตกไป เธอกลัวว่า ครั้งนี้จะเกิดขึ้นอีก ก็เลยแยกออกไปอยู่ตามลำพัง เพื่อจะได้หาทางทำให้เขาไม่ต้องคิดมาก และพอเอาเข้าจริง รานาก็ไม่ได้ท้อง แต่เป็นอาการหมดประจำเดือน ทำให้เรารู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้มันช่างไร้จุดหมายมาก ๆ เพราะไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย

รานาไม่ได้ย้ายออกเพราะมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ได้แยกออกเพราะอยากมีอิสระ หลังจากใช้ชีวิตมากกว่าครึ่งชีวิตในฐานะราชินีแห่งแอตแลนติส เธอแค่ย้ายออกด้วยเหตุผลประหลาด ๆ

นอกจากนี้เล่มนี้องค์ประกอบส่วนที่เป็นพารานอมอลก็เยอะมาก ซึ่งในแง่นึงถือว่าดีนะคะ เพราะทิศทางของเรื่องชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ได้น่าสนใจเอาเสียเลยน่ะค่ะ แถมเรื่องก็ค้างคา เหมือนดูหนังแล้วขึ้นเครดิตว่าจบแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบ ที่แย่ไปกว่านั้น องค์ประกอบหลายส่วนของเรื่องที่ถูกเล่าในเล่มนี้ ก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคาแร็คเตอร์หลักในเรื่อง

เราคิดว่า นี่เป็นงานที่แย่ที่สุดของเจเน็ต แชปแมนที่เราได้อ่าน แย่ในแง่มุมที่ว่า มันไม่มีอะไรเลย ไม่น่าสนใจ

คะแนนที่ 53



View all my reviews

Review: The Heart of a Hero


The Heart of a Hero
The Heart of a Hero by Janet Chapman

My rating: 2 of 5 stars



เรื่องนี้เริ่มต้นเรื่องแบบล้มเหลวมาก ทำให้เราไม่ชอบมากขนาดต้องวางหนังสือลง แล้วไปอ่านเล่มอื่นแทน เรียกว่าทำให้หงุดหงิดอารมณ์มาก ๆ แต่ด้วยเหตุว่า อยากอ่านเล่มต่อจากเล่มนี้ค่ะ ทำให้ในที่สุดก็ต้องไปหยิบมาอ่านจนได้

และก็เป็นโชคดีอีกครั้ง เพราะหลังจากอ่านใหม่ เจ้าเหตุการณ์ที่ทำให้หงุดหงิดก็ยังทำให้รู้สึกอย่างเดิมนะคะ แต่พออ่านไปก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น และยอมรับกับมันได้ นั่นเลยทำให้เราตั้งคำถามคนแต่งว่า แล้วทำไมถึงต้องเขียนให้คนอ่านเข้าใจผิดแบบนี้ด้วยล่ะ

จูเลีย แคมเบลล์ทำงานให้กับรีสอร์ทสุดหรูในเมน สถานที่ซึ่งมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น หนึ่งในนั้นก็คือ หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของรีสอร์ทไม่ใช่แค่ผู้ชายสุดฮ็อตธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเขาเติบโตในดินแดนแห่งตำนานที่หลายคนเรียกว่า แอตแลนติส แม้นิโคลัสจะไม่ใช่ชาวแอตแลนติสโดยกำเนิด แต่เขาก็ถูกเลี้ยงดูที่นั่น ถูกฝึกฝนเป็นนักรบ แต่เมื่อหน้าที่หลักซึ่งก็คือ การดูแลเจ้าหญิงแห่งแอตแลนติสเสร็จสิ้นลง (เพราะเธอได้คู่ครองไปแล้วใน Courting Carolina) นิโคลัสก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ในโลกมนุษย์ และเมื่อได้พบกับจูเลีย เขาก็รู้ว่า อยากใช้ชีวิตอยู่กับใคร

จูเลียเป็นหม้ายสาวที่หย่าขาดจากสามีที่เอาเปรียบเธอ เธอทำงานส่งเขาเรียนจบปริญญาโท ซึ่งเมื่อเรียนจบเขาก็ทิ้งเธอไปไม่พอ ยังใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงของเธออีก ด้วยการหาว่า เธอคบชู้จนเขาต้องเลิก กระนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอทำงานเก็บเงิน หวังที่จะส่งน้องสาวเรียนมหาวิทยาลัย และเริ่มทำธุรกิจที่ตัวเองต้องการ

ปัญหาที่เราเจอตอนต้นเรื่องก็คือ ตัวตนของจูเลีย เพราะครั้งแรกที่เราได้กับเธอในหน้าหนังสือ คนแต่งบรรยายเหมือนเธอเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมยังไม่มีสามัญสำนึกที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากพระเอก อ่านแล้วทำให้คิดว่า นางเอกอ่อนแอ (และน่ารำคาญ ย้ำเตือนให้เรานึกถึงคาแร็คเตอร์ของแอนนาเบล จาก Secrets of a Summer Night ซึ่งเป็นนางเอกที่เราเกลียดมากที่สุดคนนึง) แต่หลังจากอ่านต่อจากฉากนั้น เราได้เห็นจูเลียมากขึ้น การกระทำ และความคิดของเธอไม่ใช่สิ่งที่คนแต่งแสดงให้เราเห็นในฉากแรกนั้นเลย ความคิดของเราจึงเปลี่ยนแปลงไป และยอมรับเธอได้มากขึ้น ถึงกับชอบเธอเลยด้วยซ้ำ

ปัญหาที่แท้จริงของเล่มนี้ก็คือ คนแต่งไม่สามารถแยกแยะองค์ประกอบของเรื่องแนวปัจจุบัน และพารานอมอลได้ ทำให้เรื่องถูกดึงและขัดกันเอง เราชอบองค์ประกอบของเรื่องส่วนที่เป็นเรื่องแนวปัจจุบัน ออกแนว Small Town Romance เล็ก ๆ ทั้งคาแร็คเตอร์ของจูเลีย และนิโคลัส น่ารักได้ใจ การจีบกันของทั้งสองก็อ่านสนุก ความคิดสร้างสรรของจูเลียในการหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวก็ทำให้เธอเป็นคนสู้ชีวิต แต่จู่ ๆ ตอนท้ายเรื่อง กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า เราอ่านไปก็แบบ... อะไรของมัน ทำไมปนกันยุ่งแบบนี้

เรื่องส่วนที่เป็นพารานอมอล การที่นิโคลัสเป็นลูกของโอดิน อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา แล้วยังเรื่องที่เขาเดินทางข้ามเวลาไปปฏิบัติภารกิจบางอย่าง (ที่จนจบเรื่องก็ไม่ได้อธิบายแน่ชัด) ทำให้อ่านแล้วรู้สึกเรื่องกระโดดมาก ๆ ทำให้ช่วงท้ายเล่มดึงคะแนนเรื่องนี้ลงอย่างยิ่ง

เราอยากให้เจเน็ต แชปแมนกลับมาเขียนเรื่องแนวปัจจุบันปกติ ๆ ธรรมดา ๆ น่ะค่ะ หรือไม่ก็เขียนพารานอมอลเต็มตัวไปเลย ไม่ใช่แบบนี้ อ่านแล้วพล็อตเรื่องจูนกันไม่ติดค่ะ

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fury of Desire


Fury of Desire
Fury of Desire by Coreene Callahan

My rating: 3 of 5 stars



สารภาพตามตรงค่ะว่า ถ้าไม่ได้สั่งซื้อเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากจบเล่มสามในชุด (Fury of Seduction) เราคงไม่ซื้อเล่มนี้มาอ่านเป็นแน่ แต่ในเมื่อสั่งไป ก็ต้องซื้อมาค่ะ และเมื่อซื้อมาแล้ว ก็ต้องอ่าน

ซึ่งเป็นโชคดีของเราค่ะ เพราะหลังจากอ่านมาสามเล่ม เรารู้สึกมีความหวังที่สุดก็เมื่อได้อ่านเล่มนี้ ทั้งในแง่ของตัวละคร และพล็อตเรื่องในภาพรวมที่เราคิดว่า มีความน่าสนใจมากขึ้น

วิกพระเอกของเล่มนี้ ก็เหมือนตัวแทนของเซดิสต์จาก BDB ซาเร็ตจากดาร์คฮันเตอร์ นั่นคือ เขาเป็นตัวละครที่ถูกกระทำบางอย่างมาตลอดชีวิต จนทำให้เขาไม่ไว้ใจคน เก็บตัวและความรู้สึกทุกอย่างอยู่ภายใน ช่วงหนึ่งในสามเล่มแรกก่อนที่วิกจะได้เจอกับนางเอกของเขา เราคิดว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุดในเล่ม เราอ่านแล้วเข้าถึงคาแร็คเตอร์ของเขามาก ๆ จากเด็กชายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาถูกใช้ให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรให้เด็กคนไหนทำ กลายเป็นฆาตกรที่ไม่ว่าจะล้างมืออย่างไร เลือดก็ไม่อาจลบเลือนไปได้ ความทนทุกข์ที่ถูกทรมานมาแต่เด็ก ทำให้วิกมีปัญหาในการใกล้ชิดกับผู้หญิง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมังกรที่ต้องดื่มพลังเมริเดียนจากหญิงสาวชาวมนุษย์ วิธีการของวิกจึงค่อนข้างสร้างสรร และวาบหวามไม่น้อย

เรื่องเริ่มอ่อนลงเมื่อวิกได้เจอกับเจมิสัน นางเอกของเรื่อง เพราะทุกอย่างกลับเข้าไปอยู่ในสูตรของสามเล่มแรก วิกซึ่งหวาดกลัวและรังเกียจสัมผัสจากทุกคน ถลาเข้าไปหาเจมิสัน แบบทุกคน (รวมทั้งคนอ่านอย่างเรา) ต้องอึ้ง ราวกับอดีตที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดีโดยคนแต่งสูญเปล่าไปซะงั้น เราอ่านไปก็เสียดายไป เราคิดว่า เรื่องนี้มีโอกาสที่จะเป็นบางสิ่งที่มากกว่า

ในแง่ของพล็อตในภาพรวมพัฒนาไปมากขึ้น โลกเริ่มขยายออก และเล่าเหตุการณ์ในยุโรปที่ซึ่งสภาแอชการ์ดเรียกชุมนุมมังกรทั่วโลก และมีคาแร็คเตอร์ใหม่โผล่เข้ามา เขายังเป็นบางคนที่ลึกลับ แต่พยายามเหลือเกินที่จะติดต่อบาสเตียน ผู้นำของเผ่าไนท์ฟิวรีให้ได้ เราชอบพล็อตส่วนนี้ค่ะ

นอกจากนี้พล็อตในส่วนของคนร้ายก็น่าสนใจ อันที่จริงเราว่า สนุกกว่าเรื่องของพระเอกอีก ชอบตรงที่คนแต่งทำให้คาแร็คเตอร์ของผู้ร้ายมีมิติ อย่างไอวาร์ หัวหน้าของเผ่าเรเซอร์แบ็ค ที่ต้องการจริง ๆ ก็คือ กลับไปห้องแล็บเพื่อทำวิจัย (ไวรัสล้างโลก) ไม่ได้ต้องการออกไปต่อสู้อะไรหรอก การที่ไอวาร์ผูกพันกับลุกน้องคนใหม่ (มังกรน้ำอีกตัวนึงที่มาจากยุโรป) อ่านแล้วก็น่ารักดี เข้าทำนอง ถึงจะเป็นตัวร้าย แต่ก็มีหัวใจนะ

เล่มนี้โอเคทั้งในแง่ของคาแร็คเตอร์ และพล็อต แม้จะต้องบอกว่า เสียดายค่ะ คนแต่งวางคาแร็คเตอร์ของวิกไว้อย่างให้ความหวังมาก เราคาดหวังเยอะกว่านี้มาก แต่ทำไม่ได้ กระนั้นก็ถือว่า ดีกว่าสามเล่มแรก

โดยรวมเราคิดว่า คงอ่านชุดนี้ต่อค่ะ แต่คิดว่า คงซื้อเป็นอีบุ๊คมาอ่านแล้วล่ะ ไม่ลงทุนซื้อพรินต์บุ๊คแล้ว (ยกเว้นจะมีใครให้ฟรีมานะ)

คะแนนที่ 63





View all my reviews

Review: Fury of Seduction


Fury of Seduction
Fury of Seduction by Coreene Callahan

My rating: 2 of 5 stars



เราสนใจคาแร็คเตอร์ของพระเอกมาตั้งแต่ตอนอ่านเล่มสอง (Fury of Ice) ทำให้หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อทันที ทั้งที่ในภาพรวมของชุดแล้ว ก็ไม่ได้ถึงกับชอบมากมายอะไร

ก่อนอื่นเป็นคำเตือนค่ะ รีวิวหนังสือเล่มนี้จะเป็นการสปอยล์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองเล่มแรกนะคะ ดังนั้นถ้าคิดจะอ่านเรื่องชุดนี้ ก็โปรดหยุดอ่านตรงนี้ค่ะ

แม็คใช้เวลาสามสิบกว่าปีแรกในชีวิตโดยคิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาด และทำให้เขาได้เห็นมังกร ตื่นมาอีกที ก็พบว่า สายเลือดมังกรในตัวของเขาออกฤทธิ์ และแม็คก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าไนท์ฟิวรี

แต่เขาแตกต่างจากมังกรที่เพิ่งกลายครั้งแรกทั่วไป เขาอาจจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ในร่างที่เป็นมังกรเท่ากับเพื่อน ๆ คนอื่น แต่แม็คเป็นมังกรน้ำ และนั่นทำให้เขามีเอกลักษณ์โดดเด่นจากคนอื่น เพราะธรรมชาติของมังกรชนิดอื่น พวกนั้นจะเกลียดน้ำมาก ๆ ในขณะที่แม็คเห็นน้ำเป็นไม่ได้ จะบินไปหาทันที ดังนั้นเกือบทุกฉากที่เขาบินเข้าใกล้อ่าวซานฟรานซิสโก แล้วโผลงทะเล ในขณะที่เพื่อน ๆ ที่บินตามมาติดเบรคแทบไม่ทัน เราอ่านแล้วก็นึกขำทุกครั้ง

น่าเสียดายว่า นี่เป็นสิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากเล่มก่อนหน้า ส่วนอื่น ๆ ของเรื่องยังคงเป็นสูตรสำเร็จเหมือนเดิม พระเอกได้เจอกับนางเอก มังกรในตัวเขาบอกว่า นี่คือคู่ชีวิตที่มองหาอยู่ จากนั้นเขาก็จะแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าทุกคน ผู้ร้ายโผล่มา ด้วยเหตุผลบางอย่างก็จะเล็งเป้ามาที่นางเอก (ทั้งที่เล่มก่อนหน้าก็เล็งผู้หญิงคนอื่นอยู่ แต่นั่นคือนางเอกของเล่มนั้น) พระเอกก็ต้องออกโรงต่อสู้ จัดการผู้ร้ายได้ แล้วก็จบเรื่อง

เล่มนี้ก็เป็นแบบนั้น แต่ในอีกแง่นึง ความคงเส้นคงวาของมันทำให้เราอ่านได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะมีเหตุการณ์อะไรมาช็อคความรู้สึก อย่างที่เคยเขียนไปในรีวิวของเล่มก่อนหน้า เรื่องชุดนี้ให้กลิ่นของชุด BDB เยอะมาก ๆ แต่เป็น BDB ที่ปราศจากปัจจัยน้ำเน่าทั้งหลาย แน่นอนว่า อาการติดซีรีย์ชุดนี้จึงไม่หนักเท่า (เพราะปัจจัยน้ำเน่ามีน้อย) แต่ก็อ่านได้สบายใจดี

ประเด็นที่เรารู้สึกว่า ไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร ก็คือ เรื่องของหัวหน้าเผ่าเรเซอร์แบ็ค ไอวาร์ซึ่งป็นคนร้าย เล่มนี้เขาคิดถึงลูกน้องมือขวาที่ถูกฆ่าไปอย่างมาก (เหตุการณ์ในเล่มสอง Fury of Ice) ซึ่งตอนที่อ่านเล่มนั้น (และเล่มแรก Fury of Fire) เราก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกความผูกพันที่ทั้งคู่มีเลยนะคะ แต่พอมาเล่มนี้ ไอวาร์ทำเหมือนเสียเพื่อนสนิทไป เราเลยคิดว่า อารมณ์มันกระโดดอยู่พิกล

อย่างไรก็ตามเล่มนี้เราคิดว่า พล็อตเรื่องเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น เพราะโลกขยายออก แทนที่จะเป็นการสู้รายวันระหว่างไนท์ฟิวรี และเรเซอร์แบ็ค เริ่มมีเรื่องของแอชการ์ด ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองของเหล่ามังกรมาเกี่ยว แถมมีการเปิดตัวคาแร็คเตอร์อีกหลายตัว ที่ดูโหวงเฮงแล้วน่าจะเป็นพระเอกในเล่มต่อ ๆ ไป

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fury of Ice


Fury of Ice
Fury of Ice by Coreene Callahan

My rating: 3 of 5 stars



หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะอ่านเล่มแรกไปก็เฉย ๆ ไม่ได้ถึงกับชื่นชอบ แต่ก็อ่านได้เรื่อย ๆ

มาถึงเล่มนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องจากตอนจบของเล่มแรก เมื่อแองเจลา นายตำรวจสาวที่โดนลูกหลงถูกมังกรกลุ่มคนร้าย เผ่าเรเซอร์แบ็คจับตัวไป เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถในการต่อเชื่อมกับพลังเมริเดียน ซึ่งเป็นพลังธรรมชาติที่เหล่ามังกรต้องการใช้ในการมีชีวิตต่อไป ในเวลาเดียวกันทางเผ่าไนท์ฟิวรี ซึ่งเป็นมังกรฝ่ายดีที่มีภารกิจในการปกป้องและทำสงครามกับเรเซอร์แบ็ค ก็พยายามค้นหาเธอให้เจอ โดยเฉพาะไรเกอร์ นักรบมือขวาของบาสเตียน (พระเอกเล่มแรก)ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม แม้จะได้เจอกันเพียงชั่วแว่บเดียว แต่ไรเกอร์ก็เริ่มผูกพันกับแองเจลาแล้ว และพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเธอให้เจอ

แต่ไม่ใช่พระเอกที่ขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกค่ะ เป็นแองเจลาที่หนีเอาตัวรอดมาได้เอง ซึ่งนี้เป็นจุดที่ทำให้เราชอบเล่มนี้มาก ๆ นางเอกถูกบรรยายว่าเก่ง และตลอดทั้งเรื่องเธอก็วางตัวสมกับความเก่งที่คนแต่งอวดสรรพคุณไว้

พล็อตเรื่องก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างมังกรจากเผ่าไนท์ฟิวรี และเรเซอร์แบ็ค เรื่องราวค่อนข้างหยุดนิ่งจนเรารู้สึกว่า นี่จะสู้กันไปเรื่อย ๆ แบบไม่คิดอะไรไกลกว่านี้เลยเหรอ มันดูไร้อนาคตมาก ๆ นั่งรอให้พระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็บินออกไปสู้กัน พวกพระเอกก็ฆ่าผู้ร้ายเอา แต่ผู้ร้ายก็ไปสรรหามังกรชั่ว ๆ มาเป็นพวกได้ จนทำให้ไม่อยากจะเชื่อว่า เผ่าพันธุ์นี้มีลูกยาก เพราะกำลังคนของผู้ร้ายมีมากมายเหลือเกิน ขณะที่พวกพระเอกมีอยู่ไม่ถึงสิบคน

