Tuesday, December 24, 2013

Review: Otherwise Unharmed


Otherwise Unharmed
Otherwise Unharmed by Shay Savage

My rating: 2 of 5 stars



หลังจากอ่านสองเล่มแรกในชุดจบไปอย่างค่อนข้างพอใจ เราก็อ่านเล่มสามต่อทันทีด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เราอยากรู้ว่า คนแต่งจะหาทางออกอย่างไรให้กับเอแวน อาร์เดน หลังจากที่เขาเสียสติ (ชั่วขณะ) แล้วเอาปืนไปไล่ยิงชาวบ้าน (แต่ไม่มีใครตาย) พร้อมกับการที่ลีอา หญิงสาวที่อยู่ในใจของเขามาเกือบตลอดเวลาได้หวนกลับมาสู่ชีวิตของเขา

เราพบว่า คนแต่งหาทางออกที่ง่ายเกินไปให้กับเรื่อง และเหตุการณ์หลายอย่างดูเหมือนถูกเสริมแต่งเข้าไปแบบไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน การที่ลีอาตามหาเอแวนจนเจอ เราคิดว่า ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหรนัก (แม้จะพอเข้าใจได้ เนื่องจากเธอไม่ใช่คนเล่าเรื่อง ความพยายามของเธอในการหาตัวเขาจนพบ จึงไม่ได้ถูกบรรยายเอาไว้ในเรื่อง) การที่ ในตอนท้ายที่สุด เจ้านายมาเฟียก็ปล่อยเขาเดินจากไปง่าย ๆ เรื่องยกเอาความสัมพันธ์ที่เหมือนพ่อและลุกชายมาใช้ เราอ่านเล่มสองซึ่งเป็นเล่มที่บรรยายเกี่ยวกับเจ้าพ่อมาเฟียคนนี้มากที่สุดแล้ว เราพอรับรู้ว่า เขาห่วงใยในตัวเอแวนนะคะ แต่เราไม่อาจสัมผัสอะไรที่มากเกินไปกว่านั้นได้

ส่วนที่ผิดหวังที่สุดก็คงจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอแวน และลีอา เรารู้สึกเหมือนเราพลาดอะไรสักอย่างไป ทั้งคู่เจอกันแค่วันเดียว (เท่านั้น) ในทะเลทรายที่อริโซนา มีเซ็กส์อันเยี่ยมยอด เขาไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่ได้หมกมุ่นขนาดเลิกมีเซ็กส์กับผู้หญิงคนอื่น (เขาหิ้วโสเภณีไปนอนด้วยเป็นประจำ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันในระดับนึง) เธอไม่ลืมเขา และออกตามหา อันนี้เราพอเข้าใจได้ ลีอาไม่รู้ว่า เอแวนเป็นใคร แค่เป็นอดีตทหารผ่านศึก เรามีความรู้สึกว่า คนแต่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ดูเป็นมากกว่าสิ่งที่มันเป็น มันราวกับทั้งคู่หลงรักกันมานาน เปิดใจบอกความรู้สึกกันไปแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่เลย

แล้วยังการยอมรับที่เอแวนมีต่อลีอา ทั้งที่จากการที่เราได้รู้จักเขาในเล่มสอง (Otherwise Occupied) เขาไม่น่าจะเป็นคนที่ทำเช่นนั้นได้ง่ายแบบนี้ แต่ทุกอย่างกลายเป็นเขายอมตายเพื่อลีอาได้

นั่นทำให้เราไปสู่จุดที่ว่า อะไรวะ...

เราชอบเรื่องโรแมนซ์นะคะ และชอบที่เอแวนลงเอยกับลีอา เราพอเห็นว่า ทั้งคู่เหมาะสมกัน แต่เราอยากเห็น "พัฒนาการ" ของความสัมพันธ์ ไม่ใช่การเปิดเรื่องตอนแรก พระเอกก็ออกแนว ยอมทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ มันฟังดูซึ้งค่ะ แต่ไม่มีที่มาที่ไป

และเพราะเรื่องต่อไปนับจากนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากความตั้งใจของเอแวนที่ว่า จะทำทุกอย่างเพื่อลีอา เราจึงรู้สึกว่า เรื่องราวไม่น่าเชื่อ ปิดท้ายด้วยบทสรุปที่ง่ายดายเกินเหตุอีก เล่มนี้จึงเป็นความผิดหวังเล็ก ๆ สำหรับเรา

แต่เราไม่เสียดายเวลาที่อ่านนะคะ เรื่องชุดนี้แตกต่าง และน่าสนใจ ที่สำคัญเราชอบเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองของตัวละครผู้ชาย (แต่เขียนโดยนักเขียนผู้หญิง) อาจจะไม่ถูกต้องตามความจริงที่เป็น (คือผู้ชายไม่ได้คิดกันแบบนี้) แต่มันเป็นความบังเทิงแบบที่เราชอบ

คะแนนที่ 60
ป.ล. อ่านเรื่องนี้จบแล้วเกิดอาการบ้ามือสังหาร/นักฆ่า ก็เลยไปหยิบเรื่อง Last Hit มาอ่านต่อ เป็นแนว New Adult ที่พระเอกเป็นมือสังหาร ปรากฎว่าอ่านไปได้ครึ่งเรื่องก็วาง พระเอกเป็นมือสังหารที่ถูกใส่เครื่องซักผ้า ทำนองรับงานเฉพาะฆ่าคนเลวเท่านั้น เป็นมือสังหารมีคุณธรรมอะไรประมาณนี้ (แล้วยังมีประเด็นเรื่องโรแมนซ์อีกเล็กน้อย) ก็เลยวางไปก่อน เอาไว้สร้างอารมณ์กลับมาได้ก่อน อาจจะกลับมาอ่านต่อค่ะ



View all my reviews

Review: Otherwise Occupied


Otherwise Occupied
Otherwise Occupied by Shay Savage

My rating: 3 of 5 stars



เราหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านทันทีที่จบเล่มแรกไป แล้วก็ดีใจที่ตัวเองรอจนหนังสือออกครบชุดแล้วค่อยเริ่มต้นอ่าน เพราะตอนจบในเล่มแรกก็ค้างคา และไม่มีบทสรุป

มาในเล่มนี้เอแวนซึ่งกลับมาจากการถูกเนรเทศแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เจ้านายได้ให้อภัยทุกอย่างหมดสิ้นต่อการกระทำของเขา (ที่ฆ่าพยานซึ่งรู้เห็นการลอบสังหารของเขา) เพราะเอแวนเกือบทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งค์ ดังนั้นเขาจึงรู้ตัวว่า จะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายใหม่ให้เสร็จสมบูรณ์อย่างเรียบร้อยที่สุด งานที่เขาต้องฆ่าดาราภาพยนตร์ชื่อดัง (ที่ติดหนี้การพนันเจ้านายของเขา)

เรื่องนี้เป็นการบอกเล่าชีวิตของเอแวน คนที่หวังจะได้เห็นเรื่องโรแมนซ์บอกเลยนะคะว่า ต้องผิดหวัง เพราะนางเอกไม่มีบทบาทในเล่มนี้ มากไปกว่านั้น ผู้หญิงที่เอแวนใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดกลับเป็นโสเภณีที่เขาหิ้วมาจนกลายเป็นขาประจำกันไป แต่อย่างที่บอกค่ะ เนื่องจากเราไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าเป็นโรแมนซ์ มันก็เลยดูเป็นเรื่องธรรมดาไป

ส่วนที่เราชอบในเล่มนี้ก็คือ การที่คนแต่งเล่าเรื่องของมือสังหาร เธอไม่พยายามทำให้มันดูเป็นเรื่องงดงาม เอแวนทำเพื่อเงิน (และเพื่อสุขภาพจิตหลังจากกลับมาจากสงคราม) เขาไม่ได้ตั้งกฎว่าจะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เขาแค่ฆ่า และนั่นทำให้คาแร็คเตอร์ของเขาดูน่าเชื่อ อย่างไรก็ตามทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เราควรจะเรียกเขาว่าเป็นพระเอกหรือไม่

สำหรับเราพระเอกก็คือ ตัวเอกฝ่ายชาย ดังนั้นเราจึงไม่มีปัญหา แต่ถ้าพระเอกของคุณคือ คนที่มีความดีในตัวเองบ้าง เราไม่แน่ใจนะคะว่า เอแวนเป็นพระเอกของเรื่องนี้ได้

เราได้รู้จักเอแวนมากขึ้น เล่มนี้โฟกัสอยู่ที่เขา ท่ามกลางพล็อตเรื่องที่นิ่งมาก ๆ นั่นคือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็แค่การที่เอแวนวางแผนฆ่าคน หิ้วอีตัว และต่อสู้กับความฝันจากภาพสงครามในอดีต แทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเป็นประเด็นที่ต้องใช้ความคิด เรากลับพบว่า ชอบเล่มนี้ที่สุดในชุด

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Otherwise Alone


Otherwise Alone
Otherwise Alone by Shay Savage

My rating: 3 of 5 stars



เราแอบมองหนังสือชุดนี้มานานพักใหญ่ ๆ แล้วล่ะค่ะ แต่ที่ไม่เริ่มอ่านสักทีก็เพราะเป็นหนังสือชุดสามเล่มที่แต่ละเล่มจบแบบ cliffhanger เราก็เลยรอจนเล่มสุดท้ายออกขาย แล้วจึงเริ่มอ่านรวบยอดทีเดียว

การเขียนรีวิวเรื่องชุดนี้ไม่ง่ายนะคะ เพราะแม้จะแบ่งออกเป็นสามเล่ม แต่ทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน คือเหมือนหนังสือเล่มเดียวนั่นแหละ แต่ถูกแยกออกเป็นสามเล่ม ดังนั้นถ้าใครคิดจะอ่าน ก็ขอให้เตรียมใจไว้ว่า อ่านกันยาวค่ะ หยุดอ่านที่เล่มใดเล่มนึงก็จะไม่ได้เรื่องราวทั้งหมดครบถ้วน

และการเขียนรีวิวของเราก็จะเป็นการเขียนรีวิวแบบคนที่อ่านมาแล้วทั้งสามเล่มนะคะ (แม้รีวิวเราจะแยกออกเป็นสามส่วนตามจำนวนเล่มก็ตาม)

เล่มแรกของชุดเป็นเรื่องที่มีความยาวสั้นที่สุด (คิดว่า น่าจะประมาณเรื่องสั้นเท่านั้นเอง แต่คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ในแง่ทำให้เราอยากรู้เรื่องต่อ เปิดเรื่องในทะเลทรายในอริโซนา เอแวน อาร์เดนอยู่ตามลำพัง กับโอดิน น้องหมาคู่ใจ เขาถูกเนรเทศออกจากชิคาโก้โดยเจ้านายซึ่งเป็นมาเฟียประจำเมือง เนื่องจากด้นไปฆ่าคนที่ไม่ควรฆ่า แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพยานรู้เห็นการลอบสังหารที่เอแวนเป็นคนลงมือก็ตาม แต่เขาก็เป็นญาติกับมาเฟียคู่แข่งอีกกลุ่ม เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดสงครามมาเฟีย เอแวนจึงต้องรีบเผ่นออกจากเมืองโดยเร็ว

และนั่นเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เขาอยู่ตามลำพัง เงียบ ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่แล้วก็มีคนเข้ามายุ่งกับเขาจนได้ เมื่อลีอาโผล่เข้ามา มันเป็นสถานที่แปลกที่ทั้งคู่ได้พบกัน หญิงสาวซึ่งถูกแฟนหนึ่งผลักตกจากรถ เดินหลงในทะเลทราย และได้พบกับชายลึกลับที่ท่าทางไม่เป็นมิตร แต่อย่างน้อยเขาก็ยื่นมือช่วยเหลือเธอ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เป็นสิ่งที่ทั้งคู่ไม่มีวันลืม แม้จะต้องแยกจากกัน

ใช่แล้วค่ะ เอแวนและลีอาแยกจากกันในตอนจบของเล่มนี้ จากกันแบบดูเหมือนจะไม่มีอนาคตต่อกันด้วยซ้ำ แต่่ความสนใจของเราในหนังสือเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองนะคะ (แม้ว่า เราจะรู้สึกว่า น่าสนใจไม่น้อย) หากแต่เป็นที่ตัวเอแวน ซึ่งเป็นคนเล่าเรื่อง ซึ่งในเล่มนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของเขามากมายนัก นอกจากเขาเป็นอดีตทหารที่ผันตัวกลายมาเป็นมือสังหาร และทำงานให้กับมาเฟียอยู่

สำหรับเราแล้วความน่าสนใจของเรื่องอยู่ที่ตัวเอแวน อาร์เดน ไม่ใช่ในแง่ที่ว่า เราอยากรู้จักเขา หรืออยากรู้ว่า อะไรคือแรงผลักดันให้เขากลายมาเป็นคนที่เขาเป็น (จากวีรบุรุษมาเป็นมือสังหาร) แต่เป็นความคิดของเขาที่แสดงออกมาในเล่มนี้ เราพบว่า ตัวเองชอบใจกับการมองโลกของพระเอกที่ทำให้ทุกอย่างดูเป็นตลกร้าย การไม่ยี่หระหรือแคร์กับอะไรก็ตาม การไม่ขอโทษในการกระทำของตัวเอง

โดยรวมเราคิดว่า เรื่องนี้ (รวมไปถึงหนังสือชุดนี้) อาจจะไม่เหมาะกับคนอ่านทุกคน ในแง่ของอาชีพของพระเอกที่ไร้ศีลธรรม และไม่อาจยอมรับได้ แต่สำหรับเราซึ่งไม่ได้มองเรื่องชุดนี้ในแง่ของการเป็นโรแมนซ์ เราค่อนข้างเปิดกว้างได้มากกว่า และพร้อมที่จะอ่านเล่มต่อไปในชุด เมื่อเอแวนโดนเจ้านายเรียกตัวให้กลับไปที่ชิคาโก้ได้

คะแนที่ 70





View all my reviews

Monday, December 23, 2013

Review: Beautiful Player


Beautiful Player
Beautiful Player by Christina Lauren

My rating: 4 of 5 stars



งานเขียนของคริสตินา ลอเรนเป็นเหมือน Guilty Pleasures ของเรานะคะ แม้เราจะไม่ได้รู้สึกว่า จะต้องปิดเป็นความลับว่า เราชอบอ่านงานของเธอ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกว่า หนังสือที่นักเขียนคู่นี้ (คริสตินา ลอเรนเป็นทีมนักเขียนสองคน) ไม่มีสาระอะไรเลย แต่ความมั่วซั่วสับสนของมันกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราไม่อาจวางลงหยุดอ่านได้เช่นกัน

เรารู้สึกมาก ๆ กับหนังสือเล่มแรกในชุด (และเล่มแรกที่พวกเธอเขียน) Beautiful Bastard เรื่องราวที่เราบอกว่า ไร้สาระสุด ๆ แต่กลับหยุดอ่านไม่ได้

ดังนั้นเราก็เลยตามซื้อและอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ของพวกเธอเรื่อยมา โดยไม่ได้คาดหวังมากมายนัก จนกระทั่งมาถึงเล่มนี้ค่ะ ซึ่งเราคงต้องบอกว่า สนุกเกินคาด เรื่องราวความสัมพันธ์จากเพื่อนกลายเป็นคนรัก กุ๊กกิ๊ก น่ารักมาก ๆ ที่สำคัญต้องบอกว่า เหนือความคาดหมาย และเป็นหนึ่งในหนังสือแนวปัจจุบันที่สนุกมากที่สุดเล่มนึงในปีนี้ที่เราได้อ่าน

ในส่วนของเนื้อหายังไม่มีอะไรมาก แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนางเอกกินขาดหนังสือหลายเล่ม น่ารัก อบอุ่น และทำให้เราเชื่อได้ว่า ทั้งคู่ต่างตกหลุมรักกันและกันจริง ๆ

พล็อตเรื่องง่าย ๆ ตามสูตรสำเร็จ (และดูเหลือเชื่อเล็กน้อย) เมื่อพี่ชายผู้ห่วงใย ฮันนาน้องสาวที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการเรียน จนไม่มีเวลาให้กับชีวิตทางสังคม แนะนำให้เธอติดต่อไปยังวิล เพื่อนสนิทของตัวเอง เพราะหวังว่า เพื่อนผู้เจนโลกคนนี้จะช่วยแนะนำชีวิตทางสังคม สนุก ๆ ให้น้องสาวบ้าง

และก็ตามสูตรโรแมนซ์ทั่วไป เมื่อคนแนะนำกลับกลายเป็นคนชักจูงสาวเจ้าไปเสียเอง

ปกติเราไม่ค่อยชอบพล็อตเรื่องแนวเพื่อนสนิทของพี่ชาย และน้องสาวผู้ไร้เดียงสานะคะ แต่เล่มนี้เวิร์คมาก ๆ เราชอบคาแร็คเตอร์ของทั้งฮันนา และวิล เพราะมไม่มีใครเป็นอย่างที่ตาเห็น

ฮันนา นักศึกษาระดับปริญญาเอก ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา เธอเลือกชีวิตที่เป็นเอง และเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงเอง ฮันนาไม่ได้มีปัญหากับการเข้าสังคม เพียงแต่ไม่ได้มองเห็นว่า มันน่าสนใจ จนกระทั่งครอบครัวชี้ให้เธอเห็นว่า เธอพลาดอะไรไปบ้าง (จากการทุ่มเทให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว) จุดนี้สำคัญมาก เพราะเราไม่ได้อ่านเรื่องราวของนางเอกขี้อาย ผู้เจอกับพระเอกที่เจนโลก แล้วก็ตกหลุมรักเขา ฮันนาไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ตัวตนของเธอมีมิติมากกว่า และมีความสมจริงในแง่คาแร็คเตอร์มากกว่า

และวิลก็ไม่ใช่เพลย์บอยที่ตกหลุมรักสาวใสบริสุทธิ์ เขาตกหลุมรักเพื่อนของตัวเอง ส่วนที่เราชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ การเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิลและฮันนา การที่พวกเขาเป็นเพื่อน แล้วกลายเป็นคนรัก เราเชื่อในมิตรภาพของทั้งสอง ชอบการที่ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน การพูดคุยกัน (ทฤษฎีประหลาด ๆ ของฮันนาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของผู้หญิง) การที่เธอเข้าใจตัวตนของเขา และเขารู้จักเธอดียิ่งกว่าใคร

นี่เป็นเรื่องราวของเพื่อนที่กลายเป็นคนรัก และมันเวิร์คสำหรับเรา เพราะเชื่อในความเป็นเพื่อนที่เกิดขึ้น

ส่วนที่เวิร์คมาก ๆ คือ คแร็คเตอร์ เราอ่านหนังสือมาหลายเล่มนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะกรี๊ดไปกับพระเอกตามระเบียบ เล่มนี้ก็กรี๊ดพระเอกค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อน แต่ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ เพราะนางเอกต้องการแค่ความเป็นเพื่อน ที่มากกว่านั้น เราชอบนางเอกมาก ๆ ด้วยค่ะ ฮันนาเป็นผู้หญิงที่เป็นธรรมชาติ เราอ่านโดยมองเห็นว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้วิลตกหลุมรักเธอได้อย่างง่ายดาย (คือถ้าเราชอบผู้หญิงก็คงรักเธอเช่นกัน)

เราชอบคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้มาก และสำหรับเราแล้ว เล่มนี้ถือว่าเป็นพัฒนาการทางการเขียนที่สำคัญมาก ๆ ของนักเขียนคู่นี้

คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: Big Bad Beast


Big Bad Beast
Big Bad Beast by Shelly Laurenston

My rating: 5 of 5 stars



เล่มนี้กลายเป็นหนังสือที่เราเรียกว่า Comfort Read ของเราไปแล้วค่ะ นั่นคือมองซ้ายมองขวา นึกไม่ออกว่าจะอ่านเรื่องอะไรดี ก็หยิบเล่มนี้มาอ่านซะอย่างงั้น เรื่องนี้ถือว่า เป็นเรื่องที่เราอ่านซ้ำเยอะที่สุดในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา (คิดว่าน่าจะอ่านซ้ำเกินสิบครั้งไปแล้ว)

แล้วยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบเล่มนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ สำหรับเราแล้ว องค์ประกอบทุกอย่างในเล่มนี้โดนใจเราไปเสียหมด เริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอกที่ดูจะไม่เท่าเทียมกันนัก พระเอกที่หลงรักนางเอกมาตั้งแต่ต้น โดยที่เธอไม่รู้ว่า เขามีตัวตนด้วยซ้ำ แต่ด้วยลูกตื้น มารยาสาไถหลายอย่าง ทำให้นางเอกใจอ่อนลงเรื่อย ๆ ประกอบกับอารมณ์ขันของคนแต่งที่เราชอบ (เราไม่แน่ใจว่า อารมณ์ขันของแชลลี ลอเรนสตันจะถูกโรคไปกับทุกคนนะคะ แต่กับเรา ถูกใจค่ะ) ทำให้เรื่องนี้อ่านได้สนุกแบบไร้สาระ แต่มีความสุขมากที่สุด

