Friday, August 30, 2013

Review: Raphael/Parish


Raphael/Parish
Raphael/Parish by Alexandra Ivy

My rating: 2 of 5 stars



หนังสือออกขายเป็นอีบุ๊คอย่างเดียว และเป็นผลงานของความร่วมมือระหว่างนักเขียนแนวพารานอมอลมีชื่อสองคน ซึ่งก็คืออเล็กซานดร้า ไอวี และลอรา ไรท์ ซึ่งแต่ละคนรับผิดชอบแยกกันเขียนคนละเรื่องในหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นเล่มนี้จึงมีเล่มหนึ่ง และสองในชุดรวมอยู่ด้วยกัน

เรื่องนี้มีบทนำที่เล่าแบ็คกราวด์ของชุดเอาไว้ในระดับนึง ซึ่งทำให้อ่านเข้าใจได้ง่ายนะคะ โลกพารานอมอลในเรื่องไม่ถึงกับซับซ้อน (หรืออาจจะซับซ้อนในเล่มต่อ ๆ ไป อันนี้เราไม่รู้ แต่ในเล่มนี้ธรรมดาค่ะ)

Raphael ของอเล็กซานดร้า ไอวี

เล่มนี้เปิดเรื่องมาเหมือนอยู่ที่กลางเรื่อง เมื่อนางเอกถูกแม่ไล่ออกจากบ้าน หลังจากพบว่าเธอตั้งท้อง ปัญหาก็คือ แอชไม่แน่ใจว่า เธอท้องได้ยังไง ความจริงค่อย ๆ เปิดเผยออก ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่ต่อมาแอชถูกทำให้ลืม แต่ผลพวงของมันเปลี่ยนแปลงเผ่าพันธุ์ลึกลับเผ่านึงไปตลอดกาล

เรื่องนี้ค่อนข้างเวิร์คมากกว่าอีกเรื่องนึง (Parish) ในแง่ที่ว่า ตัวพระนางรู้จักและมีความสัมพันธ์กันมาก่อน อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่คนอ่านรับรู้ นั่นทำให้เรายอมรับได้ถึงพัฒนาการทางความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในหน้ากระดาษเล่มนี้ที่ค่อนข้างเร็ว เรายอมรับได้ที่แอชลงเอยด้วยการไว้ใจ และยอมตามราฟาเอลไปยังที่อยู่ลึกลับของเขา ส่วนหนึ่งเพราะเธอไม่มีทางเลือก (ถูกไล่ออกจากบ้าน) และได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับเขาไปแล้วในส่วนหนึ่ง

อย่างไรก็ตามปัญหาที่เราเจอกับเรื่องสั้นก็เกิดค่ะ มันสั้นเกินไป กว่าเราจะรู้สึกว่า ได้รู้จักคาแร็คเตอร์ เรื่องก็จบซะแล้ว

Parish ของลอรา ไรท์

เราชอบเรื่องนี้น้อยกว่าเรื่องแรกค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ คาแร็คเตอร์เริ่มต้นทุกอย่างจากหนึ่ง นั่นก็คือจูเลียไม่รู้จัก หรือรู้ว่าแพริชเป็นใครด้วยซ้ำ แถมเธอยังถูกลักพาตัวมายังดินแดนลึกลับเพื่อเป็นหมอประจำตัว (มาเป็นหมอให้กับแอช ที่ใกล้จะคลอดลูก) เรารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเร่งรีบ และไม่น่าเชื่อ ด้วยหน้ากระดาษที่จำกัดอาจจะทำให้คนแต่งไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก็เป็นสิ่งที่เราขัดใจค่ะ

นอกจากนี้ตอนจบของเล่มสองดูห้วนชอบกล ทิ้งท้ายค้างคาไม่มีบทสรุป เข้าใจค่ะว่า จะมีเล่มสามออกต่อไป

ในภาพรวม ขอบอกว่า ประทับใจไม่น้อย เพราะเรารู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องสั้นที่เขียนโดยนักเขียนสองคน แต่ความเป็นไปมีความสอดคล้องกันในระหว่างสองเรื่องนี้มาก ตัวละครที่ออกในเล่มหนึงและสอง ซึ่งเป็นตัวเดียวกัน แต่ถูกเขียนโดยนักเขียนคนละคนก็กลมกลืนจนดูไม่ออกว่า เขียนโดยคนละคน จุดนี้ขอชมนะคะ อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า โลกพารานอมอลเรื่องง่ายดายเกินไป ไม่มีอะไรน่าค้นหา หรือน่าติดตาม ก็แค่เรื่องโรแมนซ์ที่พระเอกแปลงร่างเป็นสัตว์ได้อีกเรื่อง

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: The Surrender of Miss Fairbourne


The Surrender of Miss Fairbourne
The Surrender of Miss Fairbourne by Madeline Hunter

My rating: 3 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุดสี่เล่ม (ดูจากสัญญาที่คนแต่งเซ็นต์กะสำนักพิมพ์) ที่เราคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องราวของเหล่าเพื่อนฝูงของคนที่เกี่ยวข้องกับพระนางของหนังสือเล่มนี้

การตายของมัวริซ แฟร์บอร์นไม่เพียงแต่จะเป็นการสูญเสียบิดาสำหรับมิสเอ็มมา แฟร์บอร์น แต่ยังเป็นความหายนะทางธุรกิจของกิจการตัวแทนการประมูลแฟร์บอร์นที่ครอบครัวของเธอเป็นผู้ก่อตั้งมาอีกด้วย นั่นเพราะมัวริซไม่เป็นเพียงแค่เจ้าของ เขายังเป็นหน้าตา เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นเสาหลักให้กับกิจการที่ต้องการความมั่นคงทางชื่อเสียงแห่งนี้มาก ๆ

ทุกคนคาดการณ์ว่า การประมูลที่เกิดขึ้นหลังงานศพของมัวริซจะเป็นการประมูลครั้งสุดท้าย จากนั้นเอ็มมา ลูกสาวคนเดียวของเขาก็คงจะปิด หรือขายกิจการไป เธอเป็นหญิงสาวผู้ราบเรียบ ถือว่าสูงวัยในสังคมที่คาดหวังว่าผู้หญิงต้องแต่งงาน แต่เอ็มมาก็ยังเป็นโสด แม้ในตอนที่บิดายังมีชีวิต และเงินของเขาน่าจะช่วยให้เธอหาคู่ได้ แต่เอ็มมาก็ยังเป็นโสด โอกาสของหญิงสาวคงจะหมดลงแล้ว พร้อมกับการตายของผู้เป็นพ่อ

ไม่มีใครคิดว่า เอ็มมามีแผนการสำหรับกิจการของครอบครัว นั่นเพราะเอ็มมาเชื่อเช่นเดียวกับบิดาว่า พี่ชายผู้หายตัวไปยังคงมีชีวิตอยู่ และเธอไม่ต้องการสูญเสียกิจการตัวแทนการประมูลซึ่งควรจะเป็นมรดกของพี่ชายไป เอ็มมาจึงวางแผนขึ้น เธอขอร้องให้ลูกจ้างเก่าแก่ของบิดารับหน้าเป็นมันสมอง ทั้งที่จริงแล้ว เอ็มมาต่างหากที่เป็นคนที่มีความรู้เพียงพอ แต่ด้วยความเป็นหญิง เธอไม่อาจออกหน้าได้ จึงจำเป็นต้องให้ใครบางคนรับความดีความชอบนี้ไปแทน

แผนการของเธออาจจะหลอกคนในสังคมได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเดเรียส เอิร์ลแห่งเซาท์เวท ซึ่งเป็นหุ้นส่วนลับ ๆ ของบิดา เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในกิจการของแฟร์บอร์น เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง เดเรียสต้องการให้เอ็มมาขายกิจการนั้นไปเสีย แต่เธอไม่ใช่คนที่เกลี้ยกล่อม หรือกระทั่งข่มขู่ในยอมทำตามได้ง่าย ๆ

แม็กซ์ชอบวิธีการที่เอ็มมาใช้จัดการกับเดเรียส ด้วยฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน เอ็มมาไม่อาจต่อต้านการเรียกร้องของเดเรียสต้องอารมณ์ได้ หลายครั้งที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน และเดเรียสกดดันให้เอ็มมาทำบางอย่างเพื่อยุติการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการตัวทางประมูลของครอบครัวของเธอ เอ็มมาใช้วิธีปฏิเสธแบบนิ่งเฉย เธอไม่แสดงอารมณ์ใส่เขา ในขณะเดียวกันก็จัดการจนเดเรียสคิดว่า ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ และเธอก็กลับไปทำทุกอย่างตามแผนการที่วางเอาไว้ จุดนี้เป็นส่วนที่เราชอบในเรื่องนี้มากที่สุด

นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลวร้ายนะคะ เพียงแต่เราอาจจะคาดหวังมากกว่านี้จากแมดเดลีน ฮันเตอร์ เรารู้สึกว่า ทุกอย่างมันเป็นสูตรมากเกินไป ลงตัวมากเกินไป เสียจนอารมณ์ของเขาไม่ได้ลงทุนไปกับตัวละครเท่าไหร ที่สำคัญที่เป็นอีกเล่มนึงที่ "ความบังเอิญ" เข้ามาเกี่ยวข้องเกินเหตุ ซึ่งอันนี้สังเกตมาตั้งแต่ชุด The Rarest Bloom แล้วล่ะ (เพื่อนพระเอกสี่คน พบรักและแต่งงานกะผู้หญิงสี่คนที่เป็นเพื่อนกัน) เล่มนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าสูตรแบบนั้นอีกแล้ว เรียกได้ว่า อ่านไป สามารถระบุตัวพระเอกนางเอกในเล่มต่อ ๆ ไปในชุดได้เลย

ช่วงท้ายเรื่องเรารู้สึกผิดหวังกะนางเอกเล็กน้อย ไม่มากเหมือนที่รู้สึกกะเรื่อง Dangerous in Diamonds หรอกนะคะ แต่ (สปอยล์) คิดว่า นางเอกน่าจะทำอะไรเพื่อช่วยตัวเองได้มากกว่านี้ เพราะเอาเข้าจริงก็กลายเป็นหนึ่งในนางเอกที่รอคอยความช่วยเหลือจากพระเอกอีกคนนึง เราคาดหวังมากกว่านี้จากแมดเดลีน ฮันเตอร์ค่ะ

รีวิวนี้เหมือนเขียนแต่ในเรื่องทางลบนะคะ แต่เป็นเพราะเราอ่านหนังสือที่ดีกว่านี้มากจากนักเขียนคนนี้ ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนี้มีข้อผิดพลาดที่รุนแรง ชนิดให้อภัยไม่ได้ มันเพียงแต่ไม่อาจเทียบกับความคาดหวังของตัวเราเองได้ต่างหาก



View all my reviews

Review: The Conquest of Lady Cassandra


The Conquest of Lady Cassandra
The Conquest of Lady Cassandra by Madeline Hunter

My rating: 3 of 5 stars



เรื่องนี้ถือเป็นหนังสือที่ดีเล่มนึงนะคะ แต่ก็เหมือนมีกรรมค่ะ เพราะเราคาดหวังอะไรที่มากกว่าแค่ "ดี" เพราะนี่คืองานเขียนของแมเดลีน ฮันเตอร์ เราคาดหวังความลึกซึ้งของอารมณ์ คาแร็คเตอร์ที่มีมิติ เรื่องราวที่เมโลดรามาหนัก ๆ ซึ่งเล่มนี้เป็นอะไรที่อยู่กลาง ๆ ของทุกอย่าง

เลดี้คาสซานดร้าเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่อยู่บนขอบของการยอมรับในวงสังคม ในอดีตเมื่อเป็นเด็กสาว คาสซานดร้าทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อเธอซึ่งถูกพบว่าอยู่ตามลำพังกับผู้ชาย กลับปฏิเสธที่จะแต่งงานกับชายคนนั้น เธอเลือกที่จะเสียชื่อเสียง แต่ใช้ชีวิตเป็นอิสระแทน

การกระทำของเธอ นอกจากจะทำลายชื่อเสียงของเธอเองแล้ว ก็ยังทำลายชื่อเสียงของชายคนนั้น เพราะทำให้คนในสังคมมองว่า ชายคนนั้นต้องมีอะไรที่เลวร้าย ขนาดคาสซานดร้าเลือกอยู่เป็นโสด ทั้งหมดนั่นทำให้เธอถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ดีเท่าไหรนักจากไวส์เคาท์แอมบูรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของชายที่ทำลายชื่อเสียงของเธอ

แอมบูรียิ่งไม่ชอบเธอมากขึ้น เมื่อหลายปีต่อมา เพื่อนของเขาตายในการดวลกับเพื่อนอีกคน การดวลที่เขาเข้าใจว่า เกี่ยวข้องกับคาสซานดร้า แต่แอมบูรีก็ต้องเก็บอาการไม่ชอบเอาไว้ก่อน เมื่อคาสซานดร้าเป็นแขกที่ถูกเชิญมาในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทอีกคนนึงของเขา กับเพื่อนสนิทของคาสซานดร้า (คู่พระนางในเรื่อง The Surrender of Miss Fairbourne)

