Saturday, January 31, 2009

To Pleasure a Lady // Nicole Jordan

จบแล้วโว้ย

นี่เป็นเสียงร้องของแม็กซ์หลังจาก (ในที่สุด) อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ซึ่งก็ถือว่ายังดีกว่า Fever dreams ที่อ่านไม่จบด้วยซ้ำ

ไม่สนุกหรอกนะ บอกไว้ก่อนแล้วกัน เป็นหนึ่งในหนังสือที่น่าเบื่อที่สุด และขอบอกว่าคนที่จะอ่านเล่มนี้เพื่อเอาฉากเซ็กส์ที่เลื่องลือของนิโคล ก็ขอบอกว่า ไปอ่านอีโรติคโรแมนซ์เล่มอื่นคงดีกว่า เซ็กส์มันส์ใช้ได้นะ แต่มันไม่เอาชนะความน่าเบื่อได้หรอกค่ะ

เล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด The Courtship war ซึ่งเริ่มต้นเมื่อมาร์คัส เอิร์ลแห่งเดนเวอร์สได้รับภาระในการเลี้ยงดูเด็กสาวสามคน (ที่มาพร้อมกับบรรดาศักดิ์ที่เขาได้รับจาญาติห่าง ๆ) แต่ผู้หญิงทั้งสามนั้นไม่ใช่เด็กสาวแรกรุ่นที่ว่านอนสอนง่าย พวกเธอดูแลตัวเองตามลำพังมากนาน และไม่ต้องการผู้ดูแลอีกแล้ว ในขณะที่มาร์คัสคิดว่าการจับพวกเธอทั้งสามแต่งงานไปเป็นเรื่องดีที่สุด

เล่มแรกเป็นเรื่องราวของอราเบลล่า พี่สาวคนโตในตระกูลลอร์ริ่ง เธอบุกมาพบมาร์คัสถึงในลอนดอนเพื่อขอให้เขาเลิกยุ่งกับพวกเธอ แต่การมาของเธอกลับเป็นการทำให้มาร์คัสสนใจในตัวอราเบลล่า และตัดสินใจว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมที่จะมาเป็นเคาท์เตสของเขา

แต่อราเบลล่าทีมีประสบการณ์ในอดีตที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน ทั้งของพ่อแม่ที่ตีกันเป็นยุงตีกัน หรืออดีตคู่หมั้นทีทิ้งเธอไปในยามที่ครอบครัวเธอกำลังประสบปัญหา เธอตั้งใจจะไม่แต่งงาน ทำให้เมื่อมาร์คัสยื่นข้อเสนอแก่เธอว่า หากเธอยอมให้เขาเกี้ยวพา และในที่สุดไม่ตอบตกลงแต่งงาน เขาจะปล่อยเธอและน้องสาวให้มีอิสระตามลำพัง

ทั้งเรื่องพล็อตมีแค่นี้แหละ มาร์คัสก็เกี้ยวพาอราเบลล่าในตำราที่สุภาพบุรุษไม่ทำกัน (หรืออย่างน้อยก็สุภาพบุรุษในนิยายประเภทอื่นที่ไม่ใช่โรแมนซ์ไม่ทำกัน) อราเบลล่าก็เล่นบทนางเอกโรแมนซ์ที่โลเลไปโลเลมา "ฉันรักเขา แต่เขาเป็นเสือผู้หญิง ฉันรักเขา แต่เขาไม่จริงใจ ฉันรักเขา แต่เขาอาจจะไม่รักฉัน ฉันรักเขา แต่เขาอาจเปลี่ยนใจไม่รักฉัน"

แม็กซ์อยากจะเขกกระโหลกแล้วบอกให้หุบปาก

นิโคลพูดถึงหนังสือชุดนี้ว่าจะเบากว่านิยายเรื่องอื่นที่เธอเคยเขียน และตามความเห็นของแม็กซ์ เล่มในอดีตของเธอมันก็แทบจะไม่มีสาระอะไรอยู่แล้ว พอมาถึงเล่มที่เบา มันก็เลยกลายเป็นนุ่นที่ลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

ดีใจที่อ่านจบค่ะ นั่นเป็นความดีใจเดียวที่มี

คะแนนที่ 40

Shadows of the night // Lydia Joyce

ในที่สุดแม็กซ์ก็สามารถอ่านหนังสือของลิเดีย จอยซ์จบ หลังจากที่ซื้อมาอ่านสี่เล่ม หยิบแล้ววาง อ่านแล้ววาง วางแล้วลืมมาหลายรอบ ในที่สุดก็มาถึงเล่มล่าสุดของเธอที่แม็กซ์อ่านจบแล้ว

และทำให้เริ่มจะเข้าใจ (แต่ก็แค่เล็กน้อยค่ะ) ว่าทำไม หลายคนจึงพูดถึงลิเดีย จอยซ์ว่าเป็นนักเขียนที่น่าจับตามอง

ก่อนเริ่มรีวิว ขอระบายความรู้ไปนอกเรื่องนิดนึง เพราะบังเอิญคนแต่งดันไปมีชื่อเหมือนกับคนที่แม็กซ์กำลังรังเกียจอย่างมากพอ ดี ยายเสียงเห่าหอนที่ลอยหน้าลอยตาลงหนังสือพิมพ์ให้ข่าวถึงคนที่หล่อน "นับถือเป็นพ่อ" แม็กซ์ก็เพิ่งจะรู้นะว่า คนเรา (ปกติสติดีดี) จะมีความ "สัมพันธ์" กับพ่อในลักษณะนี้ได้

จบเรื่องที่นอกเรื่อง กลับมานิยายเรากันดีกว่า

ขอบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้อ่านยาก ไม่ใช่ว่าภาษายากหรอกนะ แต่เป็นการตีความที่ยาก บอกตามตรงว่า ขนาดอ่านไปจบเล่มแล้ว แม็กซ์ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าตัวเองเข้าใจความหมายนัยที่คนแต่งต้องการสื่อ ได้ครบถ้วน

เริ่มเรื่องคนแต่งโชว์ให้เห็นคอลิน ทายาทไวส์เคาท์ผู้ร่ำรวยและใช้ชีวิตสุขสบายในเช้าวันแต่งงานของเขา คอลินกำลังอยู่กับเมียเก็บคนล่าสุด ขณะที่เขาแต่งตัวเพื่อไปงานแต่งงานของตัวเอง เขานึกถึงพิธีที่กำลังจะเกิดขึ้น และเจ้าสาวของเขา

เฟิร์นเป็นหญิงสาวผู้เหมาะสม เพียบพร้อมตามแบบฉบับหญิงสาวในยุควิคตอเรียน เธอเป็นสุภาพสตรีทุกกระเบียดนิ้ว เหมาะสมและน่าเบื่อ การเกี้ยวพาของคอลินเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่มีความรัก ความเสน่หา ความใกล้ชิดเข้ามาเกี่ยวข้อง

มีแต่คำว่าเหมาะสม

แต่แล้วในคืนวันแต่งงาน ประสบการทางเพศในครั้งแรกสำหรับสาวน้อยในยุควิคตอเรียนอย่างเฟิร์นกลับเป็น สิ่งที่มากเกินไป ชั่วแว่บเดียวเฟิร์นเหมือนตื่นจากฝัน ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามันมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ไหว

หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม เฟิร์นไม่เคยสูญเสียความควบคุมในตัวเอง เธอสามารถเป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงแขกนักร้อย เป็นภรรยาคู่เกียรติของสามี เป็นไวส์เคาท์เตสที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เธอรู้สึกในคืนวันแต่งงานมันกลับทำให้เธอรู้สึกว่า คอลินขโมยบางสิ่งไปจากเธอ

และเป็นครั้งแรกที่เฟิร์นทำตัว "ไม่เหมาะสม"

ซึ่งนั่นนำไปสู่การปะทะกันครั้งแรกระหว่างคู่แต่งงานใหม่ การปะทะที่จบลงด้วยการที่เฟิร์นกัดริมฝีปากของคอลิน และแทนที่เขาจะโกรธ มันกลับเป็นการปลุกคอลินขึ้นจากฝันเช่นกัน

แต่สำหรับคอลิน มันเป็นความเจ็บปวด เขาพบว่าตัวเองต้องการความเจ็บปวด (ใช่แล้ว S&M นั่นเอง แต่อย่าหวังว่าจะเจออะไรฮือฮามากนัก แค่ข่วนเลือดซิบ ๆ เท่านั้นแหละ) เพราะมันทำให้เขารู้สึก

ตลอดชีวิตคอลิน เขาเหมือนไร้วิญญาณ เขาใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย คนที่มีเพียงเปลือกนอก แต่กับเฟิร์น (ในรูปแบบใหม่) เขาเริ่มตื่น เขาเริ่มเป็นคนที่เขาควรจะเป็น

การเดินทางของสองสามีภรรยาเพื่อค้นพบตัวเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นคนที่ดีกว่า คอลินพาเฟิร์นไปสู่บ้านพักในชนบท แต่ในขณะที่ทั้งคู่ค้นหากันและกันเพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นคนใหม่ของพวก เขา คอลินก็ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ตามหลอกหลอนครอบครัวเขามานับร้อยปี

แม็กซ์รีวิวตามความเข้าใจของตัวเองค่ะ ไม่กล้าบอกว่ามันถูกหรือผิด เพราะอย่างที่เกริ่นแหละ เล่มนี้อ่านแล้วตีความยาก

คะแนนที่ 60

Vampire, Interrupted // Lynsay Sands

ไม่ได้คาดหวังอะไรกะเรื่องนี้มากนะคะ เพราะบอกตามตรงว่าไม่ค่อยจะรู้สึกลุ้นไปกะชีวิตรักของมาร์เกอริตเท่าไหรนัก (แม้ว่าเธอจะเป็นที่รอคอยของใครหลายคน) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ขอบอกว่า ในบรรดาสามเล่มหลังสุดที่ออกขายติดกันเนี่ย เล่มนี้ดีกว่าเพื่อน

และยังทำให้เราเปลี่ยนใจจากที่ว่าลินเซย์ แซนด์เก่งแค่เขียนหนังสือแนวตลกบริโภค (ไม่ได้ว่าหรอกนะ เขียนให้มันขำเนี่ยยากนะ เพียงแต่เราคิดว่าเธอเขียนได้แนวอย่างนี้อย่างเดียว) เพราะในเล่มนี้เธอสร้างพล็อตที่ซับซ้อนพอควรเลยล่ะ และถ้าคาดไม่ผิด เธอบอกใบ้คนอ่านตั้งแต่ในเล่ม A Bite to remember โน่นแล้วล่ะ

และเพื่อเป็นการเตือนคนสมองไว ขอบอกว่าอย่า อย่า อย่าเด็ดขาดไปอ่านตารางครอบครัวตระกูลอาร์ซาโน เพราะมันมีสปอยล์ตัวเบ้อเร่ออยู่ในนั้น แม็กซ์เผลอไปอ่านเข้า ก็เลยทำให้เดาพล็อตของเรื่องนี้ออกทั้งหมด และมันทำให้เซอร์ไพส์หายไปเลย

เหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นเกือบจะคู่ขนานกับเหตุการณ์ในเรื่อง Vampires are forever เพียงแต่เป็นมุมมองคนละด้าน ระหว่างโธมัสผู้ตามหาการหายตัวไปอย่างลึกลับของมาร์เกอริต (ใน VAF) และเหตุผลที่ทำไมมาร์เกอริตจึงหายตัวไปในเล่มนี้

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาร์เกอริตทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเป็นแม่บ้าน เป็นแม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มต้นอาชีพกับงานนักสืบเอกชน ที่มาร์เกอริตยอมรับกับตัวเองอย่างรวดเร็วว่า เธอไม่เหมาะกะมันเลย แต่ในเมื่อรับปากกับคริสเตียนลูกค้าไปแล้วว่าจะตามหาแม่ของเขา เธอก็จะสานงานนั้นต่อให้เสร็จ

เพียงแต่งานนี้มันยากเกินและอันตรายเกินคาด เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับปลายดาบที่กำลังจะหั่นลงมาบนศีรษะ ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นชีวิตอมตะของเธอก็จะไม่เป็นอมตะอีกต่อไป แต่มาร์เกอริตก็ขยับตัวได้ทัน

การถูกตามปองร้ายได้รับการอธิบายโดยจูเลียส น็อตติผู้เป็นพ่อของคริสเตียนว่า เป็นความพยายามจากครอบครัวของผู้เป็นแม่ของคริสเตียน ไม่มีใครอยากให้ตัวตนของผู้เป็นแม่ของคริสเตียนเปิดเผยออกมา และถ้าหากเป็นการเอาชีวิตมาร์เกอริต มันก็เป็นความจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้

ในขณะเดียวกัน การได้พบกัน ก็ทำให้จูเลียสและมาร์เกอริตพบว่าทั้งคู่เป็นคู่แท้ของกันและกัน (คู่แท้ในหนังสือชุดนี้หมายถึงคนที่ไม่อาจอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายออก) แต่ด้วยความที่ประสบการณ์ด้านชีวิตคู่ของมาร์เกอริตไม่ค่อยดีนัก เพราะสามีคนแรกของเธอไม่ใช่คู่แท้ และสามารถควบคุมการกระทำของเธอได้ จูเลียสจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่าเขาอ่านความคิดเธอไม่ออก

คณะทั้งหมด (มาร์เกอริต, จูเลียส, คริสเตียน, และเหล่าญาติทั้งหลาย) ออกเดินทางเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับตัวตนของแม่ของคริสเตียน ในขณะเดียวกันศัตรูก็ตามปองร้าย

เล่ามากกว่านี้ก็สปอยล์แล้วล่ะค่ะ เอาเป็นว่าแม็กซ์สรุปว่า เล่มนี้อาจจะเป็นเล่มที่พล็อตเรื่องหนักที่สุดในชุดแล้ว แต่ด้วยสไตล์การเขียนของลินเซย์ ก็ยังทำให้เรื่องที่ว่าหนัก กลายเป็นเบา และสนุกได้

โดยรวมทั้งชุด แม็กซ์อยากให้หามาอ่านกันนะคะ สนุกน่ารักดี เป็นพารานอมอลแบบไม่เครียด ไม่ฮาจนไร้สาระ สนุกทุกเล่มค่ะ เพียงแต่เล่มไหนมากน้อยเท่านั้นเอง

คะแนนที่ 83

ข่าวบอกว่าเล่มหน้าจะเป็นเรื่องของมอร์ติเมอร์ซึ่งเป็นแวมไพร์นักล่า ที่เคยออกมามีบทบาทใน Bite me if you can เห็นว่าจะออกราวเดือนตุลาคม ชื่อเรื่องว่า The Rogue Hunter และนี่จะเป็นเล่มแรกที่ไม่ใช่เรื่องของแวมไพร์ในตระกูลอาร์ซาโน

สามสิบยังแจ๋ว ที่ไม่ใช่เพลง

ถ้าเป็นสมัยก่อน คนอายุสามสิบก็ถือว่ามาถึงครึ่งทางชีวิตพอดี ตอนนี้เมื่อคนอายุยืนขึ้นไปเป็นแปดสิบเก้าสิบ อายุสามสิบจึงเปรียบเหมือนการเริ่มต้น คุณเพิ่งผ่านพ้นสิบปีแรกแห่งการทำงานในชีวิตมา (บางคนอาจจะยังไม่หมดภาระเรื่องเรียนด้วยซ้ำ) คุณเริ่มสนุกสนานกับการใช้เงินที่หามาได้เอง ใช้ชีวิตอย่างที่คุณใฝ่ฝัน (ถ้าคุณโชคดีพอ) สามสิบเป็นวัยแห่งการใช้ชีวิต

แม็กซ์นั่งคุยกับเด็กที่เพิ่งสอบเข้ามหาลัยได้ เขาอายุ 18 ปี กำลังหนุ่มเต็มตัว พ่อแม่ฉลองความสำเร็จให้เขาด้วยการซื้อรถให้ขับ เมื่อเราเจอกัน จู่ ๆ เขาก็ถามแม็กซ์ว่า อายุเท่าไหรแล้ว

พอตอบไปว่าสามสิบ... เขาก็พูดว่า นึกภาพตัวเองตอนอายุเท่านี้ไม่ออกเลย แล้วก็ไม่อยากจะคิดถึงตัวเองตอนอายุสามสิบด้วย มันแก่เกินไป

เอาล่ะสิ แก่งั้นเหรอ แม็กซ์บอกเลยนะว่า ไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่ อาจเพราะตลอดเวลาการใช้ชีวิต แม็กซ์ไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำผิดพลาด ทำเยอะด้วยนะ แต่ทุกความผิดพลาด ทุกความล้มเหลว คือประสบการณ์ที่ทำให้แม็กซ์เป็นคนอย่างทุกวันนี้

คนที่แม็กซ์พอใจที่ได้เป็น และมีความสุขที่ได้เป็น

ไม่มีคำว่าเสียใจ

แม็กซ์ตอบเด็กคนนั้นไป สามสิบไม่ใช่วัยที่น่ากลัว เป็นการเริ่มต้นชีวิตอันน่าพิศมัยด้วยซ้ำ ถ้าคุณใช้ชีวิตในช่วงเวลาก่อนหน้าอย่างฉลาด คุณจะมีวัยสามสิบที่สดใส เสียยิ่งกว่าวัยรุ่นขบเผาะเสียอีก

ทำไมน่ะเหรอ

สามสิบเป็นวัยที่คุณเริ่มก้าวหน้าในอาชีพ มีเงินที่คุณหามาเอง และแน่นอนว่าย่อมจะตัดสินใจใช้ยังไงตามแต่ใจที่คุณต้องการ คุณไม่ใช่เด็กวัยสิบเจ็ดที่แบมือขอเงินจากทางบ้าน ต้องหลบซ่อนสิ่งที่คุณชอบจากผู้ปกครอง เพียงเพราะพวกเขาอาจไม่เข้าใจในความลุ่มหลงของคุณอีกต่อไป

สำหรับแม็กซ์ มันคือการประกาศอิสรภาพ การเป็นตัวของตัวเอง เลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือก ไม่ใช่ในแบบที่ถูกเลือกให้เป็น

แต่แม็กซ์ไม่มีวันที่จะมายืนที่จุดนี้ในวัยสามสิบได้ ถ้าในช่วงก่อนหน้าไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น ไม่ทำเต็มที่กับชีวิตที่อยู่ตรงหน้า ชีวิตไม่ได้เกิดจากการอธิษฐานขอพร (โอเคมันอาจมีส่วนช่วยนะ) แต่เป็นเพราะความพยายาม และทุ่มเทเกินร้อย

ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่ไม่ได้ทำ (ไม่ใช่โฆษณาจอห์นนี่วอร์คเกอร์นะ แต่เป็นสิ่งที่แม็กซ์คิดเสมอ)

แม็กซ์ไม่เก่งอังกฤษมาจากท้องพ่อท้องแม่ แม้ทางบ้านจะลุ้นและดันด้วยการเสียเงินแป๊ะเจี๊ยให้เข้าเรียนในโรงเรียน ฝรั่งระดับดังย่านเทเวศร์ ตอนเรียนม.สองก็สอบตกวิชาภาษาอังกฤษ

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของแม็กซ์ มันปลุกแม็กซ์ตื่นจากความฝันเฟื่องที่ว่า คนเราสอบผ่านกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือ

อาจมีคนทำได้ แต่ไม่ใช่แม็กซ์ ความพยายามทำให้แม็กซ์อ่านนิยายภาษาอังกฤษเล่มแรกจบขณะกำลังเรียนม.สอง และไม่เคยหันหลังกลับนับจากนั้น

ชีวิตในปัจจุบันมีฐานมาจากอดีต มันขึ้นอยู่กับว่า คุณใช้ชีวิตในอดีตยังไง มันเป็นภาพสะท้อนอดีตที่คุณเป็น และในขณะเดียวกันมันก็จะเป็นโครงร่างของชีวิตที่คุณกำลังจะเป็นในอนาคต

แม็กซ์ไม่ใจหายที่อายุสามสิบ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต

Let Sleeping Rogues Lie // Sabrina Jeffries

เล่มนี้อ่านจบมาพักใหญ่แล้วล่ะค่ะ แต่เพิ่งได้ฤกษ์เขียนถึง สำหรับหนังสือเล่มที่สี่ในชุด The School of Heriesses หนังสือชุดที่แม็กซ์คิดว่าไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกันเท่าไหรเลย

คอนเซ็ปต์ของเรื่องมาจากชาร์ล็อตอดีตทายาทสาวผู้ร่ำรวยที่หลงคารมทหารหนุ่ม ที่หวังปอกลอกเธอ หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน เขาทำให้เธอหมดตัว แล้วก็เสียชีวิตลง (แต่แม็กซ์ยังสงสัยนะว่าจริงหรือเปล่า) ปล่อยเธอไว้เผชิญโลกตามลำพัง ด้วยความช่วยเหลือจากญาติผู้ไม่ปรากฎตัว ไมเคิลช่วยให้ชาร์ล็อตกลับมายืนได้อีกครั้ง เธอตั้งโรงเรียนสำหรับเหล่าหญิงสาวผู้มีร่ำรวย สอนให้พวกเธอระแวงเหล่าผู้ชายที่คิดมาหลอกลวง

แต่ละเล่มในชุดไม่ค่อยมีความเกี่ยวเนื่องกันสักเท่าไหรนัก แถมจดหมายระหว่างชาร์ล็อตและไมเคิลที่อยู่ตอนต้นของทุกบทก็ยังน่ารำคาญ บางครั้งก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องสักนิด แม็กซ์ว่ามันเป็นการยัดเยียดคนอ่านในเรื่องของชาร์ล็อตและไมเคิลมากเกินไป

แต่นอกจากที่พูดไป องค์ประกอบอื่นโอเคนะ หนังสือของซาบริน่าอ่านได้ไม่ผิดหวังอยู่แล้ว กระทั่งเล่มที่คิดว่าแย่แล้ว ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย และเล่มนี้บอกได้เลยว่าไม่เลวร้ายเลย

พล็อตของหนังสือเล่มนี้ถูกใช้มานับร้อยนับพันครั้ง ตอนเริ่มต้นเรื่องทำให้แม็กซ์นึกถึงหนังสือเรื่อง The Duke and I ของจูเลีย ควินน์ เรื่องราวของเด็กชายที่ทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อของตนยอมรับ แต่ไม่เป็นผล

เพื่อนคนนึงของแม็กซ์บอกว่า "คุณหาพล็อตที่แหวกแนวหรือแปลกใหม่ในหนังสือย้อนยุคไม่ได้หรอก" ซึ่งแม็กซ์ค่อนข้างเห็นด้วยนะ แต่ฝีมือคนเขียนจะทำให้พล็อตที่ซ้ำซากน่าอ่านขึ้นมาได้ และโชคดีที่ซาบริน่า เจฟฟรีย์เป็นหนึ่งในนั้น