ส่วนที่เราคิดว่า น่าสนใจก็คือ เรื่องราวของแม็ค ซึ่งเป็นนายตำรวจ และเป็นคู่หูของแองเจลา ซึ่งก็มีเซอร์ไพร์สของตัวเอง ที่เขาเองก็มีเชื้อสายมังกรในตัวซ่อนอยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เราหยิบเล่มสามมาอ่าน เพราะดูแล้วเป็นเรื่องของแม็ค และเราก็ซื้อมาแล้ว จะวางอยู่เฉย ๆ ไว้ใย

โดยรวมเราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรก อย่างน้อยพระเอกก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่านางเอก (ด้วยการทำให้เธอตั้งท้อง ทั้งที่รู้อยู่ว่า มนุษย์ที่ตั้งท้องลูกของมังกรจะตายทุกคน) เรื่องราวยังคงเป็นไปตามสูตรสำเร็จ อ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดมาก ฆ่าเวลาค่ะ

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Tuesday, October 29, 2013

Review: Fury of Fire


Fury of Fire
Fury of Fire by Coreene Callahan

My rating: 2 of 5 stars



ได้ยินเสียงเล่าลือก่อนหน้าจะเริ่มต้นอ่านชุดนี้ว่า เรื่องมีสไตล์คล้าย ๆ กับชุด BDB ของเจอาร์ วาร์ด ก็เลยอาจจะทำให้ตั้งความหวังเกินจริงไปเล็กน้อยว่า น่าจะสนุกได้พอ ๆ กัน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นผลงานเขียนเล่มแรกของคอรีน คัลลาแฮนเท่านั้นเอง

พออ่านไปก็เห็นว่า จริงนะคะ ได้กลิ่นของโลกในชุด BDB ของเจอาร์ วาร์ดมาไม่น้อย แต่เนื้อเรื่องเพิ่งเริ่มต้น เลยไม่ได้ให้ความรู้สึกกดดันเท่า และความเป็นเมโลดรามาก็ยังไม่ค่อยมีเยอะเท่าไหรด้วย

ในสังคมมังกรที่ถือว่าเป็นอีกเผ่าพันธุ์นึงแยกต่างหากจากมนุษย์ พวกเขาเหนือกว่ามนุษย์ทุกอย่างยกเว้นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว นั่นก็คือ มังกรไม่อาจได้รับพลังเมริเดียนด้วยตัวเองได้ จำเป็นต้องต่อเชื่อมกับพลังดังกล่าวผ่านหญิงสาวชาวมนุษย์ พวกเขาต้องใช้สตรีเหล่านี้ คนที่มีการต่อเชื่อมกับเมริเดียนอย่างสูงในการเอาชีวิตรอด และทำให้เหล่ามังกรยังต้องพึ่งพามนุษย์อยู่ แต่นี่ไม่ใช่ความจำเป็นเดียวที่พวกมังกรต้องพึ่งพามนุษย์ เนื่องจากในสังคมของมังกรไม่มีผู้หญิง มนุษย์จึงเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทมังกรรุ่นต่อไป แต่คำสาปบางอย่างทำให้ผู้หญิงที่ถูกเลือกเป็นผู้ให้กำเนิดต้องตายทุกคน พวกเธอจะตายในการคลอดลูก

แต่แม้จะรู้อย่างนั้น บาสเตียน ในฐานะผู้นำของเผ่าไนท์ฟิวรี ซึ่งเป็นเผ่านักรบ และกำลังทำสงครามกับเผ่าเรเซอร์แบ็คเพื่อปกป้องมนุษย์ บาสเตียนก็ไม่มีทางเลือกพวกเขาจำเป็นต้องให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไป เพื่อเป็นกำลังในการต่อสู้ แม้จะรู้ว่า หญิงสาวคนที่เลือกจะต้องจบชีวิตลงในเวลาต่อมาก็ตาม

และเมื่อโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับมิสต์ นางพยาบาลสาวที่หลงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างโชคร้าย เธอเพียงแค่แวะมาดูอาการคนไข้ของเธอที่บ้าน เพียงเพื่อจะพบว่า หญิงสาวคนนั้นกำลังจะตาย มิสต์จำใจต้องทำคลอดเพื่อช่วยชีวิตเด็กในท้องเอาไว้ บาสเตียนและเพื่อนซึ่งฟังข่าวทางวิทยุ (ที่มิสต์เรียกรถพยาบาล) โผล่เพื่อรับเด็กไป เพราะหญิงคนที่ตายนั้นได้คลอดลูกชายที่มีเชื้อสายมังกร ซึ่งแม้พ่อของเด็กจะเป็นมังกรของฝ่ายเรเซอร์แบ็ค บาสเตียนก็ไม่ต้องการให้เด็กตกอยู่ในเงื้อมือฝ่ายชั่วร้ายนั้น การได้พบกันทำให้บาสเตียนรู้ว่า มิสต์คือคู่ครองของเขา (เรื่องไม่ได้บอกชัดเจนว่าทำไมถึงรู้ เหมือนกับร่างที่เป็นมังกรบอกมา) และเพื่อปกป้องเธอจากฝ่ายเรเซอร์แบ็ค ที่ไล่จับหญิงสาวที่สามารถต่อเชื่อมกับพลังเมริเดียนได้ เขาพาเธอไปยังที่พักของกลุ่ม

เรื่องราวต่อมาก็คล้าย ๆ กับหนังสือชุด BDB ผสมกับบรีดของลารา เอเดียนน่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรสร้างสรรเป็นพิเศษ

ประเด็นขัดใจของเรา และทำให้เราชอบเรื่องนี้น้อยที่สุดในชุดก็คือ การกระทำของบาสเตียน แน่นอนว่าเขารู้ว่า การที่เขาทำให้มิสต์ตั้งครรภ์จะหมายถึงความตายของเธอ แต่เขาก็ยังทำ เรื่องพยายามอธิบายว่า มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นการกระทำที่เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เราคาดหวังพระเอกมากกว่านี้ค่ะ เรารู้สึกเหมือนเขาเอาชีวิตของผู้หญิงคนที่เขาบอกว่ารัก มาแลกกับการสืบพันธุ์

โดยรวมเรื่องชุดนี้ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ทั้งในแง่ของพล็อตเรื่อง และคาแร็คเตอร์ ไม่ได้ถึงกับทำให้เราประทับใจอะไรมากมาย แต่เนื่องจากซื้อมาแล้วหลายเล่ม เราก็เลยอ่านต่อไป

คะแนนที่ 60




View all my reviews

Review: Edge of Oblivion


Edge of Oblivion
Edge of Oblivion by J.T. Geissinger

My rating: 2 of 5 stars



เราตัดสินใจหยิบเล่มนี้มาอ่าน แม้ว่าจะจบเล่มแรกไปอย่างอึดอัดใจ แต่เพราะสไตล์การเขียน การเล่าเรื่องที่จับความสนใจของเราไว้ได้ตลอดเวลาที่อ่าน ประกอบกับคาแร็คเตอร์นางเอกของเล่มนี้ที่ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ เราจึงอ่านเล่มนี้

ก่อนเข้ารีวิว ขอเตือนสปอยล์ก่อนนะคะ คือถ้ายังไม่ได้อ่านเล่มแรก และคิดจะอ่านก็ขอให้หยุดอ่านตรงนี้นะคะ เราจะไม่ซ่อนสปอยล์นะคะ เพราะมันไม่ใช่สปอยล์ของเล่มนี้ แต่เป็นสปอยล์เล่มก่อนหน้า

มอร์แกน หญิงสาวชาวอิคาติซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลงร่างเป็นควัน และเสือได้ ได้ทำความผิดมหันต์ ด้วยทรยศพวกของตัวเอง จนเป็นเหตุให้สมาชิกในเผ่าถูกจับไปทรมานเกือบตาย แต่ทุกอย่างที่มอร์แกนทำไป ก็เพื่ออิสรภาพ การเกิดเป็นสตรีในชนเผ่าอิคาติเป็นเสมือนคำสาป ตลอดชีวิตเธอถูกกำหนดโดย "ผู้สูงวัย" ในเผ่า ต้องแต่งงานกับคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ต้องใช้ชีวิตตามที่ถูกบอกให้ใช้ ดังนั้นแม้เธอจะเลือกผิดพลาด และเชื่อคนชั่ว แต่มอร์แกนก็พร้อมจะรับผลการกระทำของตัวเอง เธอยอมตายเพื่ออิสระ

แต่ด้วยความช่วยเหลือของเจนนา เพื่อนสาว ซึ่งตอนนี้พิสูจน์ตัวเองด้วยพลังที่เหนือคนอื่น (จนทำให้สถานะของเธอในเผ่าสูงเกินกว่าที่ใครจะทำอะไรเธอได้) ทำให้มอร์แกนได้รับโอกาสที่สอง เธอถูกส่งไปโรมเพื่อตามหาขบวนการที่ออกล่าชนเผ่าอิคาติ ซึ่งเป็นเบาะแสที่เจนนาสืบมาได้จากเล่มก่อน แต่มอร์แกนไม่ได้รับความไว้วางใจให้เดินทางไปตามลำพัง เธอถูกส่งไปพร้อมกับแซนเดอร์ ชาวอิคาติซึ่งทำหน้าที่เป็นนักฆ่าประจำเผ่าพันธุ์ หน้าที่ของเขาก็คือ ช่วยเหลือมอร์แกนในการปฏิบัติงาน แต่หากครบกำหนดวันแล้ว เธอยังทำไม่สำเร็จ แซนเดอร์จะต้องเป็นผู้ลงมือประหารเธอ

ทั้งคู่เดินทางไปโรม เพื่อสืบหาร่องรอย แต่แทนที่จะได้พบกับองค์กรชาวมนุษย์ที่ออกตามล่าชาวอิคาติ พวกเขากลับได้พบกับชาวอิคาติที่ไม่มีใครรู้จัก (ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสังคมของอิคาติปิดกั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์ต้องมีแหล่งที่อยู่ ใครที่หนีไปจะถูกตามล่า และฆ่าให้ตาย) และอิคาตินอกรีตพวกนี้เอง กลายเป็นกุญแจสำคัญในภารกิจนี้

เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรกนะคะ เพราะเรารู้สึกว่า คนแต่งไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อคาแร็คเตอร์เท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวมอร์แกน ซึ่งเราคิดว่า เธอเป็นคนที่น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นในตอนต้นเล่ม แต่ทำไมพอนางเอกได้เจอกับพระเอกแล้ว ต้องสูญเสียตัวตนของตัวเองไปด้วย เธอกลายเป็นหญิงที่ช่วยตัวเองไม่ได้มากกว่าครึ่งเล่ม

และเช่นเดียวกับเล่มแรกค่ะ เราไม่มีความสุขเอาเลยในการอ่านเรื่องนี้ พล็อตไม่ได้กดดัน หรือแสดงอาการรังเกียจมนุษย์อย่างชัดเจนแบบในเล่มแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า ชาวอิคาติน่าปกป้องเอาเสียเลย เราคงจะดีใจมาก ๆ ด้วยซ้ำ ถ้าพวกนี้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้ตายไปให้หมด ด้วยทัศนคติที่ไม่เป็นกลาง เหยียดหยามเผ่าพันธุ์อื่น รังแกกระทั่งคนในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง (ทั้งมอร์แกนและแซนเดอร์ก็ตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมของตัวเอง) เราไม่คิดว่า อ่านหนังสือเล่มไหน แล้วรังเกียจเผ่าพันธุ์ที่ควรจะเป็นตัวเอกมากได้เท่านี้

กระทั่งพล็อตเรื่องที่ว่า ชาวอิคาติถูกมนุษย์ตามล่ามาตลอด ก็เจอทางตัน เพราะในท้ายที่สุด คนที่อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวอิคาติทั้งหมด ไม่ใช่มนุษย์หรอกนะ แต่เป็นชาวอิคาติกันเองนั่นแหละ เป็นแบบนี้แล้วยังจะมาแสดงอาการรังเกียจมนุษย์อีก

นอกจากนี้คนแต่งเขียนเรื่องสมจริง เมื่อเพื่อนสนิทของพระเอก คนที่มีแววเหมือนจะเป็นพระเอกเล่มหน้าได้ ตายไปซะงั้น ซึ่งควรจะเป็นคำชมนะคะ แต่เราอ่านโรแมนซ์เพราะต้องการความสบายใจ ทำให้อะไรที่สมจริงเกินไป ก็ไม่มีความสุขค่ะ

โดยรวมแล้วทุกอย่างกลับมาที่ความรู้สึกของเราเองค่ะ ดังนั้นนี่จึงเป็นรีวิวในแง่ความรู้สึกล้วน ๆ เพราะเช่นเดียวกับเล่มแรก เราคิดว่า การเขียน การเล่าเรื่อง น่าอ่าน น่าติดตามมาก ๆ ระหว่างอ่านเราวางไม่ลงเลยนะคะ แต่เราไม่มีความสุขเวลาอ่านเลยน่ะสิ นึกเกลียดคาแร็คเตอร์แทบทุกตัวในเรื่อง ไม่เชียร์ข้างของตัวเองเลยสักนิดเดียว ขนาดนึกอยากให้มีระเบิดไปลงสักลูกนึง พวกมันจะได้ตายไปกันให้หมด แล้วไม่ต้องรับรู้เรื่องของคนกลุ่มนี้อีกต่อไป

คะแนที่ 60 (เป็นคะแนนตามความรู้สึกค่ะ คือเราคิดว่า ถ้าอ่านแล้วไม่อึดอัดแบบที่เรารู้สึก น่าจะชอบเรื่องนี้มากกว่านี้)





View all my reviews

Review: Shadow's Edge


Shadow's Edge
Shadow's Edge by J.T. Geissinger

My rating: 3 of 5 stars



ข้อเสียของการเขียนรีวิวใน Goodread ก็คือ เขียนรีวิวเปรียบเทียบหนังสือสองเล่มด้วยกันไม่ได้ และเนื่องจากเราอ่านเล่มนี้ในเวลาใกล้เคียงกับการอ่านเรื่อง Fury of Fire ของคอรีน คัลลาแฮน เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเอาสองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกัน (ทั้งสองเล่มตีพิมพ์โดยสนพ. Montlake ในค่ายอเมซอน)

เจนนารู้ว่า เธอแตกต่างจากคนอื่น ๆ ชีวิตในวัยเด็กที่ต้องย้ายจากที่นึงไปทีนึงตลอดเวลาพอบอกให้เธอรู้ว่า มีบางอย่างผิดปกติในชีวิตของเธอ ทั้งมารดาผู้เสียชีวิตไปแล้วของเธอก็พร่ำสอนเธอมาตลอดว่า ให้เลือกที่จะหนี อย่าเผชิญหน้า หากศัตรูปรากฎตัวขึ้น ศัตรูที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่า คือใคร รู้แต่ว่า คนกลุ่มนี้ตามล่าครอบครัวเธอมาตลอด

จนกระทั่งวันนึงเธอก็ได้พบกับพวกเขา

ลีนเดอร์เป็นผู้นำของชนชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเรียกตัวเองว่า อิคาติเผ่าพันธุ์โบราณที่สามารถแปลงร่างเป็นหมอก และเสือได้ ชนชาติที่ถูกตามล่าโดยมนุษย์ จนต้องสร้างกฎเหล็กในการปกครอง กฎที่ใช้ควบคุมพวกเขาทุกคน

และเจนนาแม้เธอจะเป็นเพียงลูกครึ่งอิคาติ เป็นผลผลิตอันน่ารังเกียจ ชีวิตของเธอก็อยู่ภายใต้การจับตามองของคนกลุ่มนี้เช่นกัน ในวัยเกิดปีที่ยี่สิบห้าของเธอ หากเจนนาสามารถแปลงร่างเป็นเสือได้ เธอจะถูกพาไปเข้าเผ่า แต่ถ้าเธอพิสูจน์ว่าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ความตายก็จะมาเยือน

เมื่อได้พบกันเจนนาซึ่งแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกอิคาติเลย หลังจากพิสูจน์ตัวเองว่า สามารถแปลงร่างได้ เธอก็ยินยอมให้ตัวเองถูกพาไปอังกฤษ (เธออาศัยอยู่ในอเมริกา) เพื่อทำความรู้จัก "ครอบครัว" ใหม่ ที่ที่ซึ่งเธอได้เรียนรู้ถึงภูมิหลังอันเจ็บปวด เหตุผลที่บิดาจากครอบครัวไป และยอมรับความจริงว่า ลีนเดอร์คือคนที่เป็นคู่ของเธอ

การเขียนเรื่องนี้ดีมาก ๆ การเล่าเรื่องราว การใช้ภาษา ความน่าสนใจของเรื่องมีอยู่ตลอด เรียกว่าอ่านไปไหลลื่นมาก ๆ แต่...

ต้องเน้นตรงนี้เลยนะคะ และเราก็อายเล็ก ๆ ที่ต้องยอมรับความจริงส่วนนี้ออกมา

แต่เราไม่มีความสุขในการอ่านหนังสือเล่มนี้เลย เราเกลียด เกลียด เกลียด และเกลียดพวกอิคาติ และนี่คือเผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวเอกหลักในเรื่องชุดนี้ พวกนี้คือพวกที่เราต้องยอมรับว่า เป็นคนดี เป็นพระเอก แต่เราไม่ชอบพวกเขา ไม่ชอบสักคนเดียว แม้กระทั่งพระเอก

ถ้าเราเป็นเจนนา เราจะเดินออกมาแล้วอยู่ตามลำพังดีกว่า

ทัศนคติของพวกอิคาติก็คือ เกลียดมนุษย์ หากเผ่าพันธุ์ของพวกเขาคนไหนไปแต่งงานกับมนุษย์ พวกนี้ก็จะออกตามล่าไล่ฆ่าล้างครอบครัว นั่นเป็นสิ่งที่เกิดกับพ่อของเจนนา จนเขาเลือกที่จะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อหยุดการตามล่า ยอมตามเพื่อให้ภรรยาและลูกสาวมีชีวิตต่อ แต่นั่นไม่จบ เพราะเจนนาซึ่งเป็นลูกครึ่งก็โดนวงจรอุบาทนี่อีก

เราเข้าใจเรื่องแนวพารานอมอลที่เขียนเล่าถึงเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ (BDB เป็นตัวอย่างนึง) แต่อย่างน้อยทัศนคติของคนพวกนี้ก็คือ ปกป้องมนุษย์ ไม่ใช่รังเกียจ คือเราก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นมนุษย์น่ะค่ะ เหมือนนั่งอ่านหนังสือที่คนแสดงอาการรังเกียจเราอย่างชัดเจน อ่านแล้วอึดอัดมาก แล้วก็เกลียดพวกนี้มาก ๆ

พระเอกที่เริ่มต้นดูเหมือนจะดีกว่าคนอื่น ๆ ก็พิสูจน์ว่าไม่เอาถ่าน เขายอมแพ้แรงกดดันของบรรดา "ผู้ใหญ่" ในเผ่า เขาไม่ยืนหยัดเพื่อนางเอก ในฉากที่มีการค้นพบว่า มีคนทรยศอยู่ในหมู่พวกเขา และอย่างไม่มีเหตุผล ทุกคนหันมาโทษนางเอกว่ามีส่วนรู้เห็น พระเอกยืนเฉย ๆ แล้วถามนางเอกว่า "มีอะไรจะพูดไหม" เราอ่านแล้วแบบอย่างเขวี้ยงหนังสือทิ้งเลย

เล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วอึดอัดมาก ๆ ไม่มีความสุขเอาเลย ทั้งที่การเขียนดีมากเช่นกัน เรื่องราวก็น่าสนใจ แต่มันเป็นเรื่องของคนที่เราไม่ชอบ ที่สำคัญเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่แสดงอาการรังเกียจเราอย่างชัดเจน (เพราะเราก็เป็นมนุษย์) นี่ยังไม่นับทัศนคติห่วย ๆ ของตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่อง นี่เป็นโรแมนซ์ที่เรานึกอยากให้จบแบบนางเอกเดินจากมาโดยไม่ห้นไปมอง