จากเหตุการณ์ในเล่มก่อนหน้า แอมบูรีเป็นผู้ประมูลต่างหูราคาแพงของผู้เป็นน้าของคาสซานดร้า แต่เขามีเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่ยอมจ่ายเงินค่าราคาต่างหูนั้น ซึ่งทำให้คาสซานดร้าร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอกำลังต้องการเงินเพื่อใช้เป็นทุนในการย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น เนื่องจากน้องชายของเธอ (ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว) ข่มขู่จะพาน้าของพวกเขาไปกักขังที่โรงพยาบาล (ทางจิต)

มีอะไรเกิดขึ้นในเล่มนี้เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ คนอ่านเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่พระเอกไม่ชอบหน้านางเอก ก่อนที่มันจะเปลี่ยนไปเป็นความปรารถนา เริ่มต้นจากความพยายามของพระเอกในการสืบหาความจริงเกี่ยวกับต่างหู (ซึ่งพ่อของเขาบอกว่า เป็นสมบัติประจำตระกูล หากแต่ไปอยู่ในเมือของน้าของคาสซานดร้าได้อย่างไร) ไปถึงการที่เขากลายมาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาปกป้องคาสซานดร้าจากน้องชาย

ในแง่นึงเล่มนี้ก็อ่านสนุกไปได้เรื่อย ๆ นะคะ แต่เรารู้สึกว่า ขาดความลึกซึ้งทางด้านอารมณ์แบบที่เราคาดหวังจากงานเขียนของเมเดลีน ฮันเตอร์ เรารู้สึกว่า มันตื้นไปเล็กน้อย

คะแนนที่ 70



View all my reviews

Review: Crystal Gardens


Crystal Gardens
Crystal Gardens by Amanda Quick

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือขึ้นต้นชุดใหม่ The Ladies of Lantern Street แต่ในสาระจริง ๆ ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากชุดอาเคนเลยนะคะ เพียงแต่เล่มนี้แยกตัวออกมา ไม่มีสมาคมอาเคนอีกต่อไป แต่เรื่องราวก็ยังเล่าถึง ชายและหญิงที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติ

เอแวนเจลีน หนึ่งในหญิงสาวทีทำงานพิเศษให้กับสำนักงานที่ใช้ฉากหน้าเป็นสำนักงานจัดหางาน ฉากหน้าเธอถูกเข้าใจว่า ทำงานเป็นผู้ติดตามญาติผู้สูงอายุ แต่ความจริงหญิงสาวใช้ความสามารถที่เหนือธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการสืบหาความจริง เธอพึ่งเสร็จงานที่เสี่ยงอันตราย และถูกขอร้องให้ออกมาพักผ่อนที่นอกเมือง หญิงสาวเลือกเช่ากระท่อมที่อยู่ใกล้ ๆ คฤหาสน์ที่มีชื่อว่า คริสตัล การ์เด้นส์ สถานที่ซึ่งหญิงสาวสามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังเหนือธรรมชาติที่เล็ดรอดออกมาได้

ดังนั้นในคืนนึงเมื่อเอแวนเจลีนพบว่า บ้านที่อาศัยอยู่ถูกบุกรุกโดยคนร้ายที่หมายเอาชีวิต หญิงสาววิ่งหนีเข้าไปในคริสตัล การ์เด้นส์ ไปยังสวนที่ถูกร่ำลือถึงความลึกลับและอันตราย เธอเชื่อว่า ความสามารถทางพลังจิตของตัวเองมีมากพอที่จะเอาตัวรอดได้ แต่ไม่ทันได้พิสูจน์ ลูคัส เซบาสเตียน เจ้าของบ้านก็ปรากฎตัวขึ้น และช่วยเธอเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้น ลูคัสถือเป็นหน้าที่ของตัวเองในการคุ้มครองความปลอดภัยของเอแวนเจลีน

เรื่องนี้ตามสูตรแนวการเขียนของอแมนดา ควิก (เจนย์ แอนน์ ครานซ์) ทุกอย่าง ดังนั้นสำหรับเราที่ชอบการเขียนเรื่องสไตล์ของเธออยู่แล้ว จึงอ่านได้อย่างไม่มีปัญหา ออกจะเป็นความสุขด้วยซ้ำ กระนั้นก็คงต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรใหม่ในเนื้อเรื่อง ไม่มีความท้าทายอะไรเหลืออยู่ การดำเนินเรื่องแบบที่แฟนหนังสือของคนแต่งย่อมรู้ดีอยู่ก็ปรากฎตัวในเล่มนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่พระเอกมีปัญหากับการยอมรับของคนในครอบครัว (ในกรณีนี้คือแม่เลี้ยง) แต่นางเอกเข้าไปทำให้มุมมองเปลี่ยนแปลง คนในครอบครัวมองพระเอกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป หรือการที่นางเอกยอมรับตัวตนของพระเอกได้ แม้เขาจะหวาดกลัวในความสามารถที่ตัวเองมี และคิดว่าตัวเองเป็นคนประหลาด ไม่คู่ควร นางเอกก็ทำให้เขาวางใจ และเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง หรือก็คือ ทำให้พระเอกยอมรับตัวเองได้นั่นเอง

อย่างที่บอกนะคะ เล่มนี้ดำเนินไปตามสูตรสำเร็จของคนแต่ง แต่เราโอเคกับมัน เพราะเป็นสูตรที่เราชอบค่ะ

คะแนนที่ 70



View all my reviews

Review: Painted Faces


Painted Faces
Painted Faces by L.H. Cosway

My rating: 4 of 5 stars



ข้อดีของการที่อีบุ๊คแพร่หลาย ก็คือโอกาสที่มากขึ้นของนักเขียนในการนำเสนอผลงานของตัวเองโดยตรงต่อนักอ่าน ไม่มีข้อจำกัดที่ต้องขายผ่านสำนักพิมพ์ หรือการถูกบอกปฏิเสธว่า เรื่องที่มีพล็อตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักอ่านต้องการ การพิมพ์หนังสือขายเองก็คือ โอกาสที่จะพิสูจน์ว่า ไม่ว่าเรื่องพล็อตแบบไหน ก็มีนักอ่านกลุ่มนึงที่รอคอยอ่านอยู่ และเราคิดว่า หนังสือเรื่องนี้ก็คือส่วนหนึ่งในนั้น

ดังนั้นเราขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ขอบคุณเพื่อนของเรา (เธอรู้ว่า เธอคือใคร) ที่แนะนำให้เราได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้เช่นกัน เพราะด้านลบของอีบุ๊คก็คือ มีหนังสือมากมายอยู่ข้างนอกนั่น ไม่มีวันที่นักอ่านจะได้รู้จักหรือกระทั่งมองเห็นได้หมด เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาเรา (ชนิดที่เราไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ) จนกระทั่งเพื่อนคนนึงแนะนำให้เราอ่าน บอกเราว่า พล็อตแบบนี้ เราน่าจะชอบ

และเราก็ชอบค่ะ ชอบมาก ๆ เสียด้วย แต่ไม่ใช่แค่พล็อตอย่างเดียวที่เราชอบ หากแต่เป็นสิ่งที่เรียบง่ายมากที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในหนังสือโรแมนซ์ นั่นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพระนาง ที่เราคิดว่าเรื่องนี้เขียนได้ดีจริง ๆ

เรื่องเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงเด็กชายวัยสิบสี่ปีนามว่านิโคลัส ที่เติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ตัวเองแตกต่าง ด้วยอะไรบางอย่าง (หรือที่เรื่องนี้อธิบายว่า เป็นความโหยหาความรักจากผู้เป็นมารดาที่เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร และความเย็นชาจากผู้เป็นบิดา) นิโคลัสพบว่าตัวเองมีความสุขที่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ และเครื่องประดับของแม่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของตัวละครที่ซับซ้อนมากคนนึง

เรารู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ตอนที่เปิดบทที่หนึ่งแล้วเจอว่า เรื่องนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของนางเอกของเรื่อง ฟรีดา หรือที่เธอแนะนำตัวกับทุกคนว่า "เฟรด" เพราะเราอยากรู้จักนิโคลัสให้มากกว่านี้ แต่พออ่านไปเราก็ลืมความรู้สึกนั้นไปหมดสิ้น เราชอบการมองโลกของฟรีดา และไม่รู้สึกถึงความขาดในส่วนของมุมมองของนิโคลัสเลยแม้แต่นิดเดียว

ครั้งแรกที่พบกัน ฟรีดาแนะนำตัวกับเพื่อนบ้านหนุ่มสุดฮ็อตที่เพิ่งย้ายเข้ามาว่าให้เรียกเธอว่า "เฟรด" และเขาตอบกลับด้วยการบอกเธอว่า ให้เรียกเขาว่า "วีวิกา" เธอคิดว่า นั่นคือมุขตลกของชายเจ้าเสน่ห์ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปชมการแสดงของเขาในคลับแห่งนึง เมื่อม่านเปิดออก เธอก็รู้ว่า มันไม่ใช่

ในอีกตัวตนนึง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของนิโคลัสอย่างแยกไม่ออก เขาคือวีวิกา นางโชว์ที่มาเปิดการแสดงในกรุงดับลิน (ไอร์แลนด์) ชายผู้แต่งตัวเป็นหญิง ร้องเพลง และใส่ส้นสูงชนิดที่นางเอกของเรายังใส่ไม่ได้ด้วยซ้ำ สำหรับนิโคลัส วีวิกาไม่ใช่แค่ฉากหน้าของการแสดง แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเขา เป็นทางออกแบบนึง

หนังสือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำหรับคนที่ชอบความรักที่ตรงไปตรงมา เราไม่ได้หมายความว่า เรื่องนี้เป็นอีโรติกโรแมนซ์ แล้วมีฉากเซ็กส์ฮ็อต ๆ หรอกนะคะ เล่มนี้คือ Contemporary Romance ที่เน้นความสัมพันธ์ แต่เล่าผ่านตัวละครที่ไม่ธรรมดา กระนั้นนี่ก็คือโรแมนซ์ และความเป็นโรแมนซ์ของเล่มนี้แหละที่ชนะใจเราไปได้ขาดลอย

เราชอบตัวตนของเฟรด ในฐานะคนเล่าเรื่อง เราชอบมุมมองที่มีต่อโลกของเธอ การที่เธอยอมรับความแตกต่างของนิโคลัส และไม่ได้เอามันมาเป็นประเด็น แน่นอนว่าเราชอบนิโคลัส เพราะความแตกต่างของเขา และคิดว่า คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ในการสื่อถึงตัวตนของวีวิกา และนิโคลัส (เขาชอบแต่งเป็นหญิง แต่ไม่ได้ชอบผู้ชาย) เราไม่รู้หรอกนะคะว่า มันถูกต้องตามความเป็นจริงขนาดไหนในสังคมนางโชว์ แต่เรื่องนี้ให้มุมมองที่เปลี่ยนไปสำหรับเราเมื่อเห็นนางโชว์

ถ้าตัดเรื่องของวีวิกาออกไป นี่ก็คือเป็นแค่หนังสือโรแมนซ์ที่เล่าเรื่องชายพบหญิง ทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความเป็นเพื่อน พัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นความรัก เรื่องมันก็แค่นี้ แต่เราชอบการเล่าเรื่อง ชอบคาแร็คเตอร์ ชอบกระทั่งฉากความขัดแย้ง นอกจากนี้เรายังชอบตัวละครประกอบ เรื่องนี้ไม่ได้มีตัวละครที่เป็นสูตร เรารู้สึกว่า คนรอบข้างตัวเอกในเรื่อง คือมนุษย์คนนึง

เรื่องนี้เขียนคำโปรยที่หน้าปกว่า An Unconventional Tale of Love แต่สำหรับเราไม่มีอะไรที่ Unconventional กับเรื่องความรักในเล่มนี้เลยนะคะ มันลงตัวมาก ๆ

คะแนนที่ 80



View all my reviews

Review: Long Simmering Spring


Long Simmering Spring
Long Simmering Spring by Elisabeth Barrett

My rating: 3 of 5 stars



The third book in the Star Harbor Series and told the story of the second oldest brother, Cole Grayson.

I love the first book in the series (Deep Autumn Heat) and a little bit let down by the second book (Blaze of Winter) so I don't know what to expect when I picked up my Kindle.

Good news is this book is on par with the first book, which I really like.

This book explored the relationship between Cole, the sheriff and Julie, the town's doctor. Those two characters already met since they lived in the same town but the attraction was ignored. By Julie because of her workaholic and by Cole due to his complication with PTSD. But finally those two came together for both professional (they worked together to catch the bad guy) and personal relationship (when the attraction was too great to ignore).