แมดเดลีนเป็นครูในโรงเรียนของชาร์ล็อต (และเป็นจุดเชื่อมเข้ากับชุดนี้) เธอเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใคร จนกระทั่งแอนโธนี ไวส์เคาท์นอร์ค็อตบุกมาที่โรงเรียนและขอร้องให้ชาร์ล็อตรับหลานของเขาเข้า โรงเรียน แอนโธนีกำลังจนแต้ม เขาต้องต่อสู้กับผู้เป็นลุงและป้าในเรื่องสิทธิการเลี้ยงดูหลานสาว ซึ่งหากเขาทำให้ชาร์ล็อตรับเธอเข้าโรงเรียนได้ แต้มต่อของเขาก็สูงขึ้น

แมดเดลีนตกลงช่วยเขา แต่นั่นก็เพราะเธอมีแผนการบางอย่างที่ต้องการใช้แอนโธนี่ช่วยเช่นกัน พ่อของเธอเป็นเหยื่อในความไม่ยุติธรรมของลุงของเขา เธอต้องการให้เขาจัดงานเลี้ยงเพื่อเชื้อเชิญนักวิทยาศาสตร์ทางเคมีชื่อดังมา ร่วม เพื่อเธอจะได้ขอร้องนักวิทยาศาสตร์คนนั้นให้กล่าวสนับสนุนการกระทำของผู้ เป็นพ่อ เพื่อเคลียร์ชื่อเสียงที่ถูกลุงของแอนโธนีทำลาย

คุณเห็นรึยังว่าความบังเอิญมันแทบชนกันตายในเรื่อง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเรื่องอ่านลื่นสนุกค่ะ แม็กซ์ก็เลยให้อภัยได้ แม้จะรู้สึกว่าแมดเดลีนดูจะใช้แผนการที่โง่เกินกว่าสติปัญญาที่ซาบริน่า โฆษณาไว้ว่าเธอมี

เรื่องราวตามสไตล์ซาบริน่า พระเอกนางเอกที่คุณอยากอ่านเรื่องราวของพวกเขา การผจญภัยนิดหน่อย แล้วฉากรักที่ร้อนแรงเล็ก ๆ นี่เป็นส่วนประกอบที่แม็กซ์ยอมรับได้

เห็นซาบริน่าบอกว่าจะมีอีกสองเล่มในชุดนี้ เล่มสุดท้ายเป็นเรื่องราวของชาร์ล็อตและไมเคิล จากการอ่านเล่มนี้ แม็กซ์ว่าแววของลอร์ดสโตนเวลล์ดูมาแรงดีค่ะ ก็เลยเดาว่าถ้าเขาไม่ใช่ไมเคิล ก็น่าจะเป็นพระเอกเล่มถัดไปนี่ล่ะ

คะแนนที่ 77

Raine // Elizabeth Amber

แม็กซ์มักพูดกะเพื่อนเสมอว่า "ถ้าเราอ่านหนังสือมานานสักระยะหนึ่ง ก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้เราแปลกใจได้อีกต่อไป"

ไม่นึกเลยว่าวันนี้แม็กซ์ต้องมากลับคำพูด เพราะหลังจากอ่านเรื่อง Raine ของอลิซาเบ็ธ แอมเบอร์จบลง อาการช็อคจนพูดไม่ออก ก็เกิดขึ้นกะตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีคนแต่งนิยายโรแมนซ์ที่กล้า

ขอบอกว่าอลิซาเบ็ท แอมเบอร์... เธอช่างกล้า

หลังจากอ่านเล่มแรกในชุดเรื่องนิโคลัส แม็กซ์ก็ชื่นชอบฝีมือการเขียนของนักเขียนคนนี้ค่ะ แต่ก็นึกสงสัยนะว่า เล่มสองในชุดที่ใช้พล็อตแนวเดียวกันเลยกะเล่มแรกนี่ จะมีอะไรใหม่ให้น่าสนใจอีกเหรอ

พี่น้องสามหนุ่มผู้สืบเชื้อสายจากโลกแฟรี่ ได้รับการขอร้องจากกษัตริย์แห่งแฟรี่ที่กำลังจะตายให้ออกตามหาลูกสาวกึ่ง มนุษย์ของเขา และแต่งงานกับเธอ เพื่อคุ้มครองพวกเธอจากการแก่งแย่งชิงอำนาจในโลกแฟรี่

ในเล่มแรกนิโคลัสออกตามหาเจ้าสาวของเขา และได้พบกับเจน ในเรื่อง Nicholas ที่แม็กซ์เคยเขียนรีวิวไปแล้ว แม็กซ์ชอบเล่มนั้นนะคะ ถือว่าเป็นอีโรติกโรแมนซ์ที่ดีมากเล่มนึงที่ได้อ่านเมื่อปีก่อน แต่อย่างที่บอกล่ะค่ะ ด้วยความที่หนังสือทั้งสามเล่มเนี่ยใช้พล็อตร่วมกัน คือการตามหาเจ้าสาวของเหล่าพระเอก แต่งงานกับเธอ XXX กันอย่างมันสุดเหวี่ยง เมื่ออ่านไปแล้วเล่มนึง จะมีน่าค้นหาหรือน่าติดตามอีกเหรอ

แม็กซ์เปิดเรนเล่มสองอ่านอย่างไม่สนใจอะไรนัก คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรใหม่ จนกระทั่งได้อ่านบทแรก

ถ้าแม็กซ์นับถือศาสนาคริสต์ก็คงต้องร้องว่า "โอ้มายก้อด" แต่ด้วยความที่เป็นพุทธ ขืนร้องอย่างนั้นคงจะโดนประนามว่ากระแดะ ก็เลยใช้วิธีตกใจแบบนิ่งอึ้ง ตะลึงงันในความกล้า

หลายคนคงสนใจแล้วล่ะสิว่า อะไรทำให้คนที่อ่านหนังสือเจนโลกอย่างแม็กซ์ช็อค

ถ้าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่โรแมนซ์ เป็นแนวอื่นก็คงไม่ช็อคนักหรอก แต่บอกตามตรงค่ะ ในชีวิตนี่เคยเห็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับตัวละครที่มีลักษณะอย่างนี้แค่ ครั้งเดียว แถมตัวละครนั้นยังเป็นผู้ร้ายชนิดโหด เลว ไม่มีดีอีกต่างหาก

แต่อลิซาเบ็ทให้เธอเป็นนางเอก (และขอบอกว่า ไม่ใช่ว่าตัวละครที่มีลักษณะอย่างนี้จะต้องเลวหรอกนะ เพียงแต่มันกล้ามากเลยที่ให้เป็นนางเอก)

อยากรู้ล่ะสิว่าแม็กซ์พูดถึงลักษณะอะไร

ถ้าอ่านต่อมันก็สปอยล์นะคะ แม้จะไม่คิดว่ามันเป็นการสปอยล์เท่าไหร เนื่องจากบทที่หนึ่งของเรื่องก็เฉลยแล้วล่ะ แต่ก็เตือนกันก่อนแล้วกัน

ลักษณะทางกายภาพของนางเอกมีชื่อเรียกในภาษาหรู ๆ ว่า "hermaphrodite" หรือที่เราเรียกกันว่า กระเทยแท้ บุคคลที่เกิดมาพร้อมอวัยวะเพศของทั้งสองเพศ (คงไม่ต้องอธิบายลงรายละเอียดนะคะว่ามีอะไรบ้าง)

ขอพูดอีกครั้งเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด แม็กซ์ไม่มีปัญหาอะไรกับตัวละครที่มีลักษณะสองเพศ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีนักเขียนแนวโรแมนซ์คนไหนที่กล้าจับตัวละครลักษณะนี้มา เป็นตัวเอกค่ะ

ขอปรบมือให้กับคนแต่งเลยนะที่กล้า และเป็นการประกาศให้โลกรู้ด้วยว่า คนอ่านโรแมนซ์ไม่ใช่มีแค่พวกที่ชอบอ่านเรื่องที่นางเอกเป็นสาวน้อยวัยสิบหก ที่ไม่รู้เลยว่าการผลิตลูกนี่มันทำกันยังไง

จอร์แดนเป็นคนที่เกิดมาพร้อมลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากคนอื่น และเนื่องจากเพื่อรักษาผลประโยชน์ของมารดาในเรื่องการสืบทอดบรรดาศักดิ์และ ทรัพย์สมบัติ แม่และหมอที่ทำคลอดเธอรวมหัวกันประกาศให้จอร์แดนเป็นผู้ชาย เขาใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กชาย และชายหนุ่ม แต่ภายในส่วนลึกจอร์แดนรู้เสมอว่า เธอไม่ใช่ผู้ชาย อารมณ์เพศหญิงนำหัวใจเธอเสมอ

และเมื่อโอกาสมาถึง เธอได้พบกับเรนซึ่งออกเดินทางตามหาเจ้าสาวแห่งภูติชักชวนเธอให้ละทิ้ง ทุกอย่างไปอยู่กับเขาในไร่องุ่นในฝรั่งเศส เธอยินดีติดตามเขาไปอย่างไม่ลังเล และเป็นครั้งแรกที่เธอใช้ชีวิตอย่างผู้หญิง

พล็อตไม่ค่อยมีอะไรมากค่ะ หลายส่วนก็ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก (ในส่วนของคนร้าย) และไม่ว่าจอร์แดนจะแปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นอย่างไร เล่มนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแนวอีโรติกโรแมนซ์เล่มอื่น (คงนึกออกนะว่าทั้งเรื่องมีฉากอะไรเยอะที่สุด) แต่แม็กซ์ชอบนะ ที่คนแต่งไม่ได้บรรยายให้จอร์แดนเป็นตัวประหลาด หรือของแปลกสำหรับเรน เพราะกับเขา จอร์แดนเป็นผู้หญิงเสมอ และนั่นมันสำคัญที่สุดในหนังสือโรแมนซ์ที่แม็กซ์อยากเห็น

ยอมรับว่าอลิซาเบ็ทแหวกแนวเรื่องได้ดีค่ะ หลังจากคิดว่าจะได้เจอ same old same old ก็เจอพล็อตอย่างนี้ ทำให้ตอนนี้ชักอยากรู้ว่า เล่มสามจะมีพล็อตมาแนวไหนอีก

คะแนนที่ 60

The Northern Devil // Diane Whiteside

หายหน้าไปช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เพราะผีชาแมนคิงเข้าสิง กลับไปรำลึกอดีตนั่งอ่านตั้งแต่เล่มแรกจนเล่มสามสิบสอง เอาไว้รวบรวมสติกลับมาได้ อาจจะรีวิวการ์ตูนให้ฟังกันบ้างค่ะ เพราะองค์ประกอบหนึ่งที่แม็กซ์ชอบในการ์ตูนเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นโรแมนซ์ เหมือนกัน

เข้าเรื่อง The Northern Devil แล้วกัน เล่มนี้เป็นหนังสือเก่า ออกขายตั้งแต่ปีก่อน แม็กซ์อ่านไปครึ่งเล่มแล้ววางทิ้งนิ่งสนิทจนฝุ่นจับ แต่ด้วยอาการคลั่งอีธาน พระเอกในหนังสือเล่มที่จะออกล่าสุดของไดแอนคนแต่ง ก็เลยขุดเอากลับมาอ่านอีกครั้ง

แล้วก็ดีใจที่หยุดอ่านไปเมื่อปีก่อน นั่นเพราะหากแม็กซ์ทูซี้ทนอ่าน ก็คงสรุปว่าเล่มนี้ไม่หนุก ไม่ได้เรื่องเลย เพราะใจแม็กซ์ตอนนั้นหน้ามืดมัวแต่คิดว่าเล่มนี้มันแนวอีโรติค โรแมนซ์ อ่านไปสายตาก็พลอยสอดส่องแต่ฉากอย่างว่าอยู่เรื่อย ทำให้ไม่อาจเข้าถึงเนื้อเรื่องได้

ความจริง เล่มนี้ไม่ใช่อีโร แม้จะมีฉากรักเกลื่อน มันเป็นแนวเวสเทิร์นสำหรับหลายคนที่คิดถึง และสำหรับคนที่ไม่ชอบแนวเวสเทิร์นอย่างแม็กซ์ ก็ถือว่าใช้ได้พอควรเลยล่ะ

ลูคัสเป็นชายหนุ่มที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย แต่เขาปฏิเสธที่จะตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมจากครอบครัวอันมั่งคั่งของเขา ลูคัสหนีออกจากบ้านและกลายเป็นทหาร หลังจากสงครามกลางเมือง เขาเข้าร่วมกับวิลเลี่ยม โดโนแวน (พระเอกใน The Irish Devil หนังสือเล่มแรกในชุดนี้) และกลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยด้วยลำแข้งของตัวเอง

เขามีมิตรภาพอันดีกับราเชล ซึ่งกลายเป็นเพื่อนอีกคนของเขาหลังจากเธอแต่งงานกับเพื่อนสนิทของเขา แต่เพียงไม่น่าราเชลก็กลายเป็นม่าย ม่ายสาวผู้ร่ำรวย และเป็นที่หมายปองของชายหลายคน และหนึ่งในผู้หมายปองเธอนั้น ใช้วิธีการสกปรกจับตัวเธอไว้เพื่อบังคับให้แต่งงาน เพื่อเขาจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเธอ

ด้วยความบังเอิญราวกับโกหก และเกิดขึ้นในนิยายได้เท่านั้น เจ้าคนชั่วร้ายนั้นบังคับราเชลมายังตะวันตก ด้วยแผนร้ายอีกอันที่จะลอบสังหารวิลเลี่ยม โดโนแวน และบังเอิญอีกที่ลูคัสอยู่แถวนั้นพอดีในเวลาที่ราเชลหลบหนีการควบคุมตัวมา ได้

เหตุการณ์ต่อมา แฟนโรแมนซ์ก็คงพอเดากันได้ ลูคัสช่วยเหลือราเชล และทางเดียวที่เขาจะปกป้องเธอได้ ก็คือการแต่งงานกับเธอ การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักเริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขามีร่วมกันก็คือ เซ็กส์ แต่อย่างที่บอก อย่าคิดว่านี่มันแนวอีโรติก โรแมนซ์นะคะ มันไม่ใช่ (เท่าไหรนัก)

ลูคัสและราเชลต้องแข่งกับเวลาเพื่อเดินทางไปเตือนวิลเลี่ยมถึงแผนร้ายที่คิด เอาชีวิตของเขา ในขณะเดียวกันก็ต้องเริ่มต้นความพยายามปรับตัวเข้าหากัน

พล็อตไม่มีอะไรมาก ลูคัสคิดว่าราเชลยังรักอดีตสามีของเธออยู่ ส่วนเธอก็คิดว่าเขามอบหัวใจให้กับเมียเก็บที่โดนฆ่าตาย อาการอัลฟ่าเมลของลูคัสพุ่งพรวดทำตัวไม่น่ารัก ทำให้เธอโกรธ หญิงสาวโดยผู้ร้ายจับตัวกลับไป พระเอกตามไปช่วย

พล็อตสแตนดาร์ท แต่โดยรวมแม็กซ์ว่าสอบผ่านค่ะ

คะแนนที่ 60

รวมไม่ฮิตอีโรติกโรแมนซ์

เนื่องจากมีหนังสือค้างที่ยังไม่ได้รีวิวหลายเล่มมาก เพื่อความรวดเร็วก็เลยขอเขียนถึงหลายเล่มในบลอกเดียวแล้วกัน แต่เนื่องจากหนังสือที่จะเขียนถึงนี่มันไม่ค่อยได้เรื่องนัก แทนที่จะเป็น การรวมฮิต ก็เลยรวมไม่ฮิตแล้วกัน

Sweet Surrender ของ มายา แบงค์

แม็กซ์คงไม่ตำหนิเล่มนี้มากหรอกนะ หากเบิร์คเลย์ไม่ทำการโฆษณาอวดอ้างเกินจริง ถ้าคุณลองผิดปกหลังของหนังสือเล่มนี้ แล้วดูตรงมุมล่างของเล่ม ก็จะสังเกตเห็นคำว่า "Erotic Romantic Suspense" และเนื่องจากแนวนี้เป็นแนวสุดโปรดของแม็กซ์ เราก็เลยตั้งความหวังไว้สูงมาก มากขนาดที่ลืมทำใจว่า มายา แบงค์เป็นคนแต่งเรื่อง Colter's Wife (เรื่องสามศรีพี่น้องที่ใช้เมียร่วมกัน)

แล้วก็ผิดหวัง เพราะมายาเขียนเรื่องแนว Romantic Suspense ไม่เป็น สุดท้ายก็เลยได้แค่คำว่า "Erotic" มาเท่านั้นเอง

เนื้อเรื่องไม่เสียหาย เรื่องของเกรย์ นายตำรวจที่คู่หูถูกฆ่าตาย เขาได้รับการขอร้องจากพ่อของเพื่อนให้ปลอมตัวเข้าไปสืบเรื่องราวของคนร้าย ผ่านทางเฟธ ซึ่งลูกสาวของแฟนสาวของคนร้าย (คนร้ายมีแฟน แฟนมีลูกสาวคือนางเอก โปรดอย่างง)

เฟธได้รับการอุปการะจากพ่อบุญธรรม ซึ่งเคยเป็นแฟนเก่าของแม่ หลังจากใช้เวลาหลายปีรับผิดชีวิตชีวิตของคนที่ควรจะต้องเป็นผู้ดูแลเธอ เฟธเริ่มต้นชีวิตใหม่กับการทำงานในสำนักงานนักสืบเอกชน ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามแสวงหา "ผู้ชาย" ที่ใช่

ชายในอุดมคติของเฟธต้องยอมรับ และชื่นชอบรสนิยมชนิด BSDM ของเธอได้ เฟธมองหาอย่างไม่สำเร็จ จนกระทั่งได้เจอกับเกรย์ นักสืบคนใหม่ที่เข้ามาร่วมงาน

เล่มนี้เป็นเรื่องการแสวงหาผู้ชายที่ใช่ของเฟธมากกว่าจะเป็นโรแมนติกสืบสวน เพราะพระเอกไม่เห็นจะสืบอะไร ผู้ร้ายก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

คนที่มองหาอีโรติกโรแมนซ์ที่ฉากรักร้อนฉ่าก็ไม่น่าผิดหวัง แต่แม็กซ์คิดว่าตัวเองเลยจุดนั้นมาแล้วค่ะ ที่สำคัญแม็กซ์ไม่ชอบ.... (กำลังจะสปอยล์ คนไม่อ่านแต่คิดจะอ่านถอยไปค่ะ)

แม็กซ์ไม่ชอบที่ชายคนที่เกรย์ยอมให้เข้ามามีอะไรกะ เฟธ (สไตล์สอง/หนึ่ง) เขาเป็นนักสืบเอกชนคนที่เฟธคิดถึงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของคนในครอบครัว (เธอคิดถึงเหล่านักสืบในสำนักงานของเธอเหมือนเป็นญาติสนิท ยกเว้นเกรย์ที่จุดไฟเธอติด) ถ้าเป็นตัวละครที่เป็นเจ้าของบาร์ที่เฟธไป เที่ยวยังให้ความรู้สึกดีกว่านะ

คะแนนที่ 63

Animal Lust ของเลซี่ เดนส์

ฟังชื่อแล้วอาจนึกว่าเล่มนี้มันคง... กันจนมันส์หยด แต่ก็ขอบอกว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากอีโรติค โรแมนซ์เล่มอื่นหรอกค่ะ เล่มนี้เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นของพี่น้องสี่คนตระกูลมนุษย์หมี

ใน "มาร์ติน" เป็นนิยายที่เปิดเรื่องได้ไม่โรแมนติกที่สุด เมื่อนางเอกเสียความสาวให้กับชายอื่นที่หวังหลอกฟัน ด้วยความเสียใจ เธอหนีเตลิดจนไปพบกับปราสาท (นึกถึงเรื่องปราสาทมืดเอาไว้) และครอบครัวที่เก็บตัวเงียบ และมีพฤติกรรมประหลาด ด้วยความที่เป็นเรื่องสั้น และอีโรติค ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานเลยที่จะเริ่มมีฉากพรรณอย่างว่า และเนื่องด้วยเจนเป็นคู่ของพี่น้องสองคนที่เป็นฝาแฝดกัน (มนุษย์หมีในเรื่องจะรู้ว่าหญิงใดเป็นคู่ของตนนั้นจากกลิ่น และกลิ่นของเจนก็ถูกใจทั้งมาร์ติน และแม็ค) ทำให้พ่อของพวกเขาเอ่ยปากขับไล่เจนออกจากบ้าน เพราะเคยมีประสบการณ์แย่งผู้หญิงคนเดียวกับน้องชายของตัวเองมาแล้ว และไม่อยากให้ลูกชายสองคนต้องมาทะเลาะกันอีก

เรื่องนี้แม็กซ์ยกให้แย่ที่สุดในชุดค่ะ

ใน "แม็ค" หลังจากผิดหวังความรักในเรื่องสั้นเรื่องแรก แม็กออกเดินทางไปยังบ้านเกิดของบิดาในยุโรป เพื่อเข้าราชสำนักของเหล่ามนุษย์หมี และแม้จะพยายามทบทวนความรู้ทางภูมิศาสตร์ แม็กซ์ก็ยังระบุที่ตั้งของฉากในตอนนี้ไม่ได้ ในขณะเดียวกัน นางเอกของเรื่อง (จำ ชื่อไม่ได้) ซึ่งเป็นน้องสาวของกษัตริย์แห่งหมี ก็กำลังมองหาคู่ที่เข้มแข็งพอที่จะไม่กลัวพี่ชายนิสัยเสียของเธอ และเธอก็ได้เจอกับแม็ก

เล่มนี้แม้จะอ่านไปงงไป ก็ถือว่าดีที่สุดในเล่มนะ

ใน "โอริน" มาถึงตอนที่สาม แม็กซ์เริ่มรำคาญกับเหล่ามนุษย์หมีแล้วค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีความอดทนพยายามทำความเข้าใจเนื้อเรื่องนัก โอรินเป็นลูกชายคนโตในบรรดาสี่คน เขามีปมในชีวิตเพราะไม่แน่ใจว่าใครเป็นพ่อของตัวเองกันแน่ (เพราะแม่ ถูกแย่งระหว่างพี่น้องสองคน) ดังนั้นเมื่อเขาได้พบกับลูกสาวของเพื่อนบ้านซึ่งมีบรรดาศักดิ์ แม้จะห้ามใจไม่ให้เคลมเธอได้ โอรินก็ยังปฏิเสธที่จะสานต่อความสัมพันธ์ให้มากกว่านั้น เพราะเขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้กับความเป็นหมีของเขา

ใน "เดวอน" น้องนุชสุดท้อง เขาต้องรอนับสิบปีหลังจาก "มาร์ติน" สำหรับหญิงที่เขาแอบหลงรักมาตลอดชีวิต เธอแต่งงานกับคนอื่นด้วยความโง่ของเขาที่ไม่รู้ใจตัวเองว่ารักเธอ เขารอจนเธอเป็นม่าย ก่อนที่จะพาตัวเองกลับเข้าชีวิตเธอีกครั้ง