ไม่อยากเขียนอะไรมากนะคะ เพราะเคยเขียนรีวิวไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน นอกจากจะบอกว่า กลับมาอ่านใหม่รอบนี้ ก็ยังสนุกน่ารักเหมือนเดิม

นี่เป็นรีวิวเก่าที่เคยเขียนเอาไว้ค่ะ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่หกในชุด Pride ที่ไม่ได้เล่าเรื่องของสิงโตหรอกนะคะ ทั้งพระเอกและนางเอกในเล่มนี้เป็นหมาป่า ว่าไปแล้วชุดนี้เราเรื่องเหล่ามนุษย์แปลงร่างในเมืองนิวยอร์ค เชื่อมเรื่องราวทุกเล่มเอาไว้ด้วยมิตรภาพอันเหนียวแน่นของคาแร็คเตอร์ในชุด ที่เน้นแฟ้น และเพี้ยนอย่างที่คุ้นเคย

ในที่สุดหลังจากรอคอยมาหลายเล่ม เล่มนี้ก็เล่าเรื่องกุ๊กกิ๊กระหว่างดีแอน สมิท และอัลริค แวน โฮลซ์ ชายและหญิงสองคนที่แตกต่างกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

คนที่ติดตามอ่านเรื่องชุดนี้มาตลอดคงจะพอนึกออกว่า ครั้งแรกที่ริคเห็นดีแอน (เหตุการณ์ในเรื่อง The Mane Squeeze) เขาก็ตกหลุมรักอย่างจัง หญิงแกร่ง โหด และน่ากลัวมากคนนี้พิชิตใจของหมาป่าหนุ่มที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค ริคพาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดกับดีแอนทุกวิถีทาง แต่สาวเจ้าก็ยังไม่สนใจ

ในเล่มนี้คนอ่านได้ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน และได้พบว่า การพบกันครั้งแรกระหว่างริคและดีแอน ย้อนกลับไปนานกว่านั้น เขาอายุหกขวบ เด็กชายคงแก่เรียนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ริคติดตามนีล ผู้เป็นลุงไปในทริปการเดินทางที่นีลต้องการติดต่อกับนักฆ่าฝีมือดีที่สุดในหน่วยรบพิเศษ มาทำงานให้กับองค์กรของเขา การเจรจาระหว่างนีลและเอ็กกี สมิธเป็นไปด้วยดี (เท่าที่จะเป็นได้) จนกระทั่งริคได้พบกับหญิงในฝัน

ดีแอน สมิทคือลูกสาวของเอ็กกี สมิธ และเธอคือลูกของพ่อ ดีแอนมีนิสัยเหมือนพ่อผู้รักสันโดด และแทบจะไม่มีด้านอ่อนโยนให้เห็นมากนัก แม้ในวัยเพียงสิบปี ดีแอนก็เริ่มขอเงินพ่อเพื่อมาซื้อมีดเล่มใหญ่ที่สาวเจ้าโฆษณาสรรพคุณให้ฟังว่า น่าจะแทงทะลุอกคนได้ง่าย ๆ แต่กระนั้นเมื่อเด็กชายวัยหกขวบยื่นห่อช็อคโกแลตมาให้ ดีแอนก็รับมาไว้แบบงง ๆ พร้อมกับคำเตือนจากพ่อว่า อย่าไว้ใจพวกแวน โฮลซ์ เพราะคนพวกนี้ไม่เหมือนสมิธ พวกนี้มีวัฒนธรรมมากเกินไป ดูดีเกินไป

เรื่องตัดกลับมาในตอนปัจจุบัน ริคซึ่งเป็นหัวหน้าโดยตรงของดีแอนในองค์กรที่นีล (ลุงของริค) เป็นผู้นำกลุ่ม กลุ่มที่มีชื่อง่ายมากว่า The Group ที่ทำหน้าที่ปกป้องเหล่ามนุษย์แปลงร่างจากอันตราย ซึ่งตอนนี้กำลังมีภารกิจสำคัญในการตามล่ากลุ่มคนที่จับเอาเหล่าลูกครึ่ง (ของสายพันธุ์ต่าง ๆ ของมนุษย์แปลงร่าง) มาต่อสู้ในสังเวียนเถื่อน ซึ่งพล็อตนี้ดำเนินต่อเนื่องมาจากเล่มสี่ในชุดแล้วล่ะค่ะ

ทั้งริคและดีแอนจำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือ ริคปิ๊งดีแอนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ และสาวเจ้าก็เมินเฉยเขาเหลือเกิน แต่การเมินเฉยของดีแอนก็มีอะไรบางอย่างแปลก ๆ รวมอยู่

หญิงสาวชอบสะเดาะกุญแจแอบเข้าไปในบ้านของริค จนเป็นเหตุให้ชายหนุ่มทนไม่ได้ต้องหาเรื่องทำอาหารให้เธอกินเป็นประจำ ในฐานะหัวหน้าเชฟแห่งภัตตาคารหรู ริคโมโหทุกครั้งที่ดีแอนบอกว่า เขาใช้บลูเบอรีจากกระป๋อง นั่นเป็นยิ่งกว่าการดูถูก

และเมื่อริคจับทางของดีแอนถูก เขาเข้าใจตัวตนของเธอ ภารกิจพิชิตใจหมาป่าสาวหัวดื้อก็เริ่มต้นขึ้น และนั่นทำให้หนังสือเรื่องนี้สนุกมาก ๆ

เราชอบริคมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาออกมามีบทใน The Mane Squeeze แล้วค่ะ ใครล่ะจะไม่ชอบเขา ริคเป็นเพื่อนที่ดี เป็นชายหนุ่มชนิดสาว ๆ ต้องฝันหวาน เขาเป็นหัวหน้าเชฟในภัตตาคารของเผ่า เป็นเจ้าของทีมฮ็อคกี้ที่ตัวเองเล่นให้ด้วย ริคคือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ (และเราหมายความแบบนั้นจริง ๆ ) ปกติเราไม่ชอบคาแร็คเตอร์ที่ดีไปทุกอย่างแบบนี้นะคะ แต่มีอะไรบางอย่างในตัวริคที่ทำให้เราใจละลายได้ง่าย ๆ และนั่นสำคัญมาก เพราะถ้าเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ก็คงจะไม่มีวันเข้าถึงหัวใจของดีแอน

เพราะดีแอนไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป หนังสือหลายเรื่องเขียนคาแร็คเตอร์นางเอกเป็นหญิงแกร่ง แต่เล่มนี้คงต้องบอกว่า โคตรแกร่ง ดีแอนเหมือนทหารผ่านสงครามที่เจออะไรมาหลายอย่าง ทำอะไรมาหลายอย่าง และเธอไม่ได้เสียใจไปกับมันแม้แต่น้อย (ในแง่นึงเรารู้สึกว่า เธอน่าจะเหมือนกับพ่อของเหล่าหนุ่ม ๆ ตระกูลแม็คคราวด์ของแชนนอน แม็คเคนนา) บ่อยครั้งที่ความสุขของเธอก็คือ การอยู่คนเดียว ในความเงียบ ไม่ต้องมีใครมายุ่ง

ในเล่มก่อนหน้ามีหลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ทนดีแอนต่อไปไม่ได้แล้ว การกระทำหลายอย่างของเธอข้ามเส้นที่เราขีดไว้ให้กับคาแร็คเตอร์ที่เป็นนางเอกเกินไป แต่พอมาในเล่มนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปหมดเลยนะคะ ซึ่งไม่ใช่เพราะดีแอนเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ดีขึ้น

แต่เป็นเพราะในเล่มนี้ คนอ่านได้เห็นดีแอนผ่านสายตาของริค ผู้ชายคนที่เข้าใจเธอดีกว่าตัวเธอเองเสียอีก

เรารู้สึกว่า การจับคู่ชายและหญิงสองคนที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ได้ผล เพราะคนแต่งเข้าใจในคาแร็คเตอร์ ข้อดี ข้อด้อยของพวกเขาอย่างชัดเจน ทั้งสองเติมเต็มให้กันและกัน

หนังสือมีชื่อเรื่องว่า Big Bad Beast ซึ่งเราบอกได้เลยว่า ไม่ได้หมายความถึงริคที่เป็นพระเอก ไม่ใช่เพราะริคอ่อนแอ แต่ริคมีจุดแข็งอย่างอื่นที่โดดเด่นมากกว่า เขาสามารถป้องกันตัวเอง และคนที่รักได้ถ้าจำเป็น แต่สถานการณ์ในเรื่องนี้ ริคไม่ค่อยจำเป็นต้องทำเท่าไหร (มีบ้างเล็กน้อย) เขาคือคนที่เข้าใจดีแอน และรู้จุดแข็งของเธอ เขารักเธอมากพอ ไว้ใจเธอมากพอที่จะให้ดีแอนเป็นตัวเอง พระเอกในเรื่องนี้ไม่ได้ปกป้องนางเอกโดยการหุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนที่ปกป้อง แต่เขาอยู่รอเธอกลับมาจากภารกิจ โอบกอดเธอ และดูแลเธอ

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของมารยาชาย ที่ริคควักมาใช้หลายเล่มเกวียนเพื่อเอาชนะใจดีแอน ทั้งจัดการจนทั้งคู่เริ่มต้นความสัมพันธ์กันอย่างที่ดีแอนไม่ทันตั้งตัว หรือว่าจะเป็นการเล่นตัว (จนดีแอนต้องไล่จับไปทั่วอพาท์เมนต์) เพื่อให้สาวเจ้ายอมค้างคืน ไม่หนีหายไปกลางดึก

เอกลักษณ์ในการเขียนของเชลลีก็ยังมีอยู่ครบค่ะ แต่เล่มนี้เราว่าติดดินมากกว่าเล่มอื่น ๆ (ในแง่ที่พฤติกรรมตัวละครไม่ประหลาดผู้คนเกินเหตุ) และนั่นทำให้เรายิ่งชอบเรื่องนี้มากขึ้นไปอีกนะคะ เพราะไม่ต้องอาศัยมุขตลกหลุดโลก แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน

เรารักทุกวินาทีที่นั่งอ่านเล่มนี้เลยค่ะ เป็นหนังสือที่ให้ความสุขเราในขณะที่อ่านมาก ๆ

คะแนนที่ 97



View all my reviews

Thursday, December 19, 2013

Review: One Good Earl Deserves a Lover


One Good Earl Deserves a Lover
One Good Earl Deserves a Lover by Sarah MacLean

My rating: 3 of 5 stars



รู้ตัวเลยว่า เราไม่เป็นกลางในเรื่องความเห็นเกี่ยวกับพระเอกและนางเอก ถ้าถ้าคาแร็คเตอร์ที่ทำตัวแบบนี้เป็นนางเอก เราคงจะเซ็งหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว

เมื่อเหลือเวลาไม่กี่วันก่อนจะต้องเข้าพิธีแต่งงาน หญิงสาวผู้มีสติปัญญาระดับอัจฉริยะก็ต้องการค้นหาด้วยตัวเองให้พบถึงความลับในเรื่องคืนวันแต่งงาน และใครจะให้คำแนะนำให้ดีไปกว่าครอส หนึ่งในหุ้นส่วนของบ่อนการพนันที่หรูหราที่สุดในลอนดอน

เราไม่ชอบพล็อต (ที่นางเอกหมั้นหมายกะคนอื่นอยู่) ไม่ชอบทิศทางของเรื่อง (นางเอกขอให้พระเอกสอนประสอบการณ์ชีวิตให้) แต่เรื่องนี้กลับดึงความสนใจของเราไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง เราชอบคาแร็คเตอร์ของนางเอกมาก ชอบความชัดเจนในตัวตนของเธอ แม้ว่าการตัดสินใจที่เธอเลือกครอสจะดูขัดไปบ้าง แต่เรื่องราวที่ตามมาก็ยอมรับได้ ที่สำคัญประเด็นเรื่องเธอมีคู่หมั้นก็จัดการได้ดี การวางตัวของนางเอกไม่ได้ทำให้เธอดูเป็นคนไร้เกียรติ เพราะเมื่อรู้ใจตัวเอง เธอก็ขอถอนหมั้นทันที

ปัญหาอยู่ที่พระเอกเป็นส่วนใหญ่ และอย่างที่บอกไป ถ้านางเอกทำตัวแบบพระเอกในเล่มนี้ เราคงจะไม่อดทน เพราะครอสทั้งย้ำคิดย้ำทำ ชอบโทษตัวเองถึงความผิดในอดีต (ที่เอาเข้าจริง เราก็ไม่ได้เห็นว่าเขาทำอะไรผิดร้ายแรง) แถมเรายังไม่ค่อยรู้ถึง ความยิ่งใหญ่ในอำนาจที่เขามีตามที่หนังสือบรรยายเอาไว้ เพราะเมื่อถูกบีบ ครอสก็ยอมแพ้ง่ายนัก ถึงจะบอกว่า เขาทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องนางเอก แต่มันก็ทำให้ดูเขาอ่อนแอ

แต่อย่างที่บอกค่ะ ไม่สำคัญเลย นางเอกได้ใจเรามาก ๆ

แล้วก็ต้องพูดถึงบรรดาตัวประกอบ (ไม่ได้เด่นขนาดเรียกว่าเป็นตัวละครรองได้) มีน่าสนใจหลายตัวมาก แต่ที่เด่นสุด แล้วเราว่ามีแววยิ่งไปกว่าพระเอกเสียอีกก็คือ คู่หมั้นของนางเอก อยากให้คนแต่งเขียนเรื่องของเขาออกมา เป็นเรื่องสั้นก็ยังดี (แม้ว่าจะมีบทสรุปเรื่องของเขาแล้วในเล่มนี้) แต่ผู้ชายคนนี้เป็นตัวประกอบที่ขโมยซีนสุด ๆ

สรุปเรื่องนี้สนุกสมกับที่เรารอคอย (เป็นหนึ่งในเรื่องที่อยากอ่านมากที่สุดเล่มนึง) แม้จะมีพล็อต และทิศทางการดำเนินเรื่อง (ที่บางครั้ง) ไม่ได้เป็นไปตามแบบที่เราชอบ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้เรามีสามชั่วโมง (ที่ใช้อ่าน) ที่มีความสนุกมากที่สุดเล่มนึงในปีนี้



View all my reviews

Review: No Good Duke Goes Unpunished


No Good Duke Goes Unpunished
No Good Duke Goes Unpunished by Sarah MacLean

My rating: 3 of 5 stars



เป็นหนังสือเล่มแรกที่หยิบมาอ่าน (แบบหยิบจริง ๆ ไม่ได้อ่านจากคินเดล) ในรอบหนึ่งเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา (เนื่องจากย้ายหนังสือ และจัดชั้นหนังสือแบบมาราธอน ทุกอย่างลงลังหมด ต้องอ่านหนังสือจากคินเดลเท่านั้น)

ไม่รู้ว่าเป็นมนต์เสน่ห์ของพรินต์บุ๊ค หรือเป็นเพราะตัวเรื่องเองนะคะ ทำให้ทั้งที่ตอนต้นเรื่อง ไม่ชอบนางเอกมาก ๆ เราก็อ่านต่อไปอย่างไม่รู้สึกสักนิดเดียวเลยว่า ต้องวาง กลับอ่านติดหนึบ ในใจก็ด่านางเอกไป แช่งนางเอกไป

จนประมาณกลาง ๆ เรื่อง เราก็เริ่มใจอ่อนให้กับเธอ พอ ๆ กับที่พระเอกรู้สึก กระนั้นคงบอกไม่ได้ว่า หลงรักเหมือนที่พระเอกรักตอนท้ายเรื่องนะคะ แต่โดยรวม ด้วยพล็อตที่เห็น คาแร็คเตอร์นางเอกที่ถูกวางมาแบบให้คนอ่านไม่ชอบแต่ต้น เราว่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ

เรื่องนี้เป็นเล่มสามในชุด The Rules of Scoundrels เรื่องราวของเทมเพิล ดยุคผู้ร่วงหล่นจากสังคมผู้ดี เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรฆ่าว่าที่แม่เลี้ยงของตัวเอง จากชายหนุ่มผู้มีทุกอย่างรอคอยอยู่ตรงหน้า เทมเพิลสูญเสียทุกอย่าง ต้องใช้ชีวิตด้วยชื่อเสียงที่เสียหาย แต่สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืนได้ และกลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในสังคมอีกขั้วหนึ่ง

ในฐานะหนึ่งในเจ้าของบ่อนการพนันที่หรูหราที่สุดในลอนดอน เทมเพิลมีทุกอย่างที่ดยุคควรจะมี ยกเว้นชื่อเสียง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงเป็นฆาตกร และนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ เทมเพิลจำเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไม่ได้เลย

ดังนั้นเมื่อหญิงสาวที่ควรจะตายไปแล้วหวนกลับเข้ามาในชีวิต มารา โลว์ใช้ความจริงที่ว่า เธอยังมีชีวิตอยู่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อให้เขายกหนี้สินของน้องชายให้ แต่ไม่มีเป็นอย่างที่เห็น เมื่อชัดเจนว่า มาราเองก็มีความลับซ่อนอยู่เช่นกัน

เห็นได้ชัดถึงเหตุผลที่เราไม่ชอบนางเอกนะคะ เธอคือต้นเหตุที่ทำลายชีวิตของพระเอก และช่วงต้นเรื่องเราไม่รู้สึกถึงความสำนึกผิดของเธอเท่าที่ควร และเราก็ไม่เห็น "เหตุผล" ที่จะใช้อธิบายการกระทำอันเลวร้ายของเธอได้ และนั่นทำให้เราใช้เวลาช่วงต้นเรื่องเกลียดนางเอกแบบมากมาย

แต่เนื้อเรื่องก็น่าติดตามแบบวางไม่ลง เราอ่านลื่นไหลสนุกสนานมาก ๆ และทำให้เราเกิดความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองกลาย ๆ เพราะใจนึงก็ยังโกรธนางเอก (ที่ทำลายชีวิตพระเอก) แต่ในขณะเดียวกันยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบเธอ ชอบความแข็งแกร่ง การที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค หรืออะไรก็ตามที่ขวางทางเธออยู่ ทำให้ในแง่ของคาแร็คเตอร์ของมาราอย่างเดียว เราชอบเธอมาก ๆ แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของเธอที่ส่งผลต่อผู้บริสุทธิ์ เราก็สองจิตสองใจอยู่

สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้ก็คือ การที่คนแต่งไม่ทำให้มารากลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ธีมของเรื่องเป็นการให้อภัยมากกว่า และจุดนี้เองที่ทำให้เรายอมรับตอนจบของเรื่องได้ ยอมรับได้ว่า เทมเพิลให้อภัย และหลงรักผู้หญิงคนนี้จริง ๆ

และทำให้เรายอมรับมาราได้เช่นกัน (จุดนี้เรารู้สึกเลยนะคะว่า เราไม่เป็นกลางกับคาแร็คเตอร์ผู้หญิงในหนังสือ คือถ้าพระเอกเป็นคนทำ เราน่าจะปล่อยวางได้ง่ายกว่านี้ แต่เมื่อเป็นนางเอกที่เป็นคนทำ เรายึดติดกับความโกรธ และไม่ชอบเธอไปเกือบตลอดทั้งเล่ม

โดยรวมเล่มนี้เป็นอีกเล่มนึงที่น่าอ่านมาก ๆ และทำให้หนังสือชุดนี้ของซาราห์ แม็คคลีนกลายเป็นหนังสือไม่กี่ชุดที่ถือว่า สนุกทั้งชุด (กระนั้นเราก็ยังรักเล่มแรกในชุด A Rogue by Any Other Name มากที่สุดอยู่)

บอกตามตรงว่า อ่านเล่มนี้จบ และพบความลับของเชส เราเกิดอาการอยากกลับไปอ่านเล่มหนึ่งและสองใหม่อีกรอบเลยค่ะ