เพราะคนพวกนี้ไม่มีค่าควรมองแม้แต่นิดเดียว

ต้องขอโทษนะคะที่เราเขียนรีวิวแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นความผิดของคนแต่ง แต่เราอึดอัดกับทิศทางของเรื่องมาก ๆ ทัศนคติของตัวละครที่เห็นแก่ตัว ดูถูกมนุษย์ มันมากเกินไป แต่กระนั้นเพราะการเขียนค่ะ เราเลยตัดสินใจอ่านเล่มสองต่อ อย่างน้อยก็ซื้อมาแล้วนี่นา

เล่มนี้คะแนนที่ 63 (ซึ่งอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้นะคะ ถ้าเราไม่ได้มีปัญหากับทัศนคติของคาแร็คเตอร์บางตัวในเรื่องนี้)

ป.ล. สำหรับคนที่สนใจว่า ทำไมเราเอาไปเปรียบเทียบกับหนังสือของคอรีน คัลลาแฮน นั่นก็คือ ทั้งสองเป็นเรื่องแนวพารานอมอลทั้งคู่ โลกของตัวละครในเล่มนี้เขียนได้ดีกว่า น่าค้นหามากกว่า ตัวละครก็มีมิติมากกว่า การเล่าเรื่องก็ดีกว่า แต่ท้ายที่สุดเราตัดสินใจตามอ่านเรื่องของคอรีน คัลลาแฮนค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เราอ่านเรื่องชุดนั้น ที่ไม่มีอะไรมากมายให้คิดรกสมอง เพราะเป็นไปตามสูตรสำเร็จทุกอย่าง เราสบายใจค่ะ ในขณะที่เราอ่านเรื่องชุดนี้ เราเกิดความรู้สึกรุนแรงมาก ๆ ไม่มีความสุขเอาเลยค่ะ



View all my reviews

Review: The Last Duchess


The Last Duchess
The Last Duchess by Stephanie Feagan

My rating: 3 of 5 stars



ต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็น Nice surprise ค่ะ เพราะถ้าให้เราซื้อมาอ่านเอง ก็คงไม่อ่าน เนื่องจากไม่รู้สึกว่า นักเขียนคนนี้โดดเด่นในเรื่องการเขียนแนวย้อนยุค แต่เพราะได้มาฟรีตอนไปงาน RWA แล้วอ่านพล็อตน่าสนใจมาก ๆ ก็เลยตัดสินใจหยิบมาอ่าน ซึ่งสนุกเกินคาดมาก ๆ

กระนั้นก็คงต้องบอกว่า พอเข้าใจนะว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ได้ตีพิมพ์กับสนพ.ในนิวยอร์ค ไม่ใช่ว่าคุณภาพของเรื่องไม่ดีหรอกนะคะ แต่มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ไม่เข้าสูตรสำเร็จของเรื่องแนวย้อนยุค แต่ก็ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้เราชอบเล่มนี้ เพราะมันแตกต่าง ให้ความรู้สึกแปลกไปจากการอ่านเรื่องแนวย้อนยุคเล่มอื่น ๆ

เรื่องเริ่มต้นตามสูตรค่ะ เลดี้เจน เลนน็อคซ์แอบหลงรักไมเคิล ดยุคแห่งบิกซ์ฟอร์ดมาหลายปี เธอประทับใจเขาตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์ที่ภรรยาของดยุคเสียชีวิตไปจากการคลอดลูก และรอคอยจนระยะเวลาการไว้ทุกข์ผ่านไป และตอนนี้เจนหวังว่า จะทำให้เขามองเห็นเธอมากพอที่จะเลือกไปเป็นดัชเชส

แต่การมองเห็นของบิกซ์เกิดขึ้นในสถานที่และเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก ทั้งคู่เจอกันยามวิกาลในห้องสมุดที่เปลี่ยว และการพบกันก็ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย เจนมองเห็นว่า เจ้าชายในฝันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขาดูถูกเธอ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอไม่อาจเป็นดัชเชสที่เหมาะสมได้ แต่เขาก็จะแต่งงานกับเธอเพราะเป็นสุภาพบุรุษมากพอ

เจนเลือกที่จะหนีไปอยู่กับญาติที่สก๊อตแลนด์ แทนที่จะเข้าพิธีแต่งงาน บิกซ์คิดว่าตัวเองโชคดี และแต่งงานกับหญิงสาวที่เขาคิดว่าเหมาะสม

จุดนี้แหละที่ทำให้เราคิดว่า เรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันแหกกฎหลายอย่าง เราชอบนางเอกที่กล้าตัดสินใจ และไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ภูมิหลังของเธอที่คนแต่งวางเอาไว้ ก็ทำให้น่าเชื่อว่า เธอกล้าที่จะเลือกเส้นทางนี้ เธอกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเสีย แต่สำหรับน้องสาวคนเล็กในครอบครัวที่มีลูกชายอีกหกคน เจนไม่ใช่กุลสตรีที่อยู่ในกรอบเสมอ เธอไม่เลือกที่จะใช้ชีวิตการแต่งงานโดยปราศจากความรัก

หลายปีผ่านไป บิกซ์กลายเป็นหม้ายอีกรอบ และไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนที่เขาแต่งหลังจากเจน แต่เขาแต่งงานกับอีกคน และเธอก็เป็นอีกคนที่ตายในการคลอดลูก นั่นทำให้สถานะของเขาที่แม้จะเป็นดยุค แต่ก็ไม่มีใครต้องการในตลาดการแต่งงาน ภรรยาสามคนแรกของเขาตายในการคลอดลูก นั่นมากพอจะทำให้หญิงสาวทุกคนหวาดกลัว

ยกเว้นเจน ที่ตอนนี้กลับมาจากสก๊อตแลนด์แล้ว

ทั้งคู่เจอกัน และตกลงกันว่า ต่างฝ่ายต่อเหมาะสมซึ่งกันและกันที่สุด เจนที่ชื่อเสียงเสีย และไมเคิลที่ถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย นี่เป็นการแต่งงานเพื่อความสะดวก

เราชอบครึ่งแรกของเรื่องมาก ๆ นางเอกโดดเด่น น่าสนใจ และแตกต่าง เราเข้าใจการตัดสินใจและทางเลือกของเจน และปรบมือให้กับเธอ ฉากที่เธอต่อรองกับพระเอกในเรื่องการแต่งงาน การที่เธอยื่นคำขาดให้เขาเลือกยุ่งกับบรรดาเมียเก็บทั้งหลาย และมีเธอเพียงคนเดียว บ่งบอกคาแร็คเตอร์ของเธอได้ดีมาก ๆ

อย่างที่บอกค่ะ เรารู้สึกว่า เรื่องนี้แตกต่างไปจากย้อนยุคหลายเล่ม

ในแง่ของการเขียน ยอมรับนะคะว่า มีหลายช่วงที่เราอ่านสะดุด การใช้ภาษามีภาษาสมัยใหม่มาปะปนเล็กน้อย แต่เรายกประโยชน์ให้ค่ะ เพราะคาแร็คเตอร์เองก็มีความเป็นคนสมัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ ยาวเกินไป เรารู้สึกว่า หลังจากการแต่งงานแล้ว เรื่องราวดำเนินต่อมาค่อนข้างเยอะ และทำให้เรื่องดูน่าเบื่อไป แถมยังทำให้คาแร็คเตอร์ของเจนอ่อนลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้เธอดูไม่เหมือนคนที่เราคิดว่า เธอเป็น มันไม่ถึงกับทำลายคาแร็คเตอร์ของเธอนะคะ แต่ทำให้ความชอบที่เรามีให้เธอลดน้อยลงไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

เล่มนี้มีเรื่องของคู่รอง ซึ่งเป็นเรื่องของพ่อของเจน และน้องสาวของบิกซ์ บอกตามตรงเลยนะคะ ได้คู่นี้แหละมาช่วยผยุงครึ่งหลังของเล่มเอาไว้ เราชอบทั้งสองมากจนอยากอ่านเรื่องราวของเขาแบบเต็ม ๆ เลยล่ะค่ะ

โดยรวมเป็นหนังสือที่สนุกแบบน่าแปลกใจ และทำให้เราเข้าสู่โหมดการตามหางานของสเตฟานี เฟแกนมาอ่านเลยล่ะ น่าเสียดายว่า นี่เป็นเรื่องย้อนยุคเล่มเดียวที่เธอเขียนออกมาในตอนนี้ (เห็นโฆษณาท้ายเล่มว่าจะมีเรื่องของบรรดาพี่ชายของเจน แต่ไม่รู้ว่า จะเขียนเมื่อไหร)

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Monday, October 28, 2013

Review: Shattered Ink


Shattered Ink
Shattered Ink by Laura Wright

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้เป็นตอนที่สองของความสัมพันธ์ระหว่างรัชและแอดดิสัน (จากเรื่อง First Ink) แต่เราไม่คิดว่า จำเป็นจะต้องอ่านเล่มแรกเพื่อให้เข้าใจเรื่องในเล่มนี้หรอกนะคะ แต่ก็นะ ถ้าไม่ได้อ่านเล่มแรกมาก่อน เราก็ไม่รู้สึกว่า เล่มนี้จะมีความน่าสนใจในตัวเองเท่าไหร

เพราะว่าตามตรง เล่มนี้เหมือนเรื่องเล่าเหตุการณ์ภายหลัง Happy Ever After นั่นคือ ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างพระนางได้ค่อนข้างลงตัวไปแล้ว เรื่องแค่อธิบายเพิ่มเติมและตอบคำถามที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง (เพราะไม่มีความสำคัญเพียงพอตอนที่อ่านเล่มแรก) ซึ่งสำหรับคนที่อ่านเล่มแรกมาแล้วอย่างเรา และโอเคกับมัน (เราไม่ได้ถึงกับคลั่งเล่มแรก แต่ก็ถือว่า สอบผ่านอ่านได้) ก็ย่อมจะอยากอ่านต่อ แต่ถ้าคนไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้ เราก็ไม่ถึงกับแนะนำให้กระโดดลงมาที่เล่มนี้เลย

อย่างที่เกริ่นไป เล่มนี้เป็นเหตุการณ์ภายหลังตอนจบของ First Ink ที่เมื่อรัชและแอดดิสันปรับความเข้าใจกันได้ และกลับมายอมรับความรู้สึกที่ทั้งคู่มีให้กัน (นั่นคือ บอกรักกันไปแล้ว) แต่สถานะของทั้งคู่ที่อยู่ต่างรัฐ โดยรัชอยู่ในเวกัส ส่วนแอดดิสันเรียนในแคลิฟอร์เนียก็สร้างปัญหาให้กับทั้งคู่ การดำเนินความสัมพันธ์แบบทางไกลทำให้ทั้งสองโหยหากันและกันมาก และกำลังส่งผลต่อการเรียนของแอดดิสันด้วย

เราเสียดายนะคะที่เรื่องไม่ได้เน้นที่จุดนี้มากนัก คือมีการกล่าวถึงว่า แอดดิสันแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอน คิดถึงรัชมากมาย จนไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ เราอยากรู้ว่า เธอใช้ชีวิตอย่างไร หรือปรับตัวยังไง แต่เรื่องก็พูดแค่นั้น แล้วก็ตัดมาที่การเรียนจบของเธอเลย ทำราวกับมันไม่มีผลกระทบต่อชีวิตการเรียน เรื่องไปมุ่งเน้นที่ความสัมพันธ์ของรัช และแอดดิสันมากกว่า การที่เธอยังไม่กล้าบอกรัขถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามันท่วมท้นมากเพียงใด ว่าเธอรักเขายิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิต ซึ่งว่าไปส่วนนี้ก็ดูเด็กเกินเหตุ

เช่นเดียวกับเล่มแรก เล่มนี้ก็อ่านได้ค่ะ เราว่า Point of View ของรัชในเล่มนี้ดูมีความเป็นชายมากขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น แต่ประเด็นในเรื่องดูเหมือนเด็กเล่นขายของเกินเหตุ เหมือนคนแต่งไม่มีพล็อตจะเขียน แต่ถูกแฟน ๆ เรียกร้องให้เขียนต่อ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ)

อย่างไรก็ตาม น่าแปลกนะคะ เราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรกเล็กน้อย เราว่า การเขียนค่อนข้างลงตัวมากขึ้น

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: First Ink


First Ink
First Ink by Laura Wright

My rating: 3 of 5 stars



เราซื้อเรื่องนี้มาตอนที่ขายรวมกับหนังสืออีกหลายเรื่อง (ในหนังสือทั้งชุดเป็น Box set ว่า Wicked First)

เล่มนี้เขียนตามกระแสเรื่องแนว New Adult โดยว่าไปแล้วก็ถือว่า เอาองค์ประกอบเด่น ๆ ของเรื่องแนวนี้มาครบถ้วน พระเอกที่ทำอาชีพเป็นนักสักที่มีชื่อเสียงโด่งดัง (ที่แน่นอนว่า มีรอยสักเต็มตัว) นางเอกที่เป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบ และกำลังอยู่บนทางแยกของชีวิต

เราอ่านเพราะเป็นงานเขียนของลอรา ไรท์ ซึ่งเราชอบการเขียนเรื่องในแนวพารานอมอลชุด Mark of the Vampire ของเธอ

เรื่องนี้ค่อนข้างสั้น และโชคดีว่า พล็อตเรื่องที่วางไว้เวิร์คกับความยาวของหนังสือเพราะพระเอกของเรื่อง รัช และแอดดิสัน นางเอกเคยมีความหลังกันมาก่อน โดยทั้งคู่ในสมัยเรียนมัธยมเป็นคู่รักที่รักกันมาก แต่แอดดิสันหักอกรัชด้วยการโกหกเขา และปันใจไปให้ผู้ชายอีกคน ทั้งที่เธอก็รู้ดีว่า รัชคืนคนที่ใช่สำหรับเธอ แต่เนื่องจากความกดดันที่เธอต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนักเรียนไฮสคูล เธอเผลอใจไปกับชายคนอื่นที่ดูเหมาะสมกว่า และเมื่อความจริงเปิดเผย รัชออกจากเมือง และตัดขาดทุกอย่างจากเธอ

เวลาผ่านไปหลายปี แต่แอดดิสันไม่เคยลืมการกระทำอันเลวร้ายของตัวเอง และเมื่อมาถึงจุดนึงเธอต้องการขอโทษ และนั่นทำให้นักศึกษาจากรัฐแคลิฟอร์เนียไปโผล่ที่ลาสเวกัส ในงานแสดงการสักที่รัชได้รับเชิญให้มาปรากฎตัว เธออาศัยโอกาสนั้นพบกับเขาอีกครั้งนึง (เพราะเขาไม่ยอมพบเธอไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ)

แต่การขอโทษกลับกลายเป็นการคืนดี

เรื่องนี้ในภาพรวมอ่านได้เรื่อย ๆ ค่ะ และแม้พล็อตจะใช้สูตรสำเร็จของเรื่องแนว New Adult หลายอย่าง เราไม่รู้สึกถึงความเป็น NA เท่าไหรนะคะ เรื่องออกไปทาง Contemporary Romance มากกว่า ตัวละครถือว่า มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยมีอะไรงี่เง่า หรือความต้องการทำลายตัวเองมากนัก

เราชอบพล็อตคนรักเก่าคืนดี แต่ก็หงุดหงิดไม่น้อยตรงที่เราไม่รู้สึกว่า แอดดิสันจะไถ่โทษการกระทำของตัวเองเท่าไหรนัก สรุปว่า พระเอกใจดีเกินเหตุ จากการกระทำของเธอ เราว่า น่าจะให้เธอทนทุกข์มากกว่านี้ แต่เนื่องจากเล่มนี้ค่อนข้างสั้น เหตุการณ์จึงเกิดขึ้นรวดเร็ว ความโกรธของพระเอกก็เลยหายเร็วไปตามหน้ากระดาษ

ส่วนเดียวที่เราคิดว่า ไม่เวิร์คสำหรับเรื่องนี้ก็คือ เวลาที่เรื่องถูกเล่าผ่านมุมมองของรัช เรารู้สึกว่า การเขียนเป็นแบบผู้หญิงมากเกินไป นั่นคือ รัชมีความคิดเหมือนผู้หญิง ทำให้เวลาอ่านแยกไม่ค่อยออกว่า ใครเป็นคนเล่าเรื่องระหว่างรัช หรือแอดดิสัน

เรื่องนี้จบแบบไม่จบดีนัก ไม่ถึงกับเป็น Cliffhanger แต่ก็มีหลายอย่างค้างคาใจ

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Tuesday, October 22, 2013

Review: Bold Tricks


Bold Tricks
Bold Tricks by Karina Halle

My rating: 4 of 5 stars



สารภาพว่า ก่อนจะเริ่มอ่านเล่มนี้ เราแอบเปิดตอนจบอ่านก่อนค่ะ กะว่า ถ้าแคมเดนไม่ใช่พระเอก หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จะไม่อ่านเล่มนี้แน่นอน ดังนั้นเมื่อเริ่มอ่านจริง ๆ ก็เลยสบายใจได้ เพราะเนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

เราคงต้องเตือนว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มก่อนหน้า เพราะเหตุการณ์เล่มนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกับตอนจบเล่มที่แล้ว อันที่จริงเราคิดถึงหนังสือชุดนี้ว่า เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ถูกแบ่งขายออกเป็นสามเล่มจบมากกว่าที่จะแยกเนื้อเรื่องระหว่างกันได้

สรุปว่า ถ้าคิดจะอ่านเรื่องชุดนี้ เราไม่แนะนำให้อ่านต่อจากนี้ไปนะคะ

จากเหตุการณ์ในเล่มที่แล้ว แอลลีซึ่งถูกกล่อมแกมบังคับโดยฮาเวียร์ให้ไปลอบสังหารทราวิส (เจ้าพ่อค้ายา ซึ่งเป็นคนที่ทำร้ายเธอตอนเด็ก และเป็นคนที่ฮาเวียร์หวังจะโค่นเพื่อขึ้นครองอำนาจแทน) แต่แผนผิดพลาด เมื่อเธอพบกับมารดาของตัวเอง ทำให้ทราวิสรู้ความจริงว่าแอลลีเป็นใคร และเริ่มออกตามล่า ในขณะที่แคมเดนแม้จะรู้ว่า แอลลีทรยศไปมีความสัมพันธ์กับฮาเวียร์อีกครั้ง เขาก็ยังทิ้งเธอไม่ลง เสี่ยงชีวิตมาช่วย ทั้งคู่กับหนี และใกล้จนมุม แต่ฮาเวียร์โผล่มา ช่วยพวกเขาและหนีไปด้วยกัน

แต่เนื่องจากกัส เพื่อนที่คอยช่วยเหลือแอลลีมาตลอด (และเดินทางมาเม็กซิโกกับแคมเดนเพื่อช่วยเธอจากฮาเวียร์) ถูกทราวิสจับตัวไป แอลลีจึงตัดสินใจทำข้อตกลงกับฮาเวียร์ เพื่อให้เขาช่วยเธอในการช่วยเหลือกัส แม้จะไม่ไว้ใจอดีตชายคนรักคนนี้อีกต่อไปแล้ว แต่แอลลีก็ไม่มีทางเลือก เรื่องยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้แคมเดน ชายคนที่เธอมีใจให้ในตอนนี้ก็อยู่ด้วย และส่วนผสมระหว่างแคมเดน และฮาเวียร์ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย

สำหรับเราแล้ว การอ่านสองเล่มแรกในชุด และได้เห็นตัวตนที่แท้จริง (หรือจะบอกว่า ตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไป) ของฮาเวียร์ เราไม่แปลกใจนะคะที่ท้ายที่สุด แอลลีเลือกแคมเดน อันที่จริงมันไม่มีการเลือกด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้ดีมาตลอดว่า ใครคือคนที่เธอต้องการ แต่เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น การที่เธอเผลอใจกลับไปมีความสัมพันธ์กับฮาเวียร์อีกครั้ง (การกระทำของเธอที่เราเข้าใจนะคะ แต่ก็ถือว่าแรงมาก ๆ สำหรับแฟนหนังสือโรแมนซ์) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแคมเดนอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะมันยากที่จะให้อภัยตัวเอง หรือขอให้แคมเดนเข้าใจการกระทำนั้น