This is the love story focus on Cole and Julie. The sub-plot about catching the drug dealers was not interesting enough to become anything more. But I like this way of story telling. I think it become what I expected from the Star Harbor Series.

I like the characters both hero and heroine for their determination to fight for love. Early in the story it was Julie, the heroine who hesitated about the feeling she had for Cole. I like that the hero was the one who convinced her to try to have a relationship. Usually in romance it was always the hero who ran away from love. Cole is my favorite Grayson brother so far. He may not have charms like Sebastian but I like his intensity, his wound. Although I think the issues of PTSD was taken a little bit too lightly. It had been mentioned throughout the story but Cole never returned to get any medical help. It was postponed one way or another until the end. Based on the story, I expected more than this.

In all, this book gave me exactly what I wanted in contemporary romance. It may not go that deep in my heart but it is a good book.

I got this book via NetGalley. (And that is the reason I wrote this review in English)





View all my reviews

Review: Sex and the Single Earl


Sex and the Single Earl
Sex and the Single Earl by Vanessa Kelly

My rating: 2 of 5 stars



ซื้อเล่มนี้มาในราคาลดราคาค่ะ (ห้าสิบบาท) ทำให้ความคาดหวังไม่ได้สูงมากมายอะไร ซึ่งเป็นข้อดีนะคะ เพราะเรื่องนี้ก็ถือว่า ให้ความสนุกสมกับราคา

เราหยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะเปิดบทนำลองอ่านแล้ว เจอพล็อตว่า พระเอกซึ่งเป็นท่านเอิร์ล แต่หมกหมุ่นในเรื่องการทำธุรกิจ ได้เจรจาการค้า และพบว่า ปัจจัยสำคัญที่เขาจะได้สัญญาการค้าด้วยกันก็คือ การที่เขาได้ครอบครองที่ดินผืนนึง ที่ดินที่ถูกกำหนดให้เป็นสินสมรสของน้องสาวของเพื่อนสนิท

ดังนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะให้ได้ที่ดินผืนนั้นมา ก็คือการแต่งงานกับเธอซะ โดยเฉพาะเมื่อเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่า หญิงสาวผู้นั้นได้หลงรักเขามาเป็นเวลานานแล้ว

เห็นพล็อตแบบนี้เลยตัดสินใจอ่านต่อเลยค่ะ น่าเสียดายว่า เรื่องในบทต่อ ๆ มาไม่น่าสนใจเท่ากับบทแรก เราเสียดายนะคะ เพราะคนแต่งไม่ค่อยได้เล่นประเด็นเรื่องที่พระเอกรู้ตัวว่า นางเอกหลงรักเขาอยู่แล้วเท่าไหร หากแต่มุ่งไปยังพล็อตที่นางเอกเข้าไปวุ่นวายกับเด็ก ๆ ในสลัม (ที่นางเอกเข้าไปเพื่อช่วยเหลือให้รอดพ้นจากพ่อที่โหดร้าย)

อย่างไรก็ตาม เล่มนี้มีช่วงเวลาที่น่าสนใจ ในความพยายามของนางเอกที่จะเอาชนะใจพระเอก พยายามเปลี่ยนเขาจากคนที่เย็นชามาเป็นชายที่รักเธอให้ได้ แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เอาสูตรสำเร็จมาใช้จนทำให้เรื่องนี้ไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้พล็อตจำเจเพื่อแสดงความเป็นแม่พระของนางเอก การที่เธอแส่เข้าไปหาเรื่องใส่ตัว เพื่อช่วยเหลือ "เด็กน้อยที่น่าสงสาร" การเสียสละของนางเอก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หนังสือแย่ลงนะคะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้นเช่นกัน

เรารู้สึกว่า คนร้ายไม่มีความน่าเชื่อเอาเสียเลย เรื่องกำหนดฐานะของนางเอกและพระเอกไว้เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูง ในขณะที่ตัวร้ายเป็นแค่พ่อเลว ๆ ของเด็กในสลัม จริงอยู่ว่า นั่นคือคนเลว แต่เราก็เชื่อว่า กระทั่งคนเลว ไม่ใช่คนโง่นะคะ เราคิดว่า การที่เรื่องแต่งให้คนร้าย (ซึ่งเป็นนักเลงกระจอก ๆ) จะเอาตัวนางเอกไปขายซ่อง (ไปจนถึงความพยายามข่มขืนเธอ) ช่วงตอนท้ายเรื่อง โดยร่วมมือกับแม่เล้า มันไม่น่าเชื่อ และดูมากเกินไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านจบแล้วก็จบเลยค่ะ ไม่ได้มีอะไรติดใจ หรือประทับใจ

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Hip Check


Hip Check
Hip Check by Deirdre Martin

My rating: 2 of 5 stars



เราเริ่มต้นอ่านงานเขียนของเดียเดร มาร์ตินกะราเชล กิ๊บสันในเวลาไล่เลี่ยกัน ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยนะคะที่จะไม่นำทั้งคู่มาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองคนเขียนเรื่องโรแมนซ์ของนักฮ็อกกี้ด้วยกันทั้งคู่ แต่การเปรียบเทียบก็จบลงตั้งแต่เริ่มต้นค่ะ เพราะแนวเรื่องของเรเชล กิ๊บสัน และเดียเดร มาร์ตินแตกต่างกันมาก ถึงจะเขียนเรื่องแนว contemporary romance ด้วยกันทั้งคู่ แต่สไตล์การเล่าเรื่อง หรือพล็อตเรื่องก็แตกต่าง

เรื่องของเดียเดร มาร์ตินจะมีความจริงจัง ซีเรียส และสมจริงมากกว่า เราไม่ปฏิเสธนะคะว่า เราชอบงานของเรเชล กิ๊บสันมากกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่งานของเดียเดร มาร์ตินก็เป็นสิ่งที่เราติดตามอ่านเรื่อยมา

พระเอกในเล่มนี้เป็นคาแร็คเตอร์ที่ออกมาเป็นตัวประกอบในหลายเล่มก่อนหน้า และทุกครั้งที่เขามีบทบาท ก็ไม่ได้ถูกนำเสนอในด้านที่ดีนัก เขาเป็นนักฮ็อคกี้ที่หลงตัวเอง เสือผู้หญิง ปากเสีย และเห็นแก่ตัว แต่เชื่อมั่นนะคะ ก่อนที่จะเปิดอ่าน (เราหยิบมาอ่านอย่างไม่ลังเลเลย) ว่า ฝีมือการเขียน การเล่าเรื่องของคนแต่ง จะทำให้เราเชื่อได้ว่า ผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นพระเอกโรแมนซ์ที่สมบูรณ์แบบ

แต่เราก็ผิดหวังค่ะ เราคาดหวังว่า เล่มนี้จะเป็นเรื่องของการเดินทางไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของพระเอก การที่เขาเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ โดยเฉพาเมื่อพล้อตเรื่องเริ่มต้นด้วยการกำหนดให้เขากลายเป็นผู้ปกครองหลานสาว ซึ่งเป็นลูกสาวของน้องสาวผู้เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุ แต่เราอ่านไปจนจบเล่มก็ไม่ได้สัมผัสถึงการเติบโตขึ้นของเขา ยิ่งไปกว่านั้น คาแร็คเตอร์ของนางเอกก็เป็นสิ่งที่เราผิดหวัง เธอคือพี่เลี้ยงเด็กมืออาชีพที่ถูกจ้างมาดูแลหลานสาวให้กับพระเอก แต่ทั้งคู่ก็เริ่มต้นมีความสัมพันธ์ทางเพศกันอย่างรวดเร็ว (มีใครนึกถึงจรรยาบรรณบ้างไหม) และเรื่องก็โฟกัสไปอยู่ที่นางเอก จนเรารู้สึกว่า เส้นทางการเรียนรู้ การเติบโตของพระเอกแทบจะไม่อยู่ในเรื่อง

แน่นอนว่า ตอนจบเรื่องแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพระเอก แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่า เขามาอยู่ที่จุดนั้นได้อย่างไร

ไม่ได้มีอะไรเสียหาย หรือเลวร้ายในเล่มนี้นะคะ เพียงแต่เราไม่เชื่อในการเติบโตของพระเอก โดยเฉพาะเมื่อเขานิสัยแย่มาก ๆ ในเล่มก่อนหน้า (ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องในชุดนี้มาก่อน อาจจะอ่านเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลยก็ได้)

คะแนนที่ 57



View all my reviews

Review: Seeing is Believing


Seeing is Believing
Seeing is Believing by Erin McCarthy

My rating: 2 of 5 stars



หยิบเล่มนี้มาอ่านโดยไม่รู้เลยว่า นี่คือเล่มสามในชุด แล้วก็เล่าเรื่องตัวละครเด็กในสองเล่มแรก แต่ก้ไม่เป็นปัญหาอะไรนะคะ เราไม่ได้อ่านเรื่องชุดนี้เรียงกันมา ก็อ่านได้รู้เรื่อง (แม้จะงงไปกับความสัมพันธ์ของคาแร็คเตอร์ในชุดไปบ้าง)

เราหยุดอ่านงานเขียนของเอริน แม็คคาร์ธี้ไปพักใหญ่ๆ เลยนะคะ เรายังไม่ได้อ่านชุด Fast track ของเธอเลยสักเล่ม ระหว่างนั้นก็ได้ยินแต่เสียงวิจารณ์ในทางที่ดีเกี่ยวกับงานของเธอ แต่ไม่รู้ว่า คำวิจารณ์ที่ได้ยินเป็นเรื่องในชุด Fast Track รึเปล่า เราดันมาหยิบเล่มนี้ที่ไม่ได้อยู่ในชุดนั้นมาอ่าน เราเลยรู้สึกผิดหวังไม่น้อย

ปัญหาใหญ่ที่เรามีต่อเล่มนี้ก็คือ การที่พระนางกระโจนไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว เรื่องอาจจะปูพื้นมาว่า ไพเพอร์นางเอกแอบหลงรักเบรดี้มาตั้งแต่เด็ก แต่มันก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไหรสำหรับเรา ที่เมื่อทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างบังเอิญ เพียงแค่วันเดียว ก็จบลงบนเตียง กับฉากเซ็กส์ที่บรรยายเห็นภาพชัดเจน

เราอาจจะหัวเก่าเกินไปมั้งคะ ไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่อีโรติกโรแมนซ์ อีกอย่างอายุของตัวละครในเรื่องก็ไม่ได้มากมายอะไร (อยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ) เราเลยรู้สึกแปลก ๆ ที่ทั้งสองรีบร้อนที่จะมีเซ็กส์กันเร็วแบบนี้ แต่ก็อีกนะคะ อาจจะเป็นไปได้ว่า เพราะอายุของตัวละครน้อยก็ได้ เลยรีบมีเซ็กส์ เพราะไม่มีความคิดในหัวเท่าไหร มีแต่ฮอร์โมน

ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นปัญหาสำหรับเรา ไม่แน่ใจว่า สำหรับคนอื่นจะรู้สึกไหมนะคะ

นอกจากประเด็นที่กล่าวไป ก็ยังเป็นความไร้พล็อตของเรื่อง เรื่องเปิดมาว่า นางเอกเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ มองเห็นผีได้ เรื่องจึงเปิดประเด็นเกี่ยวกับความลับในอดีตของผีสาวที่สิงอยู่ในบ้านที่นางเอกอาศัยอยู่เล็กน้อย ส่วนพระเอกเป็นศิลปินตกอับ คนที่ขายพรสวรรค์แล้วหันไปทำงานบริษัท แต่ก็ล้มเหลวโดนไล่ออกจากงาน และกลับซบซานมายังบ้านเกิด เราไม่ได้มีปัญหากับพระเอกตกอับนะคะ (เราชอบ และชอบเรื่อง In Sinful Harmony ของแมริลีน แพพพาโนมาก) แต่เราอ่านไปจนจบเรื่อง ก็ไม่ได้รู้สึกว่า มันตอบโจทย์เรื่องราวอะไรเลย ก็แค่ เป็นศิลปินดี ทำงานบริษัทเลว ไม่มีจุดกึ่งกลาง

และเนื่องจากเรื่องไม่มีพล็อตเป็นชิ้นเป็นอัน เราจึงคาดหวังไว้กับความสัมพันธ์ระหว่างพระนาง ซึ่งมันล้มเหลวตั้งแต่เริ่มเรื่อง เมื่อพระเอกนางเอกมีเซ็กส์กันแบบฟ้าผ่า ชนิดเรายังไม่ได้เตรียมใจ ก็ขึ้นเตียงกันแล้ว (จริง ๆ เรื่องแนว contemporary romance ที่เริ่มต้นด้วยการมีความสัมพันธ์ทางเพศของพระนางเลยตั้งแต่บทแรกก็มีอีกหลายเล่มนะคะ แล้วที่เขียนดี ๆ ก็ยังมีอีกเยอะ แต่เล่มนี้ไม่ได้เข้าข่ายนั้นเลย) เราไม่รู้สึกว่า ไพเพอร์และเบรดี้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มนี้ หรือเรียนรู้อะไรจากกันและกัน ทำให้ตลอดทั้งเรื่องเราไม่เชื่อในโรแมนซ์ที่เกิด ไม่เชื่อในตอนจบอย่างมีความสุขของเรื่อง