View all my reviews

Thursday, November 7, 2013

Review: Lick


Lick
Lick by Kylie Scott

My rating: 4 of 5 stars



ก่อนจะหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เราก็เตรียมทำใจไว้เลยนะคะว่า เล่มนี้คงจะอาภัพ เพราะเราอ่านหลังจากอ่านเรื่องชุด Consequence ซึ่งเราอ่านสนุกชนิดวางไม่ลง แถมทำอารมณ์เราติดกับพล็อตเรื่อง (ที่ค่อนข้างซับซ้อน) ของเรื่องชุดนั้นแบบมาก ๆ ทุกครั้งที่เรารู้สึกแบบนี้กับหนังสือเล่มไหน หนังสือเล่มถัดไปที่เราหยิบมาอ่านก็จะมีกรรมค่ะ เพราะเราจะเกิดอาการเมาค้าง สมองไม่ค่อยทำงาน อ่านไปแบบไม่มีสติมากมายนัก ลงเอยด้วยการรู้สึก "เฉย" มาก ๆ กับเล่มที่อ่านต่อมา

เราเลือกเล่มนี้มาอ่าน เพราะพล็อตเรื่องง่าย ๆ เรื่องราวของเอฟเวลีน หญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาวันนึง หลังจากฉลองงานวันเกิดครบรอบยี่สิบเอ็ดปีในลาสเวกัส เพื่อพบว่าตัวเองแต่งงาน ค่ำคืนที่เอฟจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ที่วุ่นวายยุ่งยากก็คือ สามีของเธอไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่างหาก เขาคือเดวิด เฟนริส นักดนตรีเพลงร็อคชื่อดัง การแต่งงานที่ทำให้เอฟกลายเป็นหัวข้อข่าว และเป้าหมายของนักข่าวทุกคนในประเทศ พร้อมกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เรื่องนี้เป็นแนว New Adult ที่รวมเอาพล็อตสูตรสำเร็จหลายอย่างเข้ามาด้วยกัน พระเอกที่เป็นร็อคสตาร์ นางเอกที่เป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยที่กำลังค้นหาตัวเอง เราไม่คาดหวังอะไรมากมายกับการอ่านเรื่องนี้

แต่ผิดคาดค่ะ ขอบอกตรง ๆ ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกดีมาก ๆ กับเรื่องแนว New Adult แม้ว่าตอนที่เราอ่าน จะไม่ได้รู้สึกว่า มันเป็นแนว New Adult แต่อย่างใด

สำหรับเราแล้วคิดว่า เนื้อแท้ของเรื่องนี้ก็คือ แนวเรื่องของฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นส์ เรื่องราวของนางซินที่ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอไม่เคยคาดฝันว่าจะมีโอกาส เอฟเวอลีนเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตย์ที่ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้สวยงาม หรือหรูหรา แต่ชั่วข้ามคืน ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป เธอกลายเป็นภรรยาของสมาชิกวงสเตจไดว์ วงดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นหญิงสาวที่ทุกคนต้องอิจฉา

เหตุผลหลักที่เรื่องนี้เวิร์คมาก ๆ สำหรับเราก็คือ คาแร็คเตอร์ของเอฟเวอลีน เพราะมันตอบคำถามสำคัญที่สุดของพล็อตเรื่องในเล่มนี้ได้ ทำไมเดวิดถึงได้เลือกเธอ อย่างที่บอกเอฟไม่ได้สวยเลิศเลอ ไม่ได้ฉลาดมากมาย การพบกันแค่คืนเดียว แถมเป็นค่ำคืนที่เธอจำไม่ได้อีกต่างหาก อะไรทำให้นักดนตรีชื่อดังและร่ำรวยอย่างเดวิดตกลงปลงใจเข้าพิธีวิวาห์กับเธอ พล็อตมันเหลือเชื่อค่ะ แต่เราอ่านเล่มนี้แบบเชื่อสนิทใจเลย เพราะเรามองเห็นเหตุผลที่เดวิดเลือกเธอ ตัวตนของเอฟเวอลีนคือสิ่งที่สำคัญมาก และคนแต่งก็ถ่ายทอดมันให้เราเห็นได้ชัด

นั่นเพราะเดวิดแสวงหาความธรรมดา ความจริงใจ และซื่อสัตย์ ซึ่งนี่คือคุณสมบัติที่สำคัญของนางเอก ตลอดทั้งเรื่องเธอแสดงคุณลักษณะเหล่านี้ออกมาตลอด และมันก็ทำให้เธอแตกต่าง และโดดเด่นเหนือหญิงสาวคนอื่นที่อาจจะสวยกว่า มีเสน่ห์กว่า

เราอ่านแนว New Adult มาหลายเรื่องนะคะ เกือบทุกเล่มจะมีอาการรำคาญนางเอกพระเอกที่คร่ำครวญเรื่องมากเกินเหตุ แต่เล่มนี้เราไม่รู้สึกแบบนั้นเลย เราชอบตัวตนของนางเอกมาก ๆ ในขณะที่พระเอกก็อยู่ในปริมาณที่กำลังพอดี ไม่ได้มีด้านมืด หรือภูมิหลังรันทด หรือเป็นแบดบอยมากมายอะไร

อย่างที่บอกล่ะค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้ว นึกถึงนิยายพาฝันของเพรสเซ่นมากกว่า แต่กระนั้นส่วนที่เป็น New Adult ก็สมจริงนะคะ เราคิดว่า คนแต่งเขียนคาแร็คเตอร์เหมาะกับช่วงอายุของพวกเขา (นางเอกอายุยี่สิบเอ็ด พระเอกยี่สิบหก) พฤติกรรม ความคิด อารมณ์ก็ดูตรงช่วงอายุดี และที่สำคัญไม่ได้มีพฤติกรรมน่ารำคาญหลาย ๆ ของตัวเอกเรื่องแนวนี้ (ประชดเอาแต่ใจ เอาอดีตมาเป็นข้ออ้างในการทำพฤติกรรมที่ทำลายตัวเอง)

เล่มนี้สวยงามตรงความราบเรียบของพล็อต ไม่ได้สร้างสรร ไม่ต้องคิดมาก ติดน้ำเน่าก็เยอะ แต่ตัวละครเป็นอะไรที่งดงามสำหรับเรา เราชอบนางเอก ทำให้การอ่านมีความสุข เพราะเธอเป็นคนเล่าเรื่อง การมองโลกของเธอ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และความรู้สึก พฤติกรรมที่เราเข้าใจได้ (เราพบว่าตัวเองมีปัญหาหลายครั้งในการทำความเข้าใจพฤติกรรมวัยรุ่นอเมริกัน แต่อาจจะเพราะว่า คาแร็คเตอร์ของเอฟที่วางมา เธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เป็นเด็กดี ทำให้เราพอสื่อสารกับเธอได้มากหน่อย) เรื่องราวง่าย ๆ แต่บีบหัวใจ

คะแนนที่ 83

ป.ล. เรื่องนี้ออกขายกับสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ในออสเตรเลีย (นักเขียนเป็นคนออสเตรเลีย) แต่เรื่องนี้ถือว่าดังไมน้อย ทำให้ตอนนี้มีสนพ.ซื้อลิขสิทธิ์ไปพิมพ์ขายเรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่ชอบพรินต์บุ๊คก็อดใจรอหน่อย ปีหน้าพรินต์บุ๊คก็น่าจะออกขายแล้วค่ะ (พร้อม ๆ กับเล่มสองในชุด ซึ่งเป็นเรื่องของสมาชิกคนอื่น ๆ ในวงนี้)



View all my reviews

Tuesday, November 5, 2013

Review: Smart, Sexy and Secretive


Smart, Sexy and Secretive
Smart, Sexy and Secretive by Tammy Falkner

My rating: 3 of 5 stars



เตือนเลยค่ะว่า เราเขียนรีวิวเรื่องนี้แบบสปอยล์เหตุการณ์ของเล่มแรกนะคะ สำหรับคนที่คิดจะอ่าน ขอแนะนำให้หยุดอ่านรีวิวตรงนี้เลยค่ะ อันที่จริงเราแนะนำว่า อย่าอ่านกระทั่งคำโปรยของเล่มนี้ด้วยซ้ำ เพราะมันสปอยล์มาก ๆ

หลังจากเอมิลีเลือกที่จะกลับไปหาครอบครัวที่ร่ำรวยของเธอ เพื่อต่อรองให้บิดาออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับพี่ชายของโลแกน ในที่สุดเธอก็ได้กลับมานิวยอร์คเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และพบกับโลแกนอีกครั้ง

และแม้ทั้งคู่จะแยกจากกันไปโดยไม่มีคำอธิบาย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ประสานกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความไม่เห็นของชอบของผู้เป็นบิดาของเอมิลี ท่ามกลางความแตกต่างกันทางด้านฐานะ ทั้งคู่เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรมาแยกพวกเขาออกจากกันได้

ส่วนที่เราชอบในเล่มนี้ก็ยังคล้ายคลึงกับเล่มแรกค่ะ เราชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลแกนและพีน้องของเขา เราชอบคาแร็คเตอร์ของเอมิลี เธอไม่ได้ทำตัวงี่เง่า ยอมไปตามคำสั่งของพ่อที่วางแผนแยกเธอออกห่างจากโลแกน ในแง่ของตัวละครแล้ว พวกเขายังเป็นคนคนเดิมที่เราชอบอยู่

แต่พล็อตเรื่องของเล่มนี้ค่อนข้างอ่อนมาก ๆ เมื่อเทียบกับเล่มแรก (ที่ก็ไม่ใช่ว่า พล็อตจะแข็งแรงอะไร) เล่มนี้แทบไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย เรื่องราวส่วนใหญ่ใช้ไปกับความสัมพันธ์ของเอมิลี และโลแกน แต่เมื่อถึงจุดนี้ในเรื่อง ทั้งคู่บอกรัก และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่มีอะไรมาแยกพวกเขาออกจากกันได้ เราชื่นชอบคนแต่งตรงที่ไม่ได้พยายามใช้พล็อตความเข้าใจผิด หรือแยกคาแร็คเตอร์ออกจากกันเพื่อสร้างแรงบีบให้กับคนอ่าน แต่การที่พวกเขารู้ใจตัวเอง และรักกันมากขนาดนั้น ก็ทำให้แทบจะไม่เหลือประเด็นอะไรให้เล่นเท่าไหรนัก

เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนการที่โลแกนเอาชนะใจพ่อของเอมิลี เพื่อให้เห็นว่า เขาคือคนที่เหมาะสมกับเธอ แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวจน ๆ ในขณะที่เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ปัญหาก็คือ การวางคาแร็คเตอร์พ่อของเอมิลีนั้นทำให้เราคิดว่า ไม่มีอะไรที่จะเอาชนะใจเขาได้

คาแร็คเตอร์พ่อของเอมิลีเป็นจุดอ่อนที่สุดของเรื่อง เราคิดว่า เราเข้าใจเขา แล้วเราก็ไม่เข้าใจ เขาคือเหตุผลที่เอมิลีหนีออกจากบ้าน เขาดูถูกลูกสาวที่เป็นโรคดิสเล็กเซีย (ทำให้อ่านหนังสือไม่ออก) จนถึงกับพูดว่า เธอไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากแต่งงานกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เขาพูดถึงลูกสาวของตัวเองแบบนั้นกับโลแกนในเล่มนี้ ซึ่งแสดงว่า การหนีออกจากบ้านของเธอ ไม่ได้ทำให้เขาเรียนรู้อะไรแม้แตนิดเดียว เขาไม่เห็นคุณค่าของเธอ สำหรับเราแล้ว นี่ไม่ใช่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงได้เพียงชั่วข้ามวัน แต่มันก็ดันเกิดขึ้น เพียงแค่เขาไปร่วมงานแสดงดนตรีของเอมิลีที่จัดโดยมหาวิทยาลัย มันดรามาเกินเหตุ และไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก เอมิลีถูกจูลิยาร์ดรับเข้าเรียนนะคะ ถ้าเธอไม่ได้มีความสามารถ ก็คงเข้าไม่ได้ แต่พ่อของเธอทำเหมือนไม่รู้จักจูลิยาร์ด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่เขาทำราวกับอึ้งที่เห็นลูกสาวมีความสามารถทางดนตรีขนาดนี้ มากขนาดทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอไปได้

มันไม่น่าเชื่ออย่างรุนแรง


เราคิดว่า ส่วนหนึ่งที่เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรก ก็เพราะเวลาที่เรื่องให้กับพี่น้องตระกูลรีดน้อยไปหน่อย เราชอบ (ย้ำว่า ชอบมาก ๆ) กับการได้เห็นพี่น้องพูดคุยกัน บทสนทนาของพวกเขาเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่อง

โดยรวมชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรก หลายอย่างดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่เราชอบเล่มนี้มากกว่าเรื่องแนว New Adult หลายเล่มที่อ่าน เพราะเล่มนี้พระเอกนางเอกไม่ได้อยู่ตามลำพัง และไม่ได้เป็นคนที่โดนสังคมทอดทิ้ง พวกเขามีคนที่ค่อยให้กำลังใจ และช่วยพวกเขา แม้ว่าหลายคนในนั้น พ่อของนางเอก รวมทั้งแม่ที่ในเรื่องดูจะเป็นคนที่มีความคิดมาก ๆ และจัดการผู้เป็นพ่อได้ ปัญหาคือ ถ้าเธอจัดการได้ ทำไมเอมิลีหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่แรก ดูจะไม่น่าเชื่อว่าจะทำแบบนั้น

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Tall, Tatted and Tempting


Tall, Tatted and Tempting
Tall, Tatted and Tempting by Tammy Falkner

My rating: 4 of 5 stars



เรากำลังอยู่ในภาวะที่พยายามหาเรื่องแนว New Adult ที่โดนใจอยู่คะ แต่หลังจากอ่านไปไม่กี่เล่ม (ย้ำว่าไม่กี่เล่มจริง ๆ ไม่ใช่เซียนแนวนี้เท่าไหรนัก) ส่วนใหญ่ก็ผิดหวัง เพราะพล็อตเรื่องเป็นสูตรมาก ๆ ตัวละครบางครั้งก็เด็กเหลือเกิน ขนาดหางานของนักเขียนชื่อดัง ๆ ประมาณว่าติดอันดับขายดีมาอ่านก็แล้ว ก็ยังไม่ถึงกับเจอเล่มไหนที่ถูกใจเท่าไหร

เราเลือกเรื่องนี้มาอ่าน เพราะชอบฝีมือการเขียนของนักเขียนค่ะ เธอคือครึ่งหนึ่งของนามปากกาลิเดีย แดร์ และในงานเขียนนามปากกาของตัวเอง ก็ออกเรื่องแนวพารานอมอล (ที่ไม่ใช่ New Adult) ออกมาได้สนุกไม่น้อย เราชอบการเขียนของเธอนะคะ เราว่า เธอเขียนเรื่องกุ๊กกิ๊กน่ารักได้ดี ทำให้ดูลาดเลาแล้ว น่าจะเขียนเรื่องแนว New Adult ได้ดีเช่นกัน

แล้วเราก็คิดว่า ตัวเองคิดถูกนะคะ เรื่องนี้ไม่ได้สดใหม่ มีพล็อตที่แตกต่าง ส่วนของพล็อตค่อนข้างเป็นสูตรอยู่ไม่น้อย แต่การเขียนทำให้เรื่องน่าติดตามอ่านได้ตลอด นอกจากนี้โทนของเรื่องก็ไม่มืดจนเกินไป อ่านแล้วมีความสุข และมีความหวังในเพื่อนมนุษย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีหลายส่วนในเรื่องมาก ๆ ที่ออกแนว Too good to be true แต่เราโอเคกับมันค่ะ

โลแกน รีดหูหนวกตั้งแต่อายุสิบสามปี และหลังจากโดนเพื่อนล้อเกี่ยวกับเสียงพูดที่อาจจะฟังดูประหลาด เขาก็ตัดสินใจไม่พูดอีกเลยนับจากนั้น การไม่พูดของเขาทำให้คนในครอบครัวเข้าใจผิด คิดว่าเขากลายเป็นใบ้ไปด้วย ทำให้โลแกนอยู่ในโลกแห่งความเงียบ และสื่อสารผ่านภาษามือ และการเขียนตัวหนังสือเพื่อสื่อสารกับคนทั่วไป

นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจนกระทั่งเขาได้พบกับเอมิลี (ที่ในเล่มนี้เขารู้จักเธอในชื่อว่า คิท) หญิงสาวที่เขาปิ๊งตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเดินเข้ามาในร้านสักของครอบครัว เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า สนใจเธอ แต่โลแกนไม่เคยมีความสัมพันธ์อย่างโรแมนติกกับผู้หญิงคนไหน มันเป็นแค่เซ็กส์สำหรับเขา การแสดงออกนั้นทำให้เอมิลีโกรธจนชกหน้า จากนั้นเธอก็จากไป

สถานการณ์ของเอมิลีไม่ค่อยดีนัก หลังจากหนีออกจากบ้าน เธอใช้ชีวิตตามลำพัง และเอาตัวรอดด้วยการเล่นกีตาร์ขอบริจาคเงินตามสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อโลแกนมาพบกับเธออีกครั้ง เอมิลีกำลังมาถึงทางตัน เงินเก็บของเธอถูกขโมย บ้านพักคนจรจัดก็เต็ม สถานการณ์นำให้เธอไปพักทีบ้านของเขา และได้พบกับพี่น้องตระกูลรีด

พล็อตเรื่องน้ำเน่าประมาณนึงค่ะ ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร และพึ่งพาองค์ประกอบของความบังเอิญเยอะมาก นิวยอร์คไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ เราไม่เชื่อว่า อยู่ดี ๆ โลแกนจะเดินถนนไปเจอกับเอมิลี และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอ ซึ่งช่วยเธอไว้กับการใช้ชีวิตบนถนนในนิวยอร์คเป็นเวลาหลายเดือน จะทำให้เธอยินยอมไปพักที่บ้านของผู้ชายห้าคน (โลแกนอุ้มเธอขึ้นไปที่อพาทเมนต์ของเขา แต่เราไม่คิดว่า เอมิลีจะตัดสินใจอยู่ต่อ ถ้าเธอแกร่งอย่างที่เรื่องปูพื้นวางเอาไว้)

แต่ความชอบที่เรามีให้กับเรื่องนี้มีมากกว่าค่ะ เราชอบคาแร็คเตอร์ในเรื่องมาก ๆ ชอบความคิดของพวกเขา และแม้จะมีหลายองค์ประกอบที่เป็นสูตรสำเร็จของแนว New Adult เรื่องนี้ก็มีความแตกต่างที่มากพอ

ในแง่นึงภูมิหลังของนางเอกทำให้เราแปลกใจ แม้คิดย้อนกลับไปแล้ว จะไม่สมจริงอย่างรุนแรง การที่เอมิลีเป็นลูกสาวเศรษฐีพันล้าน แต่หนีออกจากบ้านเพราะพ่อบังคับให้แต่งงาน ก่อนที่ควรจริงข้อนี้จะเปิดเผยออกมา เราอ่านแล้วนึกว่า นางเอกจะต้องโดนคนที่บ้านทำร้ายทางเพศแน่ ๆ แต่เมื่อเรื่องพลิกมาเป็นอย่างนี้ เราก็เลยชอบ เพราะแตกต่าง แต่ไม่สมจริง

ส่วนที่ทำให้เราชอบเรื่องนี้มาก ๆ ก็คือ พี่น้องตระกูลรีด ไม่ใช่ในแง่ของการรูปลักษณ์ หรือความเท่ห์ของพวกเขานะคะ (ซึ่งมีมากอยู่แล้ว เพราะคนแต่งจะเขียนเรื่องพวกเขาเป็นซีรีย์) แต่เป็นปฏิสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งห้าคน บทสนทนาของทั้งหมดดูสมจริง น่าอ่าน สำหรับเรานี่คือไฮไลท์ของเรื่องเลย เราเชื่อความสัมพันธ์ของทั้งห้าว่าเป็นจริง

นอกจากนี้เรายังชอบการที่ทั้งหมดอ้าแขนรับเอมิลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จุดเริ่มต้นของการที่เธอมาถึงบ้านของพวกเขาจะดูเหลือเชื่อ แต่การที่เธอตกลงใจอยู่ต่อกับพวกเขาเป็นสิ่งที่เชื่อได้ เราเข้าใจความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างชายหนุ่มทั้งห้าคน และเอมิลี และนั่นทำให้เราเชื่อการเสียสละของเธอตอนท้ายเรื่อง

เรื่องนี้เป็นหนังสือที่เราต้องใช้คำว่า อ่านแล้วมีความสุข ซึ่งเราไม่ค่อยรู้สึกอย่างนี้เท่าไหรกับการอ่านเรื่องแนว New Adult พล็อตเรื่องบีบหัวใจในระดับนึง เมือมีประเด็นอาการป่วยของพี่ชายของโลแกนเข้ามาเกี่ยว แต่ความผูกพันระหว่างพี่น้อง การที่พวกเขาเปิดใจยอมรับเอมิลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมาก ๆ ค่ะ

โทนของเรื่องไม่ถึงกับเครียด และประเด็นที่เราคิดว่า จะร้ายแรงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้