เราชอบประเด็นนี้ที่คนแต่งเขียนค่ะ เรารู้สึกว่า สมจริง ซึ่งจุดนี้หนังสือโรแมนซ์หลายเล่มมองข้าม (และหาทางจบเรื่องด้วยการทำให้เป็นเรื่องแนว menage) เล่มนี้ความรู้สึกผิดที่แอลลีมี ความโกรธที่ยากควบคุมของแคมเดน ทำให้ช่วงต้นเรื่องอ่านไปก็ปวดหัวใจไปเป็นระยะ ๆ

และอาจจะเป็นเพราะว่า เราทำใจได้แล้วว่า ฮาเวียร์ในอีกเจ็ดปีต่อมา ไม่ใช่คนคนเดียวกับที่เราได้เจอในเรื่อง On Every Street ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหานะคะ เพราะเราคิดว่า คนแต่งเขียนได้ชัดเจนถึงที่มาที่ไป แม้เราจะไม่เคยเห็นความคิดของฮาเวียร์ แต่ก็คิดว่า อะไรที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบที่เป็น นี่ไม่ใช่กรณีของการที่คาแร็คเตอร์เปลี่ยนนิสัยแบบไม่มีที่มาที่ไป ฮาเวียร์อยู่ในธุรกิจที่สกปรก เขากระหายอำนาจ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่คนอ่าน OES ได้รับรู้อยู่แล้ว เวลาหกปีทำให้เขากลายมาเป็นคนอย่างที่เป็น สู่โลกแห่งความมืดเต็มตัว (แทนที่จะเป็นด้านสีเทาอย่างที่เห็นในตอนแรก) ด้วยเหตุนี้เราจึงยอมรับการกระทำของในเรื่องนี้ได้โดยไม่แปลกใจ อันที่จริงฉากที่แอลลียังคิดว่า ฮาเวียร์จะไม่มีวันทำร้ายเธอ เรายังคิดว่า เธอไร้เดียงสาเกินไป

ส่วนที่เราตั้งคำถาม และคิดว่าไม่สมจริงก็คือ การที่ฮาเวียร์ปฏิบัติต่อครอบครัวตัวเอง เรารู้สึกว่า มันมากเกินไป เข้าใจว่า คนแต่งต้องการสื่อให้คนอ่าน (และแอลลี) ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เราคิดว่า การเขียนให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ได้อุทิศตัวให้กับครอบครัวอย่างที่แอลลีเข้าใจมาตลอดชีวิต มันสุดโต่งเกินไป เหมือนกับกลัวว่า เธออาจจะเปลี่ยนใจมาเลือกเขา (ซึ่งสำหรับเราแล้ว นั่นไม่ใช่ทางเลือก)

มาถึงแคมเดน เขาเป็นตัวละครที่ทำให้เราเปลี่ยนใจได้ คนที่อ่านรีวิวของเราในเรื่อง Sins and Needles คงจะพอรู้ว่า เรารู้สึกเช่นไรกับเขา เราคิดว่าเขาสมบูรณ์แบบเกินไป เล่มนี้นอกจากจะเล่าเรื่องของแอลลีแล้ว ก็ยังเล่าเรื่องของแคมเดน คนอ่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา ชายคนที่กลายมาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่า จะเป็นได้ เพื่อผู้หญิงที่เขารัก นั่นโรแมนติกที่สุด และทำให้เขาก้าวเข้ามาอยู่ในใจของเราทีละนิด (จนมาถึงเล่มนี้ก็กลายเป็นทีมแคมเดนไปเต็มตัวแล้วล่ะ) ที่สำคัญเราคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของแคมเดนน่าเชื่อ คนแต่งไม่ได้อัพเกรดให้เขาดูมีความเป็นพระเอกที่เท่ห์มากขึ้น มันอยู่ในตัวตนของเขาอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ตลอดเวลาไม่มีเหตุที่แคมเดนต้องทำอะไรกับมัน จนกระทั่งเมื่อเขาต้องช่วยชีวิตแอลลี

เราสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทราวิสและแม่ของแอลลี เรารู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาประเด็นนี้เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องก็ได้ แล้วยังตอนท้ายเรื่องที่อ่านแล้วงงนิดหน่อย ที่ฮาเวียร์จับตัวแคมเดนไปเพื่อทำให้พี่ชายของอดีตภรรยาของแคมเดนพอใจมากจนอนุญาตให้ฮาเวียร์เข้ามาขยายอาณาเขตในพื้นที่ตัวเองได้ แต่แล้วทำไมฮาเวียร์ต้องให้เสื้อเกราะกับแคมเดน แล้วยังเปิดฉากด้วยการยิงต่อสู้กันอีก มันไม่มีเหตุผล และเหมือนจะเป็นการทำให้คนอ่านช็อคแค่นั้นเอง โดยเฉพาะฉากที่ แคมเดนโดนยิง

เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นโรแมนซ์ที่แหกกฎหลายข้อ แต่มีตอนจบที่สวยงามเหมือนเทพนิยาย ซึ่งเป็นตอนจบแบบที่เราชอบมากที่สุด

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Friday, October 18, 2013

Review: Shooting Scars


Shooting Scars
Shooting Scars by Karina Halle

My rating: 3 of 5 stars



รีวิวนี้แตกต่างนะคะ เพราะเราเขียนในสองช่วงเวลา

นี่เป็นรีวิวที่เราเขียนหลังจากอ่านจบครั้งแรกค่ะ (ตอนที่เรายังไม่รู้ว่า บทสรุปของเรื่องจะเป็นเช่นไร)

ขอเตือนว่า รีวิวนี้จะเป็นสปอยล์สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก (Sins and Needles) ในชุดนะคะ

สำหรับเราแล้ว เล่มนี้ถือว่าเป็นเล่มที่น่าผิดหวัง ไม่ใช่ในแง่ของเนื้อเรื่องนะคะ เพราะเรื่องมีความตื่นเต้นน่าอ่านมาก แต่เราผิดหวังเพราะเกือบตลอดทั้งเรื่องนางเอกใช้เวลาอยู่กับคาแร็คเตอร์ที่เราไม่ชอบ ในขณะที่คนที่เราคิดว่า จะเป็นพระเอกอยู่ที่ทางนึง พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอ

เรื่องเล่าต่อเนื่องจากตอนจบของเล่มแรก เมื่อเอลลีตัดสินใจยอมไปกับฮาเวียร์เพื่อแลกกับการที่เขาต้องปล่อยอดีตภรรยาและลูกชายของแคมเดนไป เธอเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น และการเสียสละครั้งนี้เอลลีก็คิดว่า คงหมายถึงการจบสิ้นกันระหว่างเธอ และแคมเดน เมื่อเธอคิดว่า เขาคงจะกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวด้วยโอกาสที่สองที่เธอมอบให้

แต่เอลลีประมาทแคมเดนเกินไป หลังจากจำใจยอมปล่อยให้เธอไปกับฮาเวียร์ เขาเลือกที่จะปกป้องชีวิตของลูกชาย แต่เมื่อพบว่าตัวเองก็ถูกทรยศเช่นกัน แคมเดนก็เริ่มต้นการเดินทางเพื่อตามหาและช่วยเหลือเอลลีบ้าง โดยเขาร่วมมือกับกัส ชายสูงวัยที่ห่วงใยเอลลียิ่งกว่าพ่อแม่ของเธอเสียอีก (เขาเป็นคาแร็คเตอร์ที่ช่วยเหลือเอลลีหลายครั้ง) การเดินทางที่เปลี่ยนแปลงเขาจากชายหนุ่มที่อาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่มันนำเขาไปสู่ด้านมืด ไปสู่การกระทำที่เขาไม่คิดว่า ตัวเองจะสามารถทำได้ แต่แคมเดนเรียนรู้ว่า เขาทำทุกอย่างได้เพื่อแอลลี่

เล่มนี้แหละคือเล่มที่เรารู้สึกว่า แคมเดนเข้ามาสู่คาแร็คเตอร์ที่เขาควรจะเป็น เราชอบมุมมองของเขา ชอบการเปลี่ยนแปลงของเขา เพราะแม้เขาจะต้องทำหลายอย่างที่เลวร้าย เรายังคงรู้สึกเสมอว่า แก่นที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ยังคงเป็นคนเดิม บางครั้งคนเราต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่สิ่งที่แคมเดนชนะใจเรา (ซึ่งถือว่าไม่น่าเชื่อ เมื่อคิดว่า เราหลงใหลคาแร็คเตอร์ของฮาเวียร์มากขนาดไหนตอนอ่านเรื่อง On Every Street) ก็คือความคิดที่เขามีต่อเอลลี

"Even at her very worst, she made me want to be better man. To be good enough for the both of us."

ความน่าหงุดหงิดของเราอยู่ตรงเรื่องราวในส่วนของเอลลี ไม่ใช่เพราะคาแร็คเตอร์ของเธอนะคะที่มีปัญหา แต่เราอึดอัดที่หนังสือเล่มนี้พระนางไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย (เรายังยืนยันนะคะว่า แคมเดนเป็นพระเอกแน่นอน เราไม่เชื่อว่า คารินา ฮัลล์จะเขียนให้ฮาเวียร์เป็นพระเอกด้วยพฤติกรรมแบบนี้) เพราะเธอถูกฮาเวียร์ชักจูงให้เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อแก้แค้น การแก้แค้นที่เอลลีต้องการมาตั้งแต่ต้น (จุดเริ่มต้นจาก On Every Street) กับชายคนที่ราดน้ำกรดลงบนขาของเธอ โดยที่ตลอดเวลาเอลลีคิดว่า แคมเดนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวของเขา และเธอไม่เหลือใครอีก

อาจจะเป็นเพราะจุดนี้นะคะ เราจึงพอเข้าใจการกระทำของเธอ ที่เธอหวนกลับไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับฮาเวียร์อีกครั้ง เรื่องนี้แฟนโรแมนซ์ทำใจยากนะคะ แต่เราว่า คนแต่งเขียนนำเรื่องให้เข้าใจได้ ความรู้สึกสูญเสีย และคิดว่า แคมเดนจากไป ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ประกอบกับความหลังที่เคยมีด้วยกัน เราเชื่อว่า เธอเผลอใจไปได้ และเราไม่โทษนางเอกนะคะ การที่คนแต่งทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ เราถือว่า เธอเก่งค่ะ

เช่นเดิมเล่มนี้จบแบบค้างคาค่ะ

คะแนนที่ 63


นี่เป็นรีวิวหลังจากที่กลับมาอ่านอีกรอบ หลังจากที่เล่มสุดท้ายในชุดออกขายแล้ว

เรามองเล่มนี้เหมือนตอนดูหนังเรื่อง The Empire Strikes Back ค่ะ นั่นคือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และน่าขัดใจเกิดขึ้นมากมาย แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิด เพื่อให้คาแร็คเตอร์มีการเติบโต ซึ่งในเล่มนี้คาแร็คเตอร์ที่โตมากขึ้นที่สุดก็คือ แคมเดน

เราชอบเขาในระดับนึงจากตอนอ่านเล่มแรก เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นพระเอกของเรื่อง จากการกระทำของฮาเวียร์ที่ข้ามเส้น แต่ในเล่มนี้ เราคิดว่าแคมเดนเป็นพระเอกเพราะตัวของเขาเอง ถ้านี่เป็นหนังสือกำลังภายใน ก็เป็นเล่มนี้แหละที่พระเอกฝึกวิทยายุทธ์สำเร็จ และกลายเป็นจอมยุทธ์

แคมเดนค้นพบด้านมืดของตัวเอง และพิสูจน์ว่า เพื่อเอลลีเขาทำได้ทุกอย่าง สำหรับเรานั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวละครในเรื่องนี้ไม่ใช่คนที่ขาวสะอาด ทุกคนมือเปื้อนเลือด เราพบว่า การก้าวข้ามหลักการของตัวเองที่แคมเดนทำไม่ได้ทำให้คุณค่าของเขาด้อยลง หากแต่กลับมากขึ้น เพราะเขาเสียสละมันเพื่อผู้หญิงที่เขารัก

"I will help you with whatever you need to do. You won't have to go through this alone. If you want to kill Travis, for whatever reasons you have, I will be there for you. And when you're done, if you let me, I will take you back home. And if you want to back out of it now, if you want to disappear tonight and never look back, Gus and I will help you with that too. What ever you've done or thought or planned or given up on, it doesn't change the fact that we came here for you. We came here to help you, Ellie, in whatever way you choose."

และนี่เป็นคำพูดที่เขาบอกเอลลี่ หลังจากเขาพบว่า เธอทรยศเขาด้วยการกลับไปมีเซ็กส์กับศัตรู ทั้งที่เขาทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยเธอ แคมเดนก็ไม่เดินหนี เขายังพร้อมที่จะทำเพื่อเธออยู่ดี

คาแร็คเตอร์ของแคมเดนในเล่มนี้แตกต่างจากฮาเวียร์อย่างชัดเจน เล่มนี้คือจุดตกต่ำที่สุดของเขา หลังจากที่เรามองว่าฮาเวียร์เป็นคนที่มีความน่าสนใจมากกว่าตอนที่อ่านเรื่อง On Every Street มาในเล่มนี้เราได้เห็นพัฒนาการ (ถ้าใช้คำนี้ได้) ของเขา เราประจักษ์กับความจริงที่ว่า ฮาเวียร์ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่เราอ่านเจอในเรื่อง On Every Street อีกต่อไป เขาเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างที่ทุกคนเปลี่ยน แต่การเปลี่ยนแปลงของเขาไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยความที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ของเรา อยากจะคิดว่า มันเกิดจากการที่เอลลี่เลือกที่จะเดินออกจากชีวิตของเขาเมื่อหกปีก่อน ทำให้ไม่มีใครที่จะสามารถเป็นเสียงแห่งความถูกต้องให้กับเขาก่อน แต่ความเป็นจริงก็คือ ถ้าเอลลีอยู่กับเขา ฮาเวียร์ก็คงจะพาเธอไปสู่ความชั่วร้ายด้วยอีกคน

เราอ่านรีวิวเจอว่าหลายคนบ่นเกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ของเอลลี เราไม่รู้สึกเลยนะคะ แม้ว่าเล่มนี้เธอจะแหกกฎหนังสือโรแมนซ์ด้วยการมีเซ็กส์กับฮาเวียร์ แต่เหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดนั้นน่าเชื่อพอสำหรับเรา เราคิดว่า ในเล่มนี้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอในที่สุด การเสียสละของเธอที่ยอมไปกับฮาเวียร์เพื่อช่วยลูกและอดีตภรรยาของแคมเดนบ่งบอกเป็นอย่างดี สำหรับเราแล้ว แคมเดนทำให้เอลลีมองหาความดีที่หลงเหลือในตัวเองจนเจอ และนั่นทำให้เธอแตกต่างไปจากฮาเวียร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง On Every Street ได้เปลี่ยนแปลงเอลลีให้เข้มแข็งขึ้น แต่เธอก็กร้านโลกมากขึ้น เธอทอดทิ้งความดีงามเพื่อเอาชีวิตรอด เรารู้สึกว่า แคมเดนคือเข็มทิศในชีวิตที่เธอต้องการ

เรารู้สึกว่า เราอ่านอีกครั้งแล้วเข้าใจความตั้งใจของคนแต่งมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้การอ่านเล่มนี้ง่ายขึ้นมาเลย สำหรับเรา มันเป็นความเจ็บปวดที่จำเป็น เพื่อบีบให้ตัวละครโตขึ้น และกลายเป็นคนแบบที่เราให้ความเคารพได้




View all my reviews

Review: Sins & Needles


Sins & Needles
Sins & Needles by Karina Halle

My rating: 3 of 5 stars



นี่เป็นรีวิวที่เขียนในสองช่วงเวลาค่ะ

รีวิวแรกเป็นการเขียนหลังจากที่เราอ่านเล่มนี้จบครั้งแรก

เรามีความคาดหวังกับหนังสือเล่มนี้อย่างมาก ๆ เพราะเราชอบเรื่อง On Every Street มาก กระนั้นก็ยังรู้สึกประหลาดเมื่ออ่านคำโปรยของเรื่องแล้วพบว่า เอลลี่ นางเอกผู้ทำอาชีพนักต้มตุ๋นของเราเข้าไปพัวพันกับคาแร็คเตอร์ผู้ชายอีกคน ซึ่งไม่ใช่ตัวละครที่เราคิดว่า น่าสนใจมาก ๆ ตอนที่อ่าน On Every Street ดังนั้นเราคงต้องบอกว่า เตรียมใจไว้เลยล่ะค่ะว่า จะต้องไม่ชอบคาแร็คเตอร์ของแคมเดน แม็คควีน

หลังจากใช้ชีวิตหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คนอยู่หลายปี เอลลี วัตต์ก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปแคลิฟอร์เนีย ยังเมืองที่เธอเคยใช้ชีวิตสมัยมัธยมอีกครั้ง ส่วนหนึ่งด้วยเบื่อหน่ายชีวิตที่หลอกลวงผู้คนไปวัน ๆ เธอจึงคิดอยากจะเลิก แต่ก็ไม่ได้ทำง่าย ๆ เพราะนี่เป็นชีวิตแบบเดียวที่เอลลีรู้จัก

และความตั้งใจที่จะกลับตัวของเธอก็สูญสลายไป เมื่อเธอได้พบกับแคมเดน แม็คควีน เพื่อนสนิทสมัยมัธยม คนที่เธอทำให้ขายหน้า เพราะเอลลีต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แม้ว่าความจริงก็คือ แคมเดนคือเพื่อนคนเดียวที่เธอมีในเมืองนี้ การกลับมาเจอกันอีกครั้ง เอลลีพบว่า แคมเดนเป็นเจ้าของร้านสักที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่สำคัญร้านของเขาทำงานได้มากมาย มากเสียจนทำให้เธอมองเห็นเขาเป็นเหยื่อที่จะหลอก แผนการถูกวางขึ้น เธอเริ่มตีสนิทกับชายหนุ่ม ที่ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยมัธยม จากเด็กชายที่นิยมการแต่งการแนวโกธ เขากลายเป็นหนุ่มร่างใหญ่ แข็งแรง หล่อเหลา และดูสมบูรณ์แบบ

อย่างที่บอกนะคะ เราเตรียมใจที่จะไม่ชอบแคมเดน และตอนที่อ่านในช่วงต้นเรื่อง เราก็รู้สึกว่า เขาดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง ช่างสมบูรณ์แบบอะไรแบบนี้ มันเกินไปน่ะค่ะ ผู้ชายแบบนี้เราไม่คิดว่า จะมีความน่าสนใจ หรือน่าค้นหา ยิ่งเมื่อเทียบกับฮาเวียร์ด้วยแล้ว ผู้ชายอีกคนเต็มไปด้วยรอยแผล และข้อผิดพลาด แคมเดนดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกัน

เราคิดเลยนะคะว่า ถ้าเราไม่ได้ชอบ On Every Street มากแบบนี้ เราคงจะหยุดอ่านไปแล้วล่ะ เราไม่รู้สึกว่าเรื่องจะน่าสนใจ ก็แค่เอลลีหลอกผู้ชายอีกคน เราเริ่มไม่ชอบนางเอกมากขึ้น เพราะแม้เราจะไม่ได้คิดว่า แคมเดนมีอะไรพิเศษ แต่เขาก็คือเพื่อนของเธอ เขาไว้ใจเธอ แต่เธอวางแผนจะปล้นเขา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น และ เมื่อความจริงเปิดเผยออกว่า แคมเดนเองก็ไม่ได้สวยสดงดงาม เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างฮาเวียร์ที่พัวพันกับแก๊งค์ค้ายาเสพติด แต่เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ อันที่จริงแคมเดนเองก็มีบาดแผล มีความผิดพลาด และตอนนี้ความผิดพลาดกำลังจะทำให้เขาจมลง ความน่าสนใจของเรื่องก็คือ เขาอ่านแผนการของเอลลีอออก และนั่นทำให้รัศมีความเป็นพระเอกของเขาพุ่งพรวดออกมาเลยทีเดียว ในฉากที่เขาจับเอลลีคาหนังคาเขาขณะพยายามปล้นเขา แคมเดนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา นั่นทำให้เรื่องนี้เพิ่มความน่าสนใจขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลย เพราะในที่สุดเราก็ได้มองเห็นว่า แคมเดนไม่ได้สมบูรณ์แบบ เขาคือใครบางคนที่น่าค้นหาเช่นกัน และการที่เขารู้ทันเธอ ทำให้การกระทำของเธอที่คิดจะปล้นเขาไม่ดูเลวร้ายเกินไปนัก

เหตุการณ์ในเรื่องนี้ มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย เพราะในที่สุดแล้ว อดีตก็วิ่งไล่ทันเอลลี เมื่อฮาเวียร์กลับเข้ามาในชีวิต และทำทุกอย่างเพื่อตามล่าหาตัวเธอให้ได้

เอลลีต้องเลือกครั้งสำคัญ ระหว่างชายที่เป็นอดีต กับผู้ชายที่เธอหวังว่าจะเป็นอนาคต เช่นเดียวกันเล่มนี้จบแบบค้างคาใจสุด ๆ

คะแนนที่ 70 ที่น้อยเพราะตอนต้นเรื่องอืดมาก ๆ
ป.ล. เราได้ยินข่าวจากหลาย ๆ คนที่อ่านเล่มนี้ว่า เรื่องนี้เป็นแนวรักสามเส้า แต่เรารู้สึกเลยนะคะว่า มันไม่ใช่เลย เพราะมันเห็นได้ชัดมากว่า คนแต่งตั้งใจให้ใครเป็นพระเอก ซึ่งเราคิดว่า น่าจะเป็นแคมเดนนะคะ แต่คงเป็นเพราะฮาเวียร์มีความน่าจดจำมาก ๆ จึงทำให้คนอ่านอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง เราเองก็รู้สึกแบบนั้นนนะคะ แต่เป็นในช่วงแรกที่แคมเดนดูน่าเบื่อหน่าย แต่เมื่อถึงจุดเปลี่ยนของเรื่อง และฮาเวียร์ที่กลับมา เราเปลี่ยนข้างค่ะ


และนี่เป็นรีวิวที่เราเขียนหลังจากที่เรากลับมาอ่านอีกครั้ง หลังจากที่เล่มสุดท้ายในชุดออกขาย

เราอ่านเล่มนี้ต่อเนื่องหลังจากอ่านเรื่อง On Every Street จบลงทันที และทำให้สามารถเปรียบเทียบเหตุการณ์ทั้งสองเรื่องได้ชัดเจนมากกว่าตอนที่เราอ่านครั้งแรก จุดนึงที่เราเห็นชัดเจนเลยก็คือ ในเรื่องนี้มีการเล่าเหตุการณ์ในอดีตตัดกับปัจจุบัน โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งที่เอลลียังเรียนมัธยม และนั่นทำให้คนอ่านได้เจอกับแคมเดนในวัยรุ่น เรื่องในอดีตได้ย้อนไปจนถึงเหตุการณ์ที่เธอได้เจอกับฮาเวียร์ ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่เล่าในเรื่อง On Every Street จุดนี้เรารู้สึกเลยนะคะว่า มีความไม่สม่ำเสมอเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าคนแต่งเปลี่ยนแปลงอดีตนะคะ แต่ความรู้สึกของเรื่องแตกต่างกันมาก เหตุการณ์ระหว่างเอลลีและฮาเวียร์ที่เล่าในเล่มนี้ดูไม่ลึงซึ้ง ร้อนแรง อย่างที่เราอ่านเจอใน OES เลย เราไม่รู้สึกถึงความลึกซึ้งทางอารมณ์และความรู้สึกที่เอลลีมีต่อฮาเวียร์อย่างที่เราสัมผัสได้จากการอ่านเรื่อง OES

ในทางกลับกันการเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่เอลลีพัวพันกับแคมเดน ก็ทำให้เรารู้สึกว่า แคมเดนเป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่สำคัญมาก ๆ ของเอลลี จึงทำให้เราเกิดคำถามว่า แล้วทำไมใน OES เอลลีจึงไม่เคยนึกถึงแคมเดนเลยสักนิดเดียว เข้าใจนะคะว่า ในเวลานั้นเธอไม่เคยมองว่าเขาคือชายคนที่เธอจะตกหลุมรัก แต่เราคิดว่า แคมเดนเป็นเพื่อนที่เธอมีความรู้สึกให้ แต่เขากลับไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอตลอดเวลาในเรื่อง OES เลยสักนิดเดียว

การอ่านใหม่ทำให้เรามองแคมเดนแตกต่างออกไป อาจจะเพราะเรารู้แล้วว่า เขารู้ทันเอลลีมาแต่ต้น ทำให้การกระทำหลายอย่างของเขาดูมีเหตุผล และนั่นทำให้เขายิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้น เรารู้ตัวเลยนะคะว่า เล่มนี้เราเริ่มเปลี่ยนข้างจากฮาเวียร์มาเป็นแคมเดนแล้วล่ะค่ะ พฤติกรรมของฮาเวียร์มันล้ำเส้นการยอมรับได้ของเราไปแล้ว






View all my reviews

Review: On Every Street


On Every Street
On Every Street by Karina Halle

My rating: 4 of 5 stars



รีวิวนี้จะแตกต่างเล็กน้อยนะคะ เพราะเราเขียนในสองช่วงเวลาทีแตกต่างกัน

เราเขียนรีวิวนี้ในครั้งแรกที่อ่านจบ

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นปฐมบทของหนังสือชุด The Artists Trilogy ซึ่งเป็นเรื่องราวสามเล่มที่เล่าเรื่องของเอลลี วัตต์ นักต้มตุ๋นที่คิดจะวางมือ แต่ด้วยเหตุหลายอย่างอดีตไม่เคยปล่อยเธอไป เหตุการณ์ในเล่มนี้เกิดขึ้นก่อนเรื่องในเล่มแรกในชุด (Sins and Needles) หกปีก่อนหน้า

ในวัยยี่สิบปี เอลลี วัตต์ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นแก่นสาร หลังจากเรียนจบมัธยมเธอก็รีบเผ่นออกจากเมือง เพราะแม้จะใช้เวลาในช่วงวัยรุ่นที่นั่น เธอก็ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จากสภาพการถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ทำอาชีพเป็นนักต้มตุ๋น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้จัก และเป็นสิ่งที่เธอทำเพื่อใช้ในการหาเลี้ยงตัว แต่บางอย่างดูจะขาดหายไปจากชีวิตของเธอเสมอ บางอย่างที่เธอมองว่าเป็นจุดหมายสุดท้าย ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ

และนั่นคือการแก้แค้น ในวัยเด็กขณะที่ถูกพ่อแม่ใช้ให้เข้าไปขโมยของในบ้านของมาเฟียนามว่า ทราวิส เธอถูกจับได้ และถูกลงโทษด้วยการสาดน้ำกรดไปที่ขา มันเป็นรอยแผลเป็นภายนอก และภายในใจของเธอตลอดมา เอลลี่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการแก้แค้น

แต่การเข้าใกล้ทราวิสไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งค์ค้ายาใหญ่ แต่เธอก็เห็นโอกาสหลังจากที่ศึกษาคนใกล้ตัวของเขา เป้าหมายที่เธอต้องตีสนิท และใกล้ชิด

เขาคือฮาเวียร์ เบอร์เนล หนุ่มเม็กซิกันวัยยี่สิบสองปี รูปงาม มีเสน่ห์ และโหดเหี้ยม

การทำให้ฮาเวียร์สังเกตเห็นไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับหญิงสาวที่เอาด้วยรอดด้วยการหลอกลวง สิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดก็คือ ฮาเวียร์จะทำให้เธอเปลี่ยนใจในเรื่องการแก้แค้น เมื่อเธอพบว่า ตัวเองหลงติดไปกับความสัมพันธ์จอมปลอมที่ตัวเองสร้างขึ้น เธอพบว่าตัวเองตกหลุมรักฮาเวียร์

ขอบอกว่า เรื่องนี้อ่านแล้วติดสนิทเลยค่ะ ขนาดว่า ต้องเอามาอ่านต่อที่ทำงาน เรื่องน่าสนใจ และดำเนินเรื่องได้เร็ว ไม่ชักช้าเสียเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างเอลลี และฮาเวียร์ร้อนแรง และน่าเชื่อ เราคงต้องบอกตามตรงว่า ฮาเวียร์เป็นพระเอกที่น่ากลัวมาก ๆ นั่นคือเขาให้คุณลักษณะของพระเอกที่เราเรียกว่า พระเอกแนวแอนน์ สจ๊วต นั่นคือเขาโหดเหี้ยม น่ากลัว แต่ที่มากไปกว่านั้น เรารู้สึกว่า เขาล้ำเส้นแห่งความดีงามไป ปัญหาก็คือ เรากลับไม่รู้สึกว่า มันเกินไป เราเช่นเดียวกับเอลลี พยายามหาข้อแก้ตัวให้กับเขา ไม่ว่า การกระทำของเขาจะดูเลวร้ายมากเพียงใด

ดังนั้นหากจะบอกว่า เราสื่อกับเอลลี่ได้ก็ถูกนะคะ เราเข้าใจความสับสนที่เธอรู้สึก เพราะเราในฐานะคนอ่านก็ยังรู้สึกเลย เรารู้ว่า ฮาเวียร์ไม่ใช่คนดี เป็นมาเฟียแก๊งค์ยาเสพติด เขาทำในหลายสิ่งที่เลวร้าย แต่บางอย่างในตัวเขาดูเหมือนจะมีความดีเหลืออยู่ และเจ้าร่องรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละที่ทำให้เรามีความหวังว่า เขาจะเปลี่ยนแปลง จะเป็นคนที่ดีขึ้น

คงต้องเตือนว่า เล่มนี้ในฐานะที่เป็นบทเริ่มต้น ไม่ใช่เล่มแรกในชุดด้วยซ้ำ ตอนจบของเรื่องไม่ได้ให้คำตอบ หรือมีจุดลงเอยที่ลงตัวอะไรเลยนะคะ มันแค่เริ่มต้นหนังสือชุดที่เรารู้สึกว่า น่าอ่านมาก ๆ

คะแนนที่ 77
ป.ล.เราอ่านเรื่องนี้แบบเรียงตามลำดับเหตุการณ์ในเรื่องค่ะ คืออ่านเล่มนี้ก่อน แล้วจึงเริ่มเล่มหนึ่ง สอง และสาม ไปเรื่อย ๆ แต่ลำดับการอ่านที่คนแต่งแนะนำให้อ่านก็คือ ให้อ่านเล่มแรกก่อน แล้วค่อยอ่านเล่มนี้ ดังนั้นใครจะอ่านแบบไหนก็แล้วแต่นะคะ



ข้างบนเป็นรีวิวที่เราเขียนตอนอ่านเล่มนี้จบครั้งแรก ก่อนที่เราจะเริ่มต้นอ่านเล่มแรกในชุด หลังจากที่หนังสือเล่มสาม และเล่มสุดท้าย (Bold Tricks) ออกขาย เราตัดสินใจอ่านเรื่องชุดนี้ใหม่อีกครั้ง เราพบว่า มุมมองที่เรามีต่อเรื่องในชุดนี้เปลี่ยนแปลงไป และคิดว่า เป็นการดีที่เราจะเขียนรีวิวอีกครั้ง แต่คงต้องบอกว่า รีวิวที่จะมีต่อไป จะเป็นการสปอยล์เรื่องทั้งสามเล่มนะคะ เพราะเราเขียนโดยเห็นภาพรวมหนังสือทั้งชุดไปแล้ว

การกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งนึง เราคงต้องบอกว่า มุมมองและความคิดที่เรามีต่อฮาเวียร์ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยนะคะ เรายังรู้สึกว่า เขาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก ๆ และเข้าใจเลยว่า ทำไมเอลลีจึงตกหลุมรักเขา ความอันตราย อาชีพที่เลวร้าย การกระทำอันข้ามเส้นยิ่งเสริมให้เขาดูมีความเป็นพระเอกด้านมืดมากขึ้น การอ่านครั้งนี้เรารู้แล้วว่า เหตุการณ์ต่อมาหลังจากเล่มนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฮาเวียร์จะกลายเป็นคนเช่นไรในอีกหกปีที่ผ่านมา น่าแปลกก็คือ เราไม่ได้รู้สึกว่า คนแต่งเปลี่ยนแปลงคาแร็คเตอร์ของเขานะคะ

เรากลับคิดว่า ฮาเวียร์ที่ปรากฏตัวขึ้นในเรื่องชุดนี้ (เล่มหนึ่งถึงสาม) ก็คือผลพวงของสิ่งที่เกิดในเล่มนี้ เราคิดว่า ถ้าหากเอลลีตัดสินใจอยู่กับเขา ฮาเวียร์คนที่เราได้เจอในอีกหกปีต่อมา อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เห็น เขาอาจจะไม่ได้กลับตัวกลายเป็นคนดี เลิกอาชีพที่ทำ เขาอาจจะเป็นคนที่พาเอลลีไปลงนรก แต่ที่แน่ ๆ เขาน่าจะเป็นคนที่ดีกว่านี้

การจากกันในตอนจบเรื่องของเล่มนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ (สำหรับฮาเวียร์ เพราะเราคิดว่า เอลลีคือความดีงามสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่) แต่กับเอลลีด้วย เพราะสำหรับเธอ การได้พบกับฮาเวียร์ และความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่เธอได้รับจากเขา ทำให้เธอกร้านโลกมากขึ้น ซึ่งเช่นเดียวกับฮาเวียร์ กลายมาเป็นคนที่เธอเป็นในตอนเปิดเรื่องเล่มแรก

เราเข้าใจเลยว่า คนที่อ่านเล่มนี้แล้ว มีความคิดอยากให้ฮาเวียร์เป็นผู้ชายคนที่เอลลีเลือก ตอนที่เราอ่านครั้งแรกเราก็รู้สึกเช่นนั้นนะคะ ยอมรับเลยว่า ตอนที่อ่านครั้งแรกเราก็คิดเหมือนกัน ทั้งที่พอรู้อยู่ว่า เมื่อเข้าชุดจริง ๆ จะมีผู้ชายอีกคนโผล่เข้ามา เรานึก (ตอนอ่านครั้งแรก) ว่าเบื่อเรื่องรักสามเส้ามาก ๆ และนึกไปว่า ใครจะมีความน่าสนใจได้เท่ากับฮาเวียร์ (ในตัวตนที่เขาเป็นในเล่มนี้)

ในแง่คะแนน เราไม่ได้รู้สึกว่า ความสนุกลดน้อยลงไปเลยนะคะ ซึ่งน่าแปลกเล็กน้อย เมื่อคิดว่า เรารู้แล้วว่า ตอนจบของหนังสือชุดนี้จะเป็นยังไง แต่สำหรับเราแล้ว การอ่านใหม่ครั้งนี้ เรามองตัวตนของทั้งฮาเวียร์ และเอลลี ทั้งคู่คือภาพอดีตของตัวเอง คนที่พวกเขาไม่ได้เป็นอีกต่อไปแล้วในตอนเปิดเรื่องเล่มแรก





View all my reviews

Thursday, October 17, 2013

Review: By Sun and Candlelight


By Sun and Candlelight
By Sun and Candlelight by Susan Sizemore

My rating: 0 of 5 stars



สำหรับคนที่อ่านเรื่อง Dark Stranger ก็คงจะพอรู้สึกว่า เรื่องอาจจะลงเอยแบบมีความสุข แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เรื่องราวของด็อกและโซอี้ยังไม่สิ้นสุดลง ด้วยฐานะที่โซอี้เป็นถึงเจ้าหญิงรัชทายาทของบัลลังค์แห่งอาณาจักรมนุษย์ที่เข้มแข็งที่สุด การที่เธอมีเนื้อคู่เป็นแวมไพร์จึงเป็นประเด็นสำคัญ ในตอนจบของ Dark Stranger ไม่ได้มีบทสรุปในเรื่องนี้เอาไว้

เรื่องสั้นเรื่องนี้จึงเล่าเรื่องต่อเนื่องภายหลังเหตุการณ์ในตอนจบของเล่มนั้นค่ะ

เราไม่ถึงกับแนะนำให้ไปซื้อกันมาอ่านนะคะ เพราะบอกตามตรงว่า เราคิดว่า ราคาแพงเกินเหตุ เมื่อเทียบกับจำนวนความยาวของเรื่องซึ่งเป็นแค่เรื่องสั้น ๆ มาก ๆ แต่สำหรับเราซึ่งชอบเรื่อง Dark Stranger มาก ๆ เราโอเคกับมันค่ะ อย่างน้อยมันก็ได้ให้บทสรุปที่ลงตัวที่คาใจของเราเอาไว้ตอนที่อ่าน Dark Stranger

หลังจากหลบหนีออกจากคุกในค่ายของศัตรูได้สำเร็จ พร้อมทั้งช่วยเหลือนักโทษออกมาด้วยมากมาย นายพลแมทเธียส เรเวนซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรไปแล้ว ก็ยังไม่อาจปรับตัวกับสถานะใหม่ของตัวเองได้ นี่ยังไม่นับว่า มีหลายฝ่ายที่ต่อต้านการแต่งงานของเขา ทั้งจากครอบครัวของเขาเองที่ดูถูกว่า โซอี้ไม่ใช่มนุษย์แท้ ๆ เพราะเธอมีอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคฝังในร่างกาย หรือประชาชนที่ยังคงหวาดระแวงความเป็นแวมไพร์ของแมทเธียสอยู่ แถมหน้าที่การงานของเขา และโซอี้ทำให้ทั้งคู่ต้องจากกันเป็นเวลานาน ๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น ๆ ที่นำเสนอบทสรุปชีวิตคู่ของด็อคและโซอี้ ซึ่งเราคิดว่า เขียนได้ดี และมีความน่าเชื่อ เพราะ ไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่างที่ทั้งสองกำลังเผชิญอยู่ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่พบกันครึ่งทาง การที่ด็อคยอมรับยาที่ทำให้เขาอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้ และโซอี้ค้นพบว่า เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างหน้าที่ในฐานะของรัชทายาท และการเป็นคู่ของด็อค เธอจะเลือกเขา

โดยรวมเราชอบค่ะ แต่ไม่แนะนำให้ซื้ออ่าน เพราะมันแพงเกินไป ยกเว้นว่า คุณจะเป็นแฟนหนังสือเรื่อง Dark Stranger ชนิดตัวจริงเสียงจริง (แบบที่เราเป็น)

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Dark Stranger


Dark Stranger
Dark Stranger by Susan Sizemore

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับแม็กซ์ค่ะ เพราะเราไม่คิดว่า ตัวเองจะชอบมากขนาดนี้ เนื่องจากเรารู้สึกว่า ตัวเองเล่มเนื่อยมาก ๆ แล้วกับหนังสือในชุดไพร์มของซูซาน ไซซ์มอร์เสียแล้ว แต่คนแต่งก็เก่งพอค่ะที่พลิกเรื่องเล็กน้อย แล้วเอาพล็อตเรื่องที่เหมือนเหล้าเก่า มาใส่ขวดใหม่ แล้วทำให้มันดูใสปิ๊งขึ้นมาได้ซะงั้น