คะแนนที่ 57



View all my reviews

Review: Your Wicked Heart


Your Wicked Heart
Your Wicked Heart by Meredith Duran

My rating: 2 of 5 stars



เล่มนี้เป็นเรื่องสั้น ที่ออกขายเป็นอีบุ๊คอย่างเดียว และถือเป็นเล่มเปิดชุด Rules for the Reckless ซึ่งว่าไปทั้งหมดนั่น เราก็ต้องบอกว่า ไม่ถึงกับจำเป็นจะต้องดิ้นรนไปหามาอ่านหรอกนะคะ เพราะเรื่องแทบจะไม่มีอะไรสัมพันธ์กับเล่มแรกในชุด (That Scandalous Summer) เลย นอกจากคาแร็คเตอร์ตัวนึง (ซึ่งเราทราบต่อมาภายหลังว่า จะเป็นนางเอกเล่มสองในชุด) มีบทบาทนิดนึงในเล่มนี้ ด้วยการเป็นเพื่อนร่วมห้องของนางเอก

อแมนดา โธมัสในชุดแต่งงานที่รอเจ้าบ่าวเก้อ หลังจากที่เธอตัดสินใจเดินทางออกจากอังกฤษเพื่อทำงานเป็นเพื่อนร่วมทางให้กับสาวในวงสังคมคนนึง แต่แผนไม่เป็นผล เธอพบว่าตัวเองถูกเจ้านายทำร้าย จนต้องหาทางออกด้วยการแต่งงานกับไวส์เคาท์ริปตัน ชายคนแรกที่แสดงความสนใจในตัวเธอ ปัญหาก็คือ ในวันแต่งงานเขาหายตัวไป และที่ร้ายไปกว่านั้น เขาไม่ใช่ไวส์เคาท์ริปตันด้วยซ้ำ

คนที่ปรากฎตัวต่อหน้าเธอ และต่อมาคือคนที่ร่วมเดินทางลงเรือเพื่อกลับไปอังกฤษด้วยกัน คือไวส์เคาท์ริปตันตัวจริง และเขากำลังออกตามหาญาติที่แอบอ้างชื่อของเขาไปใช้ การได้พบกับอแมนดาคือความยุ่งยาก และน่าสนใจ

เราต้องสารภาพตรงนี้นะคะว่า เป็นคนที่อ่านงานของเมเรดิธ ดูแรนแล้วไม่เก็ตค่ะ เพื่อนของเราหลายคน(รวมทั้งนักวิจารณ์มากมาย) ให้ความชื่นชมฝีมือการเขียนของเธอ แต่เราไม่เก็ตค่ะ เราคิดว่า เธอเป็นนักเขียนที่ดี แต่เราเข้าไม่ถึงความสามารถของเธอ นี่เป็นงานเล่มที่สามของเธอที่เราอ่าน แต่เราก็ยังรู้สึกเฉย ๆ นั่นคือ เป็นเรื่องสั้นที่อ่านได้ น่าสนใจ แต่เมื่อจบ ก็คือจบ เราไม่รู้สึกว่า มีอะไรโดดเด่นที่ต้องจดจำ

เราไม่ชอบความบังเอิญในเรื่อง การที่นางเอกเจอกับญาติของพระเอก ไปจนถึงการที่เธอได้เจอกับพระเอกภายหลัง การที่ทั้งคู่โดยสารเรือลำเดียวกัน ทำให้ได้ใกล้ชิดกัน การที่จู่ ๆ ญาติปรากฎตัวกลับมาอีกครั้ง ทั้งหมดนั่นเป็นความบังเอิญที่มากเกินไปสำหรับเรา

แต่เราชอบตอนจบนะคะ สำหรับเรา นี่เป็นส่วนที่ดีที่สุดในเรื่อง

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: That Scandalous Summer


That Scandalous Summer
That Scandalous Summer by Meredith Duran

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้มีบทเปิดเรื่องได้น่าสนใจที่สุดเรื่องนึง เรื่องแนะนำตัวละครสองพี่น้อง พี่ชายที่เป็นดยุคผู้กำลังอยู่ในภาวะผิดหวังอย่างรุนแรง มากเสียจนทำลายตัวตนของเขา มากขนาดที่เขาจะขู่น้องชายผู้ที่สนิทกับเขาอย่างมากให้แต่งงานกับคนที่เขาเห็นชอบ มิฉะนั้นจะทำการปิดโรงพยาบาลซึ่งเป็นความฝันของน้องชายลง

ไมเคิลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไปให้พ้น เขาคาดการณ์ว่า การที่เขาหายหน้าไปสักระยะนึงจะทำให้พี่ชายอารมณ์เย็นลง และสถาณการณ์คงจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า ระหว่างนั้นเขาจึงย้ายไปอยู่ในบ้านพักชนบท ใช้ชีวิตเป็นหมอบ้านนอก และทำเสมือนลอร์ดไมเคิล ผู้เป็นน้องชายของดยุคผู้ทรงอำนาจไม่ได้มีตัวตน

ซึ่งที่นั่นเองเขาได้พบกับอลิซาเบ็ธ สาวสังคมแสนสวยที่กำลังมีปัญหาใหญ่ เธอเพิ่งค้นพบว่า ทรัพย์สินมหาศาลที่สามีทิ้งเอาไว้ให้ได้หมดลงไปแล้ว และตอนนี้เธอจำเป็นต้องคิดถึงอนาคตว่าจะทำยังไงต่อไป

การพบกันอย่างบังเอิญนำไปสู่ความสัมพันธ์ ที่แม้จะเริ่มต้นอย่างที่ทั้งสองไม่ได้พูดความจริงต่อกัน แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่จริงจังอย่างยิ่ง

เราชอบเรื่องนี้ในทุกอย่างค่ะ ยกเว้นนางเอก

และนี่คือ ปัญหาใหญ่

ไม่ใช่ว่า เรามีปัญหากับการอ่านนางเอกที่ผ่านโลก (และผู้ชาย) มามากนะคะ แต่มีอะไรบางอย่างในตัวอลิซาเบ็ธที่เรารู้สึกไม่ชอบเธออย่างยิ่ง และเราก็ชอบไมเคิลมากมาย ทำให้เรารู้สึกตลอดเวลาว่า เขาควรได้นางเอกที่คู่ควรกับเขามากกว่านี้ เราพยายามคิดนะคะว่า คุณสมบัติอะไรในตัวนางเอกที่ทำให้เราไม่ชอบเธอ ซึ่งก็อธิบายยากอยู่ แต่เป็นความที่เธอดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองเลย

ในเรื่องมีการบอกอย่างชัดเจนว่า นางเอกเป็นคนดี ห่วงใยคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอทุกคน นั่นทำให้เธอต้องคิดแผนการหาเงินมาเติมในคลังทรัพย์สิน เพราะแม้เธอจะไม่ได้หมดตัว แต่ก็ต้องหาเงินให้มากพอจะเลี้ยงดูบริวาร ทางออกที่เธอคิดถึงก็คือ การแต่งงานกับผู้ชายที่มีเงิน จริง ๆ มันก็เป็นทางออกที่มีเหตุผล แต่กลับทำให้เราหวนนึกไปถึงสาเหตุที่นำเธอมาสู่จุดนี้ (ที่เงินหมด) เพราะเธอไม่เคยใส่ใจในทรัพย์สินที่อดีตสามีทิ้งไว้ให้ เธอปล่อยให้อยู่ในความดูแลของทนายความ แล้วก็ช็อคเมื่อพบว่า มันหมดไปแล้ว ทางออกของเธอก็ง่าย ๆ คือการแต่งงานเพื่อเงิน มันดูไม่ได้ใช้สมองหรืออะไรเลย จริงอยู่ในท้ายที่สุดเธอไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่การอ่านไปมากกว่าครึ่งเรื่อง กับความคิดของนางเอกที่ว่า เธอไม่มีทางออกอื่นอีกในชีวิตนอกจากแต่งงานเพื่อเงิน มันก็ทำให้เราไม่ชอบผู้หญิงเขานี้มากโข

นอกจากคาแร็คเตอร์ของนางเอกแล้ว เราชอบเล่มนี้มาก ๆ ค่ะ บทสนทนาระหว่างพระนางก็น่าอ่าน (แต่เราไม่สนุกไปกับมัน เพราะเราไม่ชอบนางเอก) ตอนท้ายเรื่องก็จบได้ดี ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นการแสดงนะคะว่า นางเอกมีอะไรมากกว่าที่เราคิดว่า เธอเป็น แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น มันก็สายเกินกว่าจะทำให้เราเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอไปแล้วล่ะ

คะแนนที่ 63





View all my reviews

Review: Lady Eve's Indiscretion (The Duke's Daughters, #4)


Lady Eve's Indiscretion (The Duke's Daughters, #4)
Lady Eve's Indiscretion (The Duke's Daughters, #4) by Grace Burrowes

My rating: 2 of 5 stars



นี่เป็นอีกเล่มนึงของเกรซ เบอร์โรว์ที่อยู่ในระดับ "อ่านได้" สำหรับเรา แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น อย่างน้อยเล่มนี้ นางเอกก็ไม่มีความลับดำมืดที่รอคอยให้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย (นางเอกมีความลับดำมืดนะคะ แต่ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรเลยในเรื่อง) ซึ่งถือว่า เป็นจุดที่แตกต่างจากอีกหลายเล่มของนักเขียนคนนี้

เล่มนี้เล่าเรื่องของเลดี้อีฟ ลูกสาวคนเล็กของดยุคแห่งวินแฮม กับลูคัส มาร์ควิสแห่งดีน ซึ่งทั้งคู่รู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว เพราะลูคัสคือ เพื่อนของพี่ชายของอีฟนั่นเอง เรื่องราวเล่าจนทำให้ดูเหมือนว่า การจับคู่ระหว่างอีฟ และลูคัสเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ดยุคและดัชเชสต้องการให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา ลูคัสต้องการหาภรรยาที่ร่ำรวยสักคนเพื่อช่วยเหลือในเรื่องฐานะ เรื่องราวสอดใส่ประเด็นเรื่องสิทธิการเลี้ยงดูหลานสาวของลูคัส ที่พี่เขยของเขาไม่ค่อยถูกกับเขาเท่าไหรนัก

เรื่องน่าเศร้า (สำหรับเรา) ก็คือ เรารู้สึกว่า เรื่องของพี่เขยของลูคัส น่าสนใจมากกว่าเรื่องของพระนางในเล่มด้วยซ้ำ เพราะจะว่าไป เล่มนี้ไม่มีอะไรเลยนะคะ มีการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวเอกบ้าง แต่ด้วยตัวตนที่นำเสนอในเรื่องนี้ เราไม่รู้สึกว่า ทั้งลูคัส หรืออีฟน่าสนใจ ส่วนหนึ่งคงเพราะเราไม่เข้าใจความหวาดกลัวที่กัดกินใจของอีฟอยู่ก็ได้

เมื่อหลายปีก่อนอีฟประสบอุบัติเหตุตกม้า และต้องใช้เวลารักษาตัวนาน รวมทั้งต้องหัดเดินใหม่ด้วย นี่เป็นประเด็นสำคัญทำให้เธอไม่ยอมขี่ม้าอีกเลย (และนำไปสู่ปัญหาหลายอย่างของเธอเอง) เรื่องไม่ได้ให้รายละเอียดมากพอ หรือเล่าย้อนเหตุการณ์นั้น จนทำให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับอีฟ เราไม่เห็นความทรมานที่เธอประสบ เราจึงไม่เข้าใจความกลัวของเธอ และเรากล่อมให้ตัวเองเชื่อความกลัวที่เธอมีไม่ได้ค่ะ นั่นจึงทำให้คาแร็คเตอร์ของอีฟสำหรับเราดูแบนราบ ทั้งที่จริง ๆ มีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเธอมากมาย

คะแนนที่ 57



View all my reviews

Review: Guardian Demon


Guardian Demon
Guardian Demon by Meljean Brook

My rating: 5 of 5 stars



หนังสือเล่มที่แปดในชุด The Guardians ของเมลจีน บรู๊ค และถือเป็นสุดท้ายปิดชุด (แม้ว่า หลังจากนี้จะมีเรื่องสั้นออกมา แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างเหตุการณ์ของเล่มนี้) ซึ่งสำหรับเราแล้ว หนังสือชุดนี้ถือเป็นชุดแถวหน้าที่เราชอบมาก ๆ เป็นชุดที่เราคิดว่า คนเขียนวางโครงเรื่องได้อย่างแยบยล และการเขียนในแต่ละเล่มก็แสดงให้ด้านต่าง ๆ ของโลกในเรื่อง และตัวละครที่มีความแตกต่าง แต่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันเลย

สำหรับคนที่อ่านเรื่องชุดนี้ ตัวละครที่ถือว่ามีความสำคัญ และอาจจะเรียกได้ว่า เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดก็คือ ไมเคิล เขาออกมาตั้งแต่ในเรื่องสั้นเล่มแรก และเรื่องราวของเขา (หรือเราจะเรียกว่า ตัวตนของเขา) ถูกบอกเล่าผ่านหนังสือทุกเล่มในชุด กระนั้นคนแต่งไม่ได้ทำให้ไมเคิลเป็นตัวละครที่แย่งบท หรือความโดดเด่นจากพระนางในแต่ละเรื่องหรอกนะคะ เรื่องราวของเขาซึ่งน่าสนใจถูกนำเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องอย่างชาญฉลาด และผลักดันให้พล็อตเดินหน้าไป

กระนั้นเราคงต้องบอกว่า เราไม่แนะนำให้ใครเริ่มต้นอ่านหนังสือชุดนี้ที่เล่มนี้ เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น และที่สำคัญ คุณจะสปอยล์ตัวเองในการอ่านเล่มนี้ทำไมล่ะ ค้นพบตัวตนของไมเคิลจากเล่มอื่น ๆ ก่อนหน้าดีกว่าค่ะ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย (สำหรับเรา) ที่จะรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ในเล่มก่อนหน้า

และเพราะเรามีเวลา และเราหลงใหลหนังสือชุดนี้มากมาย เราขอท้าวความย้อนกลับไปตั้งแต่จุดกำเนิด แรกเริ่มเมื่อไมเคิลมีบทบาทในเรื่อง เราเปรียบเทียบคาแร็คเตอร์ของเขากับเซ็นต์ไมเคิล คิดขนาดว่า อาจจะเป็นคนคนเดียวกันด้วยซ้ำ เมื่อเรื่องราวที่บอกเล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเหล่าการ์เดี้ยน ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องมนุษย์จากปีศาจจากนรก เริ่มต้นเมื่อไมเคิล ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่แสดงความกล้าหาญด้วยการฆ่ามังกร ที่ลูซิเฟอร์พามาเป็นลูกสมุนจากดินแดนที่เรียกว่า เคออส การที่ลูซิเฟอร์ได้มังกรเข้ามาร่วมในสงครามกับทูตสวรรค์ (ที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์) ทำให้เหล่าทูตสวรรค์เกือบพ่ายแพ้ แต่การที่มนุษย์อย่างไมเคิลเลือกข้าง และช่วยด้วยการฆ่ามังกร ทำให้สงครามระหว่างสวรรค์และนรกจบลง ไมเคิลได้รับแต่งตั้งให้เป็นการ์เดี้ยนคนแรก และเป็นผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนมนุษย์คนอื่น ๆ ให้กลายเป็นการ์เดี้ยนด้วยเช่นกัน หากมนุษย์ผู้นั้นพิสูจน์ตัวเองด้วยการเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อคนอื่น (และตายด้วยน้ำมือของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ)

เราไม่คิดว่า คาแร็คเตอร์ของไมเคิลน่าสนใจเท่าไหรนัก เขาดูเป็นตำนานมากเกินไป เรื่องราวของเขากล้าหาญ น่าจดจำ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเขาเป็นคนที่น่าเบื่อหน่าย ชายผู้เลือกความถูกต้องทุกครั้ง เรามักจะชอบคาแร็คเตอร์ที่อยู่ในโลกสีเทามากกว่า

แต่ในระหว่างหนังสือเล่มแรกที่ไมเคิลปรากฎตัวขึ้น จนมาถึงเล่มนี้ซึ่งเล่าเรื่องราวของเขา เมลจีน บรู๊ควิวัฒนาการตัวตนของไมเคิล เราอาจจะใช้คำไม่ถูกนะคะ เพราะตัวตนของไมเคิลไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจากเล่มแรก เพียงแต่สายตาของคนอ่านที่มองตัวตนของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายจากเล่มแรก

อย่างช้า ๆ เขาไม่ใช่ชายผู้สมบูรณ์แบบทุกอย่างอีกต่อไป ไมเคิลมีด้านมืด ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาค่อย ๆ เปิดเผยออก เขาไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยลูซิเฟอร์เพื่อครอบครองโลก เพียงแต่แผนผิดพลาด และบัดนี้ไมเคิลเป็นคนเพียงคนเดียวที่จะหยุดยั้งลูซิเฟอร์ได้

จากตอนจบในเรื่อง Demon Marked ในที่สุดไมเคิลก็ถูกปลดปล่อยออกจาก Frozen Field ซึ่งเป็นดินแดนที่ใช้ลงโทษวิญญาณที่ผิดคำพูดที่ให้ไว้กับปีศาจ ไมเคิลเสียสละตัวเองเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับ Frozen Field เพื่อหยุดยั้งลูซิเฟอร์จากการเปิดประตูสู่โลกโดยผ่านทางดินแดนเคออส (ถ้าอ่านแล้วงง ก็แสดงว่าไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้าในชุด ดังนั้นอย่างซีเรียสค่ะ เราแนะนำให้กลับไปอ่านก่อนนะคะ) แต่เมื่อถูกปล่อยออกมา วิญญาณของไมเคิลเหลือแต่แก่น ความรู้ผิดชอบชั่วดีได้หายไปหมดแล้ว และนี่ก็คือตัวตนของไมเคิลที่แอนโดรมีดรา เทย์เลอร์ได้เผชิญหน้า

แอนดี้ เทย์เลอร์ อดีตนายตำรวจสาวที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างช่วยไม่ได้ กลายเป็นการ์เดี้ยนเพราะเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องคู่หูจากความตาย และเธอคือคนที่ต่อเชื่อมทางจิตกับไมเคิลตลอดเวลาที่เขาถูกขังไว้ที่ Frozen Field ดังนั้นเธอจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะพาไมเคิลกลับสู่เหล่าการ์เดี้ยน หากแต่การเผชิญหน้ากันในนรก เมื่อเทย์เลอร์ได้เห็นตัวตนแท้จริงของไมเคิล มันทำลายทุกอย่างที่เธออาจจะรู้สึกต่อเขา และสร้างคำถามต่อความเชื่อที่เธอมี

เราชอบประเด็นนี้ในเรื่องมาก ๆ เพราะเราเริ่มต้นเรื่องด้วยการคิดว่า ไมเคิล "ดี" เกินไป แต่ในเล่มนี้ได้ท้าทายความคิดของเรา เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นคนที่เขาเป็นในปัจจุบัน ทุกสิ่งย่อมมีวิวัฒนาการ และเราใช้คำนี้กับไมเคิล (แต่วิวัฒนาการของไมเคิลมันเกิดขึ้นและทำให้เขากลายเป็นคนอย่างที่เขาก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นเล่มแรกในชุด) เขาถูกสร้างขึ้นมาโดยปีศาจ แก่นของเขาผูกพันกับดินแดนแห่งเคออส (เพราะพ่อของเขากินเนื้อมังกรเพื่อให้สามารถมีลูกกับมนุษย์ได้) ดังนั้นในส่วนลึกที่สุดไมเคิลไม่ใช่ "ความดี" หากแต่เป็นความกระหาย บ้าคลั่ง แต่เพราะความเข้มแข็งของเขา การสั่งสอนจากครอบครัว (ก่อนที่พ่อของเขาจะคืนสู่ตัวตนแท้จริง นั่นคือปีศาจ) และเทวทูตที่รอบกาย ไมเคิลเรียนรู้ และสร้างกรอบศีลธรรมให้กับตัวเอง เราพบว่า ตัวเองทึ่งกับแนวคิดนี้มาก ๆ บางสิ่งที่เริ่มต้นจาก "ความชั่วร้าย" กลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่ปกป้องมนุษยชาติจากความชั่วร้ายที่แท้จริงได้

ในแง่ของคาแร็คเตอร์ แม้เราจะพบว่า ตัวเองเห็นว่า ไมเคิลมีความน่าสนใจมากขึ้น เราไม่ได้เกิดอาการคลั่งไคล้เขาเหมือนกับที่เราเป็นกับคาแร็คเตอร์บางตัวในชุดนี้ (คอลิน, เจค, และโรซาเลีย) อาจจะเพราะตัวตนของไมเคิลยิ่งใหญ่มากเสียจนเราอยู่ในอาการทึ่ง แบบเดียวกับที่เหล่าการ์เดี้ยนคนอื่น ๆ รู้สึก ในเรื่องคนแต่งบอกเล่าชีวิตของไมเคิลไม่ได้โดยละเอียด แต่มากพอทำให้เราเข้าใจเขา ไมเคิลกลายมาเป็นคนแบบที่เขาเป็นเพราะการเรียนรู้ บทเรียนจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนที่เขาเป็นเมื่อสองพันปีก่อน ไม่ใช่ตัวตนของเขาในปัจจุบัน

และนั่นนำไปสู่ปัญหาใหญ่ของเขา เพื่อช่วยให้วิญญาณไมเคิลกลับร่าง คาวีห์หนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของเขา คนที่คิดว่า รู้จัก "ธรรมชาติ" ของไมเคิลดีที่สุด ใช้วิธีการที่เธอเชื่อว่า จะประสบความสำเร็จ แต่ไมเคิลคนที่คาวีห์รู้จักคือเมื่อสองพันปีก่อน ไมเคิลคนนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง จะไม่ดึงรั้งอะไรเอาไว้มากเกินความจำเป็น แต่ไมเคิลในปัจจุบันไม่ใช่ชายคนนั้นอีกต่อไป ดังนั้นการที่คาวีห์แยกจิตวิญญาณของไมเคิลออกจากเทย์เลอร์ จึงกลายเป็นคำสั่งประหารอย่างช้า ๆ จิตของไมเคิลที่ผูกพันกับเทย์เลอร์มากขนาดไม่อยากจากเธอไป ไม่ยอมรับร่างกาย และไมเคิลชายคนที่ไม่อาจถูกทำลายลงได้ กำลังจะตาย

เวลาเริ่มนับถอยหลัง ไม่เฉพาะสำหรับไมเคิล แต่เป็นโลกมนุษย์ของเราด้วย เพราะหลังจากพนัน ลูซิเฟอร์ล่าถอยกลับไปยังนรก สัญญาที่ทำคือลูซิเฟอร์จะไม่เปิดประตูนรกที่ต่อเชื่อมกับโลกมนุษย์ แต่สัญญาไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการที่ลูซิเฟอร์จะบุกโลกมนูษย์ผ่านทางดินแดนเคออส และลูซิเฟอร์กำลังมา เหล่าการ์เดียนรู้ดี และพยายามทำทุกอย่างเพื่อยับยั้ง

เล่มนี้จึงเป็นจุดจบ เป็นตอนจบที่แท้จริง การเผชิญหน้าระหว่างความดี และความเลว การเสียสละ ความรัก ที่มากไปกว่านั้น พล็อตการสืบสวน การแกะเบาะแสแผนการของลูซิเฟอร์ เล่มนี้มีครบทุกอย่าง

เราไม่ได้ชอบเล่มนี้เฉพาะแค่ตัวของมันเอง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชุด เล่มนี้มีคุณค่าเพิ่มทวีคูณ เล่มนี้แสดงให้เห็นว่า คนแต่งได้วางแผนมาอย่างรัดกุมแค่ไหนในการสร้างตัวละคร และพล็อตเรื่องในแต่ละเล่มก่อนหน้า ทุกอย่างนำพาเมื่อเพื่อจุดจุดนี้

ตัวละครในเล่มก่อนหน้าออกมามีบทบาทกันอย่างพร้อมหน้า แต่ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่เราคิดว่า พวกเขามาเดินผ่านฉากเพื่อให้คนอ่านหายคิดถึง ทุกคนมีบทบาท และเป็นบทบาทที่พวกเขาเป็นในเล่มของตัวเอง การที่คอลินสามารถมองเห็นดินแดนเคออสผ่านกระจกได้ การที่ชาร์ลีและดริฟเตอร์สามารถปลดล็อคได้ทุกชนิด หรือแม้กระทั่งมุขตลกของการที่เจคเทเลพอร์ตไปหาไมเคิลหรือเทย์เลอร์ในยามที่ไม่เหมาะสมสักนิดเดียว ทุกอย่างเตือนให้เรานึกถึงคาแร็คเตอร์เหล่านี้ในเล่มของพวกเขา แต่ก็ไม่มากจนเกินหน้าเกินตาประเด็นหลักในเรื่อง