สรุปก็คงต้องบอกว่า เล่มนี้มีหลายประเด็นที่ไม่สมจริง และเหลือเชื่อ แต่เรามองข้ามมันไปได้ค่ะ

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Monday, November 4, 2013

Review: Convicted


Convicted
Convicted by Aleatha Romig

My rating: 3 of 5 stars



แล้วก็มาถึงเล่มสามและเล่มสุดท้ายในชุด เราเข้าใจว่า คนแต่งจะเขียนเรื่องในชุดนี้ออกมาอีกสามเล่ม แต่นั่นจะเป็นเรื่องราวเดียวกับสามเล่มแรก แต่เล่าในมุมมองของโทนี่ และเราขอบอกว่า อยากอ่านมาก เพราะเราอยากรู้ว่า มันจะเปลี่ยนความคิดที่เรามีต่อเขาได้ไหม เพราะสำหรับเราโทนี่ถือเป็นตัวละครทีซับซ้อนมากที่สุดตัวนึงที่เราอ่านเจอในหน้าหนังสือ

เช่นเดียวกับเล่มสองค่ะ โปรดหยุดอ่านรีวิวตรงนี้ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านสองเล่มแรก เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์สองเล่มแรก

หลังจากถูกปั่นหัวจนหลงเชื่อ แคลร์ก็ทำตามแผนการที่ตัวร้ายวางเอาไว้ เธอหนีไปจากโทนี่เพื่อปกป้องลูกในท้อง หลังจากได้รู้ถึงคำสาบานที่เขาให้ไว้กับปู่ของเขา (ที่จะแก้แค้นกับทุกคนที่ทำให้ปู่ของเขาเข้าคุก รวมไปถึงชั้นลูกและหลาน) แต่โทนี่ไม่ใช่คนที่แคลร์ต้องหวาดกลัว เขาไม่ใช่คนเดียวที่ให้คำสาบานเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้น โทนี่เองก็เป็นลูกของคนที่ทำให้ปู่ของเขาเข้าคุก (เพราะพ่อของเขาก็ให้การในชั้นศาลเพื่อปรักปรัมพ่อของตัวเองเช่นกัน)

ศัตรูของเธอคือคนที่เธอไม่เคยคาดคิด

แต่กว่าจะรู้ความจริง มันก็สายเกินไปแล้ว แคลร์หนีจากไป ทิ้งความยุ่งยากทั้งหลายไว้เบื้องหลัง หลักประกันที่เธอสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อรองกับโทนีถูกนำมาใช้ เพราะการหายตัวไปเฉย ๆ ของเธอ ทำให้ทุกคนคิดว่า นี่คือการกระทำของเขา

เรายอมรับนะคะว่า อ่านด้วยความสะใจมาก ๆ ถือว่า นี่เป็นฉากที่เรารอคอย แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถูกเล่าผ่านแคลร์เป็นหลัก (เรื่องไม่ได้ใช้คำว่า ฉันนะคะ แต่ฉากส่วนใหญ่เล่าผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ) ทำให้เราก็ยังรู้สึกว่า ความทุกข์ที่โทนี่ได้รับมันยังน้อยเกินไป (และนั่นทำให้เรารอคอยหนังสือ Companion ของเล่มนี้ที่จะเล่าเรื่องผ่านสายตาของเขา)

การหายตัวไปของแคลร์ทำให้โทนี่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ และหลังจากเหตุการณ์อันซับซ้อน โทนี่ก็หายไปอีกคน เป้าหมายของเขาก็คือ การเดินทางไปเจนีวา เพื่อเบิกเงินที่เขาซ่อนเอาไว้ที่นั่น เพียงเพื่อจะพบว่า แคลร์ได้ถอนเงินไปหมดแล้ว ที่ซึ่งเขาได้พบเบาะแสเกี่ยวกับแคลร์ เบาะแสที่นำเขาไปพบกับเธอในที่สุด

ในจำนวนสามเล่มในชุดนี้ เรายอมรับว่า เล่มนี้น่าติดตามน้อยที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน เล่มนี้มีความเป็นโรแมนซ์มากที่สุดเช่นกัน หลังจากผ่านอะไรต่ออะไรมาด้วยกันมากมาย โทนี่และแคลร์ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง และการยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อย่างที่เราบอกไปนะคะ เราไม่คิดว่า จะมีอะไรทำให้เรารู้สึกว่า สามารถไถ่บาปให้กับการกระทำของโทนี่ได้ เราก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจแนวคิดที่คนแต่งนำเสนอ และการยอมรับของแคลร์

คนเราเปลี่ยนแปลงได้ และนี่คือเหตุผลเดียวที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเล่มนี้

เราชอบที่คนแต่งไม่ได้ทำให้การกระทำของโทนี่กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม หรือพยายามย้อมสีทำให้ดูมีดีมากกว่าทีมันเป็น เขาเป็นคนเลว และทำหลายอย่างที่ผิดพลาดมากมาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ในสองเล่มแรก) ทำให้เขาเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นด้วยเพราะคนเพียงคนเดียว

และนั่นคือ แคลร์

เราเป็นนักอ่านที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ และนั่นทำให้เรายอมรับหลักการนี้ได้ เราเชื่อว่า ความรักเปลี่ยนแปลงคนได้ และมันเปลี่ยนแปลงโทนี่

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้อยากให้เขาต้องชดใช้กรรมในการกระทำของเขา (เราเชื่อในหลักการของศาสนาพุทธเช่นกัน ความดีที่เกิดขึ้นภายหลังลบล้างความเลวที่ก่อขึ้นไม่ได้)

ดังนั้นเรายอมรับบทสรุปของเรื่องในชุดนี้ได้ แม้จะต้องบอกตามตรงว่า เหตุการณ์ในเล่มนี้ไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับที่เรารู้สึกตอนอ่านสองเล่มแก เนื่องจากทั้งโทนีและแคลร์ ซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์หลักถูกจำกัดขอบเขตอยู่บนเกาะร้าง และคนที่สืบสวนและตามเรื่องกลายเป็นตัวละครรองตัวอื่นไป ที่สำคัญเล่มนี้เปิดเผยความจริงทุกอย่างที่ถูกซ่อนออกมา จึงทำให้มีลักษณะเป็นเล่มที่ "เฉลย" ทุกอย่าง ปริศนาไม่ได้มีอีกต่อไป

กระนั้นเนื่องจากเราอ่านหนังสือทั้งสามเล่มติดต่อกัน เราจึงมองเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องราวเดียวกัน เล่มแรกคือบทนำเปิดเรื่องที่แนะนำตัวละคร เล่มสองเข้าพล็อตหลัก และเล่มสามคือบทสรุป เมื่อคิดเช่นนี้เล่มนี้ก็ตอบโจทย์ของมันได้อย่างครบถ้วน

เราไม่ชอบวิธีการเล่าเรื่องของคนแต่งที่ตัดเหตุการณ์ระหว่างปี 2016 (บทสรุปของเรื่องนี้เล่าเกินไปในอนาคต) และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2013 (ซึ่งคือเหตุการณ์ต่อเนื่องจากตอนจบของเรื่อง Truth) เราคิดว่ามันสร้างความเมโลดรามาที่เกินความจำเป็น อันที่จริงเราคิดว่า การสรุปเรื่องโดยให้แคลร์เกิดอาการสติแตกจนหลงระหว่างโลกแห่งความจริง และจินตนาการ มันมากเกินไป สำหรับตัวละครที่ผ่านอะไรมากมายอย่างเธอ เราเชื่อว่า แคลร์ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ๆ การที่มาเล่มนี้แล้วสรุปว่า หลังจากยิงปืนแล้วเข้าใจผิดว่า ฆ่าโทนี่ถึงกับทำให้เธอประสาทหลอนไปนานถึงสองปี มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อเกินเหตุ เราเข้าใจว่าคนแต่งพยายามนำเสนอว่า แคลร์ไม่อาจมีชีวิตโดยขาดโทนี่ได้ และเขาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของเธอ (แม้เขาจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็ตาม) แต่การหาทางออกให้กับเรื่อง หรือใช้เพื่อหลอกให้คนอ่านสับสน เราว่าเป็นวิธีที่ง่ายเกินไป และเราเคารพคนแต่งมากกว่านี้ เธอมีความสามารถมากกว่านี้ กล่าวคือ เราคาดหวังมากกว่านี้

เราคิดว่า ส่วนนึงที่เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มอื่นในชุด ก็เพราะว่า บทสรุปของเรื่องเกี่ยวกับโทนี่ ที่เราคิดว่า เขามีทางออกที่ง่ายเกินไป สำหรับการกระทำทั้งหมดที่เขาทำ เขาติดคุกแค่สามปี แล้วก็ออกมา มีชีวิตที่เป็นสุขชื่นมื่นกับผู้หญิงที่เขารัก และรักเขา กับครอบครัวอย่างมีความสุข มันมีความยุติธรรมในโลกใบนี้ไหมล่ะ แต่ในอีกแง่นึงเราก็เข้าใจนะคะ ถ้าโทนี่ติดคุกนาน แคลร์ก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เธอพึ่งพาเขามากเกินไป (แต่นั่นก็เป็นสิ่งเข้าใจได้ จากการกระทำของเขาในเล่มแรก แคลร์ไม่มีวันกลับมาเป็นหญิงสาวที่ปกติอีกได้) และหากการที่โทนี่ต้องใช้กรรมให้สมกับการกระทำของเขา เท่ากับการที่แคลร์ต้องทนทุกข์ทรมาน มันก็เลือกยากเช่นกัน

เราคิดว่า เราคงจะยอมรับชะตากรรมของโทนี่ได้ดีกว่านี้ หากเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องประสบหลังจากฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง การที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้าย ต้องโดนแยกจากแคลร์และลูก ต้องเข้าไปติดคุกรับโทษ เพราะถ้าเราได้อ่านฉากเหล่านี้ จากการที่เรารู้จักโทนี่ แม้โทษจะแค่สามปี แต่ก็เป็นสามปีที่เขาสูญเสียทุกอย่างที่สำคัญกับเขา แคลร์ ลูกสาว และฉากหน้าอันเป็นภาพลักษณ์ที่เขาต้องรักษาไว้ด้วยทุกอย่าง นี่จึงเป็นการทำร้ายโทนี่ที่ดีที่สุด เราคงสะใจกว่านี้ถ้าได้อ่านฉากนั้น และคงคิดว่า เขาได้รับใช้กรรมเพียงพอแล้ว แต่เพราะเรื่องตัดจบไปหลังจากเหตุการณ์ไคลแม็กซ์ แล้วเล่าย้อนเป็นคำพูดเพียงอย่างเดียว เราจึงรู้สึกว่า หลายอย่างขาดหายไป


แต่ถึงเราจะวิจารณ์ทางออกที่คนแต่งใช้เกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ เราก็ต้องบอกว่า เราชอบบทสรุปของเรื่อง หัวใจสีชมพูที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ก็ยังเอาชนะได้ทุกอย่าง เราเลือกตอนจบแบบในเล่มนี้ มากกว่าตอนจบที่สมจริงและควรจะเป็น

คะแนนที่ 73

โดยภาพรวมของชุดแล้ว เราอยากให้ลองอ่านกันดูนะคะ นี่เป็นหนังสือที่สนุกและน่าติดตามมาก ๆ อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ใช่โรแมนซ์ แต่เราคิดว่า น่าสนใจสำหรับแฟนหนังสือโรแมนซ์ เราอยากรู้ว่า จะคิดกันอย่างไรกับความสัมพันธ์ระหว่างแคลร์ และโทนี่



View all my reviews

Review: Truth


Truth
Truth by Aleatha Romig

My rating: 5 of 5 stars



เล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด และเราไม่แนะนำให้เริ่มต้นอ่านที่เล่มนี้ แต่นี่คือเล่มที่ดีที่สุดในชุด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ๆ ค่ะ เพราะปกติเล่มสองในชุดจะเป็นเล่มที่อ่อนด้อยที่สุด (เนื่องจากต้องเชื่อมเหตุการณ์จากเล่มแรก และตั้งต้นไปสู่จุดจบ)

เราไม่แนะนำให้ใครที่ต้องการอ่านเรื่องชุดนี้อ่านรีวิวเล่มนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก (Consequence) ก่อน เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ในเล่มแรก

หลังจากสิบสี่เดือนในคุก แคลร์ นิโคลก็ได้รับอิสรภาพ แต่เธอรู้ว่า ชีวิตของเธอยังไม่ปลอดภัย ดังนั้นการออกจากไอโอวาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่แคลร์ตัวคนเดียว ครอบครัวของเธอก็แทบไม่เหลือใครแล้ว พี่สาวเองก็ต้องดูแลพี่เขยซึ่งก็ถูกใส่ความ (เช่นเดียวกับเธอ) จนติดคุก แม้จะได้พ้นโทษออกมา แต่ก็ติดทัณฑ์บน คนเดียวที่เธอนึกออกก็คือ คู่หมั้นของคนรักเก่า เพราะคนรักเก่าของแคลร์ก็ถูกโทนี่ฆ่าตาย นั่นทำให้ผู้หญิงทั้งสองมีจุดหมายร่วมกัน นั่นก็คือ การแก้แค้น

ถ้าเล่มแรกเป็นจุดเริ่มต้น ที่เปลี่ยนแปลงแคลร์จากหญิงสาวธรรมดา ๆ ทั่วไป จากคนที่ตกเป็นเหยื่อ เล่มนี้เราได้เห็นแคลร์ในด้านที่เข้มแข็งมากขึ้น เมื่อเธอใช้เวลาแยกออกจากห่างจากโทนี่ ผู้ชายที่ครอบงำเธอมาตลอดเวลาสองปี เล่มนี้เป็นเรื่องราวของการเผชิญหน้า หักเหลี่ยมระหว่างคนทั้งสอง ในการเอาชนะในเกมที่แคลร์เองก็ยังไม่เข้าใจเต็มที่นัก

เธอรู้ว่า มันเป็นเรื่องของการแก้แค้น ที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกลียดโทนี่ เพราะมันเป็นการแก้แค้นที่แย่มาก ปู่ของเขาคือคนผิด ในขณะที่ปู่ของแคลร์คือฝ่ายดี และทำตามหน้าที่ แต่เขาใช้มันเป็นเหตุผลในการเอาคืนครอบครัวของคนที่เกียวข้อง แต่นั่นคือทั้งหมดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เจอกับโทนี่อีกครั้ง

เราคิดว่า สิ่งที่คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ในเล่มนี้ก็คือ การทำให้เราเข้าใจ แม้เราจะไม่เลือก หรือทำอย่างที่แคลร์ทำ แต่เราเข้าใจการตัดสินใจของเธอ มันอาจจะไม่ถูกใจเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราเข้าใจ และยอมรับมัน คำพูดที่ถูกยกขึ้นมาประโยคนึง (เราจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่แปลคร่าว ๆ ได้ก็คือ) ด้านที่ตรงข้ามกับความรัก ไม่ใช่ความเกลียด หากแต่เป็นความเฉยเมย ความรักและความเกลียดเป็นอารมณ์ที่ใกล้ชิดกันมาก มันทั้งรุนแรงและหมกหมุ่น

นั่นคือส่วนที่จริงที่สุด และความรู้สึกของแคลร์ในเล่มนี้ก็เป็นเช่นนี้ อดีตระหว่างเธอและโทนี่ แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่มันก็คือบางอย่างที่ฝังรากอยู่ในตัวเธอ บุคคลที่แคลร์เป็นในปัจจุบันก็คือคนที่โทนีสร้างขึ้น นั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเราเข้าใจทางเลือกของเธอ

และมาถึงโทนี่ เราจำได้ว่า ตอนที่อ่านเล่มแรกเราโพสต์ในเฟซบุ๊คว่า ถ้าคนแต่งทำให้เรายอมรับโทนีได้ เราจะขอคารวะ เล่มนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น เรายังคงเกลียดเขา และรู้สึกว่า เขาควรจะต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อไถ่บาป แต่เราก็ไม่รู้ว่า มันจะมีวันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไถ่บาปได้ เราเชื่อว่า เมื่อเขาตาย โทนี่จะตกนรก นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะใช้กรรมที่ก่อได้ แต่ในระหว่างนี้ที่เขามีชีวิต เขาเป็นตัวละครที่โคตรทรงพลังเลย

ขนาดว่าเราเกลียดเขา เรายังแทบจะลืมหายใจเวลาอ่านฉากที่เขามีบทบาท ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับแคลร์ที่ถูกปั่นหัวมาตั้งแต่เล่มแรก เธอจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร สำหรับเราที่มองด้วยสายตาแบบรู้ดี (มองอย่างคนนอกที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่แคลร์ต้องเผชิญ) เรายังแทบไม่อาจละสายตาจากเขาได้ แล้วเราจะหวังให้แคลร์ทำได้งั้นเหรอ

เราชอบตอนจบของเรื่อง และสะใจกับชะตากรรมของโทนี่ ยกเว้นแค่ มันเกิดขึ้นจากแผนการของคนอื่น ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของแคลร์ เราคิดว่า เรื่องจะเฟอร์เฟ็คกว่านี้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่แคลร์วางแผนไว้แต่ต้น แต่ถ้าแคลร์ทำแบบนั้น เธอก็จะไม่ใช่ตัวละครที่ถูกวางเอาไว้ เราเข้าใจนะคะ แต่ก็อดหวังไม่ได้ นี่คือความขัดใจหลักของเราเกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ ก็คือ การเติบโตในคาแร็คเตอร์ของแคลร์ เรารู้สึกว่า เธอไม่เข้มแข็งอย่างที่เราหวังให้เธอเป็น แต่แม้จะคิดเช่นนั้น ก็กลับมาที่คำว่าเข้าใจอีกล่ะค่ะ เราว่าคนแต่งเลือกถูกต้องแล้วที่วางคาแร็คเตอร์ของแคลร์ให้เป็นเชนนี้ ถ้าเธอแข็งแกร่งมากกว่านี้ เธอจะไม่แคลร์ และกลายเป็นคนอื่นไป

ในแง่ความน่าติดตาม เล่มนี้ยิ่งอ่านสนุกกว่าเล่มแรกซะอีก เราอ่านแบบวางไม่ลง และนั่งอ่านในที่ทำงานแบบไม่แคร์สื่อ มันสนุกมากขนาดนั้น

คะแนนที่ 85
ป.ล. มันก็ยังคงไม่ใช่โรแมนซ์ และเรายังภาวนาให้โทนี่ต้องชดใช้กรรมกับการกระทำของเขา





View all my reviews

Review: Consequences


Consequences
Consequences by Aleatha Romig

My rating: 4 of 5 stars



นี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่เมื่ออ่านจบเรา "จำเป็น" ต้องเขียนถึง เพราะเป็นทางเดียวที่เราจะผลักดันเรื่องนี้ให้ออกไปจากสมองได้ ตอนนี้มันรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรามาก เนื่องจากเราคิดถึงเรื่องราวในชุดนี้ตลอดเวลา

ดังนั้นจึงไม่ต้องบอกนะคะว่า หนังสือที่ส่งผลต่อเราเป็นการส่วนตัวได้มากขนาดนี้ทรงพลังมากขนาดไหน

เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในหนังสือชุด Consequence ตามชื่อเรื่องของเล่มนี้เลย ในชุดมีทั้งหมดสามเล่ม (และอีกสามเล่มที่ถือเป็น Companion คือเล่าเรื่องราวเดียวกันแต่จากอีกมุมมองนึง) แต่ความจริงก็คือ ทั้งสามเล่มคือเรื่องราวต่อเนื่องกัน ดังนั้นถ้าคิดจะอ่านเล่มนี้ ก็เตรียมใจที่จะอ่านอีกสองเล่มที่เหลือด้วยนะคะ (ยกเว้นว่า พล็อตเรื่องในเล่มนี้ทำร้ายจิตใจคุณมากเกินไป จนอ่านต่อไม่ได้)

ก่อนจะเริ่มเข้าเนื้อเรื่อง คนแต่งเขียนคำเตือนคนอ่านเอาไว้ สรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่า เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ความรุนแรง การลักพาตัว การข่มขืน การทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ใครที่ไม่ชอบอ่านเรื่องราวดังกล่าว ขอให้หลีกเลี่ยงหนังสือเล่มนี้

และเราก็ยืนยันอย่างที่คำเตือนบอกนะคะ ในบรรดาสามเล่ม สำหรับเราแล้ว เล่มนี้อ่านยากที่สุด เพราะมันคือจุดเริ่มต้น คำเตือนที่บรรยายออกมาคือสิ่งที่นางเอกถูกกระทำ แม้จะไม่ได้บรรยายให้เห็นภาพ แต่ก็อนุมานได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอ

แคลร์ นิโคลฟื้นคืนสติขึ้นมาในห้องนอนอันหรูหรา ความทรงจำของเธอไม่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว กระนั้นเธอก็รู้ว่า เกิดอะไรบางอย่างที่เลวร้ายมาก ๆ ขึ้น รอยฟกช้ำบนร่างกาย ความเจ็บปวดที่อวัยวะบางส่วนย้ำเตือนเธอถึงความจริงที่ได้เกิดขึ้น เรื่องที่แย่กว่านั้นก็คือ เธอหาทางออกไม่ได้ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในห้องที่ถูกล็อคจากด้านนอก ไม่มีใครอธิบายว่า ทำไมสิ่งเลวร้ายพวกนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือ มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก

หญิงสาววัยยี่สิบหกปีที่ผันตัวเองหลังจากตกงานจากอาชีพนักพยากรณ์อากาศในสถานีโทรทัศน์แห่งนึง มาเป็นบาร์เทนเดอร์ ได้เจอกับชายหนุ่มที่มีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เธอตอบรับคำชวนไปออกเดทกับเขา ทุกอย่างดูปกติ เป็นกันเอง จนกระทั่งความทรงจำทั้งหมดวูบหายไป และเธอตื่นขึ้นมาในห้องแห่งนี้

เรื่องราวทุกอย่างนับจากนี้ก็คือ การเรียนรู้ของแคลร์ในการเอาชีวิตรอด ในการทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดดีขึ้นมาบ้าง การที่เธอต้องเรียนรู้ที่จะเล่นเกมเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของเกมที่อันตรายนี้

มันยากมาก ๆ นะคะที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์ และในขณะเดียวกันเหตุการณ์เกือบทั้งหมดในเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน นี่เป็นเรื่องราวของการเรียนรู้ ของความเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของการที่หญิงสาวผู้ถูกลักพาตัว และถูกทำร้ายเอาชนะใจคนที่จับตัวเธอไป เรื่องราวที่ดูเหมือนว่า น่าจะมีตอนจบอย่างสมหวัง แม้จะบิดเบี้ยวไปบ้าง เพียงเพื่อจะพบว่า มันมีอะไรมากกว่านั้นซ่อนอยู่

สำหรับเราที่ไม่เคยชอบเรื่องจำเลยรัก เราไม่คิดว่า ตัวเองจะชอบเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเชลยสาวที่ถูกจับ กับชายผู้ลักพาตัวเธอไป ดังนั้นเราอ่านเล่มนี้ด้วยความรู้สึกโกรธ และขยะแขยงชายคนที่ (ในที่สุด) เป็นพระเอกของเรื่อง คำเตือนที่คนแต่งเตือนเอาไว้ก่อนเริ่มต้นเรื่องเกิดขึ้นกับนางเอก และคนที่กระทำกับเธอก็คือ เขา

เรื่องนี้เป็นหนังสือที่น่าติดตามมากที่สุดเรื่องนึง ตั้งแต่เปิดหน้าแรก เราพบว่า ตัวเองไม่อาจวางลงได้ เราต้องการรู้จุดจบของการเดินทางของแคลร์ เราอยากเห็นเธอเอาชนะชายคนที่คิดว่า กดขี่เธอได้สำเร็จ เรายอมรับเลยนะคะว่า เราพลิกอ่านไปแต่ละหน้า ก็คาดหวัง และรอคอยฉากนั้น ฉากที่แคลร์จะเอาชีวิตรอดออกไปได้

ซึ่งฉากนั้นไม่เคยมาถึง ในแง่นึงเล่มนี้กลายเป็นเรื่องจำเลยรักไป เมื่อแคลร์พบว่า ตัวเองตกหลุมรักผู้จับกุมตัวเธอ แม้ในความรักเธอก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หากเธอทำผิดพลาด ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามกฎที่เขาวางเอาไว้ เรื่องแปลกก็คือ แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง เราก็ไม่อาจวางหนังสือเล่มนี้ หรือหงุดหงิดที่คนแต่งไม่ไปในทิศทางที่เราอยากเห็น นั่นก็เพราะว่า ทิศทางที่คนแต่งพาเราไป มันน่าสนใจกว่าเยอะมาก

นี่เป็นหนังสือที่เราเกลียดพระเอกมาก ๆ ไม่อยากให้คำว่าพระเอกเรียกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าแคลร์คือนางเอก โทนี่ก็คือพระเอก แม้พฤติกรรมของเขาจะไม่เหมือนพระเอกคนไหนที่เราอ่าน

นี่ไม่ใช่หนังสือโรแมนซ์

มันเป็นคำที่เราท่องในสมองตอนที่อ่านเรื่องนี้ ถ้าเราเอาส่วนความเป็นโรแมนซ์ไปจับ ความสัมพันธ์ระหว่างแคลร์และโทนี่เป็นบางสิ่งที่บิดเบี้ยว โรแมนซ์หลายเล่มที่พระเอกเริ่มต้นด้วยการข่มขืนนางเอก แต่เราไม่คิดว่า มีหนังสือโรแมนซ์เล่มไหนที่พระเอกซ้อมนางเอกจนอาการโคม่า ดังนั้นสำหรับเรานี่ไม่ใช่โรแมนซ์

ตัดประเด็นโรแมนซ์ออกไป นี่เป็นหนังสือทริลเลอร์ที่สนุกมาก การค้นหาว่าอะไรนำพาโทนีมาสู้ชีวิตของแคลร์ และจุดจบมันจะเป็นเช่นไร เป็นแรงผลักดันทำให้เราอ่านต่อเนื่องไป

อย่างที่บอกนะคะ เรื่องราวไม่ได้จบที่เล่มนี้

คะแนนที่ 80



View all my reviews

Wednesday, October 30, 2013

Review: For the Love of Magic


For the Love of Magic
For the Love of Magic by Janet Chapman

My rating: 2 of 5 stars



เราอยากอ่านเล่มนี้มากเลยนะคะ เมื่อรู้ว่า จะเป็นการเล่าเรื่องของไททัส และรานา ซึ่งเป็นราชาและราชินีแห่งอาณาจักรแอตแลนติส ถ้าอ่านแล้วงง เราก็แนะนำว่า อย่าเริ่มอ่านหนังสือชุดนี้ที่เล่มนี้เลยค่ะ ไม่เวิร์คแน่ ๆ เพราะมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าเล่มนี้

หลังจากอยู่ด้วยกันมานานแสนนาน จู่ ๆ รานาก็เก็บของและแยกออกไปอยู่ตามลำพัง นั่นทำให้ไททัสตกใจและหวาดกลัวอย่างยิ่ง หญิงสาวที่เขารักมากที่สุด และใช้ชีวิตอยู่ด้วยมาตลอดเลือกที่จะเดินจากเขาไป และเขาก็ไม่รู้เลยว่า เป็นเพราะอะไร

จริง ๆ ประเด็นนี้ทำให้เรารู้สึกว่า เรื่องน่าสนใจมาก ๆ นะคะ เราชอบเรื่องแนวนี้ ยิ่งพระนางในเรื่องอยู่ในช่วงอายุห้าหกสิบกันแล้วทั้งคู่ เราว่า มีประเด็นให้เล่นได้เยอะ แต่พอเอาเข้าจริง เป็นเพราะรานาคิดว่า ตัวเองตั้งท้อง และการท้องครั้งสุดท้าย ทำให้เธอเกือบตาย และไททัสคลั่งสติแตกไป เธอกลัวว่า ครั้งนี้จะเกิดขึ้นอีก ก็เลยแยกออกไปอยู่ตามลำพัง เพื่อจะได้หาทางทำให้เขาไม่ต้องคิดมาก และพอเอาเข้าจริง รานาก็ไม่ได้ท้อง แต่เป็นอาการหมดประจำเดือน ทำให้เรารู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้มันช่างไร้จุดหมายมาก ๆ เพราะไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย

รานาไม่ได้ย้ายออกเพราะมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ได้แยกออกเพราะอยากมีอิสระ หลังจากใช้ชีวิตมากกว่าครึ่งชีวิตในฐานะราชินีแห่งแอตแลนติส เธอแค่ย้ายออกด้วยเหตุผลประหลาด ๆ

นอกจากนี้เล่มนี้องค์ประกอบส่วนที่เป็นพารานอมอลก็เยอะมาก ซึ่งในแง่นึงถือว่าดีนะคะ เพราะทิศทางของเรื่องชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ได้น่าสนใจเอาเสียเลยน่ะค่ะ แถมเรื่องก็ค้างคา เหมือนดูหนังแล้วขึ้นเครดิตว่าจบแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบ ที่แย่ไปกว่านั้น องค์ประกอบหลายส่วนของเรื่องที่ถูกเล่าในเล่มนี้ ก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคาแร็คเตอร์หลักในเรื่อง

เราคิดว่า นี่เป็นงานที่แย่ที่สุดของเจเน็ต แชปแมนที่เราได้อ่าน แย่ในแง่มุมที่ว่า มันไม่มีอะไรเลย ไม่น่าสนใจ

คะแนนที่ 53



View all my reviews

Review: The Heart of a Hero


The Heart of a Hero
The Heart of a Hero by Janet Chapman

My rating: 2 of 5 stars



เรื่องนี้เริ่มต้นเรื่องแบบล้มเหลวมาก ทำให้เราไม่ชอบมากขนาดต้องวางหนังสือลง แล้วไปอ่านเล่มอื่นแทน เรียกว่าทำให้หงุดหงิดอารมณ์มาก ๆ แต่ด้วยเหตุว่า อยากอ่านเล่มต่อจากเล่มนี้ค่ะ ทำให้ในที่สุดก็ต้องไปหยิบมาอ่านจนได้

และก็เป็นโชคดีอีกครั้ง เพราะหลังจากอ่านใหม่ เจ้าเหตุการณ์ที่ทำให้หงุดหงิดก็ยังทำให้รู้สึกอย่างเดิมนะคะ แต่พออ่านไปก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น และยอมรับกับมันได้ นั่นเลยทำให้เราตั้งคำถามคนแต่งว่า แล้วทำไมถึงต้องเขียนให้คนอ่านเข้าใจผิดแบบนี้ด้วยล่ะ

จูเลีย แคมเบลล์ทำงานให้กับรีสอร์ทสุดหรูในเมน สถานที่ซึ่งมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น หนึ่งในนั้นก็คือ หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของรีสอร์ทไม่ใช่แค่ผู้ชายสุดฮ็อตธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเขาเติบโตในดินแดนแห่งตำนานที่หลายคนเรียกว่า แอตแลนติส แม้นิโคลัสจะไม่ใช่ชาวแอตแลนติสโดยกำเนิด แต่เขาก็ถูกเลี้ยงดูที่นั่น ถูกฝึกฝนเป็นนักรบ แต่เมื่อหน้าที่หลักซึ่งก็คือ การดูแลเจ้าหญิงแห่งแอตแลนติสเสร็จสิ้นลง (เพราะเธอได้คู่ครองไปแล้วใน Courting Carolina) นิโคลัสก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ในโลกมนุษย์ และเมื่อได้พบกับจูเลีย เขาก็รู้ว่า อยากใช้ชีวิตอยู่กับใคร

จูเลียเป็นหม้ายสาวที่หย่าขาดจากสามีที่เอาเปรียบเธอ เธอทำงานส่งเขาเรียนจบปริญญาโท ซึ่งเมื่อเรียนจบเขาก็ทิ้งเธอไปไม่พอ ยังใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงของเธออีก ด้วยการหาว่า เธอคบชู้จนเขาต้องเลิก กระนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอทำงานเก็บเงิน หวังที่จะส่งน้องสาวเรียนมหาวิทยาลัย และเริ่มทำธุรกิจที่ตัวเองต้องการ

ปัญหาที่เราเจอตอนต้นเรื่องก็คือ ตัวตนของจูเลีย เพราะครั้งแรกที่เราได้กับเธอในหน้าหนังสือ คนแต่งบรรยายเหมือนเธอเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมยังไม่มีสามัญสำนึกที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากพระเอก อ่านแล้วทำให้คิดว่า นางเอกอ่อนแอ (และน่ารำคาญ ย้ำเตือนให้เรานึกถึงคาแร็คเตอร์ของแอนนาเบล จาก Secrets of a Summer Night ซึ่งเป็นนางเอกที่เราเกลียดมากที่สุดคนนึง) แต่หลังจากอ่านต่อจากฉากนั้น เราได้เห็นจูเลียมากขึ้น การกระทำ และความคิดของเธอไม่ใช่สิ่งที่คนแต่งแสดงให้เราเห็นในฉากแรกนั้นเลย ความคิดของเราจึงเปลี่ยนแปลงไป และยอมรับเธอได้มากขึ้น ถึงกับชอบเธอเลยด้วยซ้ำ

ปัญหาที่แท้จริงของเล่มนี้ก็คือ คนแต่งไม่สามารถแยกแยะองค์ประกอบของเรื่องแนวปัจจุบัน และพารานอมอลได้ ทำให้เรื่องถูกดึงและขัดกันเอง เราชอบองค์ประกอบของเรื่องส่วนที่เป็นเรื่องแนวปัจจุบัน ออกแนว Small Town Romance เล็ก ๆ ทั้งคาแร็คเตอร์ของจูเลีย และนิโคลัส น่ารักได้ใจ การจีบกันของทั้งสองก็อ่านสนุก ความคิดสร้างสรรของจูเลียในการหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวก็ทำให้เธอเป็นคนสู้ชีวิต แต่จู่ ๆ ตอนท้ายเรื่อง กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า เราอ่านไปก็แบบ... อะไรของมัน ทำไมปนกันยุ่งแบบนี้

เรื่องส่วนที่เป็นพารานอมอล การที่นิโคลัสเป็นลูกของโอดิน อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา แล้วยังเรื่องที่เขาเดินทางข้ามเวลาไปปฏิบัติภารกิจบางอย่าง (ที่จนจบเรื่องก็ไม่ได้อธิบายแน่ชัด) ทำให้อ่านแล้วรู้สึกเรื่องกระโดดมาก ๆ ทำให้ช่วงท้ายเล่มดึงคะแนนเรื่องนี้ลงอย่างยิ่ง

เราอยากให้เจเน็ต แชปแมนกลับมาเขียนเรื่องแนวปัจจุบันปกติ ๆ ธรรมดา ๆ น่ะค่ะ หรือไม่ก็เขียนพารานอมอลเต็มตัวไปเลย ไม่ใช่แบบนี้ อ่านแล้วพล็อตเรื่องจูนกันไม่ติดค่ะ

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fury of Desire


Fury of Desire
Fury of Desire by Coreene Callahan

My rating: 3 of 5 stars



สารภาพตามตรงค่ะว่า ถ้าไม่ได้สั่งซื้อเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากจบเล่มสามในชุด (Fury of Seduction) เราคงไม่ซื้อเล่มนี้มาอ่านเป็นแน่ แต่ในเมื่อสั่งไป ก็ต้องซื้อมาค่ะ และเมื่อซื้อมาแล้ว ก็ต้องอ่าน

ซึ่งเป็นโชคดีของเราค่ะ เพราะหลังจากอ่านมาสามเล่ม เรารู้สึกมีความหวังที่สุดก็เมื่อได้อ่านเล่มนี้ ทั้งในแง่ของตัวละคร และพล็อตเรื่องในภาพรวมที่เราคิดว่า มีความน่าสนใจมากขึ้น

วิกพระเอกของเล่มนี้ ก็เหมือนตัวแทนของเซดิสต์จาก BDB ซาเร็ตจากดาร์คฮันเตอร์ นั่นคือ เขาเป็นตัวละครที่ถูกกระทำบางอย่างมาตลอดชีวิต จนทำให้เขาไม่ไว้ใจคน เก็บตัวและความรู้สึกทุกอย่างอยู่ภายใน ช่วงหนึ่งในสามเล่มแรกก่อนที่วิกจะได้เจอกับนางเอกของเขา เราคิดว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุดในเล่ม เราอ่านแล้วเข้าถึงคาแร็คเตอร์ของเขามาก ๆ จากเด็กชายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาถูกใช้ให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรให้เด็กคนไหนทำ กลายเป็นฆาตกรที่ไม่ว่าจะล้างมืออย่างไร เลือดก็ไม่อาจลบเลือนไปได้ ความทนทุกข์ที่ถูกทรมานมาแต่เด็ก ทำให้วิกมีปัญหาในการใกล้ชิดกับผู้หญิง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมังกรที่ต้องดื่มพลังเมริเดียนจากหญิงสาวชาวมนุษย์ วิธีการของวิกจึงค่อนข้างสร้างสรร และวาบหวามไม่น้อย

เรื่องเริ่มอ่อนลงเมื่อวิกได้เจอกับเจมิสัน นางเอกของเรื่อง เพราะทุกอย่างกลับเข้าไปอยู่ในสูตรของสามเล่มแรก วิกซึ่งหวาดกลัวและรังเกียจสัมผัสจากทุกคน ถลาเข้าไปหาเจมิสัน แบบทุกคน (รวมทั้งคนอ่านอย่างเรา) ต้องอึ้ง ราวกับอดีตที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดีโดยคนแต่งสูญเปล่าไปซะงั้น เราอ่านไปก็เสียดายไป เราคิดว่า เรื่องนี้มีโอกาสที่จะเป็นบางสิ่งที่มากกว่า

ในแง่ของพล็อตในภาพรวมพัฒนาไปมากขึ้น โลกเริ่มขยายออก และเล่าเหตุการณ์ในยุโรปที่ซึ่งสภาแอชการ์ดเรียกชุมนุมมังกรทั่วโลก และมีคาแร็คเตอร์ใหม่โผล่เข้ามา เขายังเป็นบางคนที่ลึกลับ แต่พยายามเหลือเกินที่จะติดต่อบาสเตียน ผู้นำของเผ่าไนท์ฟิวรีให้ได้ เราชอบพล็อตส่วนนี้ค่ะ

นอกจากนี้พล็อตในส่วนของคนร้ายก็น่าสนใจ อันที่จริงเราว่า สนุกกว่าเรื่องของพระเอกอีก ชอบตรงที่คนแต่งทำให้คาแร็คเตอร์ของผู้ร้ายมีมิติ อย่างไอวาร์ หัวหน้าของเผ่าเรเซอร์แบ็ค ที่ต้องการจริง ๆ ก็คือ กลับไปห้องแล็บเพื่อทำวิจัย (ไวรัสล้างโลก) ไม่ได้ต้องการออกไปต่อสู้อะไรหรอก การที่ไอวาร์ผูกพันกับลุกน้องคนใหม่ (มังกรน้ำอีกตัวนึงที่มาจากยุโรป) อ่านแล้วก็น่ารักดี เข้าทำนอง ถึงจะเป็นตัวร้าย แต่ก็มีหัวใจนะ

เล่มนี้โอเคทั้งในแง่ของคาแร็คเตอร์ และพล็อต แม้จะต้องบอกว่า เสียดายค่ะ คนแต่งวางคาแร็คเตอร์ของวิกไว้อย่างให้ความหวังมาก เราคาดหวังเยอะกว่านี้มาก แต่ทำไม่ได้ กระนั้นก็ถือว่า ดีกว่าสามเล่มแรก

โดยรวมเราคิดว่า คงอ่านชุดนี้ต่อค่ะ แต่คิดว่า คงซื้อเป็นอีบุ๊คมาอ่านแล้วล่ะ ไม่ลงทุนซื้อพรินต์บุ๊คแล้ว (ยกเว้นจะมีใครให้ฟรีมานะ)

คะแนนที่ 63





View all my reviews

Review: Fury of Seduction


Fury of Seduction
Fury of Seduction by Coreene Callahan

My rating: 2 of 5 stars



เราสนใจคาแร็คเตอร์ของพระเอกมาตั้งแต่ตอนอ่านเล่มสอง (Fury of Ice) ทำให้หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อทันที ทั้งที่ในภาพรวมของชุดแล้ว ก็ไม่ได้ถึงกับชอบมากมายอะไร

ก่อนอื่นเป็นคำเตือนค่ะ รีวิวหนังสือเล่มนี้จะเป็นการสปอยล์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองเล่มแรกนะคะ ดังนั้นถ้าคิดจะอ่านเรื่องชุดนี้ ก็โปรดหยุดอ่านตรงนี้ค่ะ

แม็คใช้เวลาสามสิบกว่าปีแรกในชีวิตโดยคิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาด และทำให้เขาได้เห็นมังกร ตื่นมาอีกที ก็พบว่า สายเลือดมังกรในตัวของเขาออกฤทธิ์ และแม็คก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าไนท์ฟิวรี