สุดท้ายเล่มนี้เลยกลายเป็นหนังสือที่เราชอบมากเล่มนึงเลยล่ะ

Dark Stranger ของซูซาน ไซซ์มอร์

หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุดแวมไพร์ของซูซาน ไซซ์มอร์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญก็คือ แทนที่จะต่อเนื่องกับหลายเล่มที่ออกมาก่อนหน้า ซูซานได้เอาคอนเซ็ปส์แวมไพร์ของเธอมาปรับ แล้วเขียนเรื่องให้เกิดขึ้นในยุคอนาคต จากนั้นก็ทำให้หนังสือเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในนิยายที่ตัวละครในชุดแวมไพร์ ของเธออ่านกัน (งงไหมคะเนี่ย) ดังนั้นโดยสรุปก็คือ เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในโลกของแวมไพร์ แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกอนาคต

ในโลกยุคอนาคตที่การเดินทางระหว่างดวงดาวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และมนุษย์ได้ขยายตั้งรกรากไปจนทั่วจักรวาล แต่อย่างไรก็ตามสงครามก็ยังคงมีอยู่ มันเป็นการเป็นการต่อสู้กันระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีผู้นำอยู่ที่อาณาจักรไบแซนท์ และฮาจิม ซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้มีโครงสร้างดีเอ็นเอคล้ายคลึงกับมนุษย์

หมวดโซอี้ แพพพาสเป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูตของอาณาจักรไบแซนท์ ซึ่งถูกจับขณะปฏิบัติภารกิจการเจรจาสันติภาพ เธอเป็นหนึ่งในมนุษย์หลายร้อยคนที่ถูกจับ และส่งไปขังในคุกที่ตั้งอยู่บนดาวอันห่างไกล ซึ่งที่นั่นเองเธอได้พบกับสังคมใหม่ ที่ซึ่งต้องปรับตัว

โครงสร้างคุกของฮาจิมนั้นจะปล่อยให้นักโทษใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ ปล่อยให้จัดการบริหารกันเอง เพียงแต่ไม่อาจหลบหนีออกไปจากที่คุมขังได้ นักโทษที่มียศสูงสุดในคุกแห่งนั้นคือ นายพลแมทเธียส เรเวน

แมทเธียส หรือด็อก (เพราะเขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในคุกแห่งนั้น) เป็นผู้ที่กุมชะตากรรมของนักโทษมนุษย์ทั้งหมดเอาไว้ในกำมือ เขาประเมินสถานการณ์และรู้ดีว่า โอกาสของการหนีออกไปจากคุกแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยง ดังนั้นเขาจึงเตือนตั้งแต่วันแรกให้นักโทษทุกคนต้องไม่พยายามหลบหนี แม้ความจริงก็คือด็อกสามารถออกไปจากคุกแห่งนี้เมื่อใดก็ได้ แต่ด้วยความรับผิดชอบในชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชา ด็อกตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น

โซอี้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพูดหลายภาษา ได้รับโอกาสจากด๊อกให้เป็นผู้ประสานงานระหว่างนักโทษที่เป็นมนุษย์ กับสิ่งมีชีวิตอื่นที่ถูกขังอยู่ในคุกแห่งเดียวกัน และนั่นเริ่มทำให้เธอมีโอกาสใกล้ชิดผู้นำที่ดูแข็งกร้าว แต่เป็นธรรมอย่างยิ่งคนนี้ โซอี้เรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมใหม่ รู้จักเพื่อนทหารที่ติดคุกอยู่ด้วยกัน เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับทุกคน แต่กระนั้นเธอก็ยังคงเก็บงำความลับสำคัญเอาไว้

นั้่นเพราะโซอี้ไม่ใช่เป็นแค่หมวดโซอี้ แพพพาส เจ้าหน้าที่การทูตทั่วไป เธอคือรัชทายาทแห่งบัลลังค์ของอาณาจักรไบแซนท์อีกด้วย ซึ่งเธอรู้ดีว่า หากความลับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทุกคนในคุกแห่งนี้ก็จะอยู่ในฐานะลำบาก เพราะเธอล่วงรู้ความลับสำคัญของอาณาจักรไปมาก ความลับที่ไม่อาจแพ่งพรายไปได้

และในขณะเดียวกัน ด็อกเองก็มีความลับเช่นกัน เพราะเขาไม่ใช่แค่หมอทหาร (สปอยล์) เขาคือแวมไพร์ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับรองสิทธิพลเมืองเช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดา แต่กระนั้นก็ยังคงมีความระแวง และรังเกียจในหมู่มนุษย์ที่ไม่ไว้วางใจกลุ่มคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ด็อกตัดสินใจเก็บความพิเศษอันนี้ของตัวเอง ไว้เป็นความลับจากคนส่วนใหญ่ แต่เขาก็เปิดเผยมันออกมา เพื่อรักษาชีวิตโซอี้ หญิงสาวที่เขาเริ่มต้นยอมรับความตัวเองแล้วว่า มีความรู้สึกบางอย่างให้

แต่ความรักระหว่างเจ้าหญิง และนายทหารที่แม้จะเป็นถึงนายพลแต่ก็เป็นแค่คนธรรมดา (และเจ้าความลับของด็อกนั่นอีก) มันช่างดูเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ด็อกจะไม่ปกป้องโซอี้ ซึ่งรวมทั้งการทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเธอออกไปจากคุกแห่งนี้

ในแง่นึงหนังสือเล่มนี้ก็คือพล็อตแนวดอกฟ้ากับหมาวัดค่ะ มันอาจจะไม่ชัดแจ้งแบบนั้น แต่ด้วยฐานะของโซอี้ ทำให้เราแปลความเช่นกันก็ว่าได้ ในขณะเดียวกัน ฐานของด็อกในความเป็นผู้นำของกลุ่มนักโทษทหารทั้งหมด ทำให้สถานะของเขาโดดเด่นขึ้นมา และแน่นอนว่า ความเท่ห์ของพระเอกก็เป็นอะไรที่ทำให้แม็กซ์กรี๊ดไปหลายรอบ

เราชอบความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างโซอี้และด็อกค่ะ มันเริ่มต้นอย่างมีที่มาที่ไป และดำเนินไปอย่างน่าเชื่อ เรื่องราวไม่เร่งรีบที่จะยัดเยียดด็อกและโซอี้ให้กันและกัน ทั้งคู่มีเวลาทำความรู้จัก และเมื่อเป็นที่แน่ชัดว่า มันคือความรัก ทำให้การตัดสินใจในการเอาชนะอุปสรรคของความแตกต่างกันทางฐานะจึงดูเป็นไปได้ และน่าเชื่อมาก ๆ

ในแง่คาแร็คเตอร์ ก่อนที่เราจะเริ่มอ่านเล่มนี้ เรารู้สึกถึงความ “เกินไป” ในตัวพระเอกนะคะ เพราะเป็นทั้งนายพล เป็นหมอ (สปอยล์) แถมยังเป็นแวมไพร์อีกต่างหาก ทำให้รู้สึกว่า อะไรจะมากขนาดนั้น จนกระทั่งได้อ่านเรื่องค่ะ เรารู้สึกว่า คนแต่งสามารถเขียนออกมาได้อย่างลงตัว เธอปล่อยข้อมูลแต่ละอย่างเกี่ยวกับด็อกจนเราไม่รู้สึกว่า มันมากเกินไป หรือเก่งเกินมนุษย์จนน่าหมั่นไส้ และทำให้เขากลายเป็นหัวใจหลักของเรื่อง เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ที่สามารถรักษากำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ฮึกเหิม และมีพลังในการสู้ต่อไป แม้จะถูกคุมขังชนิดที่ไม่เห็นโอกาสที่จะได้รับอิสรภาพเลย

สำหรับโซอี้ เธอเปรียบเสมือนคนอ่าน ที่ถูกแนะนำเข้าไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก เธอและคนอ่านค่อยเรียนรู้ชีวิต และกฏเกณฑ์ในคุกทีละน้อย ปรับตัว จนในทีสุดโซอี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของทุกคน การเพิ่มความสำคัญทีละน้อยของโซอี้เข้าไปในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในคุก ทำให้ในตอนท้ายที่สุดคนอ่านจึงเข้าใจว่า ทำไมนักโทษทุกคนจึงยินดีที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยโซอี้ออกจากคุก ไม่ใช่เพราะเธอคือเจ้าหญิงรัชทายาท แต่เพราะเธอคือโซอี้ ส่วนหนึ่งของพวกเขานั่นเอง

จุดเดียวที่เราคิดว่าเป็นข้อด้อยของหนังสือเล่มนี้ก็คือช่วงต้น เรื่อง ที่ไม่ได้บอกเล่ากฎเกณฑ์ของการปกครองคุกในยุคอนาคตให้ชัดเจน จนเรารู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะเอาความรู้เกี่ยวกับการปกครองคุกในยุคนี้มาปรับคิด ทำให้เราค่อนข้างงงกับฐานะของด๊อกในตอนต้นเรื่อง สงสัยว่าเขาเป็นฝ่ายไหนกันแน่ เพราะด๊อกทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มนักโทษมนุษย์ ทำให้เขามีหน้าที่ต้องติดต่อกับกลุ่มผู้คุม ซึ่งในตอนแรกเราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ จึงงงไปเล็กน้อย แต่เมื่อภายหลังมีการอธิบายรายละเอียดตรงนี้ จึงทำให้เริ่มเข้าใจมากขึ้น

โดยรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้สนุกอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน และทำให้แม็กซ์อยากอ่านเรื่องราวต่อไปมากเลยค่ะ (แต่ดูเหมือนจะต้องผิดหวัง เพราะข่าวว่าซูซานจะกลับไปเขียนชุดแวมไพร์ในยุคปัจจุบันต่อ)

คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: Primal Instincts


Primal Instincts
Primal Instincts by Susan Sizemore

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เรียงลำดับที่ออกขายแล้วเป็นเล่มที่เก้าในชุดค่ะ แต่ถ้าเรียงตามเหตุการณ์ในเรื่องแล้วถือเป็นเล่มที่แปด นั่นเพราะเรื่อง Dark Stranger คนแต่งฉีกแนวไปเขียนเป็นแนวฟิวเจอริสติก ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในอนาคต โดยที่อธิบายว่า เป็นนิยายที่ตัวละครในเรื่ื่องชุดนี้อ่านกันอยู่

เล่มนี้เป็นเรื่องราวของแวมไพร์สาวผู้เป็นที่ปรารถนาของเหล่าไพร์ม (หรือแวมไพร์หนุ่ม) ทั้งปฐพี นามว่า ฟรานเซสกา เรย์นาร์ด ทั้งในฐานะที่เธอเป็นทายาทของเผ่าเรย์นาร์ดผู้ทรงอำนาจ และความงดงาม ยั่วยวน รวมทั้งอารมณ์ร้อน ๆ จนได้ฉายาว่า แฟลร์ ของเธอ

เพื่อเป็นอิสระจากข้อเรียกร้องของผู้เป็นมารดา แฟลร์ตัดสินใจมีลูกโดยวิธีการผสมเทียม เพื่อทำหน้าที่ให้กับเผ่าในการสร้างทายาทสืบทอดสายพันธุ์ ความเจ็บปวดในอดีตจากการที่มีคนรักเป็นมนุษย์ แต่ครองรักกันไม่ได้ เพราะม่านประเพณีของสายพันธุ์ทำให้แฟลร์ไม่ต้องการผูกพันกับใครอีกต่อไป

ในสังคมแวมไพร์ซึ่งมีไพร์มมากกว่าแวมไพร์สตรี ทำให้ผู้หญิงในเผ่าพันธุ์นี้ได้รับการปกป้องเหนือสิ่งอื่นใด แต่ในโครงสร้างของสังคมแล้ว อย่างน้อยในแคลน และแฟมิลี แวมไพร์หญิงคือ หัวหน้าครอบครัว และมีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมของไพร์มในเผ่าของเธอ แฟลร์ผู้ซึ่งเป็นทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเรย์นาร์ดคนต่อไป เธอจึงรู้ถึงอำนาจที่ตัวเองกุมอยู่ในมือได้เป้นอย่างดี

ดังนั้นเมื่อแฟลร์ต้องเผชิญหน้า กับโทเบียส สแตนแฮน ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยดาร์คแองเจิ้ล ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติหลายชนิด ชายผู้เป็นไพร์ม และเคยชินกับการออกคำสั่งทุกคนในหน่วย แต่คราวนี้เขาถูกแบล็กเมลล์โดยมารดาของแฟลร์ให้ทำหน้าที่ผลิตหลานให้ โดยแลกกับการที่จะให้การสนับสนุนหน่วยดาร์คแองเจิ้ลในสภาแวมไพร์ แต่ถ้าโทเบียสปฏิเสธก็จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายหน่วยที่เขารัก

แม้จะถูกบังคับ แต่ภาระก็ไม่ได้ยากเย็น ปฏิกิริยาทางร่างกายระหว่างโทเบียสและแฟลร์มองเห็นได้ชัดตั้งแต่ต้น เขาปรารถนาในตัวแวมไพร์สาวคนนี้อย่างยิ่ง เลือดในร่างไพร์มของเรารุ่มร้อนจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ และนั่นช่างไม่เหมือนโทเบียสที่ใครหลายคนรู้จัก

ยิ่งแฟลร์และโทเบียสใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงความเป็นคู่แท้ของกันและกัน (อาการผูกพันกันระหว่างแวมไพร์และคู่ของพวกเขา ความผูกพันที่ทำให้ไม่อาจแยกทั้งสองออกจากกันได้) แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ผิดที่ผิดทางยิ่งนัก เพราะการสืบสวนของโทเบียสต่อองค์กรที่จ้องทำลายล้างพวกเขากำลังสาวใกล้เข้าตัวหัวหน้าใหญ่ทุกที

ในแง่ของพล็อต หนังสือเล่มนี้พล็อตไม่แน่นเท่าไหรนะคะ มีช่องโหว่เห็นได้ชัดหลายจุดด้วยกัน แต่ก็ถูกทดแทนได้ด้วยตัวละครที่น่าจดจำ

เราชอบทั้งโทเบียสและแฟลร์ เริ่มตั้งแต่พระเอก ที่คนแต่งเขียนให้มีลักษณะของความยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงด้านที่อ่อนโยนของเขาออกมาให้เห็น ยิ่งเราชอบเรื่องที่พระเอกดีแตกเพราะนางเอก เล่มนี้ก็เข้าทางค่ะ เพราะการจับคู่โทเบียสและแฟลร์เป็นการเอาด้านตรงข้ามมาคู่กัน และนั่นทำให้เรื่องน่าสนใจ

ในขณะที่แฟลร์ที่มีชื่อเสียงในการเป็นเจ้าหญิงแวมไพร์ผู้นำแฟชั่น แต่ในเล่มนี้เราก็ได้เห็นด้านลึกของเธอ และที่ดีไปกว่านั้น เธอเป็นนางเอกที่เข้าใจพระเอกอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันเธอก็เหี้ยมพอที่จะเข้าใจการตัดสินใจของพระเอกอีกด้วย (สปอยล์) นั่นคือ เธอไม่โกรธโทเบียสเลยที่เขายอมโอนอ่อนตามคำเรียกร้องของมารดาของเธอในการทำให้เธอท้อง นั่นแสดงให้เห็นว่า แฟลร์ไม่ได้ติดอยู่ในโลกความฝัน

องค์ประกอบส่วนหนึ่งในหนังสือของซูซาน ไซซ์มอร์ที่เราคิดว่าเหนือกว่าหนังสือแนวแวมไพร์ชุดอื่นก็คือ ความตรงไปตรงมาต่อสัญชาตญาณดิบของตัวเองของตัวเอกที่เป็นแวมไพร์ และในเล่มนี้ทั้งนางเอกและพระเอกต่างเป็นแวมไพร์ทั้งคู่ สัญชาตญาณดิบจึงแสดงออกมาชัดแจ้งมาก นั่นคือเมื่อทั้งคู่พบว่าตัวเองรอดจากความตายอย่างหวุดหวิด ทุกอย่างก็กลับไปที่พื้นฐานความต้องการ นั่นคือ เซ็กส์่ ซึ่งเรารู้สึกว่า สัมผัสได้ถึงความต้องการ และโหยหาที่แฟลร์และโทเบียสมีให้กัน

เรื่องนี้คาแร็คเตอร์ได้ใจมากค่ะ แม้ว่าพล็อตจะอ่อนอยู่พอสมควร นั่นคือ ปริศนาเกี่ยวกับผู้ร้ายใหญ่ก็ไม่ได้รับการไขออกมา รวมทั้งเหตุการณ์หลายอย่างในเรื่องไม่ชัดเจนนัก และดูไม่ค่อยมีเป้าหมายเทาไหร

แต่ทั้งหมดนั่นไม่สำคัญสำหรับเราเลยล่ะ เพราะชอบพระเอก และนางเอก รวมทั้งความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่มีต่อกันอย่างมาก

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Primal Needs


Primal Needs
Primal Needs by Susan Sizemore

My rating: 2 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้ถ้าเรียงตามลำดับแล้วก็เป็นเล่มที่เจ็ดในชุดแวมไพร์ที่เรียกขานกันว่าไพร์ม ซึ่งขอยืมคำอธิบายที่เราเคยเขียนไปแล้วมาลงอีกครั้ง

"สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านเล่มนี้ เราปูพื้นให้นิดนึงแล้วกัน ไพร์มเป็นคำที่ใช้เรียกแวมไพร์ผู้ชายในโลกแห่งซูซาน ไซซ์มอร์ ในโลกของเธอแวมไพร์ถูกแบ่งออกเป็นสามพวก คือ แคลน ซึ่งเป็นแวมไพร์ที่ถือเอาหน้าที่ในการปกป้องมนุษย์มาเป็นงานของตัวเอง แฟมิลี่ เป็นแวมไพร์กลุ่มที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สนใจมนุษย์ แต่ก็ไม่ก้าวก่ายหรือสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์ และสุดท้ายคือไทรบ ซึ่งเป็นแวมไพร์กลุ่มตัวร้ายที่ถือว่าตัวเองเหนือกว่ามนุษย์ และต้องการเป็นหนึ่งในโลก"

นอกจากนี้ แวมไพร์ผู้หญิงซึ่งจะต้องเป็นแวมไพร์แต่กำเนิดเท่านั้น (ไม่มีการเปลี่ยนมนุษย์ให้มาเป็นแวมไพร์ได้ในชุดนี้นะคะ) มีกฎเหล็กสำคัญห้ามให้พวกเธอมีความสัมพันธ์กับสปีชีย์อื่นอย่างเด็ดขาด นั่นเพราะแวมไพร์สตรีไม่อาจให้กำเนิดลูกที่เป็นแวมไพร์ได้ ถ้าพวกเธอไม่ได้คู่กับไพร์ม (และไพร์มที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ก็จะมีลูกเป็นมนุษย์เท่านั้น) เพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ กฎนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้

และนั่นคือเหตุผลที่ซิโดเนีย วูลฟ์จำต้องตัดใจจากโจเชฟ ชายคนรัก ผู้ที่เป็นคู่หูร่วมสำนักงานสืบสวนเดียวกัน และซิดก้าวข้ามเส้นไปไกลกว่านั้น ด้วยการลบความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปจากโจ ทำให้เขาลืมเลือนความรักที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อโจรู้ความจริงว่า ซิดได้ทำเช่นนี้กับเขา มันทำให้เขาโกรธจนลาออกจากงานที่ทำร่วมกัน แล้วหันไปเป็นส่วนหนึ่งของดาร์ค แองเจิ้ล ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสภาพไม่ต่างจากนักรบรับจ้าง

ระหว่างที่ทั้งสองแยกจากกัน ซิดตัดสินใจยอมทำตามข้อเรียกร้องของเผ่าพันธุ์ เธอตั้งท้องโดยใช้วิธีการผสมเทียม เพื่อผลิตทายาทแวมไพร์ให้กับเผ่าของตัวเอง และเมื่อลูกชายอายุได้สองปี ซึ่งเป็นวัยที่ต้องถูกส่งไปเลี้ยงดูในสถานที่ลึกลับ เพื่อบั่นทอนความกระหายเลือดของไพร์ม ซิดก็หวนกลับไปทำงานที่ตัวเองถนัดอีกครั้ง