ก่อนหน้าที่จะเริ่มอ่าน เราตั้งคำถามความเหมาะสมของแอนดี้ เทย์เลอร์ในฐานะนางเอกของไมเคิล เราจำได้ว่า เมลจีน บรู๊คบอกว่า เธอรู้มาตั้งแต่ต้นว่า แอนดี้จะเป็นนางเอกของไมเคิล แต่บอกตามตรงนะคะ ในฐานะของแฟนที่ติดตามชุดนี้มาตลอด เราไม่รู้สึกว่า มันชัดเจนขนาดนั้น เรารู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างระหว่างทั้งสอง แต่เมลจีนก็ไม่ได้เขียนให้ดูชัดขนาดนั้น แล้วเราก็ยังมีคำถามคาใจที่ว่า มีอะไรในตัวเทย์เลอร์ที่ดีพอที่จะคู่ควรกับไมเคิล ซึ่งเป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ได้ เธอเป็นแค่อดีตตำรวจที่กลายเป็นการ์เดี้ยน ถือว่าเป็นเด็กใหม่ในกลุ่ม และในหนังสือชุดที่คาแร็คเตอร์นางเอกแต่ละคนล้วนแต่น่าจดจำ (ลิลิธิ, ไอรีนา ,หรือคนที่เราชอบที่สุดโรซาเลีย) เทย์เลอร์จะเทียบกับพวกเธอได้ไหม

การอ่านเล่มนี้ทำให้เราได้รู้จักเธอมากขึ้น กระนั้นคำตอบของเราก็คงต้องยอมรับว่า เทย์เลอร์ไม่ใช่นางเอกที่อยู่ในดวงใจของเขาในชุด แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเรายอมรับความเหมาะสมของเธอกับไมเคิลได้ เราพบว่า เมื่ออ่านเรื่องนี้จบ เราไม่คิดว่าจะมีใครคู่ควรกับไมเคิลเท่ากับแอนโดรมีดรา เทย์เลอร์ ฉากที่ไมเคิลบรรยายความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ เขาพูดถึงคุณลักษณะมากมายของเทย์เลอร์ คุณลักษณะที่ไม่ได้ทำให้เธอเป็นคนพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น มันเป็นคุณลักษณะที่ไมเคิลเคยเจอมาก่อน สำหรับชายที่อยู่มายาวนานหลายพันปี เขาเจอทุกอย่างมาหมดแล้ว แต่การลงท้ายที่ว่า เขาไม่เคยเจอใครที่มีคุณลักษณะทั้งหมดนั่นในคนคนเดียว คือคำตอบที่ว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้จึงเป็นทุกอย่างสำหรับเขา

เราชอบตอนจบมาก ๆ เมื่อเทวทูตไมเคิลปรากฎตัว กระทั่งการเลือกทูตสวรรค์ที่ลงมาพบก็มีความสำคัญ ตามคัมภีร์ เซ็นต์ไมเคิลคือคนที่ฆ่าลูซิเฟอร์ และไมเคิลของเราก็ถูกตั้งชื่อตามเขา ดังนั้นการที่เป็นคนที่เป็นคนลงมาพบไมเคิลและแอนดี้จึงลงตัวมาก ๆ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า นั่นเป็นสิ่งที่เมลจีน บรู๊คตั้งใจ ฉากที่ไมเคิลตัดคอลูซิเฟอร เราอ่านในนึกถึงภาพ St. Michael the Archangel ที่วาดโดยกุยโด เรนี (ซึ่งอยู่ที่ Our Lady of the Conception of the Capuchins) แบบชัดเจนมาก

ยอมรับนะคะว่า ตอนจบเรื่องชุดนี้ดีแบบเกินจะเป็นไปได้ แต่เราขอเลือกตอนจบแบบนี้ค่ะ ที่สำคัญการเขียนเล่าเรื่องของเมลจีน ก็ทำให้เราเชื่อว่า เหล่าการ์เดี้ยนสามารถเอาชนะลูซิเฟอร์ได้โดยไม่สูญเสียใครไปเลยสักคนเดียว แผนการถูกเหล่าให้คนอ่านเข้าใจ และมันเป็นแผนการที่ฉลาดมาก ๆ (ทำให้เรานึกถึงการที่โรซาเลียจัดการกับเนฟิลิมในเรื่อง Demon Blood) แผนการดีพอที่จะทำให้บทสรุปเช่นนี้เป็นไปได้

นอกจากนี้คนแต่งยังตอบคำถามที่ทิ้งท้ายเอาไว้ในชุดจนหมด (เรานึกไม่ออกว่า มีประเด็นอะไรเหลือไว้อีก) กระทั่งเรื่องเล็กน้อย (แต่ใหญ่สำหรับเรา) เกี่ยวกับการที่ฮิวจ์กลายเป็นมนุษย์ก่อนลิลิธหลายสิบปี และเมื่อทั้งคู่กลายมาเป็นมนุษย์ก็มีโอกาสที่ฮิวจ์จะตายก่อนเธอ ในเรื่องมีฉากที่ลิลิธแสดงความอ่อนไหวในประเด็นนี้เอาไว้ (และทำให้เราดีใจมากที่เราไม่ใช่คนเดียวที่คิดถึงประเด็นนี้)

ปีนี้เราโชคดีนะคะ ได้อ่านหนังสือที่ถือว่าเป็น End Game ของหนังสือชุดที่เราชอบมาก ๆ สองเล่ม แม้ว่า Heart of Obsidian จะไม่ใช่เล่มสุดท้ายในชุด แต่ก็ถือว่าปิดประเด็นสำคัญมาก ๆ ที่เปิดเอาไว้ และก็มาถึงเล่มนี้ ส่วนหนึ่งเราดีใจนะคะที่จบชุด เพราะทุกอย่างลงตัวได้ดีมาก แต่ก็ใจหายเพราะนี่คือหนังสือชุดที่ดีที่สุดชุดนึงที่เราติดตามอ่านมาตลอดเจ็ดปี เราอยากให้เมลจีนเขียนต่อนะคะ อาจจะไม่ใช่ในภาพรวมพล็อตใหญ่ที่การ์เดี้ยนต้องต่อสู้กับลูซิเฟอร์ แต่เป็นเรื่องราวของพวกเขาหลังจากนั้น

การให้คะแนนวางอยู่บนพื้นฐานของเรื่องทั้งชุดค่ะ ในฐานะเล่มจบ เล่มนี้ตอบโจทย์ทุกอย่างที่เราอยากได้ ในฐานะเล่มเดี่ยว ๆ เล่มนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดในชุดสำหรับเรา แต่มันคือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของหนังสือชุดนี้





View all my reviews

Review: Lord of Darkness


Lord of Darkness
Lord of Darkness by Elizabeth Hoyt

My rating: 3 of 5 stars



เราเริ่มอ่านเล่มนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ส่วนหนึ่งก็คือ เราอยากรู้เรื่องของก๊อดดริคตั้งแต่เขาออกมามีบทในเล่มแรกในชุด (Wicked Intention) เราสงสัยเสมอว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับภรรยาที่ป่วยของเขา เราสังเกตว่า ทุกครั้งที่เกี่ยวถึงเขา จะไม่มีใครเห็นภรรยาของเขาเลยสักคน นั่นทำให้เราคิดว่า จะต้องมีอะไรแน่ ๆ

นั่นคือความผิดพลาดแรก เพราะเอาเข้าจริง เราก็ฟุ้งซ่านไปเองค่ะ ไม่มีอะไรในกอไผ่

ที่เหลือจะกล่าวต่อไป จะเป็นการสปอยล์เล่มแรก ๆ ในชุดนะคะ โปรดหยุดอ่านถ้าไม่อยากสปอยล์

บอกตามตรงว่า เราไม่แปลกใจที่โกสต์แห่งเซ็นต์ไจลส์มีอีกคนนึง การที่เฉลยว่าวินเตอร์เป็นโกสต์ก็บอกชัดเจน (ฉากในเรื่อง Wicked Intention บอกได้ชัดเจนว่า วินเตอร์ไม่มีทางเป็นโกสต์ได้) แต่การที่ก๊อดดริคเป็นโกสต์ก็ทำให้เราแปลกใจได้

แต่ก็แค่นั้นนะคะ เราว่าประเด็นเรื่องโกสต์นี่เก่าไปสักหน่อยแล้วล่ะ (ไม่เหมือนโกสต์ของนลินี ซิงห์ นั่นเป็นอีกเรื่องนึงเลย)

ไม่รู้ว่า เพราะแบบนี้รึเปล่านะคะ ทำให้เราเหนือย ๆ ไปกับเล่มนี้พอควร ไม่ถึงกับไม่ชอบ เพราะยังไงก็คือการเขียนของอลิซาเบ็ธ ฮอยต์ แต่ก็คงต้องบอกว่าผิดหวังกับเรื่องของก๊อดดริค

อีกอย่างเรามีอะไรในใจที่คิดไว้ก่อนหน้าจะเปิดอ่าน ด้วยพล็อตหลังเล่มที่เล่าประมาณว่า มาร์กาเร็ต นางเอกมาเพื่อล้างแค้นให้กิ๊กเก่า ที่เธอเข้าใจว่าโกสต์ฆ่าตาย แต่ความจริงคือว่า กีอดดริคคือโกสต์ เราคาดการณ์ว่า พล็อตจะออกมาแนว The Scarlet Pimpernel หน่อย ๆ (ช่วยไม่ได้นะคะ นั่นเป็นเรื่องโปรดของเรา โดยเฉพาะถ้าคนแต่งวางแนวเรื่องดี ๆ มีอะไรให้เล่นในพล็อตแบบนี้เยอะเลย) แต่ก็ไม่ใช่ เพราะมาร์กาเร็ตค้นพบความลับของก๊อดดริคเร็วมาก จนเราตั้งคำถามว่า เขาปกปิดคนอื่นมาได้นานหลายปีได้ยังไง

เราสงสัยกับ "ความรัก" ที่มาร์กาเร็ตมีให้กับคนรักที่ตายไป แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้นับช่วงเวลาสองปีระหว่างเล่มนี้กับ Thief of Shadows ก็เป็นได้ ทำให้เรารู้สึกว่า เธอยอมรับความรู้สึกที่เกิดกับก๊อดดริคได้เร็วเกินเหตุ

สิ่งที่ผิดหวังที่เรารู้สึกกับเล่มนี้ก็คือ อารมณ์ของเรื่องที่ไม่บีบหัวใจเอาเสียเลย ทั้งที่มีองค์ประกอบครบถ้วนที่จะทำได้ พระเอก และนางเอกที่ผ่านการสูญเสียคนรัก ความลับที่ปิดบัง แต่เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่อ่านไปได้เรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดมาก

เราเขียนรีวิวเหมือนเป็นการตำหนินะคะ แต่นั่นก็เพราะเราคาดหวังไว้มากกว่านี้สำหรับนักเขียนที่มีฝีมืออย่างอลิซาเบ็ธ ฮอยต์ ทั้งที่ความจริงก็คือ หนังสือเล่มนี้สนุกกว่าหนังสืออีกหลายเล่มที่เราได้อ่าน (และเขียนชมในรีวิว)

คะแนนที่ 73






View all my reviews

Review: How to Entice an Earl


How to Entice an Earl
How to Entice an Earl by Manda Collins

My rating: 2 of 5 stars



บอกได้คำเดียวนะคะว่า ผิดหวัง เรารู้สึกเป็นบวกกับนักเขียนคนนี้ เพราะคิดว่า เธอมีการพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน จากเล่มแรก (How to Dance with a duke) มาจนถึงเล่มสองที่เราชอบมากขึ้น (How to Romance a Rake) ดังนั้นเราไม่คิดว่า ตัวเองคาดหวังเกิดเหตุนะคะว่า เล่มนี้ซึ่งเป็นเล่มสาม และเล่มสุดท้ายในชุด จะต้องดียิ่งขึ้น

แต่เล่มนี้เหมือนการถอยหลังสองก้าวลงคลอง

เลดี้แมดเดลีนมีความฝันอยากเป็นนักเขียน และการเป็นนักเขียนก็คือการได้ทดลองประสบการณ์จริง และนั่นคือเหตุผลที่เธอตามตื้อขอให้พี่ชายพาเธอไปที่บ่อนการพนัน เพื่อหาข้อมูลในการเขียนหนังสือ เราเริ่มกัดฟันเมื่อเราอ่านจนถึงตอนนี้ค่ะ มันบอกอะไรเกี่ยวกับนิสัยของนางเอกได้ไม่น้อย ในสภาพของเรื่อง ในครอบครัวที่เธอโตมา ในสังคมที่เธออาศัยอยู่ การกระทำของเธอมันดูเหมือนเธอเป็นผู้หญิงไร้ความคิด และเมื่อเกิดเรื่องในบ่อน (แน่นอนมันต้องเกิดเรื่อง) เธอก็มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย เขาเป็นเพื่อนของครอบครัว เป็นเพื่อนสนิทของญาติเขย (ญาติของเธอแต่งงานกับเพื่อนสนิทของพระเอก) แต่แน่นอนว่า นางเอกผู้รักอิสระของเราจะต้องหาเรื่องใส่ตัวไปอีก