แต่เขาแตกต่างจากมังกรที่เพิ่งกลายครั้งแรกทั่วไป เขาอาจจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ในร่างที่เป็นมังกรเท่ากับเพื่อน ๆ คนอื่น แต่แม็คเป็นมังกรน้ำ และนั่นทำให้เขามีเอกลักษณ์โดดเด่นจากคนอื่น เพราะธรรมชาติของมังกรชนิดอื่น พวกนั้นจะเกลียดน้ำมาก ๆ ในขณะที่แม็คเห็นน้ำเป็นไม่ได้ จะบินไปหาทันที ดังนั้นเกือบทุกฉากที่เขาบินเข้าใกล้อ่าวซานฟรานซิสโก แล้วโผลงทะเล ในขณะที่เพื่อน ๆ ที่บินตามมาติดเบรคแทบไม่ทัน เราอ่านแล้วก็นึกขำทุกครั้ง

น่าเสียดายว่า นี่เป็นสิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากเล่มก่อนหน้า ส่วนอื่น ๆ ของเรื่องยังคงเป็นสูตรสำเร็จเหมือนเดิม พระเอกได้เจอกับนางเอก มังกรในตัวเขาบอกว่า นี่คือคู่ชีวิตที่มองหาอยู่ จากนั้นเขาก็จะแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าทุกคน ผู้ร้ายโผล่มา ด้วยเหตุผลบางอย่างก็จะเล็งเป้ามาที่นางเอก (ทั้งที่เล่มก่อนหน้าก็เล็งผู้หญิงคนอื่นอยู่ แต่นั่นคือนางเอกของเล่มนั้น) พระเอกก็ต้องออกโรงต่อสู้ จัดการผู้ร้ายได้ แล้วก็จบเรื่อง

เล่มนี้ก็เป็นแบบนั้น แต่ในอีกแง่นึง ความคงเส้นคงวาของมันทำให้เราอ่านได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะมีเหตุการณ์อะไรมาช็อคความรู้สึก อย่างที่เคยเขียนไปในรีวิวของเล่มก่อนหน้า เรื่องชุดนี้ให้กลิ่นของชุด BDB เยอะมาก ๆ แต่เป็น BDB ที่ปราศจากปัจจัยน้ำเน่าทั้งหลาย แน่นอนว่า อาการติดซีรีย์ชุดนี้จึงไม่หนักเท่า (เพราะปัจจัยน้ำเน่ามีน้อย) แต่ก็อ่านได้สบายใจดี

ประเด็นที่เรารู้สึกว่า ไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร ก็คือ เรื่องของหัวหน้าเผ่าเรเซอร์แบ็ค ไอวาร์ซึ่งป็นคนร้าย เล่มนี้เขาคิดถึงลูกน้องมือขวาที่ถูกฆ่าไปอย่างมาก (เหตุการณ์ในเล่มสอง Fury of Ice) ซึ่งตอนที่อ่านเล่มนั้น (และเล่มแรก Fury of Fire) เราก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกความผูกพันที่ทั้งคู่มีเลยนะคะ แต่พอมาเล่มนี้ ไอวาร์ทำเหมือนเสียเพื่อนสนิทไป เราเลยคิดว่า อารมณ์มันกระโดดอยู่พิกล

อย่างไรก็ตามเล่มนี้เราคิดว่า พล็อตเรื่องเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น เพราะโลกขยายออก แทนที่จะเป็นการสู้รายวันระหว่างไนท์ฟิวรี และเรเซอร์แบ็ค เริ่มมีเรื่องของแอชการ์ด ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองของเหล่ามังกรมาเกี่ยว แถมมีการเปิดตัวคาแร็คเตอร์อีกหลายตัว ที่ดูโหวงเฮงแล้วน่าจะเป็นพระเอกในเล่มต่อ ๆ ไป

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fury of Ice


Fury of Ice
Fury of Ice by Coreene Callahan

My rating: 3 of 5 stars



หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะอ่านเล่มแรกไปก็เฉย ๆ ไม่ได้ถึงกับชื่นชอบ แต่ก็อ่านได้เรื่อย ๆ

มาถึงเล่มนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องจากตอนจบของเล่มแรก เมื่อแองเจลา นายตำรวจสาวที่โดนลูกหลงถูกมังกรกลุ่มคนร้าย เผ่าเรเซอร์แบ็คจับตัวไป เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถในการต่อเชื่อมกับพลังเมริเดียน ซึ่งเป็นพลังธรรมชาติที่เหล่ามังกรต้องการใช้ในการมีชีวิตต่อไป ในเวลาเดียวกันทางเผ่าไนท์ฟิวรี ซึ่งเป็นมังกรฝ่ายดีที่มีภารกิจในการปกป้องและทำสงครามกับเรเซอร์แบ็ค ก็พยายามค้นหาเธอให้เจอ โดยเฉพาะไรเกอร์ นักรบมือขวาของบาสเตียน (พระเอกเล่มแรก)ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม แม้จะได้เจอกันเพียงชั่วแว่บเดียว แต่ไรเกอร์ก็เริ่มผูกพันกับแองเจลาแล้ว และพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเธอให้เจอ

แต่ไม่ใช่พระเอกที่ขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกค่ะ เป็นแองเจลาที่หนีเอาตัวรอดมาได้เอง ซึ่งนี้เป็นจุดที่ทำให้เราชอบเล่มนี้มาก ๆ นางเอกถูกบรรยายว่าเก่ง และตลอดทั้งเรื่องเธอก็วางตัวสมกับความเก่งที่คนแต่งอวดสรรพคุณไว้

พล็อตเรื่องก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างมังกรจากเผ่าไนท์ฟิวรี และเรเซอร์แบ็ค เรื่องราวค่อนข้างหยุดนิ่งจนเรารู้สึกว่า นี่จะสู้กันไปเรื่อย ๆ แบบไม่คิดอะไรไกลกว่านี้เลยเหรอ มันดูไร้อนาคตมาก ๆ นั่งรอให้พระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็บินออกไปสู้กัน พวกพระเอกก็ฆ่าผู้ร้ายเอา แต่ผู้ร้ายก็ไปสรรหามังกรชั่ว ๆ มาเป็นพวกได้ จนทำให้ไม่อยากจะเชื่อว่า เผ่าพันธุ์นี้มีลูกยาก เพราะกำลังคนของผู้ร้ายมีมากมายเหลือเกิน ขณะที่พวกพระเอกมีอยู่ไม่ถึงสิบคน

ส่วนที่เราคิดว่า น่าสนใจก็คือ เรื่องราวของแม็ค ซึ่งเป็นนายตำรวจ และเป็นคู่หูของแองเจลา ซึ่งก็มีเซอร์ไพร์สของตัวเอง ที่เขาเองก็มีเชื้อสายมังกรในตัวซ่อนอยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เราหยิบเล่มสามมาอ่าน เพราะดูแล้วเป็นเรื่องของแม็ค และเราก็ซื้อมาแล้ว จะวางอยู่เฉย ๆ ไว้ใย

โดยรวมเราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรก อย่างน้อยพระเอกก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่านางเอก (ด้วยการทำให้เธอตั้งท้อง ทั้งที่รู้อยู่ว่า มนุษย์ที่ตั้งท้องลูกของมังกรจะตายทุกคน) เรื่องราวยังคงเป็นไปตามสูตรสำเร็จ อ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดมาก ฆ่าเวลาค่ะ

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Tuesday, October 29, 2013

Review: Fury of Fire


Fury of Fire
Fury of Fire by Coreene Callahan

My rating: 2 of 5 stars



ได้ยินเสียงเล่าลือก่อนหน้าจะเริ่มต้นอ่านชุดนี้ว่า เรื่องมีสไตล์คล้าย ๆ กับชุด BDB ของเจอาร์ วาร์ด ก็เลยอาจจะทำให้ตั้งความหวังเกินจริงไปเล็กน้อยว่า น่าจะสนุกได้พอ ๆ กัน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นผลงานเขียนเล่มแรกของคอรีน คัลลาแฮนเท่านั้นเอง

พออ่านไปก็เห็นว่า จริงนะคะ ได้กลิ่นของโลกในชุด BDB ของเจอาร์ วาร์ดมาไม่น้อย แต่เนื้อเรื่องเพิ่งเริ่มต้น เลยไม่ได้ให้ความรู้สึกกดดันเท่า และความเป็นเมโลดรามาก็ยังไม่ค่อยมีเยอะเท่าไหรด้วย

ในสังคมมังกรที่ถือว่าเป็นอีกเผ่าพันธุ์นึงแยกต่างหากจากมนุษย์ พวกเขาเหนือกว่ามนุษย์ทุกอย่างยกเว้นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว นั่นก็คือ มังกรไม่อาจได้รับพลังเมริเดียนด้วยตัวเองได้ จำเป็นต้องต่อเชื่อมกับพลังดังกล่าวผ่านหญิงสาวชาวมนุษย์ พวกเขาต้องใช้สตรีเหล่านี้ คนที่มีการต่อเชื่อมกับเมริเดียนอย่างสูงในการเอาชีวิตรอด และทำให้เหล่ามังกรยังต้องพึ่งพามนุษย์อยู่ แต่นี่ไม่ใช่ความจำเป็นเดียวที่พวกมังกรต้องพึ่งพามนุษย์ เนื่องจากในสังคมของมังกรไม่มีผู้หญิง มนุษย์จึงเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทมังกรรุ่นต่อไป แต่คำสาปบางอย่างทำให้ผู้หญิงที่ถูกเลือกเป็นผู้ให้กำเนิดต้องตายทุกคน พวกเธอจะตายในการคลอดลูก

แต่แม้จะรู้อย่างนั้น บาสเตียน ในฐานะผู้นำของเผ่าไนท์ฟิวรี ซึ่งเป็นเผ่านักรบ และกำลังทำสงครามกับเผ่าเรเซอร์แบ็คเพื่อปกป้องมนุษย์ บาสเตียนก็ไม่มีทางเลือกพวกเขาจำเป็นต้องให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไป เพื่อเป็นกำลังในการต่อสู้ แม้จะรู้ว่า หญิงสาวคนที่เลือกจะต้องจบชีวิตลงในเวลาต่อมาก็ตาม

และเมื่อโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับมิสต์ นางพยาบาลสาวที่หลงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างโชคร้าย เธอเพียงแค่แวะมาดูอาการคนไข้ของเธอที่บ้าน เพียงเพื่อจะพบว่า หญิงสาวคนนั้นกำลังจะตาย มิสต์จำใจต้องทำคลอดเพื่อช่วยชีวิตเด็กในท้องเอาไว้ บาสเตียนและเพื่อนซึ่งฟังข่าวทางวิทยุ (ที่มิสต์เรียกรถพยาบาล) โผล่เพื่อรับเด็กไป เพราะหญิงคนที่ตายนั้นได้คลอดลูกชายที่มีเชื้อสายมังกร ซึ่งแม้พ่อของเด็กจะเป็นมังกรของฝ่ายเรเซอร์แบ็ค บาสเตียนก็ไม่ต้องการให้เด็กตกอยู่ในเงื้อมือฝ่ายชั่วร้ายนั้น การได้พบกันทำให้บาสเตียนรู้ว่า มิสต์คือคู่ครองของเขา (เรื่องไม่ได้บอกชัดเจนว่าทำไมถึงรู้ เหมือนกับร่างที่เป็นมังกรบอกมา) และเพื่อปกป้องเธอจากฝ่ายเรเซอร์แบ็ค ที่ไล่จับหญิงสาวที่สามารถต่อเชื่อมกับพลังเมริเดียนได้ เขาพาเธอไปยังที่พักของกลุ่ม

เรื่องราวต่อมาก็คล้าย ๆ กับหนังสือชุด BDB ผสมกับบรีดของลารา เอเดียนน่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรสร้างสรรเป็นพิเศษ

ประเด็นขัดใจของเรา และทำให้เราชอบเรื่องนี้น้อยที่สุดในชุดก็คือ การกระทำของบาสเตียน แน่นอนว่าเขารู้ว่า การที่เขาทำให้มิสต์ตั้งครรภ์จะหมายถึงความตายของเธอ แต่เขาก็ยังทำ เรื่องพยายามอธิบายว่า มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นการกระทำที่เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เราคาดหวังพระเอกมากกว่านี้ค่ะ เรารู้สึกเหมือนเขาเอาชีวิตของผู้หญิงคนที่เขาบอกว่ารัก มาแลกกับการสืบพันธุ์

โดยรวมเรื่องชุดนี้ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ทั้งในแง่ของพล็อตเรื่อง และคาแร็คเตอร์ ไม่ได้ถึงกับทำให้เราประทับใจอะไรมากมาย แต่เนื่องจากซื้อมาแล้วหลายเล่ม เราก็เลยอ่านต่อไป

คะแนนที่ 60




View all my reviews

Review: Edge of Oblivion


Edge of Oblivion
Edge of Oblivion by J.T. Geissinger

My rating: 2 of 5 stars



เราตัดสินใจหยิบเล่มนี้มาอ่าน แม้ว่าจะจบเล่มแรกไปอย่างอึดอัดใจ แต่เพราะสไตล์การเขียน การเล่าเรื่องที่จับความสนใจของเราไว้ได้ตลอดเวลาที่อ่าน ประกอบกับคาแร็คเตอร์นางเอกของเล่มนี้ที่ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ เราจึงอ่านเล่มนี้

ก่อนเข้ารีวิว ขอเตือนสปอยล์ก่อนนะคะ คือถ้ายังไม่ได้อ่านเล่มแรก และคิดจะอ่านก็ขอให้หยุดอ่านตรงนี้นะคะ เราจะไม่ซ่อนสปอยล์นะคะ เพราะมันไม่ใช่สปอยล์ของเล่มนี้ แต่เป็นสปอยล์เล่มก่อนหน้า

มอร์แกน หญิงสาวชาวอิคาติซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลงร่างเป็นควัน และเสือได้ ได้ทำความผิดมหันต์ ด้วยทรยศพวกของตัวเอง จนเป็นเหตุให้สมาชิกในเผ่าถูกจับไปทรมานเกือบตาย แต่ทุกอย่างที่มอร์แกนทำไป ก็เพื่ออิสรภาพ การเกิดเป็นสตรีในชนเผ่าอิคาติเป็นเสมือนคำสาป ตลอดชีวิตเธอถูกกำหนดโดย "ผู้สูงวัย" ในเผ่า ต้องแต่งงานกับคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ต้องใช้ชีวิตตามที่ถูกบอกให้ใช้ ดังนั้นแม้เธอจะเลือกผิดพลาด และเชื่อคนชั่ว แต่มอร์แกนก็พร้อมจะรับผลการกระทำของตัวเอง เธอยอมตายเพื่ออิสระ

แต่ด้วยความช่วยเหลือของเจนนา เพื่อนสาว ซึ่งตอนนี้พิสูจน์ตัวเองด้วยพลังที่เหนือคนอื่น (จนทำให้สถานะของเธอในเผ่าสูงเกินกว่าที่ใครจะทำอะไรเธอได้) ทำให้มอร์แกนได้รับโอกาสที่สอง เธอถูกส่งไปโรมเพื่อตามหาขบวนการที่ออกล่าชนเผ่าอิคาติ ซึ่งเป็นเบาะแสที่เจนนาสืบมาได้จากเล่มก่อน แต่มอร์แกนไม่ได้รับความไว้วางใจให้เดินทางไปตามลำพัง เธอถูกส่งไปพร้อมกับแซนเดอร์ ชาวอิคาติซึ่งทำหน้าที่เป็นนักฆ่าประจำเผ่าพันธุ์ หน้าที่ของเขาก็คือ ช่วยเหลือมอร์แกนในการปฏิบัติงาน แต่หากครบกำหนดวันแล้ว เธอยังทำไม่สำเร็จ แซนเดอร์จะต้องเป็นผู้ลงมือประหารเธอ

ทั้งคู่เดินทางไปโรม เพื่อสืบหาร่องรอย แต่แทนที่จะได้พบกับองค์กรชาวมนุษย์ที่ออกตามล่าชาวอิคาติ พวกเขากลับได้พบกับชาวอิคาติที่ไม่มีใครรู้จัก (ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสังคมของอิคาติปิดกั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์ต้องมีแหล่งที่อยู่ ใครที่หนีไปจะถูกตามล่า และฆ่าให้ตาย) และอิคาตินอกรีตพวกนี้เอง กลายเป็นกุญแจสำคัญในภารกิจนี้

เราชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรกนะคะ เพราะเรารู้สึกว่า คนแต่งไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อคาแร็คเตอร์เท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวมอร์แกน ซึ่งเราคิดว่า เธอเป็นคนที่น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นในตอนต้นเล่ม แต่ทำไมพอนางเอกได้เจอกับพระเอกแล้ว ต้องสูญเสียตัวตนของตัวเองไปด้วย เธอกลายเป็นหญิงที่ช่วยตัวเองไม่ได้มากกว่าครึ่งเล่ม

และเช่นเดียวกับเล่มแรกค่ะ เราไม่มีความสุขเอาเลยในการอ่านเรื่องนี้ พล็อตไม่ได้กดดัน หรือแสดงอาการรังเกียจมนุษย์อย่างชัดเจนแบบในเล่มแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า ชาวอิคาติน่าปกป้องเอาเสียเลย เราคงจะดีใจมาก ๆ ด้วยซ้ำ ถ้าพวกนี้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้ตายไปให้หมด ด้วยทัศนคติที่ไม่เป็นกลาง เหยียดหยามเผ่าพันธุ์อื่น รังแกกระทั่งคนในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง (ทั้งมอร์แกนและแซนเดอร์ก็ตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมของตัวเอง) เราไม่คิดว่า อ่านหนังสือเล่มไหน แล้วรังเกียจเผ่าพันธุ์ที่ควรจะเป็นตัวเอกมากได้เท่านี้

กระทั่งพล็อตเรื่องที่ว่า ชาวอิคาติถูกมนุษย์ตามล่ามาตลอด ก็เจอทางตัน เพราะในท้ายที่สุด คนที่อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวอิคาติทั้งหมด ไม่ใช่มนุษย์หรอกนะ แต่เป็นชาวอิคาติกันเองนั่นแหละ เป็นแบบนี้แล้วยังจะมาแสดงอาการรังเกียจมนุษย์อีก

นอกจากนี้คนแต่งเขียนเรื่องสมจริง เมื่อเพื่อนสนิทของพระเอก คนที่มีแววเหมือนจะเป็นพระเอกเล่มหน้าได้ ตายไปซะงั้น ซึ่งควรจะเป็นคำชมนะคะ แต่เราอ่านโรแมนซ์เพราะต้องการความสบายใจ ทำให้อะไรที่สมจริงเกินไป ก็ไม่มีความสุขค่ะ

โดยรวมแล้วทุกอย่างกลับมาที่ความรู้สึกของเราเองค่ะ ดังนั้นนี่จึงเป็นรีวิวในแง่ความรู้สึกล้วน ๆ เพราะเช่นเดียวกับเล่มแรก เราคิดว่า การเขียน การเล่าเรื่อง น่าอ่าน น่าติดตามมาก ๆ ระหว่างอ่านเราวางไม่ลงเลยนะคะ แต่เราไม่มีความสุขเวลาอ่านเลยน่ะสิ นึกเกลียดคาแร็คเตอร์แทบทุกตัวในเรื่อง ไม่เชียร์ข้างของตัวเองเลยสักนิดเดียว ขนาดนึกอยากให้มีระเบิดไปลงสักลูกนึง พวกมันจะได้ตายไปกันให้หมด แล้วไม่ต้องรับรู้เรื่องของคนกลุ่มนี้อีกต่อไป

คะแนที่ 60 (เป็นคะแนนตามความรู้สึกค่ะ คือเราคิดว่า ถ้าอ่านแล้วไม่อึดอัดแบบที่เรารู้สึก น่าจะชอบเรื่องนี้มากกว่านี้)





View all my reviews

Review: Shadow's Edge


Shadow's Edge
Shadow's Edge by J.T. Geissinger

My rating: 3 of 5 stars



ข้อเสียของการเขียนรีวิวใน Goodread ก็คือ เขียนรีวิวเปรียบเทียบหนังสือสองเล่มด้วยกันไม่ได้ และเนื่องจากเราอ่านเล่มนี้ในเวลาใกล้เคียงกับการอ่านเรื่อง Fury of Fire ของคอรีน คัลลาแฮน เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเอาสองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกัน (ทั้งสองเล่มตีพิมพ์โดยสนพ. Montlake ในค่ายอเมซอน)

เจนนารู้ว่า เธอแตกต่างจากคนอื่น ๆ ชีวิตในวัยเด็กที่ต้องย้ายจากที่นึงไปทีนึงตลอดเวลาพอบอกให้เธอรู้ว่า มีบางอย่างผิดปกติในชีวิตของเธอ ทั้งมารดาผู้เสียชีวิตไปแล้วของเธอก็พร่ำสอนเธอมาตลอดว่า ให้เลือกที่จะหนี อย่าเผชิญหน้า หากศัตรูปรากฎตัวขึ้น ศัตรูที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่า คือใคร รู้แต่ว่า คนกลุ่มนี้ตามล่าครอบครัวเธอมาตลอด

จนกระทั่งวันนึงเธอก็ได้พบกับพวกเขา

ลีนเดอร์เป็นผู้นำของชนชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเรียกตัวเองว่า อิคาติเผ่าพันธุ์โบราณที่สามารถแปลงร่างเป็นหมอก และเสือได้ ชนชาติที่ถูกตามล่าโดยมนุษย์ จนต้องสร้างกฎเหล็กในการปกครอง กฎที่ใช้ควบคุมพวกเขาทุกคน

และเจนนาแม้เธอจะเป็นเพียงลูกครึ่งอิคาติ เป็นผลผลิตอันน่ารังเกียจ ชีวิตของเธอก็อยู่ภายใต้การจับตามองของคนกลุ่มนี้เช่นกัน ในวัยเกิดปีที่ยี่สิบห้าของเธอ หากเจนนาสามารถแปลงร่างเป็นเสือได้ เธอจะถูกพาไปเข้าเผ่า แต่ถ้าเธอพิสูจน์ว่าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ความตายก็จะมาเยือน

เมื่อได้พบกันเจนนาซึ่งแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกอิคาติเลย หลังจากพิสูจน์ตัวเองว่า สามารถแปลงร่างได้ เธอก็ยินยอมให้ตัวเองถูกพาไปอังกฤษ (เธออาศัยอยู่ในอเมริกา) เพื่อทำความรู้จัก "ครอบครัว" ใหม่ ที่ที่ซึ่งเธอได้เรียนรู้ถึงภูมิหลังอันเจ็บปวด เหตุผลที่บิดาจากครอบครัวไป และยอมรับความจริงว่า ลีนเดอร์คือคนที่เป็นคู่ของเธอ

การเขียนเรื่องนี้ดีมาก ๆ การเล่าเรื่องราว การใช้ภาษา ความน่าสนใจของเรื่องมีอยู่ตลอด เรียกว่าอ่านไปไหลลื่นมาก ๆ แต่...