ซึ่งมันทำให้เธอได้พบกับโจอีกครั้ง หน่วยดาร์คแองเจิ้ลกำลังสืบสวนคดีสำคัญ นั่นเพราะโทเบียส หัวหน้าหน่วยสงสัยว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกของพวกเขา ไม่ได้เป็นเรืืองบังเอิญ หรือเป็นผลของการกระทำของคนหลายกลุ่ม หากแต่มีผู้ชักโยงอยู่เบื้องหลาย และมีเป้าหมายในการกำจัดพวกแคลน และแฟมิลี

โทเบียสขอให้ซิดมาเข้าช่วยด้วยการสั่งให้เธอ และโจทำงานร่วมกัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความรักหวนคืนอีกครั้ง

แม้ว่าในเรื่องจะเปิดตอนด้วยการให้ซิดและโจมีความสัมพันธ์กันมาแล้ว (จนเลิกกันแล้ว) แต่ก็มีการบรรยายฉากย้อนอดีตที่ค่อนข้างทำให้คนอ่านเห็นได้ชัดถึงความรัก ความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้กัน ค่อนข้างใช้ได้ค่ะ น่าเชื่อ ปัญหาคือ เราไม่รู้สึกว่า มันยิ่งใหญ่จนน่าลุ้นอะไร จริงอยู่ธีมของเรื่องนี้ก็คือ รักต้องห้ามระหว่างแวมไพร์สาว กับมนุษย์หมาป่า แต่ทั้งซิดและโจ ก็ไม่ได้มีคุณลักษณะอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า พวกเขามีคุณค่าที่จะต้องเอาใจช่วย

แม็กซ์มีปัญหากับทางเลือกของซิด ในการจัดการเรื่องของโจ มันอาจจะเป็นทางเดียว เพราะถ้าหากความสัมพันธ์ของเธอและโจเป็นที่ปรากฎ (นั่นคือเธอผูกพันด้วยเลือดกับโจ ไม่ใช่แค่มีเซ็กส์ด้วยกัน) ชีวิตของโจก็อาจจะอยู่ในอันตราย ทำให้เธอเลือกที่จะลบความทรงจำของเขา แต่เรื่องราวต่อมา การกระทำของซิดมันก็แสดงให้เห็นถึงความโลเล ไม่มั่นคงของเธอ เพราะในท้ายที่สุด เธอก็กลับไปมีความสัมพันธ์กับโจอย่างง่ายดาย การเสียสละของเธอจึงไม่ใช่ความยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะเธอก็ทำให้ชีวิตของเขาอยู่ในอันตรายอยู่ดี

แล้วเรื่องที่เธอไปผสมเทียมจนมีลูกอีก มีเหตุผลในเรื่องนะคะว่า ทำไมซิดถึงได้ยอมทิ้งลูกง่าย ๆ แต่แม็กซ์ก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าจะดันให้ลูกของซิดออกไปจากเรื่องตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำไมต้องเขียนให้เธอมีลูกด้วย มันไร้เหตุผลโดยเฉพาะเมื่อคิดว่า ตลอดทั้งเรื่องลูกของซิดไม่มีบทอะไรเลย

สุดท้ายที่ทำให้มันแย่ลงไปอีกก็คือ เรื่องนี้เขียนแบบเป็นเล่มต่อในชุดมาก ซึ่งแม้แม็กซ์จะอ่านทุกเล่มในชุดมาแล้ว แต่มันก็นานมาก นั่นคือเราลืมค่ะ ทำให้หลายฉากอ่านไปก็งงไป

ส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องนี้อยู่ที่ตรงไหนรู้ไหมคะ มันเป็นการที่เราได้เห็นโลรองค์อีกครั้งนึง เขาเป็นพระเอกในเรื่อง Master of Darkness ซึ่งเป็นเล่มที่เราชอบมากที่สุดในชุด

คะแนนที่ 53



View all my reviews

Review: The Power of Three


The Power of Three
The Power of Three by Kate Pearce

My rating: 3 of 5 stars



เราอ่านเล่มนี้แบบไม่คิดอะไรมากมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่เราใช้ตอนที่เราอ่านเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์ค่ะ นั่นก็เพราะว่า เราคิดเสมอว่า ยากที่จะเขียนให้เรื่องแนวนี้มีความน่าสนใจเทียบเท่ากับเรื่องแนวอื่นได้ เพราะเวลาในเรื่องส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการบรรยายฉากเซ็กส์ ซึ่งทำให้เวลาที่ใช้กับตัวละครมีไม่มากนัก อย่างไรก็ตามการบอกแบบนี้ไม่ใช่ว่า เราคิดว่าเรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์ด้อยกว่าเรื่องแนวอื่นนะคะ มันมีประโยชน์ของมัน ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไม่อ่านเป็นแน่ แต่มาตรฐานที่เราใช้ในการตัดสินเรื่องแนวนี้ ค่อนข้างที่จะหย่อนยานกว่าเรื่องแนวอื่น กล่าวคือ เราให้อภัยเรื่องแนวนี้ได้ง่ายในหลายประเด็นที่ถ้าเราเจอในเรื่องแนวอื่น เราอาจจะคิดว่า เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ให้อภัยไม่ได้ (เช่นเรื่องนางเอกมีความสัมพันธ์กับชายคนอื่น) แต่ในเรื่องแนวนี้เราไม่มีปัญหาอะไร แต่ในทางกลับกัน เราก็มักจะลังเลที่จะให้คะแนนเรื่องแนวนี้สูง จะต้องเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ เราจึงจะคิดว่า มันดีพอ

เล่มนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราตัดสินว่าเป็นเรื่องอีโรติคโรแมนซ์ที่ดีขนาดเราจะแนะนำให้ใครอ่าน แต่ในขณะเดียวกันมันก็สนุกพอที่จะทำให้เราไม่เสียดายเงินที่จ่ายซื้อไป

Kate Pearce เป็นนักเขียนเรื่องแนวร้อนแรงที่เราติดตามอ่านเป็นประจำ เล่มนี้ออกขายเป็นอีบุ๊คโดยคนแต่งพิมพ์ขายเอง แต่เราไม่คิดว่า มันด้อยกว่างานที่เธอออกขายกับสนพ.เลยนะคะ อันนี้ถือเป็นข้อดีค่ะ

เราชอบฉากเปิดเรื่องซึ่งเปิดได้น่าสนใจมาก ๆ และทำให้เราอ่านติดตามต่อจนเกือบจบเรื่อง (เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างสั้น สามารถอ่านจบได้ภายในเวลาไม่นาน)

เอสกาซึ่งอายุครบสิบแปดปีได้รับคำนายเกี่ยวกับเนื้อคู่ของเขาจากเทพยากรณ์ เรื่องน่าตกใจก็คือ คู่ของเขาเป็นผู้ชาย แถมเอสกายังถูกจัดให้อยู่ในความสัมพันธ์แบบที่เขาเป็นรองเสียอีก ซึ่งในสังคมที่เขาเติบโตขึ้นมา คำพยากรณ์ไม่เคยผิดพลาด และเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามเส้นทางที่ขีดไว้ให้ แม้ภายในใจเขาต้องการที่จะเป็นทหารและนักบิน แต่ชีวิตของเขาบัดนี้ได้อยู่ในมือของแอช ชายผู้เป็นเจ้าของของเขาแล้ว

แอชซึ่งสูงวัยกว่า เป็นนักการเมืองผู้ประสบความสำเร็จในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ และแอชไม่ได้มาถึงจุดนี้ด้วยการเป็นคนโง่ เขาอ่านสถานการณ์ออก และรู้ว่า ควรจะต้องจัดการอย่างไรกับคู่ครองที่โชคชะตาเลือกให้กับเขา แอชปล่อยให้เอสการเป็นอิสระ และเลือกชีวิตการเป็นทหารอย่างที่ต้องการ เขารู้ดีกว่า ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เอสกาจะยอมรับเขาในฐานะคู่ชีวิต

เหตุผลหลายอย่างที่ใช้ในเล่มนี้ไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร ไม่ได้มีคำอธิบายเกี่ยวกับเทพยากรณ์ ทำไมสังคมที่พระเอกทั้งสองคนอาศัยอยู่ถึงได้เชื่อถือหนักหนา แล้วเอาอะไรมาเป็นหลักการในการจับคู่คนในสังคม อันที่จริงพื้นฐานของโลกในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ชัดเจนเท่าไหรเลย

เวลาผ่านไปหลายปี เอสกาซึ่งบัดนี้แม้จะยอมรับชีวิตคู่กับแอชแล้ว แต่เขาก็ยังค้นหาหญิงสาวอีกคนที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสมบูรณ์ (ดาวดวงนี้เป็นดาวที่ยอมรับความสัมพันธ์แบบสามคน) แต่เขากลับได้พบกับเธอในสนามรบ และเธอไม่ใช่คนที่มาจากดาวของเขาเสียอีก

โซเรยา แลงค์ใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองชั้นสอง ความสามารถในการสื่อสารทางจิต (ซึ่งเป็นคุณลักษณะปกติในโลกที่พระเอกอาศัยอยู่) ถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจบนโลกของเธอ แต่การได้พบกับเอสกา และการมาที่ดาวของเขา ทำให้เธอรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่การปรับตัวจากคนที่ถูกทอดทิ้งและเป็นที่รังเกียจมาตลอดชีวิต ให้หันมาเชื่อว่า ชายที่สมบูรณ์แบบสองคนต้องการเธอ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในแง่นึงเล่มนี้ก็เป็นการเขียนปูทางเพื่อฉากเซ็กส์ ซึ่งเราไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย ก็นี่เป็นเรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์ คือเราคิดว่าถ้าไม่มีฉากเซ็กส์จะเป็นเรื่องเสียหายเยอะกว่า แต่กระนั้นบางฉากมันก็ดูโจ่งแจ้งมากเกินไป (ไม่ได้ในแง่มุมที่ว่า บรรยายฉากเอ็กซ์ชัดเจนเห็นภาพ ซึ่งเล่มนี้เป็น แต่ทิศทางของเรื่องที่นำไปสู่ฉากเหล่านั้น ไม่ค่อยสร้างสรรแปลกใหม่เอาเสียเลย)

โดยรวมเราคิดว่า เล่มนี้ตอบโจทย์ของการอ่านเรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์ (คือคุณหยิบมาอ่านเพราะอยากได้ความร้อนแรง) ด้วยตัวละครที่น่าสนใจ แม้ว่าโลกในเรื่องซึ่งเป็นเรื่องยุคอนาคต บนดวงดาวอันไกลโพ้นแทบจะไม่มีบทบาทเอาเสียเลย

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Wednesday, October 16, 2013

Review: One Lucky Vampire


One Lucky Vampire
One Lucky Vampire by Lynsay Sands

My rating: 2 of 5 stars



นับแล้วเล่มนี้เป็นเล่มที่ 19 ในชุดแล้วนะคะ ดังนั้นตามทฤษฎีของเราที่ว่า จำนวนเล่มแปรผกผันกับความสนุก เราก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากการอ่านเล่มนี้ และนั่นอาจจะทำให้ใครหลายคนตั้งคำถามว่า ถ้าไม่คาดหวังว่าจะสนุก แล้วจะอ่านไปทำไม เสียเวลานะ

เราอ่านเพราะเราติดตามชุดนี้มาตั้งแต่ต้น และแม้ความสนุกจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ธีมเรื่อง สไตล์การเขียน และเล่าเรื่องของคนแต่ง ก็ยังเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เราเป็นมนุษย์ที่ยึดติดกับสิ่งที่เคยชินค่ะ เราอ่านหนังสือที่เข้าข่ายแบบนี้ เพราะแม้จะไม่คาดหวังว่าจะดีเลิศ แต่เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่า มันจะไม่ทำให้เราผิดหวังทางอารมณ์ (ซึ่งเป็นความเสี่ยงหากเราหยิบเอางานของนักเขียนหน้าใหม่มาอ่าน)

แต่แค่บทแรกของเล่มนี้ ก็ทำให้เราหงุดหงิดชนิดที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยกับหนังสือของลินเซย์ แซนด์ นั่นเพราะว่า คนแต่งวางคาแร็คเตอร์ของนางเอกได้น่ารำคาญมาก เรารู้สึกหงุดหงิดกับตัวตนของนางเอกก่อนที่เธอจะมีบทพูดในหน้าหนังสือเสียอีก

นิโคล ฟิลลิปส์ศิลปินวาดภาพเหมือนชื่อดังที่กำลังจะหย่าขาดจากสามี หลังจากใช้ชีวิตอย่างถูกควบคุมโดยสามีโลภมาก และชอบทำร้ายจิตใจเธอด้วยคำพูด นิโคลก็ขอหย่า แต่การหย่าของเธอก็ถูกกระตุ้นเล็ก ๆ ด้วยพลังของแวมไพร์ (เพราะป้าของเธอทำงานเป็นแม่บ้านให้กับมาร์เกอริต ซึ่งเป็นแวมไพร์ และนางเอกของเรื่อง Vampire are forever) และแม้การหย่าจะไม่ใช่การจากกันด้วยดีระหว่างเธอและสามี นิโคลก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่า ชีวิตของเธอกำลังอยู่ในอันตราย ทั้งที่มีความพยายามเอาชีวิตของเธอหลายครั้ง เหตุการณ์ที่นิโคลเชื่อว่าเป็น "อุบัติเหตุ" ถูกมองว่าไม่ใช่อุบัติเหตุโดยทุกคน ยกเว้นนิโคล และนั่นทำให้มาร์เกอริตขอร้องให้เจค แวมไพร์ที่ถูกเปลี่ยนเมื่อเจ็ดปีก่อน (จากเหตุการณ์ในเรื่อง A Bite to Remember) มาช่วย เพราะเจคทำงานเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว มาร์เกอริตจึงขอให้เขาปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของนิโคลในคราบของพ่อครัว/พ่อบ้าน

การเปิดเรื่องแบบนี้ทำให้ความคิดที่เรามีต่อนิโคลไม่โสภาเอาเสียเลย เรารู้สึกว่า นางเอกคนนี้ช่างโง่จนสมควรตาย มีความพยายามเอาชีวิตเธอหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอเพิกเฉย ปฏิเสธที่จะเชื่อ มากไปกว่านั้น ในช่วงแรกของเรื่องเมื่อนิโคลออกมามีบทบาท ตัวตนของเธอก็ดูน่าหมั่นไส้จนเราแทบทนไม่ได้ เธอทำตัวเป็นศิลปินชนิดที่เมื่อทำงานก็จะลืมทุกอย่าง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หมกหมุ่นอยู่กับตัวเอง

เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่เรารู้สึกว่า ทนอ่านงานของลินเซย์ แซนด์ไม่ไหวแล้ว ทั้งที่เธอเป็นนักเขียนที่เราอ่านได้ง่ายมาตลอด

แต่แล้วหลายอย่างในเล่มก็เริ่มดีขึ้น ความจริงหลายอย่างถูกเปิดเผยออกมา และเราเริ่มรู้สึกว่า นิโคลไม่ได้เป็นคนอย่างที่เราคิดว่าเธอเป็น เรื่องก็คือ เราไม่คิดว่า คนแต่งตั้งใจจะให้ทิศทางของเล่มนี้เป็นเช่นนั้น (นั่นคือเธอไม่ได้เขียนนิโคลออกมาเพื่อให้คนอ่านเกลียด ก่อนที่จะทำให้คนอ่านรักเธอ ไม่ได้เหมือนเรื่อง Ain't She sweet ของ ซูซาน อลิซาเบ็ธ ฟิลลิปส์) แต่เรื่องดันเป็นแบบนั้นไป (สำหรับเรา)

นั่นก็คือ ทุกอย่างถูกเข้าใจผิดโดยมาร์เกอริต และถูกถ่ายทอดให้คนอ่านฟังก่อนที่เราจะได้เห็นเหตุการณ์ตามที่เกิด ทำให้เราเชื่อว่า มีความพยายามหมายปองชีวิตของนิโคลจริง ๆ และเธอก็นิ่งเฉย ปฏิเสธความจริงตรงหน้า แต่เมื่ออ่านไปเราได้เห็นมุมมองของนิโคล และพบว่า ทั้งหมดนั่นคืออุบัติเหตุ และการนิ่งเฉยของนิโคลก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เราเสียพลังงานในการหมั่นไส้นางเอกไปเยอะมาก

สรุปแล้วไม่แนะนำให้คนที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องในชุดนี้นะคะ เพราะมีหลายอย่างที่ต่อเนื่องมาจากเล่มก่อนหน้า นอกจากนี้แล้ว เราคิดว่า เล่มนี้ไม่ใช่ตัวแทนที่ดีของหนังสือชุดนี้

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Tuesday, October 15, 2013

Review: Twilight Hunter


Twilight Hunter
Twilight Hunter by Kait Ballenger

My rating: 3 of 5 stars



เราหยิบเล่มนี้มาอ่านแบบไม่คาดหวังอะไรมากมาย นั่นก็เพราะว่า เราคิดว่า ตัวเองถึงจุดอิ่มตัวของเรื่องแนวพารานอมอลแล้วล่ะค่ะ จะมีอะไรใหม่เสริมเพิ่มมาอีกได้ ทุกอย่างเป็นสูตรสำเร็จที่เดินตามรอยดาร์คฮันเตอร์ หรือ BDB ดังนั้นเมื่อเราพบว่า ตัวเองให้ความสนใจกับเรื่องราวในเล่มนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และผูกพันกับตัวละครในเล่ม ก็รู้เลยว่า เล่มนี้มีบางสิ่งที่น่าสนใจ

มันไม่ใช่พล็อตเรื่องหรอกนะคะ เพราะไม่ได้มีอะไรใหม่ในนั้น เรื่องราวขององค์กรที่มีชื่อว่า Execution Underground ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ เรื่องในชุดนี้โฟกัสอยู่ที่สาขาแห่งเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ค (ที่ทำให้เรานึกถึงเมืองแคดเวลล์ รัฐนิวยอร์คอันที่เป็นที่ตั้งของกลุ่ม BDB) โดยคนในองค์กรเป็นนักล่าที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือมนุษย์จากภัยคุกคามของเหล่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ

เจซ แม็คแคนนอน เชี่ยวชาญในการล่ามนุษย์หมาป่า และตอนนี้เขากำลังล่าตัวคนร้ายที่ออกอาลวาดฆ่าหญิงสาวหลายคนอย่างโหดเหี้ยม ในคืนวันนึงขณะติดตามรอยคนร้าย เขาก็บังเอิญได้เจอกับแฟรงกี้ อมาโต หัวหน้าเผ่ามนุษย์หมาป่าประจำเมือง แต่เจซไม่รู้ความจริงข้อนั้น เขาคิดว่าเธอ (นางเอกชื่อแฟรงกี้) คือคนร้ายในตอนแรก หลังจากปะทะฝีมือกน และเขาจับกุมตัวเธอได้ แม้จะปรากฎชัดว่า แฟรงกี้ไม่ใช่คนร้าย หากแต่ตามรอยหาคนร้ายเช่นกัน เจซก็ไม่ยอมปล่อยตัวเธอไป เขาหวังจะใช้เธอเป็นกุญแจในการติดต่อกับหัวหน้าฝูงหมาป่า (เพราะเขาไม่รู้ว่า แฟรงกี้นั่นเองคือหัวหน้าฝูง)

ความยุ่งยากเพิ่มพูนขึ้น เพราะคืนนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และแฟรงกี้กำลังอยู่ในภาวะต้องการคู่อย่างยิ่ง