อย่างที่บอกค่ะ งานนี้มันรวมไม่ฮิตนะ คะแนนก็เลยได้แค่ 53 สำหรับสี่เรื่องรวมกัน

The Sailkeeper's bride ของแอนนี่ วินเซอร์

เล่มนี้เป็นหนังสือเก่ากึกของแอนนี่ วินเซอร์ที่เขียนให้กับอีลอร่าสเคฟ สมัยเริ่มต้นสนพ.ใหม่ ๆ เมื่อเกือบสิบปีก่อน แอนนี่เป็นหนึ่งในนักเขียนรุ่นบุกเบิกของอีลอร่า เรื่องของเธออยู่ในแนวฟิวเจอร์ริสติคไซไฟ เรื่องราวของโลกอนาคต เหล่ามนุษย์ต่างดาวที่มีค่านิยมทางเพศที่แตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกเรา

ดังนั้นจึงคาดหวังได้ว่าในเล่มนี้ เหล่าครอบครัวพระเอก ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวหรือญาติ ก็ล้วนเข้ามาแชร์นางเอกกันอย่างพร้อมหน้า

อ่านเล่มนี้แล้วทำให้ผิดหวังค่ะ แม็กซ์ไม่เคยอ่านงานของแอนนี่มาก่อน แต่เนื่องจากแอนนี่ กำลังจะกลายร่างเป็นแอน วินเซอร์ นักเขียนของสนพ.บัลเลนไทน์ที่จะมีผลงานชนิดสามเล่มติดกันในชุด Bound by something ที่ดูท่าน่าอ่าน แม็กซ์ก็เลยไปขุดเอาเล่มนี้มาอ่าน

แล้วก็แป๊ก...อย่างแรง

เรื่องที่อ่านน่าชวนเวียนเฮด ตัวละครเยอะจนงง ตัวละครที่วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเรื่องนั้น การอธิบายโลกในเรื่องไม่มีความชัดเจน อ่านแล้วไม่มีประเด็นใด ๆ ทั้งสิ้น

น่าเสียเวลามาก

สำหรับคนที่อยากรู้พล็อตขอเล่าอย่างคร่าวที่สุด เพราะไม่มีอะไรจะเล่าค่ะ เล่มนี้เป็นเล่มสองในชุด จอร์เจียเป็นชาวโลกธรรมดาอย่างเราท่าน เธอถูกกำหนดให้เป็นบุคคลผู้จะมาช่วยเหลือโลก (ในเรื่อง ไม่ใช่โลกมนุษย์นะคะ) จากที่เคยเป็นมนุษย์ธรรมดา จอร์เจียมายังโลกแห่งใหม่พร้อมกับพลังพิเศษที่แม็กซ์ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามัน ทำอะไรได้ เพราะเรื่องมันไม่น่าสนใจที่จะต้องทำความเข้าใจขนาดนั้น

ขอข้ามไปที่คะแนนเลยแล้วกันที่ 27

4. Touch of Gypsy Fire ของไซโลห์ วอร์คเกอร์

ปกติแม็กซ์ชอบงานของไซโลห์นะ แต่ขอยกเรื่องนี้ไว้สักเรื่องแล้วกัน หนังสือที่ห่วย ๆๆๆๆๆๆ (คงเข้าใจความรู้สึก) ไม่อยากให้ใครหลงมาอ่าน ขนาดที่ว่า ถ้าคุณได้ไฟล์เล่มนี้มาฟรี ๆ ก็ขอความกรุณาอย่าอ่านแล้วกัน สงสารสมองคุณเองบ้าง

เรื่องนี้เปิดเรื่องแบบย้อนไปมา พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่จู่ ๆ พระเอกก็ได้ข่าวว่านางเอก ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เคยอยู่กินกันมาหลายปีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเริ่มออกเดินทางตามหา จากนั้นก็เล่าย้อนความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เริ่มจากเพื่อนร่วมรบ ก่อนกลายเป็นคู่รัก แต่พระเอกไม่เคยรักนางเอก ในขณะที่เขารักเธอหมดใจ แต่แล้วศัตรูในอดีตของนางเอกก็ตามเธอมาทัน เธอถูกจับตัวไปโดยปีศาจ (โดนสารพัดที่จะโดนอะไรได้) โดยที่พระเอกไม่รู้อะไรเลย เพราะตอนนั้นทะเลาะกันพอดี แล้วก็มาต่อด้วยการช่วยเหลือเธอออกมา แต่เธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เล่าได้แค่นี้ล่ะค่ะ เพราะไม่ได้ตั้งใจอ่าน หลังจากเจอพล็อตแบบนี้ บอกตามตรงว่าไม่ชอบค่ะ

คะแนนที่ 10

Hidden Agenda // Lora Leigh

เล่มนี้เป็นหนังสือที่ทำให้แม็กซ์รู้สึกว่าโลร่า ลีย์เติบโตในฐานะนักเขียนนิยายโรแมนซ์ ไม่ใช่แค่อีโรติกโรแมนซ์ ในฐานะที่เธอเริ่มต้นชีวิตนักเขียนกับการเขียนเรื่องร้อน ๆ ฮ็อตไฟลุก เล่มนี้ก็ไม่ได้น้อยลงไปหรอกนะคะ แต่นี่เป็นเรื่องทำให้แม็กซ์รู้สึกว่าเธอมีพัฒนาการขึ้น

หนังสือเล่มนี้ดองค้างข้ามปีมาแล้วล่ะค่ะ แม็กซ์ซื้อมาแล้วก็วางไว้ตรงนั้นเลย เพราะอ่านพล็อตแล้วก็คือว่ามันไม่มีอะไรใหม่ มันเป็นพล็อตเรื่องที่โลร่าชอบเล่นที่สุด นางเอกที่อ่อนวัยกว่าพระเอกเป็นสิบปี แอบหลงรักเขามานานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่พระเอกซึ่งเห็นนางเอกตั้งแต่เด็ก พอรู้ว่าเธอเริ่มสาวก็เกิดอาการอยากได้ แต่ก็ห้ามใจไว้ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพวกกินเด็ก ก็จะพยายามพาตัวเองออกไปจากชีวิตนางเอก จนกระทั่งวันนึงมีภัยร้ายที่พระเอกเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องนางเอกได้ เขาก็กลับมา และคราวนี้นางเอกก็เริ่มปฏิบัติการยั่ว ยั่ว ยั่ว และยั่ว จนพระเอกตบะแตก จากนั้นก็ XXX จนหน้ากระดาษกระจุยกระจาย

ฟังพล็อตแล้วคุ้นกันบ้างไหม ตั้งแต่เรื่อง Marly's Choice, Sarah's Seduction, Nauti Boy, Reno's Chance, Dangerous Games ก็ล้วนแต่พล็อตนี้ทั้งนั้น

และแล้วด้วยความอยากอ่านเรื่อง Killer Secret ซึ่งเป็นเล่มสามในชุดนี้ (และมีพระเอกที่ดูแล้วบุคลิกน่าอ่านมาก) แม็กซ์ก็จำใจต้องหยิบเล่มนี้มาอ่านอย่างเสียไม่ได้ แต่ผลของมันกลับดีเกินคาดค่ะ

ใช่แล้วว่าพล็อตเรื่องมันหยิบมาจากสูตร เอมิลี่และเคลรู้จักกันตั้งแต่เธอยังเด็ก และเขาเป็นทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพ่อเธอ เอมิลี่แอบปิ๊งเคลมานานแสนนาน ในขณะที่เขากลับพาตัวเองออกจากชีวิตเธอ และเมื่อเธอตกเป็นเป้าการลอบสังหารของนักค้ายาเสพติดชื่อดัง เคลก็ถูกส่งให้แฝงตัวมาเป็นบอดี้การ์ดเพื่อคุ้มครองเธอ

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่าง และน่าอ่าน ก็เพราะแม็กซ์รู้สึกอย่างจริงใจว่าเอมิลี่เข้มแข็ง ไม่ได้เสแสร้งว่าเข้มแข็งเหมือนอย่างนางเอกในเรื่อง Dangerous Games แกล้งทำ เธอต้องใช้ชีวิตอย่างที่ไม่ต้องการ เพราะผู้เป็นพ่อรักเธอมากเกินกว่าจะปล่อยให้เธอมีชีวิตเป็นของตัวเอง เธออยากเป็นทหาร เขาไม่ต้องการเพราะมันอันตราย เขาคาดหวังแกมบังคับให้เธอแต่งงานกับชายหนุ่มที่เขาเลือกให้เพื่อผลิตหลาน เธอยอมให้ชายเหล่านั้นเข้ามาเป็นบอดี้การ์ด แต่ก็ระวังตัวไม่ให้มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น อันที่จริงเรื่องนี้คงถูกใจชาวนิยมเยื่อบางค่ะ

ในขณะที่เคลก็มีความเจ็บปวดในอดีตคอยตามหลอกหลอน เขาปฏิเสธที่จะไม่รักใคร เพราะไม่อาจจะทนความสูญเสียได้อีก แต่เมื่อทั้งสองมีโอกาสใกล้ชิดกัน เล่มนี้อาจจะเป็นเพียงไม่กี่เรื่องของโลร่า ลีย์นะ ที่พระเอกยอมรับกับตัวเองก่อนว่า "รักนางเอก" และไม่หาเหตุผล หรือข้ออ้างว่าตัวเองไม่เหมาะสม เคลเป็นพระเอกแบบอัลฟ่าที่มีเหตุผลเหลือเชื่อ

ไม่รู้นะคะว่าเป็นเพราะไม่คาดหวังอะไรมากหรือเปล่า ก็เลยรู้สึกว่าเล่มนี้สนุกดี คะแนนที่ 77

Marriage Most Scandalous // Johanna Lindsey

หนังสือค้างข้ามปีอีกเล่ม คราวนี้ข้ามสองปีเลยค่ะ แม็กซ์ไม่หยิบมาอ่านเพราะผิดหวังกะโจแอนน่า ลินด์เซย์มาหลายรอบจนเกือบไปแล้ว ยิ่งมาอ่านพล็อตก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เห็นจะน่าอ่านตรงไหน แต่สุดท้ายก็หยิบมาอ่าน เพราะกำลังอยู่ในมู้ดอยากอ่านอะไรที่น่าเบื่อ

แต่ก็เป็นอีกเล่มที่สนุกผิดคาดค่ะ

เริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน เซบาสเตียนเป็นทายาทขุนนางผู้ร่ำรวย ชีวิตของเขาโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ จนกระทั่งเขานอนกับผู้หญิงผิดคน โดยไม่รู้เขาถูกยั่วยวนโดยหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเพื่อนสนิท ตามวิสัยชายหนุ่มผู้ได้ผู้หญิงมาง่าย เขาไม่ตั้งคำถามแม้แต่น้อยว่าทำไมหล่อนจึงเลือกเขา และก็ไม่รอบคอบพอที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเธอเป็นใคร

นั่นทำให้เขาต้องดวลกับเพื่อนสนิทผู้โตมาด้วยกัน เพื่อเกียรติของหญิงสาวที่ไม่มีเกียรติเลย เซบาสเตียนตั้งใจจะตายเพื่อชดใช้ความผิด แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้น ปืนของเขาโดนเพื่อนรักอย่างไม่ตั้งใจ ภายในชั่วพริบตาเดียวเขาสูญเสียทุกอย่าง พ่อผู้เป็นที่รักตัดเขาจากกองมรดก ออกปากไล่เขาออกจากบ้าน

เซบาสเตียนเดินทางร่อนเรอยู่ในยุโรปหลายปี สร้างชื่อจากการเป็นนักรบรับจ้างผู้ทำงานที่ไม่มีใครทำสำเร็จให้สำเร็จได้ จนวันนึงเขาได้พบกับแม็กกี้ เด็กสาวที่เคยอยู่ข้างบ้าน พี่สาวของเธอเคยเป็นคู่หมั้นผู้ถูกทอดทิ้งของเพื่อนรักเขา บัดนี้แม็กกี้เป็นเด็กในความดูแลของพ่อเขา และเธอต้องการความช่วยเหลือ มีใครบางคนพยายามฆ่าพ่อของเขา และเซบาสเตียนเป็นความหวังเดียวของเธอในการหยุดยั้ง

และเพื่อให้การกลับมาของเซบาสเตียนได้รับการยอมรับกลับเข้าบ้าน (ตอนนี้แม็กกี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับพ่อของเซบาสเตียน) เขาและแม็กกี้กุ เรื่องการแต่งงานจอมปลอมขึ้น

คนที่คาดหวังการสืบสวนเอาเป็นเอาตายคงผิดหวังค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วปริศนาทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องโอ้ละพ่อกันไปหมด เรื่องราวดำเนินไปแบบไม่ซีเรียสจริงจัง คงที่เคยอ่านงานของโจแอนน่ายุคก่อนอย่างพวก Tender Rebel ก็คงจะชอบ แม็กซ์ไม่ได้หมายความว่ามันดีเหมือน TR หรอกนะ เพียงแค่บอกว่าแนวประมาณนั้น

ถ้าไม่คิดอะไรมาก อ่านฆ่าเวลา เล่มนี้ถือว่าโอเคเลยล่ะ คะแนนที่ 67

Killer Secrets // Lora Leigh

หากจะบอกว่าเรื่อง Hidden Agenda เป็นเล่มที่โลร่า ลีย์มีพัฒนาการมากที่สุด ก็คงต้องบอกเพิ่มเติมด้วยว่า Killer Secrets อาจจะเป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่เธอเคยเขียนก็เป็นได้

แม็กซ์ไม่ได้กำลังจะบอกว่าเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ ความต่อเนื่องในการดำเนินเรื่องขาดหายไปบางครั้ง และหลายครั้งที่แม็กซ์อ่านแล้วรู้สึกว่า ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนเท่าไหรในการเขียนเรื่อง เพราะมีการเพิ่มประเด็นเข้าไปในเรื่อง ทั้งที่ไม่มีการเอ่ยถึงมาเลยก่อนหน้านี้

เรื่องนี้เป็นเล่มสามในชุด Tempting SEALS (แต่เป็นเรื่องที่ห้าในชุด เพราะอีกสองเล่มเป็นเรื่องสั้น) เล่าเรื่องของเอียน ริชาร์ด หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น เอียน ฟูเอนเตส ตามข้อตกลงที่เขาทำกับพ่อผู้ให้กำเนิด (แต่ไม่ได้เลี้ยงดู) เพื่อแลกกับการที่ดิเอโก้ ฟูเอนเตสปล่อยเพื่อนตายร่วมหน่วยซีลของเขาออกจากที่คุมขัง

เอียนกำลังเล่นเกมส์ที่อันตราย เขาเป็นนักรบหน่วยซีลที่หนีทหาร เป็นคนทรยศ เขาตัดขาดจากเพื่อนร่วมทีมทุกคน กลายเป็นทายาทผู้สืบทอดอาณาจักรค้ายา กลายเป็นคนที่เขาใช้เวลาตลอดชีวิตในการกำจัด

เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่เขายินยอมรับตำแหน่งทายาทแห่งอาณาจักรฟูเอนเตส เอียนกลายเป็นเจ้าพ่อผู้น่าเกรงขาม เขาขยายอิทธิพล ฆ่าคู่แข่ง และออกตามล่าซอเรล นักก่อการร้ายตัวแสบที่หมายปองจะครอบครองอาณาจักรฟูเอนเตส เขาใช้ประสบการณ์ในการเป็นหน่วยซีลฝึกฝนนักรบในอาณาจักรอันสกปรกเป็นเครื่อง มือในการบรรลุเป้าประสงค์

ท่ามกลางเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น หญิงสาวคนหนึ่งยังคงเชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ ไคร่า พอร์เตอร์มีโอกาสเจอกับเอียนหลายครั้งผ่านการปฏิบัติการที่เขาในฐานะหน่วยซี ลเข้าไปกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เธอเป็นผู้ให้ข่าว เอียนเป็นคนเพียงคนเดียวที่ดูออกว่าแท้จริงแล้วเธอคือไคร่า ในฐานะของแชมมาล่อน (แปลว่ากิ้งก่า แต่ไม่อยากใช้คำนี้ดูน่าเกลียด) เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกครั้งที่ออกปฏิบัติงาน ไม่เคยมีใครรู้ว่าสายลับที่แทรกซึมเข้าไปในองค์กรก่อการร้ายเป็นใคร หรือกระทั่งเป็นคนเดียวกันกับที่เคยทำเมื่องานก่อน แต่เอียนดูออก เขารู้เสมอว่า คนคนนั้นเป็นเธอ

และคราวนี้ไคร่าก็ดูออก หรืออย่างน้อยก็เชื่อมั่นว่า เอียนไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเชื่อกัน

เธอไม่เชื่อว่าผู้ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้องมาตลอดชีวิตจะสลัดความ เชื่อนั้น แล้วหันมารับบทบาทเป็นมาเฟียเจ้าพ่อค้ายา และความเชื่อนั้นก็มาพอจะทำให้เธอเดินทางมาอะรูบ้าเพื่อพบกับเอียน และเป็นคนที่จะคอยคุ้มกันเขา ไม่ว่าจะเป็นจากใคร

"She had come to Aruba to claim what was hers before his father, Diego Fuentes, could steal his soul"

แค่ประโยคนี้ในหน้าสิบเอ็ด ก็ทำให้แม็กซ์รู้แล้วล่ะว่าจะต้องชอบหนังสือเล่มนี้ขนาดไหน

แม้จะไม่ได้รับการยืนยัน แต่ไคร่าก็มั่นใจในตัวเอียนว่าเขาจะไม่ทรยศหลักการของตัวเอง เธอพร้อมจะเอาทุกอย่างเข้าเสี่ยงเพื่อเป็นคนช่วยเขาในปฏิบัติการที่เขาเลือก แล้วว่าจะทำเองตามลำพัง

ส่วนเอียน เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เขาไม่อาจกันให้ไคร่าออกไปจากชีวิตเขาเพื่อความปลอดภัย ของตัวเธอเองได้ เขาก็เป็นลูกผู้ชายพอจะยอมรับในความสามารถของไคร่า และเลือกที่จะให้เธอยืนเคียงข้างเขาในภารกิจอันแสนอันตรายนี้

คงไม่ต้องบอกว่าแม็กซ์ชอบเอียนและไคร่า

แต่ที่เซอร์ไพร์มากกว่านั้น แม็กซ์ชอบวิธีการที่โลร่าบรรยายถึงดิเอโก้ ฟูเอนเตสผู้เป็นพ่อตามสายเลือดของเอียน แม็กซ์ชอบประโยคที่ไคร่าพูดกับเอียนถึงพ่อของเขา

"He's a monster but he's a monster who loves his son"

นั่นเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด โลร่าไม่ได้ทำให้สิ่งที่ดิเอโก้เป็นสกปรกน้อยลง ไม่ได้พยายามทำให้การที่เป็นเจ้าพ่อแก๊งค์มาเฟียเป็นเรื่องโรแมนติก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แม็กซ์เห็นด้วยเต็มหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็นำเสนออีกด้านหนึ่ง ในความเลวร้ายทั้งหมด ดิเอโก้ก็ยังคงเป็นพ่อ

อย่างที่บอกตอนต้นเล่มนี้ยังมีหลายจุดที่หลวมที่แสดงให้เห็นชัดว่า คนแต่งไม่ได้วางแผนล่วงหน้าจะให้เรื่องออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะไม่เคยมีการบอกใบ้มาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลย แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะเธอชนะใจแม็กซ์ได้ด้วยตัวละครที่มีความซับซ้อน และจริงใจต่อกันอย่างมาก

เอียนอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเป็นทหารรับใช้ชาติ และมีหน้าที่กวาดล้างผู้ร้าย แต่พ่อบังเกิดเกล้าของเขาเองกลับเป็นอาชญากรตัวสำคัญ เป็นฆาตกรที่ฆ่าคนนับหมื่นผ่านยาเสพติด เป็นคนโรคจิตที่จับเพื่อนรักของเขามาทรมาน ในขณะที่ไคร่า เธอเป็นทายาทของมรดกนับล้าน แต่ด้วยอดีตที่พ่อแม่ถูกฆ่าโดยผู้ก่อการร้าย ไคร่าเลือกที่จะใช้ชีวิตสองหน้า ฉากหน้าที่เป็นสาวสังคมที่ใช้ชีวิตไม่เป็นโล้พาย อีกด้านเธอเป็นสายลับพันหน้า แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับไคร่ามากไปกว่าเอียน นั่นทำให้เธอชนะใจแม็กซ์

"I have your back. No matter what you do, Ian. I have your back"

แล้วแม็กซ์จะไม่รักผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงล่ะ

คะแนนที่ 90

Private Arrangeement // Sherry Thomas

เชอรี่ โธมัสเป็นนักเขียนที่ถูกกล่าวขวัญว่ามาแรงที่สุดตั้งแต่ปีก่อนที่มีการเปิดตัวเธอในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ของสนพ.แบนตั้ม

คนที่โชคดีที่ได้อ่าน ARC (Advance Reading Copies หรือ หนังสือที่พิมพ์ก่อนวันออกขายจริงเพื่อเป็นการโฆษณา) ก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "อย่าพลาด"

แม็กซ์ในฐานะของเพื่อนที่ดี (เชื่อฟังคำแนะนำของเพื่อน) ก็เลยรีบลัดคิวหยิบเล่มนี้มาอ่านหลังจากได้ซื้อเล่มนี้มาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วก็ลงความเห็นว่า "เพื่อนยังเชื่อได้เสมอ"

สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่งเขียนนิยายเป็นเล่มแรก เชอรี่สอบผ่านแบบฉลุย น้อยครั้งนักที่แม็กซ์จะรู้สึกตื่นเต้นกับงานเขียนเล่มแรกขนาดนี้ และน้อยครั้งนักที่แม็กซ์ต้องบังคับตัวเองให้วางเล่มนี้ลงเพราะง่วงจนอ่าน แทบไม่รู้เรื่องแล้ว (แต่ก็ยังฝืนอ่านเพราะอยากรู้เรื่อง) และเป็นสิ่งแรกที่แม็กซ์คิดออกเมื่อตื่นขึ้นมา ว่าเรายังอ่านไม่จบ แล้วก็ต้องรีบหยิบมาอ่านทันใด

เรื่องราวของแคมเดนและจิจี้ คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาสิบปี แต่ไม่เคยอยู่ด้วยกันแม้แต่วันเดียว นับจากคืนวันแต่งงาน ทั้งคู่ใช้ชีวิตแยกจากกันคนละทวีป แคมเดนอยู่ในอเมริกาที่ซึ่งเขาสร้างสะสมทรัพย์สมบัติในฐานะบริษัทเดินเรือ จีจี้ใช้ชีวิตในอังกฤษ มีชีวิตที่วุ่นวายไม่แพ้กัน เพราะเธอต้องบริหารดูแลอาณาจักรที่พ่อเธอเริ่มต้น และเธอกำลังสานต่อในฐานะผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะอังกฤษ

คนภายนอกคิดว่าทั้งสองแต่งงานกันเพราะแคมเดนต้องการเงิน และจีจี้ต้องการบรรดาศักดิ์ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เรื่องราวความรักของคนสองคนที่ยังไม่โตพอจะรับมือกับความรู้สึกอันท่วมท้น เรื่องราวของคนสองคนที่คิดว่า โอกาสมันผ่านเลยไปแล้ว

บทแรกเริ่มขึ้นในอีกสิบปีต่อมาหลังการแต่งงานเมื่อจีจี้ยื่นเอกสารของหย่า ขาดจากแคมเดนต่อศาล และเขากลับมาอังกฤษเพื่อต่อรองข้อเสนอของเธอ ก่อนที่เขาจะยอมหย่า เขาต้องการทายาท ภายในเวลาหนึ่งปี เธอจะยังคงเป็นภรรยาของเขา

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องตัดสลับระหว่างเหตุการณ์ในปัจจุบัน และอดีตเมื่อสิบปีก่อน คนอ่านจะเข้าใจว่าเหตุใดชายหญิงทั้งสองที่ดูเหมาะสมกันยิ่งนัก กลับกลายเป็นเกือบเหมือนศัตรูในปัจจุบัน นั่นเพราะการทรยศที่แคมเดนไม่อาจรับมือได้ แต่นั่นก็อธิบายความเป็นจีจี้ได้อย่างชัดเจน

ในฐานะทายาทผู้ร่ำรวย และมีแม่ที่ต้องการเหนือสิ่งอื่นใดให้ลูกสาวบรรลุความฝันของตัวเองในการแต่ง งานกับดยุค จีจี้ฉลาดและเลือดเย็นพอจะใช้เงินซื้อดยุคมาให้ตัวเอง แต่แผนการของเธอผิดไป เมื่อคู่หมั้นที่เป็นดยุคตายก่อนการแต่งงาน และแคมเดนเป็นลูกชายของคนที่มารับบรรดาศักดิ์แทนเขา

เพียงแค่การพบกันครั้งแรก จีจี้ยื่นข้อเสนอที่เกือบเหมือนกันกับแคมเดน ขอให้เขาแต่งงานกับเธอ แคมเดนปฏิเสธบอกว่าในหัวใจของเขามีหญิงคนอื่นอยู่แล้ว แต่เหนืออื่นใด เขาได้ให้คำมั่นสัญญากับหญิงคนนั้นแล้วว่าจะแต่งงานกับเธอ

การบรรยายของเชอรี่ชัดเจนเห็นภาพ จนแม็กซ์เชื่อว่าทำไมจีจี้ถึงตกหลุมรักแคมเดนอย่างง่ายดาย ในโลกที่เธออยู่ จีจี้เป็นเหมือนของประหลาด เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งในด้านธุรกิจ เลือดเย็นพอจะเข้าใจความเป็นไปในโลก และแคมเดนยอมรับเธอได้ สิ่งเดียวที่ขวางเขาไว้จากเธอคือผู้หญิงคนที่เขาให้คำมั่นสัญญาไว้ จีจี้รู้ว่าหญิงคนนั้นไม่เหมาะกับเขาสักเล็กน้อย เธอคือคนที่เหมาะสม และด้วยความเลือดเย็นเธอวางแผนแยกพวกเขาออกจากกัน

จีจี้ทำสำเร็จ แคมเดนเป็นของเธอ เพียงเพื่อจะพบว่าเขารู้ความจริงในวันก่อนการแต่งงาน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ

สิบปีผ่านไป จีจี้ยอมรับความพ่ายแพ้ว่าเธอคงไม่มีวันได้แคมเดนคืนมา เธอต้องการเพียงแค่ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปกับผู้ชายอีกคนที่เธออาจไม่วันรัก ได้มากเท่ากับที่เธอรักแคมเดน แต่ก็ดีกว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยว เธอยื่นขอหย่า และแคมเดนก็เดินกลับสู่ชีวิตเธออีกครั้ง

แม็กซ์ชอบเรื่องราวของจี้จี้และแคมเดน สนุกไปกับความพยายามปฏิเสธหัวใจของตัวเอง นอกจากซับพล็อตเรื่องแม่ของจีจี้แล้ว แม็กซ์ว่าเล่มนี้เล่าเรื่องได้น่าติดตาม

บอกได้ว่าเชอรี่ โธมัสกลายเป็นนักเขียนที่แม็กซ์พลาดไม่ได้ซะแล้วล่ะค่ะ

คะแนนที่ 80

นักเขียนฝรั่งทำเงินกันได้เท่าไหร

คงต้องเริ่มต้นด้วยการบอกว่า ข้อมูลนี้แม็กซ์ไม่ได้เก็บมาเองหรอกนะ อาศัยหยิบยืมมาจากเว็บไซด์โน้นบ้างนี้บ้าง เอามารวมกัน แล้วก็ข้อมูลนี่ก็เป็นเฉพาะนักเขียนแนวโรแมนซ์เท่านั้นค่ะ ไม่เกี่ยวกับนักเขียนแนวอื่น (ที่เขาอาจได้กันมากหรือน้อยกว่า)

และก่อนที่จะเข้าเรื่องก็ขออธิบายระบบการจ่ายเงินค่าเขียนหนังสือของสนพ. เมืองนอก (ในเมกา) ให้ฟังกันก่อน และก็เช่นกัน อันนี้ก็ไม่ได้รู้มาจากความฉลาดของตัวเองหรอกนะ มีเพื่อนอธิบายให้ฟังมาอีกทีนึง

เมื่อมีการทำสัญญาระหว่างสนพ.กะนักเขียน จะมีการจ่ายเงินให้นักเขียนเลยล่วงหน้าเรียกว่า "Advance" ซึ่งเงินก้อนนี้นักเขียนไม่ต้องจ่ายคืนให้กับสนพ. หากมีการส่งมอบต้นฉบับ (และเป็นที่พอใจของสนพ.) จากนั้นเมื่อเริ่มขายหนังสือนักเขียนก็จะได้ค่า "Royalty" อีกทางหนึ่ง อันนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเล่มที่ขายได้ โดยคิดจากราคาตามปก แต่เงินก้อนนี้จะต้องเอาไปลบกับ Advance ที่นักเขียนได้รับไปแล้วเสียก่อน ส่วนที่เกินถึงได้เป็นเงินเพิ่มขึ้น

ยกตัวอย่างนะ หากนักเขียนได้แอดวานซ์ 3,000 แล้วได้ Royalty อีก 5% ของราคาปก 6.99 เหรียญ ขายได้ 30,000 เล่ม คิดเป็นค่า Royalty = 10,485 เหรียญ นักเขียนก็จะได้เงินแบ่งเป็นสองส่วน เริ่มต้นก็ได้เลย 3,000 จากนั้นก็ได้เพิ่มอีก 7,485 รวมเป็น 10,485

แต่ถ้าขายน้อยกว่า Advance ที่ได้รับไปแล้ว เช่น ขายได้แค่ 5,000 เล่ม ก็ได้ค่า Royalty แค่ 1,748 น้อยกว่า Advance ยังงี้ไม่ต้องคืนเงินนะคะ สรุปว่าได้รวมที่ 3,000

ดังนั้น Advance จึงมีความสำคัญมาก ยิ่งนักเขียนใหญ่ก็ยิ่งได้ Advance เยอะ และยิ่งเป็นการการันตีด้วยว่ายังไงก็ได้เงินคุ้มค่าเขียนแน่ เพราะมาเพิ่งยอดขายนี่มันก็แค่ของแถม ขายได้เยอะไหมก็ไม่รู้

นักเขียนระดับดังมาก ๆ Advance อาจขึ้นไปถึงระดับหลักล้าน หรือหลายสิบล้าน ขึ้นอยู่กับเพาเวอร์ของนักเขียนแต่ละคนด้วย

มาดูกันว่าโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละสนพ.จ่ายเงินนักเขียนโร แมนซ์กันยังไงดูค่ะ เน้นว่าเป็นค่าเฉลี่ย และสำหรับนักเขียนโรแมนซ์เท่านั้นนะคะ ดังนั้นถ้านักเขียนดังและขายดีจริง บางสนพ.ที่ดูว่าจ่ายน้อยก็อาจจะเกิดอาการทุ่มให้นักเขียนคนนั้นยังคงอยู่กับ สนพ.ตัวเองก็ได้ค่ะ

สนพ.เอว่อน (ในเครือฮาร์เปอร์คอลลินส์)

Advance = 17,000 ต่อเล่ม สำหรับนักเขียนเล่มแรก และได้ 27,000 ต่อเล่มสำหรับเล่มต่อ ๆ มา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 23,000 เหรียญ

สนพ.แบนตั้ม/เดล (ในเครือแรนดอมเฮ้าท์)

Advance = 15,500

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.เบิร์คเลย์/โจฟ (ในเครือเพนกวิน)

Advance = 7,200 สำหรับเล่มแรก และ 8,500 สำหรับเล่มต่อ ๆ มา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 4 - 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 9,250 เหรียญ

สนพ.ดอร์เชสเตอร์/เลย์เชิร์ส

Advance = 1,950 สำหรับเล่มแรก และ 5,900 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 4 - 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 2,300 เหรียญ

สนพ.ซิทเน็ต/NAL (ในเครือเพนกวิน)

Advance = 9,200 สำหรับเล่มแรก และ 30,000 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 7.5 - 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.อีลอร่าส เคฟ (เป็นสนพ.อีบุ๊ค ดังนั้นจะไม่มี Advance)

Advance = ไม่มี

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 37.5% สำหรับยอดขายอีบุ๊ค และ 7.5% สำหรับยอดขายพรินต์บุ๊ค

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 3,050 เหรียญ

สนพ.ไฟว์สตาร์ (พิมพ์เฉพาะเล่มปกแข็ง)

Advance = 1,100

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 10%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 1,300 เหรียญ

สนพ.แกรนด์เซ็นทรัล (เดิมคือสนพ.วอร์เนอร์ แต่โดนซื้อกิจการไปก็เลยเปลี่ยนชื่อ)

Advance = 6,500 สำหรับเล่มแรก และ 13,000 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.อิมเมจิน (สนพ.นี้เป็นที่สร้างนักเขียนมากมาย แต่ดูท่าใกล้เจ๊งไปทุกทีแล้ว เพราะนักเขียนดังแล้วก็มักย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด)

Advance = 25 (อ่านว่ายี่สิบห้า ไม่ได้พิมพ์ผิด)

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8 - 10%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.เคนซิงตัน/ซีบร้า (รวมทั้งบราว่า และอโฟไดท์เซียด้วย)

Advance = 3,700 สำหรับเล่มแรก และ 5,500 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty =6 - 8.5%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 5,300 เหรียญ

สนพ.แมเดลเลียน

Advance = 1,200

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 10%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.พ็อตเก็ตบุ๊ค (เครือไซม่อนและชูสเตอร์)

Advance = 12,000 สำหรับเล่มแรก และ 19,000 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8 - 10%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.เรดเซจ (พิมพ์เรื่องสั้นอย่างเดียวภายใต้ชื่อซีเคร็ท)

Advance = 500

เปอร์เซ็นต์ Royalty =1.5 - 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 3,100 (นับว่าดีมากสำหรับเรื่องสั้น)

สนพ.เซ็นต์มาร์ติน

Advance = 6,600 สำหรับเล่มแรก และ 40,500 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.ทอร์

Advance = 11,000 สำหรับเล่มแรก และ 14,000 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

สนพ.ฮาร์ลิควิน/ซิลลูเอ็ด แบ่งเป็นแต่ละแบรนด์เนมนะคะ

ฮาร์ลิควิน อเมริกัน (แม็กซ์ไม่อ่านหัวนี้ค่ะ ที่นึกชื่อนักเขียนออกก็อย่างเช่นพามิล่า บริตตัน, อย่างแอนด์ สจ๊วตก็เคยเขียนให้หัวนี้มาบ้างในอดีตนานแล้ว)

Advance = 4,300 สำหรับเล่มแรก และ 4,800 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 8,150 เหรียญ

ฮาร์ลิควิน เบลซ (เป็นหัวที่แม็กซ์อ่านมากที่สุดตอนนี้เลยมั้งคะ นักเขียนเช่น อลิสัน เค้น, มาเรีย โดโนแวน, แนนซี่ วอร์เรน)

Advance = 4,500 สำหรับเล่มแรก และ 5,700 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 12,500 เหรียญ

ฮาร์ลิควิน ฮิสโตริคาล (แนวย้อนยุคชุดเดียวของฮาร์ลิควิน)

Advance = 4,300 สำหรับเล่มแรก และ 6,700 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 12,000 เหรียญ

ฮาร์ลิควิน อินทรีค (นักเขียนอย่างรีเบคก้า ยอร์ค, เจสสิก้า แอนเดอร์สัน)

Advance = 3,800 สำหรับเล่มแรก และ 5,800 สำหรับเล่มต่อมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 18,500 เหรียญ

ฮาร์ลิควิน มิลล์แอนด์บูน (รวมเพรสเซ่น เรื่องของป้าลินน์และคนอื่น ๆ ด้วย)

Advance = 2,800 สำหรับเล่มแรก และ 3,000 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 4 - 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

ฮาร์ลิควิน โรแมนซ์ (เรื่องรักแนวหวานไร้เซ็กส์)

Advance = 2,600 สำหรับเล่มแรก และ 2,800 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

ฮาร์ลิควิน ซุปเปอร์โรแมนซ์ (ฮาร์ลิควินเล่มหนาหน่อย สามร้อยหน้า นักเขียนอย่างเบรนด้า โนแวค)

Advance = 5,000 สำหรับเล่มแรก และ 5,700 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 20,000 เหรียญ

เฮชคิวเอ็น (คล้ายกะไมร่า แต่เรื่องหวานกว่า และดีกว่า อันนี้ความเห็นแม็กซ์ค่ะ นักเขียนอย่างจีน่า โชว์วอลเตอร์, ซูซาน มัลโลรี)

Advance = 8,500 สำหรับเล่มแรก 20,500 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 8%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = ไม่มีข้อมูล

ซิลลูเอ็ด ดีไซร์ (แนวคล้ายเพรสเซ่น แต่ดีกว่า เช่นกัน อันนี้ความเห็นแม็กซ์)

Advance = 4,500 สำหรับเล่มแรก และ 5,850 สำหรับเล่มถัดมา

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 16,500 เหรียญ

ซิลลูเอ็ด โรแมนติก ซัฟเพนส์ (หรือ SIM เก่า เคยเป็นหัวที่แม็กซ์ชอบอ่านมากที่สุด แต่นั่นมันก็คืออดีต)

Advance = 5,800

เปอร์เซ็นต์ Royalty =6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 17,500 เหรียญ

ซิลลูเอ็น สเปเชี่ยล เอ็ดดิชั่น

Advance = 4,000 สำหรับเล่มแรก และ 8,000 สำหรับเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 17,500 เหรียญ

สเตเพิล ฮิลล์ (แนวพึ่งพระคัมภีร์)

Advance = 4,000 สำหรับเล่มแรก และ 5,500 สำหรัลเล่มถัดไป

เปอร์เซ็นต์ Royalty = 6%

เฉลี่ยแล้วนักเขียนได้เงินต่อเล่ม = 11,000 เหรียญ

อยากจะเน้นอีกทีว่าเป็นแค่เฉลี่ยของข้อมูลที่มีเท่านั้น พอแค่จะให้เห็นเทรนด์ว่าสนพ.ไหนตืด สนพ.ไหนใจกว้างเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่มูลค่าของนักเขียนเองแหละว่าจะมีศักยภาพในการทำงาน เท่าไหร เพราะถ้าคุณเป็นนักเขียนระดับติดอันดับขายดี ค่าตัวคุณก็อยู่ด้านบนของค่าเฉลี่ย

Down and Dirty // Sandra Hill

มุขตลกบางอย่างถ้าใช้มากไปก็ทำให้เบื่อได้ อันที่จริงแม็กซ์คิดว่า แค่ใช้ซ้ำกันสองครั้งนี่ก็ถือว่าฝืดแล้วล่ะ แต่ซานดร้า ฮิลล์ถือเป็นนักเขียนพรสวรรค์นะ เพราะใช้มุขเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ นับแล้วครั้งนี้ก็ครบเจ็ดครั้งแล้ว กับไวกิ้งหลงยุคที่ตื่นตาตื่นใจไปความประหลาดของโลกยุคปัจจุบัน

ใน Down and Dirty เป็นคราวของบริต้า สาวร่างยักษ์ที่ถึงคิวมาหลงโลกมายุคปัจจุบัน สำหรับคนที่อ่านเรื่อง Rough and Ready ก็คงจะพอรู้แล้วว่าสป๊าคส์ระหว่างบริต้าและพ่อหนุ่มรูปงามนามแซคคารี่ ปิ๊งปั๊งขนาดไหนเมื่อทั้งคู่ได้เจอกันตอนแซคย้อนเวลากลับไปช่วยเพื่อนล้าง แค้นในอดีต แต่โรแมนซ์ที่เพิ่งเกิดก็ขาดช่วงลงเมื่อแซคและบรรดาพวกพ้องชาวซีลของเขา ต้องกลับมาสู่ยุคปัจจุบัน

สองปีผ่านไป คราวนี้เป็นบริต้าบ้างที่มาเยือนยุคปัจจุบัน (ขอความกรุณาว่าอย่าคิดมากเรื่องการย้อนเวลาง่ายราวกับเป็นการนั่งรถไปดรีม เวิร์ล) และบรรดาสารพัดมุขคนหลงยุคก็ถูกนำมาใช้อีกครั้ง อย่างที่บอกค่ะ มันไม่ฮาเหมือนครั้งแรกที่เธอใช้ แต่ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร

ในขณะเดียวกันแซคก็กำลังประสบปัญหาใหญ่ เขาพบว่าตัวเองมีลูกชายที่แสบไม่แพ้กัน ลูกชายที่กำลังจะกลายเป็นกรณีความขัดแย้งระดับชาติเพราะดันกลายเป็นหลานชาย ของผู้ก่อการร้ายชื่อดัง ด้วยความแสบทำให้หาใครมาเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าแซมมี่จอมแสบนี่ไม่ได้เลย นอกจากบริต้าที่โผล่หลงยุคมากลางการฝึกของหน่วยวีล (เลียนแบบซีลแต่เป็นผู้หญิง) ที่ทำให้นึกถึงเรื่อง Wet & Wild มาก

ครึ่งเรื่องแรกก็เหมือนกับเล่มก่อนหน้าที่เน้นความฮาของความเปิ่นของคนหลง ยุค ส่วนกลางเรื่องก็เป็นเรื่องราวเซ็กส์ ๆ เอ็กซ์ ๆ พอเป็นกระใสให้กระชุ่มกระชวยกัน แต่ส่วนท้ายเรื่องกลับเป็นส่วนที่ดีที่สุด เพราะมันซึ้งน่ะสิ

อาจเป็นเพราะมันไม่เหตุผลมาตั้งแต่ต้น ก็เลยทำให้แม็กซ์มองความไร้เหตุผลหลายอย่างในพล็อตได้โดยง่าย (ไม่ว่าจะเป็นการปรากฎตัวของน้องสาวต่างแม่ของบริต้าที่เหมาะเจาะได้เวลา เกินไป) แต่นั่นแหละนะ แม็กซ์มีจุดอ่อนกับหนังสือชุดนี้ของซานดร้า ฮิลล์เสมอ (เข้าประเภทชอบไว้ก่อน)

คะแนนที่ 77

คิดถึง Danelle Harmon

เพื่อนคนนึงของแม็กซ์พูดว่า "นักเขียนเกิดใหม่มีเยอะแยะ ล้วนแต่เขียนดีกันทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องไปง้อนักเขียนเก่าที่เล่นตัวเขียนช้า หรือไม่ยอมเขียนเลย"

ซึ่งก็จริงค่ะ ในปีที่ผ่านมา เราเห็นการเกิดของนักเขียนใหม่ หรือการคืนชีพของนักเขียนเก่าหลายคน ไม่ว่าจะเป็นอลิซาเบ็ธ ฮอยต์, เจสสิก้า เบิร์ด, ลาร่า เอเดียน, หรืออีกหลายคน แต่ก็ไม่วายนะคะ ยังนึกถึงนักเขียนเก่า ๆ หลายคนที่หายหน้าหายตาไป

วันนี้ตามประสาคนแก่ ก็เลยมาย้อนอดีตกันดูค่ะ

ดาเนียล ฮาร์มอน

หนังสือเล่มสุดท้ายของดาเนียลคือหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่แม็กซ์เคย อ่าน อย่างน้อยก่อนที่เธอจะโบกลาวงการโรแมนซ์ไปเลี้ยงลูก เธอก็จบเรื่องในชุดตระกูลเดอ มอนต์ฟอร์ท และเป็นการจบชนิดที่ต้องสแตนดิ้ง โอเวชั่นเสียด้วย

ลูเซียน เดอ มอนต์ฟอร์ท ดยุคแห่งแบล็คฮีท พี่ชายคนโตผู้ช่างเสกสรรปั้นแต่งชีวิตของน้อง ๆ ทุกเล่มในชุด ลูเซียนเป็นแรงผลักดันสำคัญให้บรรดาน้องชายของเขาก้าวไปสู่จุดหมายถัดไปใน ชีวิต เขาแกล้งทำเป็นไม่ยอมรับน้องสะใภ้ที่เป็นชาวอเมริกัน เพื่อให้กาเร็ทละทิ้งนิสัยเฉื่อยชาไม่เอาไหน และเริ่มต้นการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบใน The Wild One

เขาอาจไม่มีส่วนในการเลือกภรรยาให้กับน้องชายคนรอง แต่ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ทำให้ชาร์ลรู้ใจตัวเองว่ารักภรรยาของเขาแค่ไหน ใน The Beloved One

แล้วก็เป็นลูเซียนอย่างเต็ม ๆ ที่ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งลุ้น ทั้งวางแผนให้แอนดรูว์นักประดิษฐ์สติเฟื่องหาเมียกะเขาได้สักคน ใน The Defiant One

และใน The Wicked One หนังสือเล่มสุดท้ายที่เธอเขียน เป็นตอนที่ลูเซียนได้พบกับผู้หญิงที่เอาชนะเขาได้ ในบรรดาเรื่องราวของพี่ชายคนโตที่ช่าง (เสือก) ยุ่งกับชีวิตของน้อง ๆ ของนักเขียนหลายคน อีวาเป็นนางเอกที่เข้มแข็งที่สุด (ยิ่งกว่าที่ไดอาน่าเป็นให้กับเบย์ใน Devilish หรือคริสตีนใน Slightly Dangerous) เธอเป็นสาวอเมริกันที่มีภารกิจ และนั่นคือการทำให้ฝรั่งเศสสนับสนุนอเมริกาในการทำสงครามกับอังกฤษ เกมแมวจับหนูระหว่างลูเซียนและอีฟสนุก และเร่าร้อน เรื่องราวของชายหญิงสองคนที่ทันกัน ฉลาดพอกัน และมีทิฐิมากพอกัน