ต้องเน้นตรงนี้เลยนะคะ และเราก็อายเล็ก ๆ ที่ต้องยอมรับความจริงส่วนนี้ออกมา

แต่เราไม่มีความสุขในการอ่านหนังสือเล่มนี้เลย เราเกลียด เกลียด เกลียด และเกลียดพวกอิคาติ และนี่คือเผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวเอกหลักในเรื่องชุดนี้ พวกนี้คือพวกที่เราต้องยอมรับว่า เป็นคนดี เป็นพระเอก แต่เราไม่ชอบพวกเขา ไม่ชอบสักคนเดียว แม้กระทั่งพระเอก

ถ้าเราเป็นเจนนา เราจะเดินออกมาแล้วอยู่ตามลำพังดีกว่า

ทัศนคติของพวกอิคาติก็คือ เกลียดมนุษย์ หากเผ่าพันธุ์ของพวกเขาคนไหนไปแต่งงานกับมนุษย์ พวกนี้ก็จะออกตามล่าไล่ฆ่าล้างครอบครัว นั่นเป็นสิ่งที่เกิดกับพ่อของเจนนา จนเขาเลือกที่จะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อหยุดการตามล่า ยอมตามเพื่อให้ภรรยาและลูกสาวมีชีวิตต่อ แต่นั่นไม่จบ เพราะเจนนาซึ่งเป็นลูกครึ่งก็โดนวงจรอุบาทนี่อีก

เราเข้าใจเรื่องแนวพารานอมอลที่เขียนเล่าถึงเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ (BDB เป็นตัวอย่างนึง) แต่อย่างน้อยทัศนคติของคนพวกนี้ก็คือ ปกป้องมนุษย์ ไม่ใช่รังเกียจ คือเราก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นมนุษย์น่ะค่ะ เหมือนนั่งอ่านหนังสือที่คนแสดงอาการรังเกียจเราอย่างชัดเจน อ่านแล้วอึดอัดมาก แล้วก็เกลียดพวกนี้มาก ๆ

พระเอกที่เริ่มต้นดูเหมือนจะดีกว่าคนอื่น ๆ ก็พิสูจน์ว่าไม่เอาถ่าน เขายอมแพ้แรงกดดันของบรรดา "ผู้ใหญ่" ในเผ่า เขาไม่ยืนหยัดเพื่อนางเอก ในฉากที่มีการค้นพบว่า มีคนทรยศอยู่ในหมู่พวกเขา และอย่างไม่มีเหตุผล ทุกคนหันมาโทษนางเอกว่ามีส่วนรู้เห็น พระเอกยืนเฉย ๆ แล้วถามนางเอกว่า "มีอะไรจะพูดไหม" เราอ่านแล้วแบบอย่างเขวี้ยงหนังสือทิ้งเลย

เล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วอึดอัดมาก ๆ ไม่มีความสุขเอาเลย ทั้งที่การเขียนดีมากเช่นกัน เรื่องราวก็น่าสนใจ แต่มันเป็นเรื่องของคนที่เราไม่ชอบ ที่สำคัญเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่แสดงอาการรังเกียจเราอย่างชัดเจน (เพราะเราก็เป็นมนุษย์) นี่ยังไม่นับทัศนคติห่วย ๆ ของตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่อง นี่เป็นโรแมนซ์ที่เรานึกอยากให้จบแบบนางเอกเดินจากมาโดยไม่ห้นไปมอง

เพราะคนพวกนี้ไม่มีค่าควรมองแม้แต่นิดเดียว

ต้องขอโทษนะคะที่เราเขียนรีวิวแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นความผิดของคนแต่ง แต่เราอึดอัดกับทิศทางของเรื่องมาก ๆ ทัศนคติของตัวละครที่เห็นแก่ตัว ดูถูกมนุษย์ มันมากเกินไป แต่กระนั้นเพราะการเขียนค่ะ เราเลยตัดสินใจอ่านเล่มสองต่อ อย่างน้อยก็ซื้อมาแล้วนี่นา

เล่มนี้คะแนนที่ 63 (ซึ่งอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้นะคะ ถ้าเราไม่ได้มีปัญหากับทัศนคติของคาแร็คเตอร์บางตัวในเรื่องนี้)

ป.ล. สำหรับคนที่สนใจว่า ทำไมเราเอาไปเปรียบเทียบกับหนังสือของคอรีน คัลลาแฮน นั่นก็คือ ทั้งสองเป็นเรื่องแนวพารานอมอลทั้งคู่ โลกของตัวละครในเล่มนี้เขียนได้ดีกว่า น่าค้นหามากกว่า ตัวละครก็มีมิติมากกว่า การเล่าเรื่องก็ดีกว่า แต่ท้ายที่สุดเราตัดสินใจตามอ่านเรื่องของคอรีน คัลลาแฮนค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เราอ่านเรื่องชุดนั้น ที่ไม่มีอะไรมากมายให้คิดรกสมอง เพราะเป็นไปตามสูตรสำเร็จทุกอย่าง เราสบายใจค่ะ ในขณะที่เราอ่านเรื่องชุดนี้ เราเกิดความรู้สึกรุนแรงมาก ๆ ไม่มีความสุขเอาเลยค่ะ



View all my reviews

Review: The Last Duchess


The Last Duchess
The Last Duchess by Stephanie Feagan

My rating: 3 of 5 stars



ต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็น Nice surprise ค่ะ เพราะถ้าให้เราซื้อมาอ่านเอง ก็คงไม่อ่าน เนื่องจากไม่รู้สึกว่า นักเขียนคนนี้โดดเด่นในเรื่องการเขียนแนวย้อนยุค แต่เพราะได้มาฟรีตอนไปงาน RWA แล้วอ่านพล็อตน่าสนใจมาก ๆ ก็เลยตัดสินใจหยิบมาอ่าน ซึ่งสนุกเกินคาดมาก ๆ

กระนั้นก็คงต้องบอกว่า พอเข้าใจนะว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ได้ตีพิมพ์กับสนพ.ในนิวยอร์ค ไม่ใช่ว่าคุณภาพของเรื่องไม่ดีหรอกนะคะ แต่มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ไม่เข้าสูตรสำเร็จของเรื่องแนวย้อนยุค แต่ก็ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้เราชอบเล่มนี้ เพราะมันแตกต่าง ให้ความรู้สึกแปลกไปจากการอ่านเรื่องแนวย้อนยุคเล่มอื่น ๆ

เรื่องเริ่มต้นตามสูตรค่ะ เลดี้เจน เลนน็อคซ์แอบหลงรักไมเคิล ดยุคแห่งบิกซ์ฟอร์ดมาหลายปี เธอประทับใจเขาตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์ที่ภรรยาของดยุคเสียชีวิตไปจากการคลอดลูก และรอคอยจนระยะเวลาการไว้ทุกข์ผ่านไป และตอนนี้เจนหวังว่า จะทำให้เขามองเห็นเธอมากพอที่จะเลือกไปเป็นดัชเชส

แต่การมองเห็นของบิกซ์เกิดขึ้นในสถานที่และเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก ทั้งคู่เจอกันยามวิกาลในห้องสมุดที่เปลี่ยว และการพบกันก็ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย เจนมองเห็นว่า เจ้าชายในฝันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขาดูถูกเธอ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอไม่อาจเป็นดัชเชสที่เหมาะสมได้ แต่เขาก็จะแต่งงานกับเธอเพราะเป็นสุภาพบุรุษมากพอ

เจนเลือกที่จะหนีไปอยู่กับญาติที่สก๊อตแลนด์ แทนที่จะเข้าพิธีแต่งงาน บิกซ์คิดว่าตัวเองโชคดี และแต่งงานกับหญิงสาวที่เขาคิดว่าเหมาะสม

จุดนี้แหละที่ทำให้เราคิดว่า เรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันแหกกฎหลายอย่าง เราชอบนางเอกที่กล้าตัดสินใจ และไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ภูมิหลังของเธอที่คนแต่งวางเอาไว้ ก็ทำให้น่าเชื่อว่า เธอกล้าที่จะเลือกเส้นทางนี้ เธอกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเสีย แต่สำหรับน้องสาวคนเล็กในครอบครัวที่มีลูกชายอีกหกคน เจนไม่ใช่กุลสตรีที่อยู่ในกรอบเสมอ เธอไม่เลือกที่จะใช้ชีวิตการแต่งงานโดยปราศจากความรัก

หลายปีผ่านไป บิกซ์กลายเป็นหม้ายอีกรอบ และไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนที่เขาแต่งหลังจากเจน แต่เขาแต่งงานกับอีกคน และเธอก็เป็นอีกคนที่ตายในการคลอดลูก นั่นทำให้สถานะของเขาที่แม้จะเป็นดยุค แต่ก็ไม่มีใครต้องการในตลาดการแต่งงาน ภรรยาสามคนแรกของเขาตายในการคลอดลูก นั่นมากพอจะทำให้หญิงสาวทุกคนหวาดกลัว

ยกเว้นเจน ที่ตอนนี้กลับมาจากสก๊อตแลนด์แล้ว

ทั้งคู่เจอกัน และตกลงกันว่า ต่างฝ่ายต่อเหมาะสมซึ่งกันและกันที่สุด เจนที่ชื่อเสียงเสีย และไมเคิลที่ถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย นี่เป็นการแต่งงานเพื่อความสะดวก

เราชอบครึ่งแรกของเรื่องมาก ๆ นางเอกโดดเด่น น่าสนใจ และแตกต่าง เราเข้าใจการตัดสินใจและทางเลือกของเจน และปรบมือให้กับเธอ ฉากที่เธอต่อรองกับพระเอกในเรื่องการแต่งงาน การที่เธอยื่นคำขาดให้เขาเลือกยุ่งกับบรรดาเมียเก็บทั้งหลาย และมีเธอเพียงคนเดียว บ่งบอกคาแร็คเตอร์ของเธอได้ดีมาก ๆ

อย่างที่บอกค่ะ เรารู้สึกว่า เรื่องนี้แตกต่างไปจากย้อนยุคหลายเล่ม

ในแง่ของการเขียน ยอมรับนะคะว่า มีหลายช่วงที่เราอ่านสะดุด การใช้ภาษามีภาษาสมัยใหม่มาปะปนเล็กน้อย แต่เรายกประโยชน์ให้ค่ะ เพราะคาแร็คเตอร์เองก็มีความเป็นคนสมัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ ยาวเกินไป เรารู้สึกว่า หลังจากการแต่งงานแล้ว เรื่องราวดำเนินต่อมาค่อนข้างเยอะ และทำให้เรื่องดูน่าเบื่อไป แถมยังทำให้คาแร็คเตอร์ของเจนอ่อนลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้เธอดูไม่เหมือนคนที่เราคิดว่า เธอเป็น มันไม่ถึงกับทำลายคาแร็คเตอร์ของเธอนะคะ แต่ทำให้ความชอบที่เรามีให้เธอลดน้อยลงไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

เล่มนี้มีเรื่องของคู่รอง ซึ่งเป็นเรื่องของพ่อของเจน และน้องสาวของบิกซ์ บอกตามตรงเลยนะคะ ได้คู่นี้แหละมาช่วยผยุงครึ่งหลังของเล่มเอาไว้ เราชอบทั้งสองมากจนอยากอ่านเรื่องราวของเขาแบบเต็ม ๆ เลยล่ะค่ะ

โดยรวมเป็นหนังสือที่สนุกแบบน่าแปลกใจ และทำให้เราเข้าสู่โหมดการตามหางานของสเตฟานี เฟแกนมาอ่านเลยล่ะ น่าเสียดายว่า นี่เป็นเรื่องย้อนยุคเล่มเดียวที่เธอเขียนออกมาในตอนนี้ (เห็นโฆษณาท้ายเล่มว่าจะมีเรื่องของบรรดาพี่ชายของเจน แต่ไม่รู้ว่า จะเขียนเมื่อไหร)

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Monday, October 28, 2013

Review: Shattered Ink


Shattered Ink
Shattered Ink by Laura Wright

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้เป็นตอนที่สองของความสัมพันธ์ระหว่างรัชและแอดดิสัน (จากเรื่อง First Ink) แต่เราไม่คิดว่า จำเป็นจะต้องอ่านเล่มแรกเพื่อให้เข้าใจเรื่องในเล่มนี้หรอกนะคะ แต่ก็นะ ถ้าไม่ได้อ่านเล่มแรกมาก่อน เราก็ไม่รู้สึกว่า เล่มนี้จะมีความน่าสนใจในตัวเองเท่าไหร

เพราะว่าตามตรง เล่มนี้เหมือนเรื่องเล่าเหตุการณ์ภายหลัง Happy Ever After นั่นคือ ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างพระนางได้ค่อนข้างลงตัวไปแล้ว เรื่องแค่อธิบายเพิ่มเติมและตอบคำถามที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง (เพราะไม่มีความสำคัญเพียงพอตอนที่อ่านเล่มแรก) ซึ่งสำหรับคนที่อ่านเล่มแรกมาแล้วอย่างเรา และโอเคกับมัน (เราไม่ได้ถึงกับคลั่งเล่มแรก แต่ก็ถือว่า สอบผ่านอ่านได้) ก็ย่อมจะอยากอ่านต่อ แต่ถ้าคนไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้ เราก็ไม่ถึงกับแนะนำให้กระโดดลงมาที่เล่มนี้เลย

อย่างที่เกริ่นไป เล่มนี้เป็นเหตุการณ์ภายหลังตอนจบของ First Ink ที่เมื่อรัชและแอดดิสันปรับความเข้าใจกันได้ และกลับมายอมรับความรู้สึกที่ทั้งคู่มีให้กัน (นั่นคือ บอกรักกันไปแล้ว) แต่สถานะของทั้งคู่ที่อยู่ต่างรัฐ โดยรัชอยู่ในเวกัส ส่วนแอดดิสันเรียนในแคลิฟอร์เนียก็สร้างปัญหาให้กับทั้งคู่ การดำเนินความสัมพันธ์แบบทางไกลทำให้ทั้งสองโหยหากันและกันมาก และกำลังส่งผลต่อการเรียนของแอดดิสันด้วย

เราเสียดายนะคะที่เรื่องไม่ได้เน้นที่จุดนี้มากนัก คือมีการกล่าวถึงว่า แอดดิสันแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอน คิดถึงรัชมากมาย จนไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ เราอยากรู้ว่า เธอใช้ชีวิตอย่างไร หรือปรับตัวยังไง แต่เรื่องก็พูดแค่นั้น แล้วก็ตัดมาที่การเรียนจบของเธอเลย ทำราวกับมันไม่มีผลกระทบต่อชีวิตการเรียน เรื่องไปมุ่งเน้นที่ความสัมพันธ์ของรัช และแอดดิสันมากกว่า การที่เธอยังไม่กล้าบอกรัขถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามันท่วมท้นมากเพียงใด ว่าเธอรักเขายิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิต ซึ่งว่าไปส่วนนี้ก็ดูเด็กเกินเหตุ

เช่นเดียวกับเล่มแรก เล่มนี้ก็อ่านได้ค่ะ เราว่า Point of View ของรัชในเล่มนี้ดูมีความเป็นชายมากขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น แต่ประเด็นในเรื่องดูเหมือนเด็กเล่นขายของเกินเหตุ เหมือนคนแต่งไม่มีพล็อตจะเขียน แต่ถูกแฟน ๆ เรียกร้องให้เขียนต่อ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ)

อย่างไรก็ตาม น่าแปลกนะคะ เราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรกเล็กน้อย เราว่า การเขียนค่อนข้างลงตัวมากขึ้น

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: First Ink


First Ink
First Ink by Laura Wright

My rating: 3 of 5 stars



เราซื้อเรื่องนี้มาตอนที่ขายรวมกับหนังสืออีกหลายเรื่อง (ในหนังสือทั้งชุดเป็น Box set ว่า Wicked First)

เล่มนี้เขียนตามกระแสเรื่องแนว New Adult โดยว่าไปแล้วก็ถือว่า เอาองค์ประกอบเด่น ๆ ของเรื่องแนวนี้มาครบถ้วน พระเอกที่ทำอาชีพเป็นนักสักที่มีชื่อเสียงโด่งดัง (ที่แน่นอนว่า มีรอยสักเต็มตัว) นางเอกที่เป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบ และกำลังอยู่บนทางแยกของชีวิต

เราอ่านเพราะเป็นงานเขียนของลอรา ไรท์ ซึ่งเราชอบการเขียนเรื่องในแนวพารานอมอลชุด Mark of the Vampire ของเธอ

เรื่องนี้ค่อนข้างสั้น และโชคดีว่า พล็อตเรื่องที่วางไว้เวิร์คกับความยาวของหนังสือเพราะพระเอกของเรื่อง รัช และแอดดิสัน นางเอกเคยมีความหลังกันมาก่อน โดยทั้งคู่ในสมัยเรียนมัธยมเป็นคู่รักที่รักกันมาก แต่แอดดิสันหักอกรัชด้วยการโกหกเขา และปันใจไปให้ผู้ชายอีกคน ทั้งที่เธอก็รู้ดีว่า รัชคืนคนที่ใช่สำหรับเธอ แต่เนื่องจากความกดดันที่เธอต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนักเรียนไฮสคูล เธอเผลอใจไปกับชายคนอื่นที่ดูเหมาะสมกว่า และเมื่อความจริงเปิดเผย รัชออกจากเมือง และตัดขาดทุกอย่างจากเธอ

เวลาผ่านไปหลายปี แต่แอดดิสันไม่เคยลืมการกระทำอันเลวร้ายของตัวเอง และเมื่อมาถึงจุดนึงเธอต้องการขอโทษ และนั่นทำให้นักศึกษาจากรัฐแคลิฟอร์เนียไปโผล่ที่ลาสเวกัส ในงานแสดงการสักที่รัชได้รับเชิญให้มาปรากฎตัว เธออาศัยโอกาสนั้นพบกับเขาอีกครั้งนึง (เพราะเขาไม่ยอมพบเธอไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ)

แต่การขอโทษกลับกลายเป็นการคืนดี

เรื่องนี้ในภาพรวมอ่านได้เรื่อย ๆ ค่ะ และแม้พล็อตจะใช้สูตรสำเร็จของเรื่องแนว New Adult หลายอย่าง เราไม่รู้สึกถึงความเป็น NA เท่าไหรนะคะ เรื่องออกไปทาง Contemporary Romance มากกว่า ตัวละครถือว่า มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยมีอะไรงี่เง่า หรือความต้องการทำลายตัวเองมากนัก