พล็อตเรื่องค่อนข้างโฉ่งฉ่างในเรื่องเพศ เหตุการณ์ประจวบเหมาะมากเกินไปหลายจุด นางเอกต้องการหมาป่าผู้ชายเพื่อมาเป็นคู่ เป็นความต้องการทางกายที่ไม่อาจห้ามอยู่ และเจซซึ่งเป็นลูกครึ่งหมาป่าพอดีก็อยู่ตรงนั้น เซ็กส์เกิดขึ้น และทำให้ทุกอย่างสับสน

เจซกลายเป็นคนทรยศต่อกลุ่ม เพราะเขาปกป้องแฟรงกี้จากพวกของตัวเอง ในขณะเดียวกันคนร้ายที่ออกล่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ก็ยังคงลอยนวล

อย่างที่บอกนะคะ พล็อตไม่ได้มีอะไรใหม่เลย แต่การเขียน การเล่าเรื่อง การแนะนำตัวละคร ทำให้เรื่องนี้น่าอ่านน่าติดมาก นี่ไม่นับฉากรักที่ร้อนแรงสมกับเป็นหนังสือแนวพารานอมอล แน่นอนว่าเรื่องชุดนี้ในเวลานี้ยังไม่อาจเทียบกับหนังสือชุดแนวเดียวกันที่โด่งดังและอยู่ในใจของเราได้ (อย่าง BDB หรือ IAD) แต่อ่านเล่มนี้แล้วเรามีความหวังค่ะ เพราะมันปลุกความสนใจของเรากับแนวพารานอมอลที่มอดดับไปให้ตื่นขึ้นมาได้ (ทุกวันนี้เราอ่านชุดที่เคยอ่านอยู่ แต่หนังสือชุดใหม่ ๆ ที่ออกมา เรารู้สึกว่า ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร)

อีกส่วนนึงที่ชอบในเล่มนี้ก็คือ คาแร็คเตอร์ของนางเอกที่ถูกกำหนดว่า เป็นหัวหน้าฝูง แม้ในเล่มนางเอกจะไม่ได้แสดงฝีมือออกมาเท่าไหร เวลาสู้ก็แพ้พระเอก แต่นั่นก็พอเข้าใจได้ แต่ในฉากที่เธอโดนสมาชิกในฝูงท้าทายความเป็นหัวหน้าและแฟรงกี้ก็จัดการอย่างทันที นั่นทำให้เรา "เชื่อ" ความเก่งกาจของเธอ

ช่วงครึ่งท้ายของเรื่องอาจจะไม่น่าสนใจเท่ากับช่วงครึ่งแรก เราเห็นว่า ตัวตนของคนร้ายมันชัดเจนมากเกินไป หรือกระทั่ง ตัวตนที่แท้จริงของพระเอกก็ดูราวกับโผล่ออกมาแบบไม่มีคำอธิบาย ทั้งชีวิตเข้าใจว่า ตัวเองเป็นมนุษย์หมาป่า แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่ เราคิดว่า มันเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

ตอนนี้สนใจอยากอ่านเล่มสามค่ะ (เพราะตัวละครที่จะเป็นพระนางเล่มสองดูน่ารำคาญเกินไปหน่อย) โดยรวมเล่มนี้สนุกอย่างไม่คาดหวัง

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Wednesday, October 9, 2013

Review: The Taming of Ryder Cavanaugh


The Taming of Ryder Cavanaugh
The Taming of Ryder Cavanaugh by Stephanie Laurens

My rating: 2 of 5 stars



นับไม่ถูกแล้วค่ะว่า เล่มนี้เป็นเล่มที่เท่าไหรในชุดซินเตอร์ รู้แต่ว่าเยอะมาก แต่เขียนแบบนี้ไม่ได้ประชดนะคะ เพราะถ้าจะประชดเราก็คงไม่หยิบมาอ่าน

สำหรับเรา ณ ตอนนี้ งานเขียนของสเตฟานี ลอว์เรนส์เป็นสิ่งที่เราคงอ่านไปเรื่อย ๆ อย่างภักดี แต่คงไม่คาดหวังอะไรมากเกินไปกว่าการได้เจอกับตัวละครเก่า ๆ ที่เราชอบมาก ๆ (ในจากเรื่องที่เธอเคยเขียนในอดีต) แล้วก็รำลึกความหลังสมัยที่เรากรี๊ดสลบกับงานเขียนของเธอ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเล่มนึงที่เราอ่านได้จบไป แล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดต่อมากมาย

เล่มนี้เป็นเรื่องราวของเลดี้แมรี ซินเตอร์ สาวน้อยตระกูลซินเตอร์คนสุดท้ายที่ยังเหลือว่างอยู่ในตลาดหาคู่แต่งงาน เพราะหลังจากนี้วงสังคม (และคนอ่าน) ก็ต้องรอทายาทของตระกูลซินเตอร์อีกราวสิบปี กว่าจะโตพอที่จะแต่งงาน สร้างพันธมิตรกับตระกูลต่าง ๆ ได้ ความจริงข้อนี้สำคัญมาก และทำให้คุณค่าในตัวของเลดี้แมรีเพิ่มสูงขึ้นมากมาย เพราะใคร ๆ ก็ต่างอยากเข้ามาเกี่ยวพันกับซินเตอร์ซึ่งเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่

แต่แมรีไม่ต้องการจะอยู่เฉย ๆ แล้วรอให้เนื้อคู่เดินเข้ามาในชีวิต เธอมองหาและเล็งแรนดอร์ฟ คาเวนนอร์เอาไว้ ปัญหาก็คือ ไรเดอร์พี่ชายของเขา คิดว่าตัวเองเหมาะสมกับแมรีมากกว่า ไรเดอร์ตั้งใจจะเลือกแมรีมาเป็นคู่ชีวิตเพื่อสร้างทายาทให้กับตระกูลของเขา ซึ่งก็เก่าแก่ไม่แพ้ซินเตอร์ เขาเชื่อว่า ตัวเองคือคนที่เหมาะสมที่จะจัดการกับหญิงสาวช่างจัดการอย่างแมรีได้ ดังนั้นไม่ว่าแมรีไปที่ไหน ไรเดอร์ก็จะปรากฎตัวอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับบอกเธอว่า ชายหนุ่มที่เธอมองนั้น ไม่มีใครคู่ควรกับเธอสักคน

ตอนแรกแมรีก็ไม่คิดว่า เขาจะมีเจตนาอะไรมากเกินกว่าการปกป้องน้องชาย แต่เมื่อเจอกันบ่อยขึ้น ใช้เวลาด้วยกันบ่อยขึ้น เธอก็รู้แล้วว่า เขากำลังไล่ล่าเธออยู่ต่างหาก แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตัดสินใจว่า จะทำยังไงดีกับเรื่องนี้ บางอย่างก็เกิดขึ้น และนั่นบังคับให้แมรีและไรเดอร์ต้องเข้าพิธีแต่งงานกัน

สไตล์การเขียนของสเตฟานี ลอว์เรนส์ค่อนข้างยาว และบรรยายเยอะมาก จริง ๆ เล่มนี้ไม่ได้แย่ เมื่อเทียบกับอีกหลายเล่ม แต่การเล่าเรื่องที่เยอะมาก ในขณะที่แทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเรื่องเลย ก็ทำให้เกิดความน่าเบื่อได้ เราเกือบจะหมดความอดทนอ่านไปแล้วล่ะค่ะ พอดีว่า เจ้าเหตุการณ์บางอย่างนั่นเกิดขึ้น ซึ่งเปลี่ยนทิศทางของเรื่อง จากในห้องบอลรูมงานเต้นรำที่ไรเดอร์และแมรีมาเจอกัน ไปเป็นการแต่งงานที่ถูกกดดันจากเรื่องอื้อฉาว เลยทำให้เรื่องมีความน่าสนใจขึ้นมาหน่อยนึง

หลายอย่างในเล่มดูจะเป็นการเขียนให้แฟนเก่า ๆ ของชุดนี้มีความสุข เพราะมีการลากเอาคาแร็คเตอร์จากเล่มก่อนหน้ามาโผล่เป็นระยะ แถมมีการอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาด้วยว่า ตอนนี้มีลูกกี่คน และชีวิตเป็นยังไงกันบ้าง ซึ่งสำหรับแฟนพันธุ์แท้อย่างเราก็อ่านมีความสุขดีนะคะ กระนั้นก็คงต้องบอกว่า รุ่นลูก ๆ ของซินเตอร์เยอะมาก จนอ่านไปก็งงไปว่าใครเป็นลูกใครบ้าง

เราไม่เสียใจที่อ่านเรื่องนี้นะคะ (ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกไป) แต่ไม่คิดว่า จะแนะนำให้ใครอ่านกัน

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Freefall


Freefall
Freefall by Jill Sorenson

My rating: 3 of 5 stars



เราหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านทันทีที่อ่าน Aftershock (เล่มแรกในชุด) จบ เพราะอาการคลั่งคู่เพนนีและโอเวน (ซึ่งจะเป็นพระนางเล่มสามในชุด Badlands) มีมากจนรู้สึกว่า แม้เล่มนี้จะไม่ใช่เรื่องของพวกเขา อาจจะได้เห็นเงาของทั้งสองคนบ้าง ก็คุ้มค่าแล้ว

นี่อาจจะเป็นเหตุผลในการเลือกหนังสือมาอ่านที่ผิดนะคะ เพราะตลอดทั้งเรื่องเราไม่ได้ใส่ใจคู่พระนางเท่าไหรนัก จึงทำให้ความรู้สึกที่ว่า เล่มนี้ไม่สนุกเท่ากับเล่มแรกอาจจะเกิดจากความผิดของเราเอง มากกว่าจะเป็นเพราะคนแต่งก็ได้ (เพราะไปสนใจประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องมากกว่า)

เรื่องนี้เปิดเรื่องหลายปีหลังจากตอนจบของเรื่อง Aftershock เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองซานดิเอโก้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือ แซม นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิค และนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ เหตุที่เขาประสบระหว่างแผ่นดินไหวครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับการตายของเมลิสสา คู่หมั้นซึ่งเสียชีวิตก่อนหน้านั้นไปหมดสิ้น ทำให้ทุกเช้าที่เขาตื่นนอน แซมจะยังคิดว่า เมลิสสายังมีชีวิตอยู่ เพียงเพื่อที่จะพบว่า เธอไม่ได้อยู่บนโลกอีกต่อไป ทั้งหมดนั่นทำให้เขาปิดกั้นตัวเอง และทำอะไรหลายอย่างที่เสี่ยงตาย ไม่สนใจความอยู่รอดของตัวเอง

จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นเครื่องบินตกบนยอดเขาแห่งหนึ่ง และรีบแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่อุทยานทราบ เนื่องจากมีกำลังคนไม่เพียงพอ โฮปซึ่งประจำการอยู่ในตอนนั้นจึงจำต้องรับความช่วยเหลือจากแซมในภารกิจช่วยชีวิต แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการเจอเขาอีกเลยก็ตาม นั่นเพราะเมื่อหกเดือนก่อน โฮปและแซมมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ที่แซมไล่โฮปออกจากบ้านหลังจากเสร็จกิจ

โฮปเองก็มีปมในใจ เธอปิดกั้นตัวเองจากความสัมพันธ์เช่นกัน เพิ่งมาเปิดใจให้กับชายหนุ่มมีเสน่ห์ที่ได้พบในบาร์ แต่เขากลับทำเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด นั่นเป็นความอับอายที่เธอไม่อยากรื้อฟื้น แต่สถานการณ์บังคับให้เธอและแซมต้องทำงานร่วมกัน และมันก็ยุ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เมื่อทั้งสองพบศพนักบินที่ไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ จากภารกิจช่วยชีวิต จึงกลายเป็นการตามล่าฆาตกร

เช่นเดียวกับเล่มแรกในชุด เรื่องนี้เริ่มต้นและดำเนินเรื่องรวดเร็วราวกับนั่งดูหนังแอคชั่น เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเล่มแรกแล้ว เรารู้สึกว่า คาแร็คเตอร์ของโฮปและแซมไม่น่าสนใจเท่ากับคู่พระนางในเล่มแรก เราไม่อาจสัมผัสได้ถึงปฏิกริยาทางเคมีของทั้งสอง หรือความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่ นั่นทำให้เราไม่ค่อยเชื่อในโรแมนซ์ที่เกิด ซึ่งถือว่าจำเป็นมาก เนื่องจากเหตุารณ์ในเรื่องเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน และโดยสถานการณ์ที่แซมเผชิญอยู่ เขามีอดีตคู่หมั้นที่เสียชีวิตไปแล้ว คนที่เขารักมาก ๆ เราคิดว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่เรื่องจะต้องแสดงความผูกพันของแซมกับโฮป (เพื่อทำให้เราเชื่อว่า โฮปคือผู้หญิงที่แซมต้องการจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแค่คนที่มาแทนเมลิสสา) ส่วนนี้เราคิดว่า ยังทำได้ไม่ได้ดีนัก

และเช่นเดียวกับเล่มแรกอีก คู่ตัวละครรองในเรื่องขโมยซีนอย่างมาก เราไม่ได้หมายความถึงคู่เพนนีและโอเวนนะคะ ทั้งคู่แทบไม่มีบทเท่าไหร แต่เป็นคู่ของเฟธ น้องสาวของโฮป กับเจย์ ชายลึกลับอีกคน ซึ่งก็คือฆาตกรที่ตามหาตัวกันนั่นเอง แต่เจย์มีอะไรมากกว่านั้น เราคิดว่า น่าสนใจมากกว่าแซมเสียอีก และนึกอยากให้เรื่องของเขากลายเป็นเรื่องหลักในเล่มนี้ด้วย ซึ่งคู่นี้แหละทำให้เราชอบเล่มนี้มากขึ้น

โดยรวมไม่ได้เป็นเล่มที่ผิดหวังนะคะ แต่ก็ต้องบอกว่าผิดหวัง (อะไรของมัน) เพราะเราชอบเล่มแรกในชุดมาก ๆ แต่เล่มนี้ยังเทียบกับเล่มนั้นไม่ได้ แต่ยังไงก็ตาม รอคอยเล่มสามมาก ๆ อยากเห็นโอเวนตอนโตเป็นหนุ่ม อยากรู้ว่า เพนนีเป็นยังไงบ้างแล้ว และหนูน้อยครูซอายุกี่ขวบแล้ว

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: Dangerous to Touch


Dangerous to Touch
Dangerous to Touch by Jill Sorenson

My rating: 3 of 5 stars



ในฐานะที่หนังสือเรื่องนี้เป็นเล่มแรกที่จิล ซอเรนสันเขียน แม็กซ์ให้คะแนนสอบผ่านนะคะ แต่สำหรับนักเขียนที่เขียนเรื่องอย่าง Crash into Me เธอสอบตก เพราะเรื่องนี้ไม่อาจเทียบกันได้เลย

ปัญหาใหญ่ที่เรามองเห็นก็คือ ขนาดความยาวของเรื่อง ในขณะที่ CIM หนามากกว่าสี่ร้อยหน้า หนังสือเรื่องนี้หนาเพียง 215 หน้า ในขณะที่ความเข้มข้นของพล็อตเรื่องก็มีมากพอกัน ทำให้เวลาเราอ่านเล่มนี้ เรารู้สึกถึง "ความขาด" ของเนื้อเรื่องไปหลายส่วนเลยล่ะ

Dangerous to Touch ของจิล ซอเรนสัน

ซิดนี่ย์ มาร์โลว์เป็นหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์พิเศษ นั่นก็คือเธอสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้โดยการสัมผัส และเหตุการณ์ที่เธอเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ซิดนี่ย์ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องเลย เพราะมันคือเหตุการณ์ฆาตกรรมหญิงสาวคนนึง นิมิตที่เธอเห็นผ่านการสัมผัสสุนัขของหญิงสาวผู้นั้น

และแม้รู้ว่าจะไม่มีใครเชื่อ ซิดนี่ย์ก็ตัดสินใจแจ้งสิ่งที่เห็นกับตำรวจ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูด ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ผู้หมวดมาร์ค ครูซถูกส่งมาติดตามความเคลื่อนไหวของซิดนี่ย์ เพราะหวังว่าเธอจะนำเขาไปสู่ฆาตกรตัวจริง และหวังว่ามันจะทันเวลาก่อนที่ฆาตกรรายนั้นจะฆ่าอีกครั้ง

พล็อตหนังสือเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานของแนวโรแมนติคสืบสวนทั่วไปนะคะ นางเอกที่เห็นนิมิต พระเอกที่เป็นตำรวจไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเห็น และตั้งคำถามทุกอย่าง (คุ้น ๆ กันไหม กับพล็อตนี้ เรื่องนึงที่โดดเด่นในใจแม็กซ์ก็คือเรื่อง Dream man ของลินดา โฮเวิร์ด) ในขณะเดียวกันมาร์คก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้จับตามองพฤติกรรมของซิดนี่ย์ทุกอย่าง และนั่นหมายถึงการติดเครื่องดักฟังที่บ้านของเธอด้วย (แม็กซ์ผิดหวังนิดนึงนะคะที่ไม่มีการใช้พล็อตเครื่องดักฟังกับฉากรัก เรานึกถึงเรื่อง Behind Closed door ของแชนน่อน แม็คเคนน่าน่ะค่ะ)

แต่เมื่อดูเหมือนว่าซิดนี่ย์จะพูดความจริง มาร์คก็ถึงเวลาต้องเลือกว่าระหว่างอาชีพ กับการปกป้องซิดนี่ย์จากคนร้าย

ในด้านนึงหนังสือเรื่องนี้มีพล็อตที่คล้ายกับ Crash into me พอสมควร เพราะพระเอกในเล่มนี้ (หรือนางเอกใน CIM) ปลอมตัวเข้าไปตีสนิทกับนางเอก เพื่อสืบข้อมูลของเธอ ก่อนที่ท้ายที่สุดจะยอมสละอาชีพที่ตัวเองรักเพื่อปกป้องเธอ (เช่นเดียวกับที่นางเอกใน CIM เลือกที่จะเข้าข้างพระเอกทั้งที่หลักฐานชี้ว่าเขาเป็นคนผิด) แม็กซ์ชอบที่ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีการลงโทษที่มาร์คเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัย (หรือซิดนี่ย์) เราอ่านหนังสือแนวนี้หลายเล่ม แทบจะไม่มีเล่มไหนพูดถึงผลพวงของการเข้าไปยุ่งเกี่ยว (ทางเพศ) กับผู้ต้องสงสัยสักเล่ม เล่มนี้ให้มุมมองที่สมจริงมากกว่า

ข้อเสียก็เหมือนอย่างที่แม็กซ์พูดไปแล้ว ด้วยข้อจำกัดเรื่องหน้ากระดาษ ทุกอย่างในเล่มเร่งรัดและดูไม่เป็นจังหวะกับเนื้อเรื่อง กระทั่งการเฉลยตัวคนร้ายตอนจบเรื่องก็ราวกับว่า คนแต่งมีอะไรในใจมากกว่านี้ แต่หน้ากระดาษมันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่ได้เขียน แม็กซ์อยากรู้ค่ะว่า ถ้าให้จิลเขียนเล่มนี้ใหม่อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้วางขายกับฮาร์ลิควิน (ซึ่งมีนโยบายในการจำกัดหน้ากระดาษมาก) เรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง

เพราะเล่มนี้มีองค์ประกอบที่จะเป็นหนังสือที่สนุกไ้ด้ค่ะ เพียงแต่วิธีการนำเสนอเรื่องราวยังไม่ดีพอ มันสั้น และห้วนเกินไป จนแม็กซ์ไม่รู้สึกว่าเรารู้จักตัวละครเลย (ซึ่งนี่เป็นเรื่องแย่ที่สุด เพราะแม็กซ์ชอบการกำหนดคาแร็คเตอร์ของจิลมาก เรื่อง CIM ได้ใจเราไปเต็ม ๆ เพราะคาแร็คเตอร์นี่แหละ ไม่ใช่พล็อต)

คะแนนที่ 63



View all my reviews