เรื่องราวใน TWO สืบเนื่องมาจาก TDO ที่เมื่อแอนดรูว์บังเอิญผลิตน้ำหอมที่มีคุณสมบัติเป็นยาเร่งพลังทางเพศไปใน ตัว นอกจากมันจะนำชีวิตของแอนดรูว์ไปพัวพันกับเรื่องวุ่น ๆ ในสาวรักหมาใน TDO แล้ว เจ้าน้ำหอมขวดนั้นก็ยังเป็นของที่อีวาต้องการยิ่งกว่าอื่นใดเพื่อนำไปเป็น ของกำนัลให้กับราชินีแห่งฝรั่งเศส และเนื่องจากมันถูกเก็บไว้ในเซฟที่ห้องนอนของดยุคแห่งแบล็คฮีท เธอจึงไม่ทางเลือกนอกจากบุกเข้าถ้ำเสือ

การเผชิญหน้ากัน จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของดยุคหนุ่ม และนำไปสู่การเผชิญหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้ลูเซียนตามอีวาไปจนถึงฝรั่งเศส การพบกันครั้งนี้มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกันหนังสือแนวฮาร์ลิควินเพรสเซ่น ทั้งสองไม่มีทางเลือกนอกจากการแต่งงาน แต่ชีวิตแต่งงานของคนสองคนที่หัวแข็งพอกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องสนุกของคนอ่าน

ยิ่งเขียนถึงเรื่องนี้แล้วยิ่งนึกอยากกลับบ้านไปนอนอ่านอีกรอบค่ะ และนึกอยากให้ดาเนียลกลับมาเขียนเรื่องให้อ่านกันได้แล้ว เพราะคาดว่าลูกน่าจะโตแล้วนะ

คะแนนของเรื่องในชุดพี่น้องตระกูลเดอ มอนต์ฟอร์ท

The Wild One = 63

The Beloved One = 60

The Defiant One = 87

The Wicked One = 95

The Defiant One // Danelle Harmon

กลับมาตั้งแต่เมื่อวานตอนดึกแล้วค่ะ แต่หมดแรงอย่างรุนแรง แถมยังเป็นลูกจ้างที่ดี ตื่นแต่ไก่โห่ (ไก่ยังโห่เพราะไม่เป็นความจริง) ไม่ทำงานแต่เช้ามืดอีกต่างหาก (ความจริงคือ ใช้วันลาไปเที่ยวเกือบหมดแล้ว ก็เลยต้องฝืนไปทำงาน) ก็เลยเพิ่งมีเวลามาแจ้งข่าวมิตรรักแฟนบลอกกันว่ากลับมาแล้วค่า

ขออนุญาตรีวิวหนังสือเก่าเก็บที่แม็กซ์เพิ่งขุดกรุขึ้นมาอ่านแล้วกันค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์เลยนะคะ เพราะปกติไม่ว่าหนังสือจะดีแค่ไหน แม็กซ์ก็อ่านแค่รอบเดียวค่ะ ไม่ค่อยมีเวลาย้อนอดีต หรืออ่านทวนเท่าไหร อย่างมากถ้าชอบสุดสุดก็จะอ่านรอบสองทันทีที่อ่านรอบแรกจบ แต่หลังจากนั้น ส่วนใหญ่ก็เอาขึ้นหิ้งจุดธูปไหว้ บูชาความสนุก

แต่เนื่องจากดันไปพูดถึงนักเขียนเก่าที่เลิกเขียนไปอย่างดาเนียล ฮาร์มอนเข้า ก็เลยเกิดอารมณ์อยากอ่านงานของเธออย่างรุนแรง แต่เพราะดันอ่านไปหมดแล้ว (เท่าที่เธอเขียนมา) ก็เลยถึงคราวย้อนอดีตกับ The Defiant One

<แล้วจะกลับมาเขียนต่อค่ะ กินข้าวก่อน>

<ความสำคัญไม่ได้ระดับ ยังไม่ถึงคิวได้อาหาร ก็เลยกลับมาเขียนต่อค่ะ>

The Defiant One เป็นเล่มสามในชุดพี่น้องตระกูลเดอ มอนต์ฟอร์ท เรื่องของนักประดิษฐ์อัจฉริยะสติเฟื่องนามแอนดรูว์ เดอ มอนต์ฟอร์ท น้องชายคนเล็กของดยุคแห่งแบล็คฮีทผู้ซึ่งเป็นจอมบงการ

หลังจากอุบัติเหตุไฟไหม้ (ซึ่งเกิดในเล่มสอง The Beloved One) แอนดรูว์ซึ่งสูดเอาสารพิษที่ระเหยออกมาจากห้องทดลองของตนเอง เขาก็ไม่ใช่คนเดิม หลังจากรอดตายทางด้านร่างกาย เขาสงสัยถึงสภาพจิตของเขาเอง ชั่วขณะเขาจะเห็น และรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่ และไม่มีใครเห็น ภาพที่ประหลาดเกินความเข้าใจ (แต่ถ้าคนอ่านสังเกตให้ดี ก็จะรู้ว่าภาพพวกนั้นคืออะไร)

และนั่นเป็นสิ่งที่ลูเซียนพี่ชายของเขาพยายาทุกวิถีทางที่จะรักษาให้หาย

หลังจากสูญเสียบิดามารดาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันตั้งแต่สิบขวบ ลูเซียนสาบานว่าจะทำทุกอย่างให้บรรดาน้อง ๆ ของเขามีความสุขมากที่สุด แม้ว่าน้องของเขาจะไม่ต้องการความสุขนั้นเลยด้วยซ้ำ

และในเล่มนี้ "ความสุข" ที่ลูเซียนหวังจะมอบให้แอนดรูว์มาในรูปของเลดี้เซลเซียน่า เบลค นักพิทักษ์สิทธิของสัตว์ (ในศตวรรษที่สิบแปด) เซลซี่เป็นทายาทสาวผู้ร่ำรวย และแปลกเกินความเข้าใจ เธอรักสุนัขยิ่งชีวิต และทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้พวกมัน แม็กซ์ชอบคำพูดของเธอมาก ๆ เมื่อพูดถึงภารกิจของตัวเอง "มีคนมากพอแล้วที่จะเรียกร้องสิทธิให้กับมนุษย์ มันจะผิดตรงไหนถ้าเธอจะเรียกร้องให้กับมิตรแท้ของเธอบ้าง"

ลูเซียนวางแผนให้เซลซี่เดินทางมายังปราสาทของตระกูลเพื่อตามสืบความจริง เรื่องแอนดรูว์เอาสัตว์เป็นหนูทดลองยาของเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย เรื่องรักร้อน ๆ ของสองหนุ่มสาวที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

ปกติแม็กซ์จะไม่ชอบเรื่องที่พระเอกอายุน้อย (แอนดรูว์เพิ่งจะยี่สิบสาม ส่วนเซลซี่ยี่สิบเอ็ด) แต่เล่มนี้ยกให้ค่ะ ทั้งแอนดรูวและเซลซี่ไม่ใช่พระเอกนางเอกชนิดที่จะเหมาะสมกับความละครตัวไหน ก็ได้ พวกเขาเหมาะกับกันและกัน นักประดิษฐ์ที่สติสะตังไม่ค่อยอยู่กะเนื้อตัว กับสาวที่รักหมายิ่งกว่าคน แอนดรูว์ไม่เคยเห็นว่าเซลซี่แปลกที่รักสัตว์มากกว่าคน ในขณะเดียวกันเธอก็ยอมรับความสติเฟื่องของเขาได้อย่างที่ไม่มีหญิงใดทำได้ ในความแปลกและแตกต่างพวกเขาเป็นส่วนผสมที่ลงตัว และน่ารักมากกกกกกกกกกกก

เล่มนี้เป็นหนังสือที่น่ารักที่สุดเล่มนึงที่ได้อ่าน แม็กซ์ชอบองค์ประกอบไปเกือบทุกอย่าง ซึ่งการอ่านทวนรอบนี้ทำให้แม็กซ์ประจักษ์ว่าตัวเองชอบเล่มนี้มากแค่ไหน

คะแนนใหม่หลังอ่านซ้ำอีกรอบมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ อยู่ที่ 97 (หลังจากได้ 87 ตอนที่อ่านครั้งแรก)

Evermore // Lynn Viehl

เก็บของเก่ามาหากินอีกแล้วคร้าบท่าน เพราะว่ายังอ่านหนังสือเล่มใหม่ไม่จบ วันนี้ก็เลยขอขุดกรุหนังสือเก่าที่อ่านไปตั้งแต่ช่วงเดือนมกรามารีวิวให้ อ่านแล้วกัน (และเพราะเห็นว่าเล่มนี้สนุกไม่น่าจะพลาดกันด้วยค่ะ)

หนังสือชุด Darkyn เป็นเรื่องชุดที่เปิดตัวได้แย่มาก (กับเรื่อง If Angel Burn ซึ่งถ้าแม็กซ์ไม่มีกฎให้โอกาสสามเล่มล่ะก้อคงเลิกอ่านชุดนี้ไปแล้ว) แต่หลังจากนั้นแม็กซ์รู้สึกว่าลินน์คนแต่งพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผ่านมาแล้วห้าเล่มในชุด แม็กซ์ก็ยังติดใจและจะยังคงติดตามอ่านต่อไปค่ะ

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะเล่มนี้เป็นเรื่องของตัวละครที่แทบจะไม่มีบทบาทในสี่เล่มแรกเลย (เป็นเพียงตัวประกอบที่ออกมาในเล่มสี่นิดเดียวเอง) เรื่องราวของความรักที่ยาวนานเกือบพันปีที่ไม่ลงเอยกันสักทีเพราะไม่ยอมพูด กันให้รู้เรื่อง

ในช่วงศตวรรษที่สิบสาม เอเดน แม็ค ไบร์นเป็นหนึ่งในนักรบของเหล่าคิน (หรือแวมไพร์) ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของเขาขจรไกลไปทั่ว เป็นหนึ่งในนักรบที่สร้างฐานอำนาจให้กับลอร์ดริชาร์ด (ตัวละครที่ไม่ได้ออกในเล่มนี้ แต่เป็นผู้นำสูงสุดของเหล่าคินในปัจจุบัน) แต่เขาก็เกือบตายจากกับดับของศัตรู อันที่จริงเขาคงตายไม่แล้วถ้าไม่ได้เจย์ร เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองช่วยเขาไว้

เมื่อไบร์นฟื้นขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองรอดตาย และเจย์รได้กลายเป็นคินไปแล้ว เขารับเจย์รเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่อยู่ในความดูแลของเขา (สังคมคินในเรื่องนี่จะมีการแบ่งดินแดนออกเป็นอาณาเขต และจะมีหัวหน้าใหญ่ดูแลแต่ละเขต ซึ่งพวกนี้ก็จะขึ้นตรงกับหัวหน้าพื้นที่ใหญ่อีกที --- ง่าย ๆ นึกถึงสังคมศักดินาแล้วกัน)

เวลาผ่านไปมาจนถึงยุคปัจจุบัน เจย์รเป็นมือขวาและถือเป็นอันดับสองในดินแดนที่ไบร์นดูแล ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เคยเกินเลย แต่มันก็มากกว่าการเป็นแค่เจ้านายและลูกน้องธรรมดา ความจริงที่คนอ่านทุกคนมองเห็นก็คือ ไบร์นรักเจย์ร แต่เขารู้สึกผิดที่ตัวเองเอาชีวิตของเจย์รเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และเจย์รก็รักไบร์น แต่ไม่คิดว่าเขาเห็นเธออยู่ในสายตา

ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิงนำไบร์นมาสู่ข้อสรุปเดียว เขาไม่อาจเป็นเจ้านายของเจย์รได้อีกต่อไป ดังนั้นไบร์นจึงเตรียมตัวที่จะสละตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่ของเหล่าคิน และตัดสินใจเลือกผู้นำคนใหม่ด้วยการจัดการประลองขึ้น (อีกที นึกถึงการประลองของเหล่าอัศวินในยุคกลาง) แต่นั่นกลับเป็นการเปิดช่องให้ศัตรูร้ายในอดีตตามมาคิดบัญชีกับเขาได้

พล็อตเรื่องตามไปพัวพันกับประวัติของโรบิน ฮู้ดในอีกแง่มุมนึงที่คุณอาจคิดไม่ถึง ซึ่งแม็กซ์ชอบนะ แต่ส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องกลับเป็นความสัมพันธ์ระหว่างไบร์นและเจย์ร ที่แม้บางครั้งแม็กซ์อยากตบกระโหลกทั้งสองแล้วบอกให้หันหน้าคุยกันซะก็จะได้ จบเรื่อง แต่ถ้าทำอย่างนั้นเราก็คงไม่ได้อ่านเรื่องรักหวานปนขมเล่มนี้

แม้จะไม่ใช่เล่มที่ชอบที่สุดในชุด (เพราะไม่มีใครมาเทียบกับลูแคนได้แล้ว) แต่ก็ถือว่าเป็นเล่มที่สนุกในชุดค่ะ คะแนนที่ 70

To Wed a Wicked Prince // Jane Feather

แม็กซ์บอกหลายครั้งแล้วว่า เจน เฟธเธอร์เป็นนักเขียนชนิดความเสี่ยงสูง เวลาแย่ เธอก็แย่ติดดิน แต่ถ้าดีก็ดีล้นฟ้า และนี่เองเป็นเหตุผลที่แม็กซ์เฝ้าซื้อและอ่านงานใหม่ของเธออยู่เสมอ ไม่ว่าจะผิดหวังกะเล่มก่อนหน้ามากแค่ไหน

และแม้จะผิดหวังกับเรื่องก่อนหน้า ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดบ้านที่จตุรัสคาเวนดิช (เรื่อง A Wicked Gentleman) แม็กซ์ก็ยังซื้อและเลือกมาอ่านเป็นเล่มแรก ๆ ในเดือนเมษายนกับเล่มนี้ To Wed A Wicked Prince

ในเล่มแรกเป็นเรื่องของคอนีเลียที่ถูกตีสนิทโดยสายลับของรัฐบาลอังกฤษที่ หวังตามหาความลับที่ถูกซ่อนไว้ในบ้านบนจตุรัสคาเวนดิช (ใน A Wicked Gentleman) เมื่อมาถึงเล่มนี้เป็นเรื่องราวของลิเวีย เลซีย์ หนึ่งในสามสาวที่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอเป็นลูกสาวของบาทหลวงนักเทศน์ที่มีศักดิ์เป็นถึงเอิร์ล แต่ละทิ้งยศศักดิ์นั้นมาเพื่อชีวิตอันเรียบง่ายในชนบท มรดกที่เธอได้รับเป็นบ้านบนจตุรัสคาเวนดิชจากญาติห่าง ๆ เป็นทางออกของเธอในการใช้ชีวิตอย่างอิสระ เธอชวนเพื่อนสนิทอีกสองคนย้ายเข้ามาอยู่ในลอนดอน ณ บ้านหลังนั้น

ในฐานะของหญิงสาววัยยี่สิบแปด ลิฟไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนที่เอาชนะใจเธอได้อีกแล้ว เธอไม่ได้เป็นโสดเพราะไม่มีใครต้องการ แต่เป็นเพราะเธอยังไม่เจอคนที่ใช่ จนกระทั่งงานเลี้ยงในคืนวันหนึ่งที่เธอได้พบกับชาวต่างชาติที่แปลก และโดดเด่นยิ่งนัก

เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ โปรคอฟเพิ่งเดินทางมาถึงอังกฤษ ในยามที่สัมพันธภาพระหว่างอังกฤษและรัสเซียอ่อนไหวยิ่งนัก พระเจ้าซาร์ของเขาเพิ่งเซ็นต์สัญญาเป็นพันธมิตรกับนโปเลียนซึ่งเป็นศัตรูของ อังกฤษ เขาแสดงทีท่าว่าสนใจลิฟตั้งแต่แรกเห็น

หนังสือเล่มนี้หนามาก (490 หน้า) แต่เชื่อไหมว่าแม็กซ์ไม่เบื่อหน่ายแม้แต่หน้าเดียว คุณเคยอ่านหนังสือสักเล่มไหมที่คุณซึมซับไปกับชีวิตของตัวละครจนกระทั่งแค่ ฉากบรรยายธรรมดาทิวทัศน์ธรรมดายังดูน่าตื่นเต้น นี่เป็นหนังสือที่แม็กซ์อ่านอย่างมีความสุข ไม่เร่งรีบ แต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้ว่าอเล็กซ์จะทำอะไรต่อไป

เพราะอเล็กซ์เป็นผู้ชายที่ตื่นใจ แม็กซ์รู้สึกอย่างที่แม็กซ์คิดว่าลิฟคงจะรู้สึก เขาเป็นชาวต่างชาติที่ทำอะไรแตกต่างไปจากผู้ชายอังกฤษทั่วไป เมื่อเขา "จีบ" เขาก็จีบชนิดที่แม็กซ์ไม่ได้อ่านในหนังสือโรแมนซ์มานานแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างลิฟและอเล็กซ์ก็น่าเชื่อมากขนาดที่คำว่า "รัก" ไม่จำเป็น เพราะแค่ได้อ่าน แม็กซ์รู้สึกถึงความรักที่พัฒนาขึ้นระหว่างคนทั้งสอง มากพอที่จะลิฟสามารถพูดกับเพื่อนสนิทของเธอได้อย่างมั่นใจเมื่อถูกถามในยาม ที่กำลังมีปัญหากับอเล็กซ์ว่า เธอแน่ใจว่าอเล็กซ์รักเธอ แม้ในเวลานั้นเขายังไม่ได้เอ่ยปากกล่าวคำนั้นด้วยซ้ำ (และแม็กซ์ก็เชื่อด้วยนะ)

ในสาระหลักของเรื่อง เล่มนี้คือนิยายโรแมนซ์ของแท้ พล็อตรองในเรื่องที่อเล็กซ์ถูกส่งมาอังกฤษเพื่อสืบข้อมูลให้กับพระเจ้าซาร์ ก็เป็นเพียงพล็อตรอง ส่วนความจริงที่ว่าอเล็กซ์เป็นเจ้าของบ้านบนจตุรัสคาเวนดิชตัวจริงก็เป็น ประเด็นที่นำให้คนทั้งคู่มาพบกันเท่านั้น

แกนหลักของเรื่องอยู่ที่ตัวอเล็กซ์และลิฟ ซึ่งเจนเขียนได้ดีมาก ๆ

ไม่รู้นะคะว่าถ้าแม็กซ์อ่านเล่มนี้สักเมื่อสี่ห้าปีก่อน แม็กซ์ชอบเรื่องนี้ขนาดนี้ไหม เพราะความหนา และจังหวะในการดำเนินเรื่องที่คนใจร้อนสักหน่อยอาจจะบอกว่า "อืด" แต่ในเวลานี้ ในช่วงชีวิตตอนนี้ของแม็กซ์ รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างลงตัวเหลือเกิน

คะแนนที่ 83

First You Run // Roxanne St. Claire

ขอเริ่มต้นด้วยคำชมให้กับคนแต่งก่อนแล้วกันค่ะ ร็อคแซนด์ ซินแคลร์เป็นคนแต่งที่เขียนพระเอกได้น่าหม่ำที่สุด พระเอกของเธอทุกคนในชุดเดอะ บุลเล็ตแคชเชอร์ล้วนแต่มีกรี๊ดแฟคเตอร์ทั้งนั้น

และมันไม่ใช่แค่ความหล่อที่เธอบอกกับคนแต่งว่า พระเอกของฉันหล่อ หากแต่เป็นความรู้สึกที่เธอให้กับคนอ่านรู้สึก มันลึกลงไปข้างในถึงความมีเสน่ห์ของเหล่าพระเอกของเธอ

ตั้งแต่อเล็กซ์ โรเมโร aka ลาตินเลิฟเวอร์ใน Kill me twice ที่เธอบรรยายซะจนเห็นพลังทางเพศที่เปล่งออกมา ทำให้เชื่อได้เลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มีผู้หญิงติดกันเกรียว ตามมาด้วยแม็กซ์ โรเปอร์ผู้ชายที่เย็นชาและเก็บความรู้สึกจาก Thrill me to death แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ในแบบของเขา แล้วจอห์นนี่ คริสเตียนเอโน่ใน Take me tonight ที่แสนจะไนซ์และโรแมนติกจนแทบละลายหัวใจแม็กซ์

แล้วก็มาถึงเอเดียน เฟชเชอร์ พระเอกในเรื่อง First you run แนวเถื่อนหน่อย ๆ ห่ามนิด ๆ ที่ทำให้ในที่สุดแม็กซ์ก็ชักจะเห็นเสน่ห์ของหนุ่มออสซี่ขึ้นมาในที่สุด ด้วยสำเนียงที่ฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง (อันนี้ตามความเห็นของแม็กซ์นะ) ร็อคแซนด์สามารถทำให้มันฟังดูเป็นน้ำเสียงหวานหู ชวนรันจวนได้

เล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นของชุดย่อยสามเล่มภายในชุดเดอะบุลเล็ตแคชเชอร์เอง เรื่องราวของการสืบหาความจริงที่นานกว่าสามสิบปีก่อนที่เอเลน สแตฟอร์ดถูกใส่ความข้อหาฆ่าคนตาย ซึ่งแม็กซ์ก็คงต้องเตือนก่อนอ่านกันว่า ความจริงเกี่ยวกับเอเลนนั้นจะยังไม่คลี่คลายภายใน First you run เพียงแต่เรื่องราวความรักระหว่างเอเดียนและผู้หญิงของเขาลงตัวแล้วเท่านั้น เอง

เอเดียน หรือที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่าเฟชเป็นหนุ่มผมบลอนด์ยาว ท่าทางห่ามและเถื่อน เขามาไกลมาจากออสเตรเลียเพื่อร่วมงานเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของบริษัทเดอะบุ ลเล็คแคชเชอร์ เขาควรจะได้ลาพักผ่อนนานหนึ่งเดือนหลังจากทำภารกิจหนักติดต่อกัน แต่เฟชกลับใช้เวลานั้นทำงานให้กับแจ๊คอดีตเพื่อนร่วมงาน ที่ตอนนี้กลายเป็นนักสืบเอกชนและรับงานสืบหาความจริงเกี่ยวกับคดีของเอเลน สแตฟอร์ดที่บัดนี้หลังจากติดคุกมาสามสิบปีป่วยเป็นลูคีเมีย และต้องการตามหาลูกสาวที่เธอยกให้คนอื่นตั้งแต่แบเบาะ