เราชอบพล็อตคนรักเก่าคืนดี แต่ก็หงุดหงิดไม่น้อยตรงที่เราไม่รู้สึกว่า แอดดิสันจะไถ่โทษการกระทำของตัวเองเท่าไหรนัก สรุปว่า พระเอกใจดีเกินเหตุ จากการกระทำของเธอ เราว่า น่าจะให้เธอทนทุกข์มากกว่านี้ แต่เนื่องจากเล่มนี้ค่อนข้างสั้น เหตุการณ์จึงเกิดขึ้นรวดเร็ว ความโกรธของพระเอกก็เลยหายเร็วไปตามหน้ากระดาษ

ส่วนเดียวที่เราคิดว่า ไม่เวิร์คสำหรับเรื่องนี้ก็คือ เวลาที่เรื่องถูกเล่าผ่านมุมมองของรัช เรารู้สึกว่า การเขียนเป็นแบบผู้หญิงมากเกินไป นั่นคือ รัชมีความคิดเหมือนผู้หญิง ทำให้เวลาอ่านแยกไม่ค่อยออกว่า ใครเป็นคนเล่าเรื่องระหว่างรัช หรือแอดดิสัน

เรื่องนี้จบแบบไม่จบดีนัก ไม่ถึงกับเป็น Cliffhanger แต่ก็มีหลายอย่างค้างคาใจ

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Tuesday, October 22, 2013

Review: Bold Tricks


Bold Tricks
Bold Tricks by Karina Halle

My rating: 4 of 5 stars



สารภาพว่า ก่อนจะเริ่มอ่านเล่มนี้ เราแอบเปิดตอนจบอ่านก่อนค่ะ กะว่า ถ้าแคมเดนไม่ใช่พระเอก หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จะไม่อ่านเล่มนี้แน่นอน ดังนั้นเมื่อเริ่มอ่านจริง ๆ ก็เลยสบายใจได้ เพราะเนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

เราคงต้องเตือนว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มก่อนหน้า เพราะเหตุการณ์เล่มนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกับตอนจบเล่มที่แล้ว อันที่จริงเราคิดถึงหนังสือชุดนี้ว่า เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ถูกแบ่งขายออกเป็นสามเล่มจบมากกว่าที่จะแยกเนื้อเรื่องระหว่างกันได้

สรุปว่า ถ้าคิดจะอ่านเรื่องชุดนี้ เราไม่แนะนำให้อ่านต่อจากนี้ไปนะคะ

จากเหตุการณ์ในเล่มที่แล้ว แอลลีซึ่งถูกกล่อมแกมบังคับโดยฮาเวียร์ให้ไปลอบสังหารทราวิส (เจ้าพ่อค้ายา ซึ่งเป็นคนที่ทำร้ายเธอตอนเด็ก และเป็นคนที่ฮาเวียร์หวังจะโค่นเพื่อขึ้นครองอำนาจแทน) แต่แผนผิดพลาด เมื่อเธอพบกับมารดาของตัวเอง ทำให้ทราวิสรู้ความจริงว่าแอลลีเป็นใคร และเริ่มออกตามล่า ในขณะที่แคมเดนแม้จะรู้ว่า แอลลีทรยศไปมีความสัมพันธ์กับฮาเวียร์อีกครั้ง เขาก็ยังทิ้งเธอไม่ลง เสี่ยงชีวิตมาช่วย ทั้งคู่กับหนี และใกล้จนมุม แต่ฮาเวียร์โผล่มา ช่วยพวกเขาและหนีไปด้วยกัน

แต่เนื่องจากกัส เพื่อนที่คอยช่วยเหลือแอลลีมาตลอด (และเดินทางมาเม็กซิโกกับแคมเดนเพื่อช่วยเธอจากฮาเวียร์) ถูกทราวิสจับตัวไป แอลลีจึงตัดสินใจทำข้อตกลงกับฮาเวียร์ เพื่อให้เขาช่วยเธอในการช่วยเหลือกัส แม้จะไม่ไว้ใจอดีตชายคนรักคนนี้อีกต่อไปแล้ว แต่แอลลีก็ไม่มีทางเลือก เรื่องยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้แคมเดน ชายคนที่เธอมีใจให้ในตอนนี้ก็อยู่ด้วย และส่วนผสมระหว่างแคมเดน และฮาเวียร์ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย

สำหรับเราแล้ว การอ่านสองเล่มแรกในชุด และได้เห็นตัวตนที่แท้จริง (หรือจะบอกว่า ตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไป) ของฮาเวียร์ เราไม่แปลกใจนะคะที่ท้ายที่สุด แอลลีเลือกแคมเดน อันที่จริงมันไม่มีการเลือกด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้ดีมาตลอดว่า ใครคือคนที่เธอต้องการ แต่เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น การที่เธอเผลอใจกลับไปมีความสัมพันธ์กับฮาเวียร์อีกครั้ง (การกระทำของเธอที่เราเข้าใจนะคะ แต่ก็ถือว่าแรงมาก ๆ สำหรับแฟนหนังสือโรแมนซ์) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแคมเดนอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะมันยากที่จะให้อภัยตัวเอง หรือขอให้แคมเดนเข้าใจการกระทำนั้น

เราชอบประเด็นนี้ที่คนแต่งเขียนค่ะ เรารู้สึกว่า สมจริง ซึ่งจุดนี้หนังสือโรแมนซ์หลายเล่มมองข้าม (และหาทางจบเรื่องด้วยการทำให้เป็นเรื่องแนว menage) เล่มนี้ความรู้สึกผิดที่แอลลีมี ความโกรธที่ยากควบคุมของแคมเดน ทำให้ช่วงต้นเรื่องอ่านไปก็ปวดหัวใจไปเป็นระยะ ๆ

และอาจจะเป็นเพราะว่า เราทำใจได้แล้วว่า ฮาเวียร์ในอีกเจ็ดปีต่อมา ไม่ใช่คนคนเดียวกับที่เราได้เจอในเรื่อง On Every Street ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหานะคะ เพราะเราคิดว่า คนแต่งเขียนได้ชัดเจนถึงที่มาที่ไป แม้เราจะไม่เคยเห็นความคิดของฮาเวียร์ แต่ก็คิดว่า อะไรที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบที่เป็น นี่ไม่ใช่กรณีของการที่คาแร็คเตอร์เปลี่ยนนิสัยแบบไม่มีที่มาที่ไป ฮาเวียร์อยู่ในธุรกิจที่สกปรก เขากระหายอำนาจ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่คนอ่าน OES ได้รับรู้อยู่แล้ว เวลาหกปีทำให้เขากลายมาเป็นคนอย่างที่เป็น สู่โลกแห่งความมืดเต็มตัว (แทนที่จะเป็นด้านสีเทาอย่างที่เห็นในตอนแรก) ด้วยเหตุนี้เราจึงยอมรับการกระทำของในเรื่องนี้ได้โดยไม่แปลกใจ อันที่จริงฉากที่แอลลียังคิดว่า ฮาเวียร์จะไม่มีวันทำร้ายเธอ เรายังคิดว่า เธอไร้เดียงสาเกินไป

ส่วนที่เราตั้งคำถาม และคิดว่าไม่สมจริงก็คือ การที่ฮาเวียร์ปฏิบัติต่อครอบครัวตัวเอง เรารู้สึกว่า มันมากเกินไป เข้าใจว่า คนแต่งต้องการสื่อให้คนอ่าน (และแอลลี) ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เราคิดว่า การเขียนให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ได้อุทิศตัวให้กับครอบครัวอย่างที่แอลลีเข้าใจมาตลอดชีวิต มันสุดโต่งเกินไป เหมือนกับกลัวว่า เธออาจจะเปลี่ยนใจมาเลือกเขา (ซึ่งสำหรับเราแล้ว นั่นไม่ใช่ทางเลือก)

มาถึงแคมเดน เขาเป็นตัวละครที่ทำให้เราเปลี่ยนใจได้ คนที่อ่านรีวิวของเราในเรื่อง Sins and Needles คงจะพอรู้ว่า เรารู้สึกเช่นไรกับเขา เราคิดว่าเขาสมบูรณ์แบบเกินไป เล่มนี้นอกจากจะเล่าเรื่องของแอลลีแล้ว ก็ยังเล่าเรื่องของแคมเดน คนอ่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา ชายคนที่กลายมาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่า จะเป็นได้ เพื่อผู้หญิงที่เขารัก นั่นโรแมนติกที่สุด และทำให้เขาก้าวเข้ามาอยู่ในใจของเราทีละนิด (จนมาถึงเล่มนี้ก็กลายเป็นทีมแคมเดนไปเต็มตัวแล้วล่ะ) ที่สำคัญเราคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของแคมเดนน่าเชื่อ คนแต่งไม่ได้อัพเกรดให้เขาดูมีความเป็นพระเอกที่เท่ห์มากขึ้น มันอยู่ในตัวตนของเขาอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ตลอดเวลาไม่มีเหตุที่แคมเดนต้องทำอะไรกับมัน จนกระทั่งเมื่อเขาต้องช่วยชีวิตแอลลี

เราสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทราวิสและแม่ของแอลลี เรารู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาประเด็นนี้เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องก็ได้ แล้วยังตอนท้ายเรื่องที่อ่านแล้วงงนิดหน่อย ที่ฮาเวียร์จับตัวแคมเดนไปเพื่อทำให้พี่ชายของอดีตภรรยาของแคมเดนพอใจมากจนอนุญาตให้ฮาเวียร์เข้ามาขยายอาณาเขตในพื้นที่ตัวเองได้ แต่แล้วทำไมฮาเวียร์ต้องให้เสื้อเกราะกับแคมเดน แล้วยังเปิดฉากด้วยการยิงต่อสู้กันอีก มันไม่มีเหตุผล และเหมือนจะเป็นการทำให้คนอ่านช็อคแค่นั้นเอง โดยเฉพาะฉากที่ แคมเดนโดนยิง

เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นโรแมนซ์ที่แหกกฎหลายข้อ แต่มีตอนจบที่สวยงามเหมือนเทพนิยาย ซึ่งเป็นตอนจบแบบที่เราชอบมากที่สุด

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Friday, October 18, 2013

Review: Shooting Scars


Shooting Scars
Shooting Scars by Karina Halle

My rating: 3 of 5 stars



รีวิวนี้แตกต่างนะคะ เพราะเราเขียนในสองช่วงเวลา

นี่เป็นรีวิวที่เราเขียนหลังจากอ่านจบครั้งแรกค่ะ (ตอนที่เรายังไม่รู้ว่า บทสรุปของเรื่องจะเป็นเช่นไร)

ขอเตือนว่า รีวิวนี้จะเป็นสปอยล์สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก (Sins and Needles) ในชุดนะคะ

สำหรับเราแล้ว เล่มนี้ถือว่าเป็นเล่มที่น่าผิดหวัง ไม่ใช่ในแง่ของเนื้อเรื่องนะคะ เพราะเรื่องมีความตื่นเต้นน่าอ่านมาก แต่เราผิดหวังเพราะเกือบตลอดทั้งเรื่องนางเอกใช้เวลาอยู่กับคาแร็คเตอร์ที่เราไม่ชอบ ในขณะที่คนที่เราคิดว่า จะเป็นพระเอกอยู่ที่ทางนึง พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอ

เรื่องเล่าต่อเนื่องจากตอนจบของเล่มแรก เมื่อเอลลีตัดสินใจยอมไปกับฮาเวียร์เพื่อแลกกับการที่เขาต้องปล่อยอดีตภรรยาและลูกชายของแคมเดนไป เธอเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น และการเสียสละครั้งนี้เอลลีก็คิดว่า คงหมายถึงการจบสิ้นกันระหว่างเธอ และแคมเดน เมื่อเธอคิดว่า เขาคงจะกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวด้วยโอกาสที่สองที่เธอมอบให้

แต่เอลลีประมาทแคมเดนเกินไป หลังจากจำใจยอมปล่อยให้เธอไปกับฮาเวียร์ เขาเลือกที่จะปกป้องชีวิตของลูกชาย แต่เมื่อพบว่าตัวเองก็ถูกทรยศเช่นกัน แคมเดนก็เริ่มต้นการเดินทางเพื่อตามหาและช่วยเหลือเอลลีบ้าง โดยเขาร่วมมือกับกัส ชายสูงวัยที่ห่วงใยเอลลียิ่งกว่าพ่อแม่ของเธอเสียอีก (เขาเป็นคาแร็คเตอร์ที่ช่วยเหลือเอลลีหลายครั้ง) การเดินทางที่เปลี่ยนแปลงเขาจากชายหนุ่มที่อาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่มันนำเขาไปสู่ด้านมืด ไปสู่การกระทำที่เขาไม่คิดว่า ตัวเองจะสามารถทำได้ แต่แคมเดนเรียนรู้ว่า เขาทำทุกอย่างได้เพื่อแอลลี่

เล่มนี้แหละคือเล่มที่เรารู้สึกว่า แคมเดนเข้ามาสู่คาแร็คเตอร์ที่เขาควรจะเป็น เราชอบมุมมองของเขา ชอบการเปลี่ยนแปลงของเขา เพราะแม้เขาจะต้องทำหลายอย่างที่เลวร้าย เรายังคงรู้สึกเสมอว่า แก่นที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ยังคงเป็นคนเดิม บางครั้งคนเราต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่สิ่งที่แคมเดนชนะใจเรา (ซึ่งถือว่าไม่น่าเชื่อ เมื่อคิดว่า เราหลงใหลคาแร็คเตอร์ของฮาเวียร์มากขนาดไหนตอนอ่านเรื่อง On Every Street) ก็คือความคิดที่เขามีต่อเอลลี

"Even at her very worst, she made me want to be better man. To be good enough for the both of us."

ความน่าหงุดหงิดของเราอยู่ตรงเรื่องราวในส่วนของเอลลี ไม่ใช่เพราะคาแร็คเตอร์ของเธอนะคะที่มีปัญหา แต่เราอึดอัดที่หนังสือเล่มนี้พระนางไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย (เรายังยืนยันนะคะว่า แคมเดนเป็นพระเอกแน่นอน เราไม่เชื่อว่า คารินา ฮัลล์จะเขียนให้ฮาเวียร์เป็นพระเอกด้วยพฤติกรรมแบบนี้) เพราะเธอถูกฮาเวียร์ชักจูงให้เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อแก้แค้น การแก้แค้นที่เอลลีต้องการมาตั้งแต่ต้น (จุดเริ่มต้นจาก On Every Street) กับชายคนที่ราดน้ำกรดลงบนขาของเธอ โดยที่ตลอดเวลาเอลลีคิดว่า แคมเดนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวของเขา และเธอไม่เหลือใครอีก

อาจจะเป็นเพราะจุดนี้นะคะ เราจึงพอเข้าใจการกระทำของเธอ ที่เธอหวนกลับไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับฮาเวียร์อีกครั้ง เรื่องนี้แฟนโรแมนซ์ทำใจยากนะคะ แต่เราว่า คนแต่งเขียนนำเรื่องให้เข้าใจได้ ความรู้สึกสูญเสีย และคิดว่า แคมเดนจากไป ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ประกอบกับความหลังที่เคยมีด้วยกัน เราเชื่อว่า เธอเผลอใจไปได้ และเราไม่โทษนางเอกนะคะ การที่คนแต่งทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ เราถือว่า เธอเก่งค่ะ

เช่นเดิมเล่มนี้จบแบบค้างคาค่ะ

คะแนนที่ 63


นี่เป็นรีวิวหลังจากที่กลับมาอ่านอีกรอบ หลังจากที่เล่มสุดท้ายในชุดออกขายแล้ว

เรามองเล่มนี้เหมือนตอนดูหนังเรื่อง The Empire Strikes Back ค่ะ นั่นคือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และน่าขัดใจเกิดขึ้นมากมาย แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิด เพื่อให้คาแร็คเตอร์มีการเติบโต ซึ่งในเล่มนี้คาแร็คเตอร์ที่โตมากขึ้นที่สุดก็คือ แคมเดน

เราชอบเขาในระดับนึงจากตอนอ่านเล่มแรก เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นพระเอกของเรื่อง จากการกระทำของฮาเวียร์ที่ข้ามเส้น แต่ในเล่มนี้ เราคิดว่าแคมเดนเป็นพระเอกเพราะตัวของเขาเอง ถ้านี่เป็นหนังสือกำลังภายใน ก็เป็นเล่มนี้แหละที่พระเอกฝึกวิทยายุทธ์สำเร็จ และกลายเป็นจอมยุทธ์

แคมเดนค้นพบด้านมืดของตัวเอง และพิสูจน์ว่า เพื่อเอลลีเขาทำได้ทุกอย่าง สำหรับเรานั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวละครในเรื่องนี้ไม่ใช่คนที่ขาวสะอาด ทุกคนมือเปื้อนเลือด เราพบว่า การก้าวข้ามหลักการของตัวเองที่แคมเดนทำไม่ได้ทำให้คุณค่าของเขาด้อยลง หากแต่กลับมากขึ้น เพราะเขาเสียสละมันเพื่อผู้หญิงที่เขารัก

"I will help you with whatever you need to do. You won't have to go through this alone. If you want to kill Travis, for whatever reasons you have, I will be there for you. And when you're done, if you let me, I will take you back home. And if you want to back out of it now, if you want to disappear tonight and never look back, Gus and I will help you with that too. What ever you've done or thought or planned or given up on, it doesn't change the fact that we came here for you. We came here to help you, Ellie, in whatever way you choose."

และนี่เป็นคำพูดที่เขาบอกเอลลี่ หลังจากเขาพบว่า เธอทรยศเขาด้วยการกลับไปมีเซ็กส์กับศัตรู ทั้งที่เขาทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยเธอ แคมเดนก็ไม่เดินหนี เขายังพร้อมที่จะทำเพื่อเธออยู่ดี

คาแร็คเตอร์ของแคมเดนในเล่มนี้แตกต่างจากฮาเวียร์อย่างชัดเจน เล่มนี้คือจุดตกต่ำที่สุดของเขา หลังจากที่เรามองว่าฮาเวียร์เป็นคนที่มีความน่าสนใจมากกว่าตอนที่อ่านเรื่อง On Every Street มาในเล่มนี้เราได้เห็นพัฒนาการ (ถ้าใช้คำนี้ได้) ของเขา เราประจักษ์กับความจริงที่ว่า ฮาเวียร์ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่เราอ่านเจอในเรื่อง On Every Street อีกต่อไป เขาเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างที่ทุกคนเปลี่ยน แต่การเปลี่ยนแปลงของเขาไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยความที่ชอบเรื่องแนวโรแมนซ์ของเรา อยากจะคิดว่า มันเกิดจากการที่เอลลี่เลือกที่จะเดินออกจากชีวิตของเขาเมื่อหกปีก่อน ทำให้ไม่มีใครที่จะสามารถเป็นเสียงแห่งความถูกต้องให้กับเขาก่อน แต่ความเป็นจริงก็คือ ถ้าเอลลีอยู่กับเขา ฮาเวียร์ก็คงจะพาเธอไปสู่ความชั่วร้ายด้วยอีกคน

เราอ่านรีวิวเจอว่าหลายคนบ่นเกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ของเอลลี เราไม่รู้สึกเลยนะคะ แม้ว่าเล่มนี้เธอจะแหกกฎหนังสือโรแมนซ์ด้วยการมีเซ็กส์กับฮาเวียร์ แต่เหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดนั้นน่าเชื่อพอสำหรับเรา เราคิดว่า ในเล่มนี้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอในที่สุด การเสียสละของเธอที่ยอมไปกับฮาเวียร์เพื่อช่วยลูกและอดีตภรรยาของแคมเดนบ่งบอกเป็นอย่างดี สำหรับเราแล้ว แคมเดนทำให้เอลลีมองหาความดีที่หลงเหลือในตัวเองจนเจอ และนั่นทำให้เธอแตกต่างไปจากฮาเวียร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง On Every Street ได้เปลี่ยนแปลงเอลลีให้เข้มแข็งขึ้น แต่เธอก็กร้านโลกมากขึ้น เธอทอดทิ้งความดีงามเพื่อเอาชีวิตรอด เรารู้สึกว่า แคมเดนคือเข็มทิศในชีวิตที่เธอต้องการ

เรารู้สึกว่า เราอ่านอีกครั้งแล้วเข้าใจความตั้งใจของคนแต่งมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้การอ่านเล่มนี้ง่ายขึ้นมาเลย สำหรับเรา มันเป็นความเจ็บปวดที่จำเป็น เพื่อบีบให้ตัวละครโตขึ้น และกลายเป็นคนแบบที่เราให้ความเคารพได้




View all my reviews