ในขณะที่แจ๊คตามสืบความจริงเกี่ยวกับคดี เอเดียนรับหน้าที่ตามหาหญิงสาวตามรายชื่อเพื่อค้นหาว่าใครคือลูกสาวของเอเลน เบาะแสเดียวที่เขามีก็คือ เด็กหญิงคนนั้นมีรอยสักในที่ใดที่หนึ่งในร่างกาย

และด้วยความเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์แสนเท่ห์มันก็แทบจะไม่ใช่เรื่องยากเลยในการ ถอดเสื้อผ้าเพื่อตรวจหารอยสัก และมิแรนด้าเป็นหนึ่งในรายชื่อของเขา

ด็อกเตอร์มิแรนด้า แลงค์เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเบิร์คเลย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง หนังสือของเธอที่เขียนเพื่อเปิดโปงเรื่องวันสิ้นโลกตามความเชื่อของชาวมายัน กลายเป็นความขัดแย้งใหญ่โต กลุ่มผู้เขื่อในเรื่องวันสิ้นโลกกำลังทำทุกอย่างเพื่อทำลายชื่อเสียง และรวมถึงชีวิตของเธอ

และนั่นทำให้แผนการเข้าและออกจากชีวิตของมิแรนด้าอย่างรวดเร็วของเอเดียนก ลายเป็นหมันไป เพราะแม้ว่าเอเดียนจะเชื่อว่ามิแรนด้าไม่ใช่ลูกสาวของเอเลนแล้ว เขาก็ยังไม่อาจปล่อยเธอผจญกับพวกบ้าคลั่งนั่นตามลำพังได้ เขามีหน้าที่ต้องปกป้องเธอ แม้ว่ามิแรนด้าจะไม่ใช่ลูกค้าของเขาก็ตาม

เรื่องนี้มีพล็อตหลายประเด็นที่แม็กซ์คิดว่าไม่ค่อยน่าเชื่อนัก (เรื่องที่เป็นสาเหตุทำให้คนร้ายมาไล่ฆ่ามิแรนด้าดูอ่อนเหตุผลมาก) แต่ทั้งเอเดียนและมิแรนด้าเป็นตัวละครที่น่าติดตามอ่าน เรื่องราว (ถ้าตัดประเด็นที่ไม่น่าเชื่อนั่นออกไป) ก็ตื่นเต้นน่าลุ้นดีว่าใครเป็นคนร้าย

โดยรวมสนุกค่ะ แต่ที่สำคัญกรี๊ดเอเดียนมากเลยล่ะ (ทำให้นึกอยากไปเจอหนุ่มออสซี่ของจริงปีหน้าซะแล้วสิ) คะแนนที่ 73

Last Wolf Standing & Last Wolf Hunting // Rhyannon Byrd

บลัดรันเนอร์เป็นเรื่องราวของนักล่าหมาป่านอกรีตที่ทำผิดกฎของเผ่าพันธุ์ บรรดาบลัดรันเนอร์ หรือนักล่ามีที่มาจากบรรดาลูกครึ่งของหมาป่าพันธุ์แท้กับมนุษย์ กลุ่มลูกครึ่งนี้จะไม่ได้รับการยอมรับให้มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าสมาชิก ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จนกว่าจะล่าพวกนอกรีตครบจำนวนที่ตั้งเป้าไว้เสียก่อน เมื่อนั้นพวกนี้จึงจะกลายเป็นสมาชิกของฝูงอย่างเต็มตัว

ข่าวว่าเรื่องชุดนี้จะมีอย่างน้อยหกเล่ม สามเล่มออกปีนี้ติดกันสามเดือนตั้งแต่เดือนมีนาจนถึงพฤษภา แม็กซ์อ่านไปแล้วและจะรีวิวให้ฟังกันก่อนสองเล่มค่ะ

เริ่มต้นด้วย Last Wolf Standing หนังสือที่แม็กซ์คงบอกได้แค่ว่า ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่หรือแตกต่างเป็นจุดเด่นมากไปกว่าแค่เป็นหนังสือแนว พารานอมอลโรแมนซ์อีกเล่ม

เมสัน ดิลลิงเจอร์ได้พบกับ "คู่แท้" ของเขาในเวลาที่ไม่เหมาะสมอย่างที่สุด นั่นเพราะเขากำลังอยู่ระหว่างการล่าศัตรูตัวร้าย หมาป่าแหกกฎที่ชื่อซิมมอนด์ แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธทอร์เรนซ์ได้ ทั้งที่รู้ว่าซิมมอนด์จะต้องใช้เธอเนเครื่องมือในการตอบโต้เขา แต่เขาต้องการเธอราวกับเป็นออกซิเจน ไม่อาจขาดเธอได้

ปัญหาแรกของเรื่องนี้ก็คือ ชื่อของนางเอก ที่อ่านไปทำให้แม็กซ์เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องแนว MM อยู่พิกล ทอร์เรนซ์ยังไงยังไงก็ไม่ใช่ชื่อของผู้หญิง แม็กซ์ยอมรับและทำให้ไม่ได้ อ่านไปอารมณ์สะดุดตลอด

อีกเรื่องคือความที่ไม่มีอะไรใหม่เลยในพล็อตเรื่อง เมสันเจอทอรี่ (ขอเรียกอย่างนี้นะ ทำใจกะทอร์เรนซ์ไม่ได้จริงจริง) เขารับรู้ในทันทีว่าเธอเป็นคู่ของเขา ซิมมอนด์กลายจากผู้ถูกล่ามาเป็นนักล่าด้วยการตามล่าทอรี่ เมสันจำเป็นต้องปกป้องเธอ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้เธอยอมรับเขาเป็นคู่ แต่ปากก็บอกเธอตลอดเวลาว่า เขาไม่อาจรักเธอได้ เพราะอดีตที่พี่ชายของเขาเองเคยประสบมา

ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะคะ อาจเป็นเพราะแม็กซ์อ่านเรื่องแนวนี้มามากเกินไป สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับแนวพารานอมอลเท่าไหร น่าจะชอบเล่มนี้นะคะ เพราะการเขียนถือว่าสมูธและลงตัวใช้ได้

คะแนนที่ 57

เล่มสองเป็นเรื่องราวของบลัดรันเนอร์นามเจรามี่ เบิร์นหันหลังให้กับเผ่าที่ ปฏิเสธไม่ยอมรับความเป็นลูกผสมของเขาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เขากลับมาแล้วเพื่อสืบหาคนทรยศ (ตอนจบใน Last Wolf Standing มีการค้นพบว่าซิมมอนด์มีผู้ร่วมอุดมการณ์อีกคน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร)

เล่มนี้การเขียนและพล็อตเรื่องดีกว่าเล่มแรกค่ะ เพราะมันทำให้แม็กซ์มีความรู้สึกร่วมไปได้ตลอดทั้งเล่ม และยังทำให้คนอ่านเข้าใจความขัดแย้งระหว่างพวกหมาป่าสายเลือดบริสุทธิ์และ เหล่าลูกครึ่งอย่างพวกพระเอกด้วย ความกดดันที่เจรามี่ได้รับในเรื่องมันมากพอจะทำให้แม็กซ์ติดตามอ่านถึงความ ไม่ยุติธรรมที่เขาได้รับ และคาดหวังว่า ในที่สุดเขาจะได้รับการยอมรับ (เหมือนอย่างที่วูลฟ์ แม็คเคนซี่ได้รับในเรื่อง MacKenzie's Mountain) แต่ขอโทษนะคะที่ต้องบอกว่า มันมาไม่ถึง

แต่แม็กซ์ก็ยังชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรก เพราะมันทำให้แม็กซ์มีความรู้สึกร่วมไปได้ตลอด (มากกว่าความรู้สึกราบเรียบที่ได้จากเล่มแรก) แม้ว่าหลายครั้งแม็กซ์อยากตะโกนบอกให้เจรามี่ทิ้งกลุ่มคนพวกนี้ไป ปล่อยให้พวกนั้นเผชิญกับเคราะห์ร้ายกันเองแล้วกัน

ปัญหาใหญ่ของแม็กซกับเรื่องนี้ก็คือ จิลเลี่ยนนางเอก เพราะเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้เจรามี่เดินออกจากเผ่าด้วยความโลเล งี่เง่า ไร้สมอง หรือสรุปง่าย ๆ ว่า ความทุเรศของเธอ

ทั้งคู่เจอกันเมื่อสิบปีก่อน เมื่อจิลเลี่ยนเดินทางกลับมาที่เผ่าหลังจากจากไปเรียนกหนังสือ เพียงแว่บแรกเจรามี่ก็รู้ว่าเธอคือ "คู่แท้" ของเขา เขาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง (หรือพูดให้ถูกเป็นหมาผู้หญิง) ก็สิ้นลายเพราะเธอ แต่ความเป็นเลือดผสม และจิลเลี่ยนอยู่ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งสำคัญของเผ่า ทำให้ทุกคนเห็นว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน

และที่น่าโมโหก็คือ ยายจิลเลี่ยนไม่เคยมีความเชื่อมั่นในตัวเจรามี่เลย เธอเชื่อทุกคนที่ใส่ความเขา หันหลังให้เขา และที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ สิบปีผ่านไป เธอก็ยังไม่สำนึก พฤติกรรมของเธอมันก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีการเรียนรู้ แม้กระทั่งตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาเริ่มลึกซึ้งขึ้นหลังจากที่เจ รามี่กลับมา เธอก็ยังเลือกที่จะเชื่อคนอื่นมากกว่าเขาอีก

มันเป็นความน่าอึดอัดและโคตรโมโห แต่แม็กซ์พยายามคิดในแง่ดีนะว่า หนังสือที่ทำให้แม็กซ์เกิดอารมณ์ของขึ้นได้ขนาดนี้ ก็ถือว่ามีดี อย่างน้อยก็มากกว่าเรื่องที่อ่านไปแล้วรู้สึกเซ็ง

เล่มนี้จะคะแนนเยอะกว่านี้มากเลยถ้าจิลเลี่ยนคุกเข่าลงขอโทษเจรามี่ แล้วกราบงาม ๆ สักสองสามที แต่เมื่อหล่อนไม่ทำ และเจรามี่ก็ใจง่ายให้อภัยเร็วเหลือเกิน คะแนนอยู่ที่ 60

โดยสรุป แม็กซ์ก็ยังให้เรียนนอนสอบผ่านนะคะ ถือว่าเป็นหนังสือสองเล่มแรก (ถ้าไม่นับงานที่เขียนให้กับอีลอร่า)

รีวิวในอเมซอนเชื่อได้แค่ไหน

แม็กซ์เป็นคนที่ไม่เชื่อในความเห็นของคนอื่น ดังนั้นคำแนะนำให้อ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ว่ามันดีดี้ดียังไงก็แทบจะไม่มี ส่วนในการตัดสินใจซื้อ/อ่านหนังสือของแม็กซ์ จะยกเว้นก็ให้กับเพื่อนไม่กี่คนที่แม็กซ์ดูแล้วว่ารสนิยมต้องกัน เขาชอบอะไร แม็กซ์ก็มักจะชอบเหมือนกัน ดังนั้นหากเขาบอกว่าเล่มนี้สนุก แม็กซ์ก็มักจะชอบด้วยอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่รีวิว

อีกคำถามนึงที่แม็กซ์ได้รับเยอะมากคือ เรตติ้งในอเมซอนเชื่อถือได้แค่ไหน หลายคนบอกว่า มันมาจากความเห็นของคนหลายคน หากแทบทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้สนุก มันก็น่าจะดี

จริงไหม

ลองมาฟังเรื่องนี้กันก่อนค่ะ แล้วจะรู้ว่าเรตติ้งในอเมซอนเชื่อได้แค่ไหน

นักเขียนที่ชื่อว่า Deborah MacGillvray (เหตุผลที่เขียนชื่ออังกฤษ เพราะอ่านออกเสียงไม่ถูกค่ะ) ซึ่งเขียนหนังสือให้กับสนพ.ดอร์เชสเตอร์ และเคนซิงตัน (ภายใต้หัวซีบร้า) แม็กซ์ไม่เคยอ่านงานของเธอหรอกนะคะ แต่ได้ยินเสียงลือแบบไกล ๆ ว่าเธอเขียนเรื่องสนุก คะแนนในอเมซอนก็สูงอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อหนังสือของเธอสักครั้งหรอกนะคะ เพราะเพื่อนที่สนิทและรสนิยมเดียวกันเคยอ่านงานของเธอเล่มนึง (เค้าซื้อเพราะเจ้าเสียงลือนี่แหละ) บอกกะแม็กซ์ว่า เอาเงินไปซื้อกระดาษทิชชู่มาไว้ในห้องน้ำดีกว่า (คำพูดของเค้านะคะ ไม่ใช่แม็กซ์) เราก็เลยเบรคยังไม่ซื้องานของเธอ

แต่ระหว่างนั้นก็ได้รับคำถามของเพื่อนคนอื่นอีกหลายคนที่เข้าไปอ่านรีวิว หนังสือของเธอในอเมซอน แล้วถามด้วยความอยากรู้ว่า "มันสนุกไหม"

แม็กซ์ก็ได้แต่ถ่ายทอดคำพูดบอกต่อของเพื่อนที่เคยอ่านให้ฟัง ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่นี่ แม็กซ์ไม่แน่ใจ (แต่คิดว่าไม่เชื่อเยอะค่ะ เพราะดูแล้วมีหนังสือของนักเขียนคนนี้ที่ร้านหนังสือเจ้าประจำของแม็กซ์และ ผองเพื่อนด้วย แสดงว่าจะต้องมีคนสั่งซื้อเข้ามา)

โดยส่วนตัวนะ แม็กซ์ไม่เชื่อรีวิวในอเมซอนแม้แต่น้อย ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะ แต่คิดว่า คนเราชอบไม่เหมือนกัน ทำนองลางเนื้อชอบลางยา (เขียนถูกไหมเนี่ย) หนังสือคนที่ชอบกันทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นหนังสือคลาสิกที่ต้องอ่าน สำหรับแม็กซ์มันอาจเป็นหนังสือคลาสหลุด อ่านแล้วเขวี้ยงทิ้งก็ยังไม่หนำใจก็ได้ คนที่รีวิวเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่า เขาชอบเหมือนเรา

แถมแม็กซ์ยังเคยรู้มากะตัวเองด้วยว่า มีนักเขียนบางคนที่ชอบออกจดหมายเวียนให้แฟนหนังสือพันธุ์แท้ (หรือบรรดาสาวก) ให้เข้าไปเขียนรีวิวในอเมซอน ให้ดาวหนังสือของเจ้าหล่อนเยอะ ๆ ซึ่งนั่นแม็กซ์ไม่ได้คิดว่าผิดศีลธรรมอะไรหรอกนะ เพราะคนที่ชอบก็ย่อมมีสิทธิเข้าไปเขียน มันเป็นวิจารณญาณของคนอ่านมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้นแม็กซ์ก็ยังไม่คิดว่าเจ๊เดเบอร่าห์จะเก่งขนาดนี้

เจ้าหล่อนทำอะไรน่ะเหรอ ข่าวว่าเธอรวมกลุ่มแฟนหนังสือประมาณ 20 - 30 คน ที่นอกจากจะเข้าไปเขียนรีวิวชนิดดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว ยังให้คอยไปสอดส่องรีวิวในอเมซอน ว่ามีใคร "บังอาจ" มาเขียนรีวิวในเชิงลบกับหนังสือของเจ้าหล่อน จากนั้นก็ให้พรรคพวกที่มีส่งคำร้องเรียนไปยังเว็บไซด์ผ่านปุ่ม "report abuse"

โดยระบบของอเมซอนซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ (ไม่มีใครมีปัญญามานั่งอ่านรีวิวของหนังสือทุกเล่มหรอกนะ ค่าแรงเมืองนอกไม่ได้ถูกเหมือนค่าแรงขั้นต่ำเมืองไทย) เมื่อมีคนรายงานว่ารีวิวอันนี้ไม่เหมาะสมมาสักสิบยี่สิบราย ระบบมันก็จะลบรีวิวนั้นไปโดยอัตโนมัติ

ตานี้บรรดาหนังสือของเจ๊แกก็จะได้ดาวสวยสดใส (ยังกะดาวพระศุกร์ที่ได้แต่งงานเสียที) เพราะรีวิวในเชิงลบถูกลบทิ้งไปหมด

ทั้งที่รีวิวที่เขียนในเชิงลบนั้นไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย หรือเขียนอะไรรุนแรงด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ความเห็นของคนที่ไม่ชอบหนังสือของอาเจ๊เท่านั้น

แม็กซ์ยกให้เจ๊แกนะในเรื่องความคิดสร้างสรร นึกแล้วก็ชักจะขยาด กลัวเจ๊แกจะมาเมืองไทยแล้วเข้าร่วมงานกะสนพ.น้อยตร.จังเลย เพราะขืนสองเจ๊นี่รวมตัวกันได้ มีหวัง....

ไม่อยากจะนึกถึงค่ะ

The Mane Event // Shelly Laurenston

แต่วันนี้จะไม่ได้พูดถึงเล่มนี้หรอกนะคะ เพราะว่ายังอ่านไม่จบ เพิ่งไปได้แค่ครึ่งเล่มเอง ดังนั้นจึงขออนุญาตพูดถึงเล่มก่อนหน้าเรื่องนี้ที่น่ารักไม่เท่า สนุกไม่ถึง แต่ก็พออ่านได้ค่ะ

ในเล่มนี้ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดมนุษย์สัตว์ต่าง ๆ ที่แชลลี่ เขียนให้กับบราว่า เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นสองเล่ม เรื่องราวของมนุษย์สิงโต

ในเรื่องแรก CHRISTMAS PRIDE

พฤติกรรมของเหล่าสิงโตครึ่งมนุษย์เนี่ยก็เหมือนสิงโตในป่า นั่นคือสิงโตตัวนึงอยู่กะตัวเมียเป็นฝูง ไม่มีคำว่าซื่อสัตย์ในหมู่สิงโต แต่สำหรับเมซ เขามีหญิงเพียงคนเดียวในดวงใจเท่านั้น นั่นคือเดซ (และนี่คือปัญหาแรกของแม็กซ์ พระเอกกะนางเอกชื่อคล้ายกันมาไปหน่อย อ่านไปบางทีก็งงว่ากำลังกล่าวถึงใครอยู่)

ในอดีตสมัยที่เดซเป็นนักเรียนทุนในโรงเรียนมัธยมระดับผู้ดี เด็กสาวชาวบรู๊คลิน (สำหรับคนที่ไม่รู้ ย่านบรู๊คลินเป็นย่านชนชั้นกลางถึงใช้แรงงานอยู่ในนิวยอร์ค แปลว่าไม่น่ามีเงินส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนเอกชนได้) เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเมซ ซึ่งเป็นเด็กชายตัวเล็ก น้องชายคนเดียวของเหล่าพี่สาวจอมโหดกึ่งอันธพาลประจำโรงเรียน

มิตรภาพในวัยเด็กสำหรับเดซ และความรักแรกพบ (และรักตลอดไป) ของเมซสิ้นสุดลงเมื่อเดซย้ายโรงเรียน และถูกกีดกันจากการได้พบกับเมซอีกโดยเหล่าพี่สาวของเขา

เวลาผ่านไป เมซโตขึ้น แตกต่างจากเด็กชายหน้าประหลาด ตัวเล็กแกนด์ เขาเป็นทหารที่เพิ่งปลดประจำการ รูปงามตัวใหญ่สมกับความเป็นสิงโตในสายเลือด แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนสำหรับเขาคือเดซ

เพียงวันแรกเขาก็ได้พบกับเธอ เมื่อเดซซึ่งกลายเป็นตำรวจ มาที่บ้านของพี่สาวเขาเพื่อสืบเหตุการณ์ฆาตกรรม และนำเธอกลับสู่ชีวิตของเขาอีกครั้ง ชนิดที่เดซไม่มีโอกาสที่จะหนีได้อีกเลย

แม็กซ์ชอบเรื่องนี้มากกว่าอีกเรื่องในเล่มเดียวกันค่ะ เมซกะเดซเป็นตัวละครที่น่ารัก การจีบกันของทั้งคู่น่ารัก (แต่ขอบอกว่าสู้เล่มที่แม็กซ์กำลังอ่านอยู่ไม่ได้เลย) แต่หลายครั้งแม็กซ์รู้สึกว่าเป็นการฝืนมากไปหน่อย ทำให้อ่านแล้วไม่ลื่นไหลนัก แต่ดีกว่าอีกเรื่องในเล่มนี้ค่ะ

เรื่องที่สอง SHAW'S TAIL

เล่มนี้เป็นเรื่องของแบรนดอน ชอว์ ตัวละครรองที่ออกมามีบทนิดหน่อยใน Christmas Pride เล่มนี้บอกตามตรงว่าสู้เรื่องแรกไม่ได้เลย และถือเป็นตัวถ่วงของชุดด้วยซ้ำ

เรื่องราวของแบรนดอนมนุษย์สิงโตเจ้าของโรงแรมผู้ร่ำรวย กับรอนนี่ ลี หมาป่าสาวผู้อยากจะเลิกนิสัย "มั่ว" ของตัวเอง พล็อตเรื่องไม่มีอะไรเลย (อันที่จริงการไม่มีพล็อตก็ไม่ใช่เลวร้ายหรอกนะ เพราะเล่มที่กำลังอ่านอยู่นี่มันก็ไม่มีพล็อตเป็นหลักแหล่งอะไร แต่มันน่ารักกกกกกก)

ไม่ชอบก็เลยไม่อยากพูดถึงมาก

สรุป เรื่องนี้อ่านได้ ตรงเรื่อง Christmas Pride และควรอ่านสำหรับคนที่คิดว่าจะอ่านงานของเชลลี่ ซึ่งแม็กซ์บอกได้ว่าสอบผ่านสำหรับเล่มแรกที่เธอออกกะสนพ.นิวยอร์ค

คะแนนที่ 53 (หลังจากถ่วงเอา Shaw's tail เข้ามาแล้ว แต่ถ้าเฉพาะ CP เรื่องเดียว ก็ได้ 67 ค่ะ)

เดินทางตามความฝัน

แม็กซ์คิดว่าตัวเองโชคดีนะคะที่ได้ทำตามความฝันที่ตัวเองต้องการมาตลอด การเดินทางไปร่วมงาน RT Convention ไม่ใช่ความฝันอันแรกและอันเดียวที่แม็กซ์บรรลุ แม็กซ์ฝันมามาก และดิ้นรนไว้เยอะในการไปให้ถึง แต่ทริปการเดินทางไปอเมริกาครั้งนี้ ก็เป็นความฝันอีกอันที่แม็กซ์ไปถึง... ในที่สุด

ระยะเวลาทั้งหมดของทริปการเดินทางก็คือ 12 วัน 13 คืนในประเทศสหรัฐอเมริกา กับการท่องเที่ยวในสองเมืองคือพิสต์เบิร์ค และลอสแองเจลิส และรวมทั้งการเข้าร่วมงานหนังสือคนรักโรแมนซ์ที่จัดโดยนิตยสารโรแมนติค ไทม์ (ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น RT Bookclub ไปแล้ว)

แม็กซ์ก็เลยขออนุญาตใช้บลอกของตัวเองเป็นที่บันทึกการเดินทางครั้งนี้แล้วกันนะคะ

กรุงเทพ - ไทเป - แอลเอ (11 - 14 เมษายน 2551)

แม็กซ์แบกกระเป๋าเดินทางไปหนึ่งใบที่ข้างในใส่กระเป๋าไว้อีกใบนึง เพราะคาดว่าคงต้องแบกของกลับมาจากเมกาเยอะกว่าขาไปมาก กะเป้สุดที่รักอีกหนึ่งใบ น้ำหนักรวมทั้งหมดสิบกิโล ของที่เอาไว้ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า แล้วก็ของฝากให้เพื่อนที่อยู่ทางโน้น

เครื่องบินออกจากเมืองไทยเวลาประมาณเก้าโมงเช้า แม็กซ์ต้องไปต่อเครื่องที่กรุงไทเป ไต้หวัน ก็อย่างที่บลอกก่อนหน้าพูดไว้ บนเครื่องที่ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงกว่า แม็กซ์ได้พบกับหนุ่มน้อย ที่น้อยจริง ๆ อายุประมาณ 15 - 16 ปี ที่กำลังจะเดินทางไปญี่ปุ่น (ซึ่งต้องไปต่อเครื่องที่ไทเปเหมือนกัน) เราพูดคุยกันสนุกมากตลอดทาง ทำให้แม็กซ์ไม่หลับ (เพราะแม็กซ์เป็นคนที่หลับง่ายมากเวลาขึ้นเครื่อง) ไปจนถึงไทเป

การเดินทางขาไปไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหรหรอกนะคะ นอกจากแม็กซ์ง่วงมากตอนรอขึ้นเครื่องไปแอลเอ ก็เลยเผลอหลับไป กว่าจะได้ขึ้นเครื่องไปแอลเอก็สี่โมงเย็น (เวลาไต้หวัน) แล้ว ที่น่าสนใจก็คือ คนที่ร่วมเดินทางไปแอลเอด้วยเนี่ยเหมือนชมรมผู้สูงอายุเลย เพราะเชื่อไหมว่า มีรถเข็นส่งผู้สูงอายุขึ้นเครื่องไม่ต่ำกว่า 30 คัน นี่ไม่รวมผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงพอจะเดินขึ้นเครื่องได้เองอีกนะ

การเดินทางต่อมาอีกสิบสองชั่วโมงกว่าราบเรียบ แม็กซ์ไม่มีอะไรจะเล่าค่ะ นอกจากบอกว่านอนหลับตลอดทาง จะตื่นก็เฉพาะตอนเขาเสิร์ฟอาหารเท่านั้นแหละ (ยังไงก็ต้องตื่นมากินค่ะ จะได้คุ้ม)

และนี่คือภาพจากบนเครื่องบิน ภาพแรกของแอลเอ

แม็กซ์ไม่ใช่นักเดินทางที่รักความสบาย (แปลว่าไม่มีเงินมากพอจะซื้อความสบายให้ตัวเองได้) ดังนั้นแม็กซ์จึงไม่เรียกแท็คซี่จากสนามบินให้ไปส่งที่บ้านพัก แม็กซ์เลือกที่จะขึ้น FlyAway Bus ซึ่งเป็นรถสาธารณะที่สะดวกนะ แต่ราคาถูก แค่สี่เหรียญ (เทียบกับ 20 เหรียญหากเรียกแท็คซี่) ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน Union Station จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินราคา 1.25 เหรียญไปยังสถานี Hollywood/Highland ซึ่งอยู่ใกล้ที่พัก แล้วก็ทำการลาก ดึง และจูงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ผ่านย่านฮอลีวู้ดไปยังที่พัก ที่มีหน้าตาอย่างนี้

ซึ่งถือว่าดีมากนะสำหรับแม็กซ์ ในราคาคืนละ 25 เหรียญ มีทั้งครัวสำหรับทำอาหาร ห้องพักรวมที่นอนได้สี่คน แต่ช่วงที่แม็กซ์พักมีคนอยู่กันแค่สองคน ก็เลยถือว่าอยู่กันอย่างสบายไม่แออัด

ห้องพักไม่มีแอร์หรอกนะคะ แต่ตอนกลางคืนก็อาการเย็นสบายมาก ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

ค่าใช้จ่ายในแอลเอของแม็กซ์มีไม่เยอะนัก เพราะว่าซื้ออาหารมาทำกินเอง รวมทั้งเตรียมห่อเป็นอาหารกลางวันออกไปกินข้างนอกด้วย ทำให้ค่าใช้จ่ายเรื่องกินน้อยมาก จะมีเสียเยอะก็ตรงที่ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์นี่แหละ เพราะแค่ค่าบัตรผ่านประตูเข้าไปก็หกสิบกว่าเหรียญแล้ว

แม็กซ์คิดว่าคนส่วนใหญ่คงอยากฟังเรื่องราวของการไปงาน RT มากกว่านะ ดังนั้นก็เลยจะขอข้ามเรื่องชีวิตในแอลเอไปก่อนแล้วกัน อันที่จริงมีอะไรสนุกและอยากเล่าให้ฟังนะคะ แต่เป็นวันหลังแล้วกัน

แอลเอ - ดีทรอยต์ - พิสต์เบิร์ค (15 - 20 เมษายน 2551)

การเดินทางไปพิสต์เบิร์คเริ่มต้นอย่างฮามาก เมื่อแม็กซ์ซึ่งโดนพิษอาการร้อนสุดสุดของแอลเอ (ไม่ใช่กรุงเทพแห่งเดียวที่ร้อนหรอกนะคะ) จนเลือดกำเดาไหล แล้วดันพกทิชชู่เปื้อนเลือดติดกระเป๋ากางเกงไปด้วย ถูกขอโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินให้ล้วงข้าวของทุกอย่างออก จากระเป๋าให้หมดเพื่อเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ ก็ถึงคราวแตกตื่นกันเมื่อทิชชู่เปื้อนเลือดปรากฎการออกมา แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกนะคะ เพราะหลังจากฟังคำอธิบาย กับดูท่าทางกระเหรี่ยงของแท้ของแม็กซ์แล้ว เขาก็ปล่อยให้ผ่านไปได้

แล้วก็มาถึงปัญหาของจริง เครื่องบินที่จะส่งแม็กซ์จากแอลเอไปดีทรอยต์ เพื่อต่อเครื่องไปพิสต์เบิร์คต่อดันมีปัญหาเครื่องเสีย จนต้องดีเลย์ ดีเลย์ และดีเลย์ ปัญหาคือ เกือบทุกคนบนเครื่องต้องไปต่อเครื่องที่ดีทรอยต์เพื่อไปที่ไหนสักแห่งทั้ง นั้น อาการโวยวาย ตะโกนด่าจึงเริ่มเกิดขึ้น และแน่ละ เมื่อมีการตะโกนด่า ก็ย่อมแน่ใจได้ว่า แม็กซ์ต้องเป็นหนึ่งในนั้น

ผลก็คือ แม็กซ์ได้คูปองแลกแทนเงินสดเพื่อใช้ในการซื้อของบนเครื่องบิน และบัตรกำนัลอีกสองสามอย่างมา และที่ดีไปกว่านั้น แม็กซ์วิ่งเร็วค่ะ ทำให้แม็กซ์แม้จะช้าไปสามชั่วโมงก็ยังทันขึ้นเครื่องต่อจากดีทรอยต์ไป พิสต์เบิร์ค

ดังนั้นในเวลาเก้านาฬิกาเช้า แม็กซ์จึงไปปรากฎกายที่เมืองพิสต์เบิร์ค สถานที่จัดงาน RT เมืองที่แม็กซ์บอกได้เลยว่ายังไม่พร้อมกับการชุมนุมกันของแฟนพันธุ์แท้โร แมนซ์

อากาศในพิสต์เบิร์คแตกต่างจากแอลเอชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า ขณะที่แม็กซ์ต้องเผชิญหน้ากับวันที่อากาศร้อนที่สุดในแอลเอ แม็กซ์ก็มาเจอกับฤดูร้องสไตล์พิสต์เบิร์ค ซึ่งนั่นก็คือ 6 องศาเซลเซียส คงไม่ต้องบอกว่าแม็กซ์แปลงร่างเป็นมนุษย์เอสกิโมได้รวดเร็วเพียงใดนะคะ

โรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานคือโรงแรมใหญ่และดังที่ชื่อคุ้นหูกันว่า ฮิลตัน แต่ขอบอกได้เลยว่าฮิลตันแห่งนี้คงเป็นลูกของที่พ่อแม่ไม่รักเป็นแน่ เพราะมันเป็นฮิลตันชนิดที่คุณไม่คิดว่าจะได้เจอไม่ว่าในชีวิตนี้ หรือชีวิตไหน

แม็กซ์ไม่ค่อยมีประสบการณ์กับการพักโรงแรมราคาแพงหรอกนะคะ แต่กระนั้นแม็กซ์ก็รู้ดีว่าฮิลตันที่พักเนี่ย มันไม่ได้ดีไปกว่าโฮสเต็ลที่แม็กซ์พักในแอลเอเลยสักนิด การก่อสร้างเพื่อปรับปรุงสถานที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เศษผง เศษฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ลิฟท์ที่ไม่พอกับจำนวนคนมาพัก ห้องอาหารที่ไม่พร้อมรับแขกที่อยู่

อันที่จริงไม่มีอะไรในพิสต์เบิร์คเลยที่พร้อมกับการมาของงาน RT

และนั่นหมายถึง RT เองด้วยค่ะ

The Beast In Him // Shelly Laurenston

หลังจากโฆษณาให้คนอยากอ่านไปเมื่อวาน วันนี้ก็ถึงคิวเล่มนี้แล้วค่ะ ขอบอกว่าเป็นหนังสือที่น่ารักที่สุดเล่มนึงที่เคยได้อ่านมาเลย

บ๊อบบี้ เรย์ สมิท หรือที่บอกให้เพื่อนเรียกว่า "สมิตตี้" ดิ้นรนออกจากเมืองสมิททาวน์อันเป็นบ้านเกิด เพราะเขาไม่อยากเป็นสมิทอีกคนที่อยู่ในเมืองนั้น ภายใต้อุ้งตีนของพ่อ (ที่ใช้อุ้งตีนไม่ใช่คำหยาบหรอกนะ แต่เพราะตระกูลสมิทนี่เป็นมนุษย์หมาป่า) เขาสมัครเป็นทหาร และพร้อมจะจากไปอย่างเต็มใจ ไม่ใช่เพราะไม่รักครอบครัว แต่สัญชาตญาณของหมาป่าที่เป็นอัลฟ่า การอยู่รวมกันไม่ใช่เรื่องดีนัก สิ่งเดียวที่เขาอาจจะเสียใจอยู่บ้างก็คือการจากเจสซี่ แอน วาร์ดไป

เจสซี่เป็นหมาป่า (ที่ไม่ใช่ Wolf แต่เป็น Wild dog ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของหมาบ้านที่เราเลี้ยงกันทุกวันนี้) เธอเป็นเด็กสาวที่สมิตตี้รู้ว่า ถ้าเขาไม่ตัดใจเดินจากมา เขาคงต้องแต่งงานและอยู่กับเธอที่สมิททาวน์ไปจนตาย และนั่นไม่ใช่ชะตากรรมที่เขาต้องการ

สิบหกปีผ่านไปไวเหมือนโกหก สมิตตี้ซึ่งตอนนี้ย้ายมาตั้งเผ่าหมาป่าของตัวเองในนิวยอร์ค และเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย เขารับงานดูแลความสงบให้กับงานเลี้ยงของบริษัทระดับยักษ์ แต่ในคืนวันงานเขาก็ได้พบกับเจสซี่ แอนอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ใช่เด็กสาวผอมบาง อ่อนแออีกต่อไป

เธอคือ เจสสิก้า วาร์ด ซีอีโอของบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ร่ำรวย และทุกคนบอกกับสมิตตี้ว่า อยู่เกินเอื้อมเหมือนหมามองเครื่องบิน

แต่หมาอย่างสมิตตี้ก็กระโดดสูงเสียด้วยสิ

หนังสือเล่มนี้มีพล็อตอยู่แค่นี้แหละค่ะ แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกสำหรับแม็กซ์นะที่พล็อตไม่มีผลอะไรเลย เพราะความสนุกสนานของตัวละคร คำพูดคำจาของตัวเอกที่อ่านไปก็ฮาไป

เริ่มจากคำทักทายคำแรกที่เจสสิก้าทักสมิตตี้ "I see your body finally grew into that head" ซึ่งทำเอาสมิตตี้หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ เพราะไปโม้เอาไว้มากว่าเจสซี่ แอน แอบปิ๊งเขาแค่ไหนสมัยเด็ก

หนังสือเล่มนี้ทำให้แม็กซ์รู้ว่า โรแมนซ์ไม่จำเป็นต้องมีสาระก็สนุกได้

ดังนั้นสำหรับคนที่คาดหวังจะเจอพล็อตเรื่องแน่น ๆ เนื้อเรื่องเข้มข้นก็คงผิดหวังค่ะ เล่มนี้อ่านแล้วรีแล็คซ์ พฤติกรรมตัวละครก็เป็นเอกลักษณ์ที่วัดค่าด้วยรสนิยมของคนทั่วไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามีอะไรที่ผิดศีลธรรมหรอกนะคะ (ไม่ต้องตาโต) แต่คงมีหนังสือไม่กี่เล่ม นางเอกไล่กัดน้องสาวพระเอก และเมื่อพระเอกเข้าไปช่วยก็โดนกัดไปด้วย แถมพระเอกก็ยังไปสมน้ำหน้าน้องสาว

อ่านอย่างนี้อาจคิดว่า ทำไมพระเอกใจร้าย บรรยายไม่ถูกค่ะ ต้องไปอ่านกันเองทั้งเรื่อง

ขอบอกว่าเล่มนี้ น่ารักมากกกกกกกกกกกก

อยากจะเขียนให้ยาวกว่านี้นะคะ แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าค่ะ

แล้วก็ถือโอกาสบอกลาแฟนบลอกไปยาวเลยนะคะ ถ้าหาเน็ตเจอก็จะมาบลอกให้อ่านกัน แต่คงต้องเป็นภาษาปะกิต เพราะไม่ได้พกโน้ตบุ๊คไปกะตัวด้วย แต่ถ้าไม่มีโอกาส ก็เจอกันในอีกราวสองสัปดาห์ค่ะ

งานหนังสือโรแมนซ์

ขอแยกหัวข้อมาเป็นอีกบลอกนึงเลยนะคะ เพราะแม้งานนี้จะเป็นเหตุผลทำให้แม็กซ์ตัดสินใจไปเที่ยวเมกาครั้งนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ (ความคุ้มค่าสำหรับแม็กซ์มันเกินพอไปตั้งแต่วันที่แม็กซ์เข้าไปใน LACMA ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของเมืองแอลเอแล้วล่ะค่ะ แต่นั่นเป็นเรื่องเล่าสำหรับวันอื่น)

แม็กซ์มาร่วมงานนี้โดยมีเพื่อนมาด้วยอีกสองคน คนนึงลงทะเบียนร่วมงานนี้เช่นเดียวกับแม็กซ์ แต่ในฐานะของเจ้าของร้านหนังสือ แม็กซ์มาในฐานะนักอ่าน ส่วนเพื่อนอีกคนเป็น companion นั่นคือไม่เข้าร่วมการสัมนา แต่ร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืน เราสามคนต่างคนต่างเดินทางมากัน แม็กซ์เป็นคนแรกที่มาถึง และพบว่า ห้องพักของแม็กซ์ยังไม่เรียบร้อย ยังไม่พร้อมให้แม็กซ์เข้าพัก

โอเค แม็กซ์ก็เลยไปเดินเที่ยวในเมืองพิสต์เบิร์ค (ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องเล่าของมันเองอีกเช่นกัน) หลังจากเดินอยู่หลายชั่วโมง กลับมาก็ยังได้ยินคำตอบเดิมว่า ห้องพักยังไม่พร้อม คราวนี้ก็เลยมีการแสดงงิ้วจากเมืองไทยให้ฝรั่งดู ผลก็คือ แม็กซ์ได้เข้าไปพักในห้องพัก ที่แม้ทางเดินภายนอกจะยังระเกะระกะไปด้วยสายไฟ ภายในห้องก็ถือว่า อยู่ได้คร้าบ

หมดเรื่องโรงแรมแล้วก็มาถึงตัวงาน RT เอง

ถ้าถามแม็กซ์ว่า ไปงานนี้มาแล้ว ปีหน้าคิดอยากจะไปอีกไหม คำตอบของแม็กซ์ก็คงเป็นว่า "ถ้าแม็กซ์ไปในฐานะของนักอ่านอีกครั้ง แม็กซ์คงไม่ไป"

เพราะอะไรน่ะหรือ

ตามความเห็นของแม็กซ์ ขอย้ำว่าเป็นความเห็นของแม็กซ์ คนที่ไปร่วมงานนี้เสียเงินเท่ากัน แต่ได้ในสิ่งที่ไม่เท่ากัน และนักอ่านคือกลุ่มที่ถูกละเมิดมากที่สุด นักอ่านถูกปล่อยให้ต่อสู้ดิ้นรนในการแย่งหาโต๊ะอาหาร แย่งหนังสือที่แจก แย่งทุกอย่างกันเอง ในขณะที่คนอีกกลุ่มได้รับของเหล่านั้นฟรี ชนิดที่ประเคนให้กัน

แต่แม็กซ์ไม่เสียใจนะที่ไป เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่คุณไม่สามารถรับฟังการเล่าจากใครอื่นได้ คุณต้องเห็น และได้ยินด้วยตัวเอง และการได้พบกับนักเขียนที่คุณชื่นชอบ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเทียบได้

และสิ่งที่แม็กซ์ประทับใจที่สุดในงานนี้ก็คือ การได้เจอกันนักเขียน ซึ่งแม็กซ์บอกได้เลยนะว่าเป็นกันเองกันคนอ่านมาก นักเขียนหลายคนที่ดังมาก ๆ ไม่มีอาการถือตัว เล่นตัว หรือทำอะไรกับตัวเลย

งานนี้จัดทั้งหมด 5 วัน โดยตอนกลางวันจะเป็นเวิร์คช็อปที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้พูดคุย กัยนักเขียนในบรรยากาศที่คล้ายกับห้องเรียน เราสามารถถามนักเขียนในสิ่งที่เราอยากรู้ ส่วนตอนกลางคืนก็เป็นงานปาร์ตี้แฟนซีที่แต่ละคนแต่งตัวกันสุดสุด

แม็กซ์ชอบเวิร์คช็อปที่เข้าไปฟัง แต่บอกตามตรงนะคะว่า นักเขียนไม่ได้มีการเตรียมตัวในการพรีเซ้นต์งานเท่าไหร ส่วนมากจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่เข้าไปฟังถามคำถามกันมากกว่า

เวลาส่วนใหญ่ในงานนี้ของแม็กซ์ก็คือการตามล่านักเขียนเพื่อขอลายเซ็นต์ ซึ่งอันนี้เป็นเป้าประสงค์ใหญ่ที่สุดเลยล่ะ และก็ขอรายงานด้วยความภาคภูมิใจว่า นอกจากนักเขียนในเป้าหมายสองสามคน แม็กซ์ได้ลายเซ็นต์มาครบค่ะ

มาดูบรรยากาศทั่ว ๆ ไปกัน ผ่านรูปนะคะ

เป็นรูปของบรรดานายแบบภาพปกของสนพ.อีลอร่าส เคฟ ที่มารับจ้างถ่ายภาพเพื่อหาเงินสนับสนุนการกุศล ผู้หญิงตรงกลางนี่ บอกตามตรงว่าแม็กซ์ไม่รู้ว่าคือใครหรอกค่ะ พอดีเห็นเค้าถ่ายกันอยู่ ก็เลยไปถ่ายบ้าง กะจะเอามาให้ดูกัน

ข่าวลือ (ที่น่าจะจริง เพราะได้ยินมาจากปากของเพื่อนคนที่ประสบเหตุกับตัว) มีหนึ่งในนายแบบเหล่านี้ปิ๊งนักเขียนสาวสวยมาก (ยืนยันว่าสวยจริง) ถึงขนาดตามสาวเจ้าไปยังห้องพัก ซึ่งสร้างความแตกตื่นอย่างรุนแรงให้เธอ (เธอแต่งงานแล้ว และรักสามีมาก) จนเกิดเหตุการณ์ตบแต่ไม่จูบกันขึ้น ข่าวล่ามาเร็วก็คือบรรดานายแบบเหล่านี้ถูกส่งตัวกลับบ้านในวันศุกร์ ทั้งที่งานมีจนถึงวันอาทิตย์

พูดถึงบรรดานายแบบภาพปกแล้ว แม็กซ์ก็สงสารพวกนี้นะ เพราะเหมือนกับผู้หญิงที่ถูกกระทำเป็นวัตถุทางเพศในงานอื่น งานนี้ผู้ชายก็ถูกกระทำเช่นกัน สำหรับงานที่มีผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง บรรดาหนุ่ม ๆ หน้าตาดี หุ่นล่ำบึกก็กลายเป็นวัถตุทางเพศ ให้จับ ขย้ำ และทำอะไรหลายอย่าง แม็กซ์เองก็พูดกะเพื่อน (อย่างเบา ๆ) ถึงความไม่เห็นด้วยในพฤติกรรมนี้

จนกระทั่งหนุ่มคนนี้ที่ทำให้อดใจไม่อยู่จริง ๆ แม็กซ์แอบปิ๊งและคิดในใจตั้งแต่แรกเห็นในล็อบบี้แล้วล่ะว่า ผู้ชายคนนี้โคตรจะโดนใจเลย หล่อใจสั่น มือสั่น แล้วโอกาสก็อำนวยในงานเลี้ยงตอนกลางคืนของคืนนึง ที่แม็กซ์สบโอกาสเห็นเขาอยู่ตามลำพัง ก็เกิดอาการควบคุมตัวเองไม่อยู่ (น้ำลายมันหกแล้ว) รีบตรงเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย

อันนี้เป็นรูปจากเว็บไซด์ของเขานะคะ รูปที่แม็กซ์ถ่ายคู่กะเค้านี่มันออกอากาศไม่ค่อยจะได้น่ะค่ะ เขาชื่อ คริส วินเตอร์ เป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดมิสเตอร์โรแมนซ์ ซึ่งเป็นการประกวดชายงามซึ่งผู้ชนะจะได้เป็นนายแบบภาพปกหนังสือโรแมนซ์ของสน พ.ดอร์เชสเตอร์ ในบรรดาเก้าหนุ่มที่เข้าประกวด ก็มีคุณคริสนี่แหละที่เตะตา

ไม่อยากจะบอกว่าเขากอดแม็กซ์ด้วย กรี๊ด ๆๆๆๆ

และแน่นอนว่าสายตาของแม็กซ์ย่อมแหลมคม ก็เพราะคริสนี่แหละคือผู้ชนะในการประกวดมิสเตอร์โรแมนซ์

แต่ก็มีข่าวลือมาอีกว่า หลังจากชนะเขาก็โดนทำร้ายโดนคนเข้าประกวดอีกคนที่ทราบต่อมาภายหลังว่ามีประวัติมีปัญหาทางจิต

อันนี้เป็นภาพถ่ายของหนึ่งในโต๊ะของแจกฟรีที่บรรดานักเขียนเอามาทิ้งไว้ให้ ผู้เข้าร่วมงานหยิบกันตามสบาย ซึ่งแม็กซ์ก็หยิบมาเยอะเสียด้วยค่ะ ถ้าใครอยากได้อะไรของนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษก็บอกกันได้นะคะ

โต๊ะไว้ของอย่างนี้มีเป็นสิบโต๊ะ ของแจกก็แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สุดอย่างที่คั่นหนังสือ ภาพปก ไปจนถึงปากกา สติกเกอร์ ช็อคโคแล็ค หมากฝรั่ง ที่ติดตู้เย็น หรือกระทั่งถุงยางอนามัย แต่แม็กซ์ไม่ได้เอาถุงยางกลับมาด้วยหรอกนะ (แม่รู้เข้า ฆ่าตายแน่)

แล้วก็มาถึงงานเลี้ยงตอนกลางคืน แต่ละชุดที่แต่งกัน แม็กซ์อยากให้คุณมาเห็นยิ่งนัก ไม่สามารถถ่ายมาให้ดูกันได้หมดค่ะ คนที่กล้า เธอก็ช่างกล้า แม็กซ์เลือกถ่ายมาเฉพาะคนที่แม็กซ์เห็นว่าแต่งแล้วสวยดีนะคะ พวกแต่งแล้วดูประหลาด ก็ปล่อยเขาไปเถอะ

งานเลี้ยงตอนกลางคืนมีสี่งานใหญ่ ๆ คืนแรกเจ้าภาพคือ สนพ.อีลอร่าส เคฟ ธีมของงานคือ ฮอลีวู้ดในยุค 50 ชุดที่แม็กซ์เห็นแล้วปิ๊งที่สุดก็เป็นสาวเจ้าคนนี้ค่ะ เธอเป็นนักอ่านอีกคนนึงที่มาเข้าร่วมงาน

งานนี้ตามความรู้สึกก็ขอบอกว่าเป็นงานเพื่อการประชาสัมพันธ์ของสนพ.อีลอร่า สเขา ซึ่งก็โอเคนะ เมื่อคิดว่าเขาเลี้ยงเหล้าให้แขก งานออกจะน่าเบื่อเล็กน้อย เมื่อพิธีกรบนเวทีซึ่งเป็นคนของสนพ.เอง จำชื่อนายแบบและนักเขียนของตัวเองที่มาร่วมงานไม่ได้ แล้วยังการแนะนำตัวนักเขียนของสนพ.เกือบร้อยคน หรือร้อยกว่าคนนี่แหละ ลองคิดดูว่ามันยาวนานแค่ไหน

งานดำเนินไปพร้อมกับการเต้นของหนุ่มนายแบบหน้าปกของสนพ. ที่เสียงเล่าอ้างกันว่า ดูถูกความเป็นอเมริกันมาก ด้วยการนำเพลงปลุกใจรักชาติมาเต้นกับท่าจ้ำบะ รวมทั้งเสียงกระซิบ (ที่ไม่เบาเท่าไหร เพราะแม็กซ์ดันแอบได้ยิน) ว่าตอนที่หนุ่มนายแบบพานักเขียนขึ้นเวที มีการแอบล้วงแอบควักนักเขียนไปบ้างไม่มากก็น้อย

งานเลี้ยงในคืนวันที่สองเป็นธีมแฟรี่บอล นั่นคือต้องติดปีก แต่งกันตามจินตนาการ ในงานนี้มีการมอบรางวัลสุดยอดการแต่งงานด้วย ซึ่งแม็กซ์แม้จะชอบชุดของคนชนะ แต่ก็ไม่ถูกใจ คิดว่าไม่เห็นจะเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของงานเท่าไหนนัก รูปข้างล่างต่างหากที่แม็กซ์ชอบมาก (คนขวานะคะ ตอนที่ขอถ่ายรูปนี่ ตั้งใจจะถ่ายคนขวาคนเดียว แต่คนซ้ายแกนึกว่าแม็กซ์ขอถ่ายแกด้วย แม็กซ์ก็เกรงใจ ไม่อยากทำลายน้ำใจ ก็เลยต้องติดแกมาอีกคน)

งานคืนวันที่สามเป็นงานที่ฮีธเธอร์ แกรมห์เป็นคนจัด เป็นงานเลี้ยงประจำปีก็ได้ ธีมเป็นแวมไพร์ แต่ดูเหมือนคนจะแต่งอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากแต่งมากัน หนึ่งในนั้นก็คือรูปนี้ค่ะ

สิ่งพิเศษในงานแวมไพร์บอลก็คือ ละครที่ฮีธเธอร์ แกรมห์ และคราวนี้มาพร้อมกับเฮเลน รอสเบิร์คแสดง ละครที่ยาวเกินไป ประหลาดเกินไป และน่าเบื่อเกินไปกว่าที่จะสนุก

มันไม่ได้เลวร้ายหรอกนะคะ มีช่วงเวลาที่มีอารมณ์ขันบ้าง (ไม่มากนัก) แต่ข้อเสียใหญ่ของมันก็คือความยาวที่เกินความจำเป็น แม็กซ์พบว่าตัวเองเดินออกจากงานบ่อยครั้ง แม้ว่าจะด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป

นั่นเพราะในช่วงกลางวันของวันนั้น แม็กซ์ได้รับการติดต่อจากคุณแม่ผู้หวังดีคนนึง ที่บอกกับแม็กซ์ว่า "อย่าลืมมางานในคืนวันนี้นะ เพราะฉันแนะนำลูกชายของฉันให้เธอรู้จัก"

ว้าว

เห็นไหมคะว่าแม็กซ์น่าประทับใจขนาดไหน

ดังนั้นในคืนวันนั้น แม็กซ์จึงชะเง้อคอมองซ้ายทีขวาที มองหาพ่อหนุ่มคาวบอยกะแม่ของเขา และในที่สุดก็ได้เจอซึ่งหล่อสมราคาคุยค่ะ มารู้ภายหลังว่าพ่อหนุ่มทราวิ สเนี่ยเคยเป็นผู้เข้าประกวดมิสเตอร์โรแมนซ์เมื่อปีก่อน (แล้วได้ที่สอง) เป็นลูกชายที่รักแม่มาก ขับรถมาส่งแม่ที่งาน แล้วก็อยู่เป็นเพื่อน รูปที่เอามาลงเป็นรูปที่ถ่ายในงาน RT เมื่อปีก่อนค่ะ (อีกเช่นกัน รูปที่ถ่ายกะแม็กซ์นี่ มันเอามาลงไม่ได้ค่ะ)

แล้วก็มาถึงงานเลี้ยงงานสุดท้ายที่เจ้าภาพคือสนพ.ดอร์เชสเตอร์ ที่คอนเซ็ปต์ของงานคือรองเท้าบู๊ท และหญิงสาวคนนี้คือคนที่แม็กซ์ยกนิ้วให้ค่ะ รูปอาจดูไม่ชัด แต่ขอให้สังเกตรองเท้าของเจ้าหล่อน เธอยืนได้ด้วยปลายเท้าของจริงค่ะ

และที่ทำเท่ห์มากก็คือ การแจกหนังสือชนิดหน้ามืดตาลาย แม็กซ์ถือว่าทั้งงานนี้ ไม่มีใครสปอร์ตเท่าดอร์เชสเตอร์อีกแล้วนะ

แต่เหตุผลที่แม็กซ์ไปงานของดอร์เชสเตอร์ ไม่ใช่เพราะแค่หนังสือฟรีหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะพ่อหนุ่มคริส เคลเลอร์ต่างหาก คนที่ตกกะใจอย่างรุนแรงที่จู่ ๆ มีคนเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย

เขาเป็นใครน่ะเหรอ

ถ้าคุณอ่านหนังสือเรื่อง Single White Vampire ของลินเซย์ แซนด์ล่ะก้อ น่าจะพอจำเขาได้นะ พ่อหนุ่มซีเคคนที่เป็นหนึ่งในเอดิเตอร์ในเรื่อง หนุ่มซีเคถูกสร้างมาจากคริส เคลเลอร์นี่เองค่ะ ซึ่งตัวจริงก็ขอบอกว่าเขาน่ารักมาก และตอนนี้กลายเป็นขาใหญ่แห่งดอร์เชสเตอร์ไปแล้วด้วยนะ

ไว้พรุ่งนี้มาว้าวเรื่องนักเขียนค่ะ

ความประทับใจกับนักเขียน

ยังไม่เลิกพูดเรื่องงานหนังสือที่ไปมานะคะ เพราะเสียเงินไปเยอะเพื่อไปงานนี้ ก็ต้องพูดถึงมากหน่อยเป็นธรรมดา

ขอบอกตามตรงว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมที่เราอยากไปงานนี้ก็เพราะชอบของฟรีค่ะ ตั้งใจอย่างยิ่งยวดว่า ยังไงงานนี้ต้องได้ของแจกฟรีในงานมาให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้ายเมื่อไปถึง ก็กลับพบว่า สิ่งที่เราต้องการอย่างที่สุดก็คือการได้พูดคุยกับนักเขียน

บรรยากาศมันพาไปอย่างมาก

แม็กซ์ไม่อาจพูดได้ว่า สนิทหรือรู้จักนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษหรอกนะคะ ดังนั้นที่แม็กซ์กำลังจะพูดถึงต่อไปเป็นความรู้สึกชนิดผิวเผินที่ตัวเองได้ รับเท่านั้นเองนะคะ

นักเขียนคนแรกที่เราได้พบในงาน ชนิดที่ไม่ใช่แค่การเดินผ่านแล้วเห็นในล็อบบี้ หรือลิฟต์โรงแรมก็คือ วาเนสซ่า กิลฟอย หลายคนคงจะไม่รู้จักเธอ แม็กซ์เองก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ เธอเป็นนักเขียนให้กับสนพ.อีลอร่าส เคฟ เขียนเรื่องแนวพารานอมอล ซึ่งแม็กซ์ยังไม่เคยได้อ่าน (แต่คิดว่าคงจะอ่านค่ะ) เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก แล้วก็มีจิตใจดีมากอีกด้วย จากที่ได้พูดคุยกัน เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี และไม่เห็นข้อเสียของใครเลยด้วยซ้ำ

ระหว่างที่แม็กซ์ร่อนเร่สายตาสอดส่ายมองหาของแจกฟรี แม็กซ์ก็ได้หลงเข้าไปในห้องสัมนาห้องนึง ซึ่งคนนั่งกันเต็มห้อง อย่างไม่รู้เรื่องอะไรนัก แม็กซ์เห็นนักเขียนนั่งกันอยู่สามคน มีคนเดินเข้าไปรุมล้อมพวกเธอมากมาย ด้วยประสานิสัยไทยมุงที่อยู่ในดีเอ็นเอ แม็กซ์ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปสืบว่า มันคืออะไร และก็ได้รู้ว่าสามสาวในรูปเป็นหนึ่งในนักเขียนชื่อดังที่สุดกลุ่มหนึ่ง

เรียงจากซ้ายไปขวาคือ แอลเอ แบงค์ ผู้โด่งดังจากซีรี่ย์ชุด แวมไพร์ฮันเตรส (ที่ตอนนี้แม็กซ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้แล้ว เพราะหลังจากคุยกับเธอ แอลเอยืนยันว่าชุดนี้จบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งแน่นอน) ถัดมาคือแมรี่เจนิส เดวิสสัน ที่หลายคนรู้จักจากชุดเบ็ตซี่ และคนขวามือสุดคือนักเขียนหน้าใหม่ (ในวงการพรินต์บุ๊ค แต่คนอ่านอีบุ๊คคงคุ้นกับชื่อของเธอ) นั่นคือ ดาโกต้า แคสสิดี้

แอลเอ แบงค์เป็นคนที่อบอุ่นมาก อันนี้เป็นความรู้สึกที่ได้จากการพูดคุยกันแค่แป๊บเดียวนะคะ เพราะแม็กซ์เป็นคนแปลกหน้า แต่เธอจับมือแม็กซ์ไว้ขณะที่กำลังพูดคุยกับเธอตลอด และทำให้แม็กซ์มีความรู้สึกว่าเธอสนใจในสิ่งที่แม็กซ์กำลังพูด

แมรี่เจนิส เดวิสสัน นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่แม็กซ์เจอกับเธอ เราเจอกันตลอดงานหลายครั้ง (หรือพูดให้ถูกแม็กซ์เจอกับเธอมากกว่า เพราะเธอเป็นคนดังเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นแม็กซ์ ในขณะที่แม็กซ์สังเกตเห็นเธอหลายครั้ง) และแม็กซ์บอกได้เลยว่า จากการที่ได้ยินเธอพูด ไม่ว่าจะเป็นการพูดอย่างเป็นทางการในเวิร์คช็อป หรือว่าการพูดคุยตามธรรมดา มันทำให้แม็กซ์เกิดความรู้สึกอยากกลับไปอ่านหนังสือของเธออีกครั้ง นั่นเพราะว่า เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ขันได้ฮาสุดสุด เป็นคนอารมณ์ดีมาก เป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนตลอด

ส่วนดาโกต้า แคสสิดี้ เธอเป็นคนที่มีน้ำเสียงเซ็กซี่อย่างมาก และเธอเรียกคนว่า "ดาร์ลิ่ง" ตลอดเวลา ซึ่งแม็กซ์พบว่าตัวเองชอบมาก และเช่นเดียวกับแมรี่เจนิส เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมาก ๆ

แต่คนที่ทำให้แม็กซ์ช็อคโลก ตกใจทำอะไรไม่ถูกไปเลยก็คือ คนที่สี่ ที่ไม่อยู่ในรูปนี้ เธอเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มาร่วมทำเวิร์คช็อปอันนี้เช่นกัน แต่เธอนั่งแยกตัวออกมาต่างหาก ท่าทางแปลกแยก และดูโดดเดี่ยวนิด ๆ แม็กซ์น่าจะรู้นะว่าเธอเป็นใคร

แม็กซ์จะไม่โกหกว่าตัวเองเป็นคนเก่งหรือฉลาดขนาดที่รู้ล่วงหน้าว่าเธอคือใคร ตอนที่แม็กซ์ขอเธอถ่ายรูป แม็กซ์ขอเธอถ่ายรูป เพราะรู้สึกว่าตัวเองขอถ่ายรูปนักเขียนทั้งสามคนนั้นแล้ว หากไม่ถ่ายรูปเธอด้วย มันก็คงดูไม่สุภาพเท่าไหรนัก และนั่นเป็นผลความดีที่แม็กซ์ได้รับกับตัวอย่างทันควัน

เพราะหลังการสัมนาเริ่มขึ้น เธอก็แนะนำตัว และแม็กซ์ก็อึ้งกิมกี่ เพราะว่าเธอคือแคลลี่ย์ อาร์มสตรองค์

คนที่อ่านบลอกของแม็กซ์มาตลอดก็คงรู้ว่า แม็กซ์คลั่งไคล้หนังสือชุด Women of the otherworld ขนาดไหน และตรงหน้าของแม็กซ์ก็คือคนที่สร้างสรรงานชุดนี้ขึ้นมา

หรือพูดให้ถูกคนที่สร้างตัวละครอย่างเคลย์ตัน, เจรามี่, อีเลน่า, นิค, ลูคัส, เพจ, อีฟ ทำเอาแม็กซ์กรี๊ดสลบ ไม่อยากจะเชื่อว่าได้อยู่ในห้องเดียวกับเธอ

โอ้ แม็กซ์พูดไม่ออกเอาเลย

และแคลลี่ย์ก็เป็นนักเขียนที่มีแพสชั่นในงานเขียนของตัวเองอย่างมาก มันปรากฎอยู่ในทุกคำพูดของเธอเมื่อพูดเกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง "ฉันเขียนงานอย่างที่ฉันอยากเขียน ไม่ใช่สิ่งที่ตลาดต้องการ" และนั่นทำให้เธอต้องใช้เวลาหลายปีเหลือเกินกว่าที่หนังสือเรื่อง Bitten ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของเธอจะมาถึงอเมริกา (ทั้งที่เขียนเสร็จและออกขายในแคนาดาและอังกฤษก่อนหน้านั้นตั้งหลายปี)

ของแถมของการหลงเข้าไปในห้องนั้นก็คือ แม็กซ์ยังได้พบกับเจอาร์ วาร์ด ซึ่ง เป็นคนที่จะเข้ามาพูดในหัวข้อถัดไปด้วย จากจำนวนคนที่เข้าไปรุมล้อมเธอ แม็กซ์บอกตามตรงว่าไม่ได้มีโอกาสได้คุยอะไรกับเธอมากนัก นอกจากบอกอย่างเสียงสั่น ๆ ว่าชอบงานของเธอมาก และเป็นไปได้ไหมหากจะขอลายเซ็นต์ และถ่ายรูปคู่กับเธอ ซึ่งเธอก็ยอมให้ถ่ายอย่างไม่อิดออด ของแถมก็คือ แม็กซ์ยังได้พบกับเจสสิก้า แอนเดอร์เซ่น นักเขียนคนที่แม็กซ์ทำนายว่าจะเป็นนักเขียนที่ดังมาก ๆ อีกคน

รูปที่เอามาฝากกันไม่ได้ถ่ายในวันแรกที่แม็กซ์เจอกับเจอาร์ แต่เป็นงานนึง ที่เจอาร์ วาร์ด แมรี่เจนิส และคริสตีน ฟีแฮนเปิดโอกาสให้นักอ่านถามคำถามเกี่ยวกับหนังสือของเธอชนิดที่ไม่มีการ เซ็นเซอร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะเฉลยปริศนาทั้งหมดที่มีในเรื่องหรอกนะคะ

สิ่งที่แม็กซ์ประทับใจมาก ๆ ในวันนั้นก็คือ ความรู้สึกเป็นมิตร และเพื่อนร่วมอาชีพกันอย่างมากของนักเขียนทั้งสามคนซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า น่าจะเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน เจอาร์ให้เกียรติคริสตีนตลอดในระหว่างการพูด แมรี่จานิสปล่อยมุขตลกแซวคนโน้นทีคนนี้ที ในขณะเดียวกันก็ชื่นชม โดยเฉพาะคริสตีน ที่แมรี่เจนิสบอกว่าเป็นคนที่ส่งเสริมให้เธอมีอาชีพที่เป็นอยู่ เพราะคริสตีนเป็นคนที่โปรโมตงานเรื่อง Undead and Unwed ของแมรี่เจนิส สมัยที่เธอเป็นเพียงนักเขียนอีบุ๊คกระจอก ๆ ในขณะที่คริสตีนเป็นคนดังที่ไม่จำเป็นต้องสนใจส่งเสริมงานของใครเลย

คริสตีน ฟีแฮนดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ และเช่นเดียวกับนักเขียนคนอื่น สุภาพกับนักอ่าน ๆ แล้วก็ใจดีสุดสุด เมื่อเธอทำการแจกการ์ตูนเรื่องดาร์คฮันเกอร์พร้อมลายเซ็นต์ให้กับนักอ่านที่ ไปร่วมงานฟรีเจ้าค่ะ

อ้อ แล้วแม็กซ์พูดถึงน้ำดื่มยี่ห้อคาร์พาเธียนแล้วรึยัง อาจจะหอบกลับมาฝากให้เพื่อนที่เมืองไทยดูกันนะคะ แต่เขาห้ามของเหลวเข้าเครื่องบิน (มันเป็นข้ออ้างมากกว่าค่ะ อันที่จริงคือลืมคิดไป)

แล้วยังมีงานนึงที่แม็กซ์พลาดไม่ได้ เมื่อสี่ผู้ยิ่งใหญ่ (อันที่จริงแม็กซ์อยากบอกว่าสามนะ แต่ไหน ๆ มากันสี่คน ก็เรียกว่าสี่แล้วกัน) ที่แมรี่ บาล็อคธ์ แมรี่ โจ พุธเนย์ แพทริเซีย ไรซ์ และนิโคล จอร์แดน เปิดโอกาสให้แฟนหนังสือพูดคุยด้วย

แม็กซ์ถือว่าพวกเธอเป็นเสาหลัก และเสาเอกแห่งวงการโรแมนซ์ย้อนยุคเลยนะคะ โดยเฉพาะแมรี่ โจ (คนที่สองจากขวา) ที่แม็กซ์ถือว่าเป็นคนที่ทำให้แม็กซ์หันมารักนิยายโรแมนซ์แนวย้อนยุคอย่าง จริงจัง

แต่ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ แพทริเซีย ไรซ์ (คนซ้ายสุด) เขียนเรื่องของไมเคิลจากเรื่อง The Marquess แล้ว แต่ไม่มีสนพ.ไหนซื้อไปพิมพ์ ซึ่งสิ่งนี้แม็กซ์ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่น่าให้อภัยได้

แม็กซ์บอกรึยังว่ารักเรื่อง The Marquess มากแค่ไหน

ส่วนแมรี่ บาล็อกธ์ก็พูดถูกใจมากเรื่องที่เธอทนไม่ได้กับการที่นักเขียนสมัยนี้เอาตัว ละครของเจน ออสเต็นมาเขียนใหม่ เธอบอกให้พวกนั้น "ไปหาตัวละครของตัวเองมาเขียนได้ไหม และปล่อยเจนให้อยู่ตามลำพัง" นั่นสะท้อนความรู้สึกของแม็กซ์ตรงเป๊ะเลย

และจะลืมคนนี้ได้ยังไง แมเดลีน ฮันเตอร์ นักเขียนอีกคนที่แม็กซ์อยากพบมากที่สุด เพียงเพื่อจะบอกกับเธอว่า แม็กซ์รักเฮย์เดน และรอคอยการมาของคริสเตียนมาแค่ไหน (สำหรับคนที่อยากรู้ The Sin of Lord Easterbrook จะวางขายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าค่ะ)

ยังมีนักเขียนอีกหลายคนที่แม็กซ์ยังไม่ได้พูดถึงค่ะ แต่เนื่องจากวันนี้กินยาเข้าไป ทำให้ง่วงมาก วันนี้ก็เลยของจบข่าวเอาดื้อ ๆ แล้วกัน