เรามีปัญหากับนางเอกในเรื่องมาก ๆ ในแง่ที่ว่า เธอไม่มีความสมจริง เรื่องนี้บอกว่า เธอใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน แต่เราไม่เห็นเธอเขียนหนังสือสักตัวในเรื่อง ไม่มีการแต่งนิยาย หรือทำอะไรทั้งสิ้น แค่บอกว่า การกระทำที่ผิดกฎปฏิบัติของสังคมที่เธออยากทำ เป็นเพราะเธอต้องการหาประสบการณ์ไปเขียนหนังสือ แต่ไหนล่ะหนังสือที่เขียน ไม่มีเลย นอกจากนี้เราไม่เห็นความต้องการ แรงกระตุ้นที่อยากเป็นนักเขียนของเธอสักนิด มันเหมือนคนแต่งเอาเรื่องนี้เข้ามา เพื่อเป็นข้ออ้างให้นางเอกทำตัวแบบนี้

นอกจากนี้เรายังรู้สึกว่า ไม่มีเคมีใด ๆ ทั้งสิ้นระหว่างพระเอกและนางเอก ทั้งคู่เป็นตัวละครที่ออกมาในเล่มก่อนหน้า ดังนั้นเมื่อเปิดเรื่องทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน เราไม่เห็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ และจากการอ่านเล่มก่อนหน้า เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า พระเอกรู้สึกอะไรกับนางเอกเป็นพิเศษ จู่ ๆ มาเปิดเล่มนี้ทั้งคู่ก็นัวเนียกันแบบเก็บมือเก็บไม้ไม่อยู่ สำหรับเรา มันเหมือนคนแต่งเหลือตัวละครอยู่สองตัว ก็เลยจับมาคู่กันนซะอย่างนั้น

คะแนนที่ 57



View all my reviews

Review: How to Romance a Rake


How to Romance a Rake
How to Romance a Rake by Manda Collins

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้ถือว่า พัฒนาขึ้นจากเล่มแรกนะคะ โดยเฉพาะในส่วนของอารมณ์เรื่อง ที่อานแล้วทำให้เรามีส่วนร่วมไปกับตัวละครอย่างมาก และทำให้เราแปลกใจได้ไม่น้อย

ด้วยเหตุผลบางอย่างมิสจูเลียต เชลบี้ไม่เคยเต้นรำ และเลิกหวังไปแล้วที่จะมีชีวิตแต่งงาน แม้ว่าในใจเธอจะอิจฉาญาติสาวที่เพิ่งแต่งงานอย่างประสบความสำเร็จไปกับดยุค (How to Dance with a Duke) การแต่งงานที่ทำให้เธอได้รู้จักกับอเล็ค ลอร์ดเดเวอร์ริล

เรื่องนี้เป็นโรแมนซ์หวาน ๆ ที่อ่านแล้วทำให้เรายิ้มนะคะ เราชอบพระเอกและนางเอก และรู้สึกว่า ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูสมจริง และน่าเชื่อว่าจะยั่งยืน และอาจจะพล็อตในส่วนของความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ (เห็นชัดว่า ทั้งคู่รู้สึกอย่างไรต่อกัน) เรื่องนี้เพิ่มพล็อตสืบสวนเข้าไป โดยจูเลียตของให้อเล็คช่วยตามหาเพื่อนซึ่งเป็นครูสอนเปียโนของเธอที่หายไปอย่างลึกลับ จึงทำให้ทั้งคู่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมร้ายแรง

อีกประเด็นที่เป็นความลับใหญ่หลวงในเรื่อง เกี่ยวกับอาการป่วยของจูเลียต ซึ่งเราชอบตอนที่เฉลยความจริงมาก ๆ นะคะ ตอนที่อเล็คบอกเธอว่า เขารู้มานานแล้วว่า มันคืออะไร แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะมันไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียว (เราถอนหายใจแบบ พระเอกน่ารักจังเลย)

ส่วนที่ขัดใจและหงุดหงิด ก็คือความร้ายกาจของแม่ของจูเลียต ไม่เข้าใจ และดูไม่มีเหตุผลว่า ทำไมแม่ของเธอต้องเลวชั่วร้ายแบบนั้น เลวจนเราโคตรเกลียด และหงุดหงิดที่จนจบเรื่องก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเจ้าหล่อน มันเหมือนคนชั่วไม่โดนกรรมตามสนองยังไงยังงั้นเลย

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Review: Hostage to Love


Hostage to Love
Hostage to Love by Maya Blake

My rating: 2 of 5 stars



For full disclosure, I received this book from publisher in exchange for an honest review.

I knew that we should not fall in love with a book cover but I really liked this book's cover. Actually I loved it enough to request the ARC of this book from the publisher. They were kind enough to give me.

However, the cover turned into one of the major problems I had with this book. Look at it, I think it represented romantic suspense with an adventure in the unknown country, a kind of Rambo romance. But it turned out not to be the case.

I found this book to be a cross between Harlequin Presents book type and romantic suspense but the connection between those two elements were a little bit disconnected.

Belle Winkworth-Jones, a teacher in a war-torn African country was taken hostage by a rebel warlord, who someway somehow fell possessive of her enough to pursue after she was rescued by her Greek billionaire husband. Nick, the husband came to the rescue and took Belle back to his Greek island. He used this opportunity to work out the turbulent relationship that resulted in a 6 months separation.

I thought the first chapter was really interesting. I did not read the blurb so I did not know what to expect and for one minute, I thought Mwana, the villain was actually the hero. So I loved the surprise when the story turned to Nick, the real hero.

The author used the romantic suspense (adventure) plot to drive the characters closer. However, due to several unbelievable storyline or fact as presented in the story. So I thought this story may work better if it only presented as a category romance focus on relationship, not as a romantic suspense as the cover represented. Because whenever I thought about the suspense plot, I had a lot of question marks.

The country in this book, Nawaka in one scene was described as "mostly a French-speaking country" and then in another scene introduced the language Nawakan, which from that point became the main language of communication for the rebel.

Nick had a background as the United State marine, which explained why he involved with Belle's rescue operation. But there was no mention why he chose military career or even why the US when he grown up in Greece and sent to boarding school by his parents. It seemed like his military background was added on for the rescue operation instead of making him only Greek billionaire.

And the villain, as mentioned I quite liked him on the first few page. I liked the depth of his character and like his discussion with Belle about the purpose of her being in his country. It showed me he saw more and wanted more for his country. But after than he turned into a super bad, born to be bad, and do not forget a rapist as well.

Suddenly this rebel leader who in the first few chapter described as being support by his people became so obsessed with Belle. So much that he left his based operation, army, and risked everything to get her back. Why?

Only because he was a villain should not immediately mean he had to be irrational.

That was the reason I thought this story would be working better if focus only on the relationship between Nick and Belle. I actually loved the scene in Greek island when those two tried to reconcile. And if there was no plot involved Nawaka or Mwana, I would love this story much more.





View all my reviews

Review: Hero of My Heart: A Loveswept Historical Romance


Hero of My Heart: A Loveswept Historical Romance
Hero of My Heart: A Loveswept Historical Romance by Megan Frampton

My rating: 3 of 5 stars



I got this book though Valentine's campaign via NetGalley.

I request this title immediately after I saw the blurb described the hero as "opium addicted". I love dark and tortured hero. However, writing about addition was not easy to accomplish and this book felled into the between good and really good book.

The opening of the story concerned a little bit. Mary Smith, our heroine was auctioned off in the tavern by her half brother and our hero came to the rescue by buying her. And of course even Alasdair was an opium addicted and saw nothing in his future (actually he prepared to die), he still was a gentleman enough to protect her. What was the better way to protect a damsel in distress than a marriage. So both of them traveled to Scotland to get married, along the way tried to avoid trouble from his and her family.

At first I thought Mary would be the heroine who let the fate took her since she allowed her brother to auction her virginity. Good thing it was not the case but that also leaded me to another question. If Mary was what she was for the rest of the story (strong, capable, and can take care of herself) why she let the situation to that point. She should know better and could avoid the whole thing. But that was the moot point since she needed to be sold in order to bring Alasdair into her life.

Apart from that point, I really like the characters and I like the interaction between the hero and heroine. The journey to and from Scotland created several opportunity for them to be more intimate and those were really nice scenes.

However, I still thought the character of Alasdair was not as dark as I wished him to be. He was an addicted and suffered some past traumatic but the way he was healed seemed too easy. I wished story to be more dark, more angst, more emotion. Some of the conflict in the story was introduced but solved too easy. The issue of his cousin tried to have Alasdair committed had a lot of potential but everything was just gone away with the blink of an eye.

Saying that this is a great debut from the new author. I saw a lot of good point in Ms. Flampton's writing. I like her characters and the love story they represented.



View all my reviews

Review: Take Me Under


Take Me Under
Take Me Under by Rhyannon Byrd

My rating: 3 of 5 stars



เราตามอ่านงานของเรียนนอน เบิร์ดที่เป็นแนวพารานอมอล แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะหันมาเขียนเรื่องแนวอีโรติกยุคปัจจุบัน (ซึ่งถือว่า ตอนนี้กำลังเป็นแนวมาแรง) โดยผสมกับสืบสวนหน่อย ๆ พระเอกทำงานเป็นผู้รักษากฎหมาย ซึ่งก็ถือเป็นแนวที่เราชอบไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเล่มนี้ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดออกวางขาย เราจึงรีบอ่านทันที แล้วก็ต้องแปลกใจว่า เธอเขียนเรื่องฮ็อตได้ฮ็อตจริง ๆ

เบน ฮัดสันแอบมองรีส มอนโรว์มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เมื่อเธอน้องสาวของเธอแต่งงานกับญาติของเขา แต่เพราะรีสมีเจ้าของแล้ว แต่งงานกับทนายความในบอสตัน เบนจึงหักใจ ไม่แสดงอาการ ทั้งที่ภายในปรารถนาในตัวเธออย่างรุนแรง ดังนั้นเมื่อรีสหย่าขาดจากสามี และย้ายกลับมาฟลอริด้าเพื่ออยู่กับครอบครัว เบนจึงรีบรุกทันที

พล็อตหลัก ๆ มีเท่านี้ค่ะ แต่ขอบอกว่าในฐานะเรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์ เรื่องนี้เวิร์คมาก เพราะสิ่งแรกที่เรื่องแนวนี้ต้องมีก็คือ เคมีระหว่างพระเอกและนางเอก ซึ่งเล่มนี้มีอย่างครบถ้วน อ่านแล้วสามารถสัมผัสได้ถึงความต้องการ ความโหยหา ของทั้งสอง

พล็อตส่วนที่เป็นสืบสวนค่อนข้างมีปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะน้ำหนักของเรื่องที่ให้กับความอีโรติก จนไม่ค่อยได้ใส่ใจการตามหาตัวมือมืดที่ตามคุกคามรีสมาจากบอสตัน และตัวคนร้ายที่เผยโฉมออกมา ก็ดูไม่มีเหตุผลอะไรเลย เหมือนหาคนร้ายไม่ได้ ก็เลยมาลงที่คนนี้ นี่ยังไม่นับว่า คนร้ายมีมิติเดียวมาก ก็คือเลวอย่างเดียว

แต่โดยรวมเราก็ชอบเรื่องนี้นะคะ ฮ็อตได้ใจมาก ๆ อ่านแล้วไม่ผิดหวัง เพราะถ้าเราจะอ่านเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์ นี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ และเราก็ได้รับมันจากเล่มนี้



View all my reviews

Review: Fatal Flaw


Fatal Flaw
Fatal Flaw by Marie Force

My rating: 3 of 5 stars



ชอบเรื่องชุดนี้ที่เล่ม Fatal Justice มาก ๆ (ซึ่งเป็นเล่มสองในชุด แต่เป็นเล่มแรกในชุดนี้ที่เราอ่าน) มากขนาดกลับไปไล่อ่านเล่มหนึ่ง แล้วก็ติดตามเล่มต่อ ๆ ไปเรื่อยมา

แต่ก็ต้องบอกตามตรงนะคะว่า เรารู้สึกว่า คุณภาพของงานในชุดนี้ด้อยถอยลง มันไม่ถึงกับชัดแจ้งเท่าไหรในเล่มสาม แต่พอมาถึงเล่มนี้ ซึ่งเป็นเล่มสี่ในชุด เห็นได้ชัดเลยค่ะ เพราะประเด็นในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างพระนางได้ลงตัวไปแล้ว (แต่งงานเรียบร้อย รักกันหวานชื่น) คนรอบข้างก็มีความสุข ตกอยู่ในห้วงรักกันหมด ที่แย่ก็คือ ประเด็นเรื่องการสืบสวนของเล่มนี้ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย

เรารู้สึกเหมือนเป็นอาถรรพ์นะคะ เรื่องที่ใช้พระนางคู่เดิมดำเนินเรื่องไปต่อเนื่องหลายเล่ม ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่สะดุด และเรารู้สึกว่า เล่มนี้คือเล่มที่มารี ฟอร์ซสะดุด เพราะไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลยในเล่มนี้ เราชอบนะคะที่คนแต่งไม่ได้ไปสะกิดประเด็นความรักระหว่างแซมและนิคให้มาเป็นเรื่องอีก เราชอบที่พระนางแต่งงานกัน แล้วอยู่กันอย่างมีความสุข แต่ประเด็นเรื่องการสืบสวนของเล่มนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย

เริ่มพูดถึงทีละเรื่องแล้วกันค่ะ

ความสัมพันธ์ของแซมกะนิค หวานชื่นน่ารัก ปมในใจของแซมน้อยลง นิคยังเป็นหนุ่มในฝันเหมือนเดิม การที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอกลงตัว รักหวานไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนะคะ เจดี ร็อบบ์พิสูจน์มาแล้วว่า สามารถเขียนให้ได้น่าติดตามได้ ยังคงทำให้คนอ่านถอนหายใจเป็นพัก ๆ ได้ แต่เล่มนี้อ่านแล้วรู้สึกหยุดนิ่งค่ะ ไม่คล้อยตาม รู้สึกเป็นกิจวัตรประจำวันมากเกินไป ไม่รู้สึกว่า มีอะไรพิเศษ (อ่านแล้วไม่เหมือนคู่แต่งงานที่เพิ่งกลับมาจากฮันนีมูนเอาเสียเลย เหมือนคนที่แต่งงานกันมาแล้วหลายสิบปี)

นอกจากนี้แล้ว เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างคู่หลักลงตัว คนแต่งหันมาใช้การเล่าเรื่องบรรดาคู่รอง ๆ ในเล่ม ทำให้เรายิ่งรู้สึกขาดความเชื่อถือ เพราะในเวลาไม่กี่เดือน คนรอบข้างแซม และนิคพบรักกันเป็นแถว ๆ แถมแต่ละคนก็ลงตัวแสนง่าย จริง ๆ เราสนใจคู่ของเฟรดดี้กะเอลินนะคะ เราว่าคู่นี้น่าสนใจ (ชายผู้ปวารณาตัวว่าจะเป็นครองความบริสุทธิ์จนกว่าจะแต่งงาน พลาดท่าให้สาวฟรีเซ็กส์) นี่เป็นคู่ที่เราคิดว่า คนแต่งสามารถเขียนได้อีกเยอะมาก แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวไปอีกเช่นกันสำหรับพวกเขา แล้วยังเพื่อนตำรวจอีกหลายคนของแซม ก็พบรัก มีลูก แต่งงานกันไปตามระเบียบ เล่มนี้ถึงขนาดขยายวงไปยังแพทย์ชันสูตรศพอีกต่างหาก

เรื่องความรักในเล่มที่มากเกินไป ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่แย่นัก เราสามารถมองข้ามมันไปได้นะคะ ถ้าเพียงแต่พล็อตสืบสวนมีความน่าสนใจ แต่พล็อตสืบสวนในเล่มนี้บกพร่องมาก ไม่มีร่องรอยอะไรให้ได้ข้อสรุป มาถึงจุดนึงก็สรุปเรื่อง (แม้ว่า เราจะเดาได้นะคะว่า ใครเป็นคนร้าย แต่เป็นการเดาแบบมั่ว เพราะร่องรอยที่ให้ก็มั่วจนสรุปไม่ได้ เราก็เลยสรุปจากปัจจัยเดียวที่ทิ้งเอาไว้ให้ และนั่นกลายเป็นปัจจัยเดียวอีกเช่นกันที่คนอ่านอาจจะเดาได้ เรียกว่าไม่มีการเขียนแบบเรดแฮร์ริ่งเลยสักนิดเดียว)

โดยรวมผิดหวัง แต่ขอบอกนะคะว่า เรื่องนี้ไม่ได้เลวร้าย หากแต่เป็นเพราะเราคาดหวังกับงานเขียนในชุดนี้ไว้มาก เราเลยแก้ความผิดหวังด้วยการหยิบเอาเล่มต่อไปในชุดมาอ่านทันที

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fatal Deception


Fatal Deception
Fatal Deception by Marie Force

My rating: 3 of 5 stars



หลังจากผิดหวังไม่น้อยไปกับเล่มสี่ในชุด Fatal Flaw เราก็แก้ความผิดหวังด้วยการเอาเล่มนี้มาอ่านค่ะ เพราะถึงอย่างไรเราก็เชื่อมั่นในฝีมือการเขียนของมารี ฟอร์ซนะคะ เราเชื่อว่า เธอจะแก้ตัวกับเล่มนี้ได้

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ ส่วนหนึ่งคงเพราะเล่มนี้คดีสืบสวนมีความน่าสนใจ ทำให้เราอ่านติดหนึบไปตลอดทั้งเล่ม อีกอย่างเหตุการณ์ในเล่มนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแซมกะนิคถูกเล่าผ่านช่วงเวลาสั้น ๆ เราเลยไม่รู้สึกถึงความซ้ำซากจำเจแบบที่เรารู้สึกใน Fatal Flaw (ซึ่งเกิดเรื่องในเวลาหลายวัน เรื่องเล่าชีวิตของแซมที่ไปทำงาน กลับมาบ้าน เจอนิค บอกรักกัน มีเซ็กส์ เป็นวงจรซ้ำ ๆ หลายรอบ) เล่มนี้จริง ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นให้ลุ้นหรอกนะคะ แต่ไม่ได้เล่าซ้ำหลายรอบ อีกอย่างเรารู้สึกว่า เล่มนี้แซมอ่อนลง แคร์นิคมากขึ้น และเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ทุกอย่างไม่ได้หมุนรอบตัวเธอ นิคเองก็มีอะไรในชีวิตที่ต้องการให้เธอเป็นส่วนร่วม เราชอบที่เห็นเธออ่อนลงค่ะ

สิ่งที่คาใจเราเกี่ยวกับแซมและนิคก็คือ ความป๊อปปูลาของพวกเขา เราอ่านมาทุกเล่มในชุดนะคะ เรายังไม่เห็นอะไรที่จะเป็นเสน่ห์ทำให้พวกเขาโด่งดังได้อย่างที่เป็นในเล่ม ความโด่งดังที่ดันให้นิคถึงกับมีสิทธิเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ เขาก็เพิ่งจะอายุสามสิบกว่า ๆ เพิ่งเล่นการเมือง และจากคำพูดของเขาเอง ยังไม่เคยชนะการเลือกตั้งสักครั้ง แต่คนในพรรคกลับมองความหวัง ความฝัน และทาบทามเขาเป็นตัวแทนพรรค

เราว่า มันเหลือเชื่อเกินเหตุ

แต่ถ้าทำใจในเชื่อ (ซึ่งเราทำได้นะคะ ตอนที่อ่านเล่มนี้) ก็สนุกดี พระเอกที่หล่อ เท่ห์ อนาคตไกล เซ็กซี นิสัยดี คือชายในฝันของนักอ่าน (อย่างเรา) อยู่แล้ว

มาถึงคดีในเล่ม เราชอบมาก ๆ นะคะ ถือว่า เป็นการกลับคืนฟอร์มอีกครั้งนึงเลยก็ว่าได้ คดีน่าติดตาม เบาะแสก็ดูน่าสนใจ เราติดตามอ่านไปจนถึงข้อสรุปที่ได้ กระนั้นก็มีบางอย่างที่ติดใจเราค่ะ (ขอสปอยล์นะคะ) คนที่ยังไม่ได้อ่าน หยุดตรงนี้แล้วกันค่ะ




เรามีปัญหาบางอย่างกับประเด็นเรื่องคนร้าย แผนการดูซับซ้อนและมีความเป็นไปได้ แต่เราไม่เชื่อว่า คนที่ลงทุนทำขนาดนี้จะ "ใช้" คนที่สามารถสาวตัวมาถึงพวกเขาได้ง่ายอย่างที่แซมสืบเจอ เราคาดว่า พวกนั้นน่าจะใช้แผนการที่แยบยลกว่านี้ค่ะ การลงทุนคิดแผนการขนาดนี้ แต่กลับใช้คนที่สามารถสืบเจอจากแค่การกูเกิ้ลได้ มันไม่น่าเชื่อ

นอกจากนี้ ตัวตนของคนร้ายยิ่งไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกของเราตอนที่อ่าน ขอบอกว่า รู้สึกเหมือนคนแต่งถูกบรรณาธิการสั่งให้เปลี่ยนบทกลางคัน นั่นคือ (อันนี้สปอยล์จริง ๆ มาก ๆ นะคะ) คนร้ายที่เรื่องบอกว่า เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีสังกัดอิสระที่ลงทุนส่งคนแทรกซึมเข้าไปในค่ายของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เพื่อล้วงแผนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ลองนึกนะคะว่า โอกาสที่ผู้สมัครอิสระจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีมีมากแค่ไหน คำตอบคือศูนย์ แต่เรื่องมุ่งเน้นไปตรงความทะเยอทะยาน ความกระหายอำนาจของคนร้าย ที่ทำให้พวกเขาทำได้ทุกอย่าง เราเชื่อในเรื่องความเลวร้ายของมนุษย์ค่ะ แต่ถึงจะทำแบบนี้โอกาสได้รับเลือกตั้งก็ยังเป็นศูนย์ แล้วจะทำไปทำไม ผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้ก็คือ (ซึ่งในเรื่องก็พูดเอาไว้นะ) คือแย่งคะแนนเสียงจากประธานาธิบดีได้มากพอจะทำให้อีกพรรค (รีพับรีกัน) ชนะการเลือกตั้ง แต่คนร้ายจะทำไปทำไม พวกเขาไม่ใช่รีพับรีกันนะ

เราคิด (เอาเอง) นะคะว่า ตอนแรกคนแต่งอาจจะเขียนเป็นผู้สมัครพรรครีพับรีกันนั่นแหละที่ทำ แต่โดนสั่งเปลี่ยน ถ้าเป็นรีพับรีกันทำ เราว่า น่าเชื่อถือกว่าเยอะ

แล้วยังตอนจบที่สรุปแบบง่ายเกินเหตุ (ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้นี่นะ) ทำลายหนังสือสืบสวนที่ตั้งต้นมาดี ๆ ไปเลยล่ะ



แต่เขียนไปแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ เราชอบเล่มนี้มากในระดับนึงเลย เราแค่อยากเห็นความสมบูรณ์แบบ อาจะเพราะเราให้เครดิตคนแต่งไว้เยอะ

ที่แน่ ๆ ก็คือ เราติดตามอ่านตอนต่อไปในชุดนี้แน่นอน แม้จะมีอะไรหลายอย่างไม่สมจริง เราก็จะบอกตัวเองว่า มันเป็นนิยาย

คะแนนที่ 73




View all my reviews

Review: Beyond Shame


Beyond Shame
Beyond Shame by Kit Rocha

My rating: 4 of 5 stars



เป็นหนังสืออีกเรื่องนึงที่เราต้องยกความดีให้กับเพื่อนค่ะที่แนะนำให้อ่าน เพราะถ้าให้ตัดสินใจซื้อมาอ่านเองโดยดูจากพล็อตเราคงไม่ซื้อแน่ ๆ บอกตามตรงนะคะว่า เราไม่ชอบเรื่องแนว dystopia (เรื่องที่เล่าเหตุการณ์หลังวันโลกาวินาศ และมนุษย์เริ่มต้นสร้างอารยธรรมกันใหม่) เอาเสียเลยค่ะ รู้สึกหดหู่ หมดหวังไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มอ่านด้วยซ้ำ และเล่มนี้ดันเป็นแนว Dystopia บวกกับ Erotic Romance อีก เราเห็นแล้วนึกพล็อตเรื่องไม่ออกเลยค่ะ

แต่พออ่านเข้าจริง ต้องบอกว่า คนแต่งฉลาด เพราะพล็อตแนววันสิ้นโลกเข้าได้ดีกับความวาบหวามของอีโรติกไม่น้อย (เห็นได้จากการที่คิท โรชาไม่ใช่นักเขียนคนเดียวที่หยิบเอาสองแนวนี้มาผสมกัน)

เพื่อน (รวมทั้งรีวิวในเน็ตจากหลายแหล่ง) ชื่นชมหนังสือเล่มนี้กันมาก เราจึงตัดสินใจซื้อมา แต่ก็รออยู่ในเครื่องคินเดลนั่นแหละ จนวันนีงไม่รู้ว่าทำไม ก็ตัดสินใจเปิดอ่าน

แล้วทุกอย่างก็เป็นอดีต

เราอ่านเล่มนี้ติดหนึบ อย่างสนุกสนาน ขนาดลืมหนังสือที่กำลังอ่านค้างอยู่ไปเลย

โลกที่เรารู้จักได้พังทลายไปหมดสิ้น หลังจากปรากฎการที่เรียกว่า Flare ซึ่งเรื่องไม่ได้อธิบายชัดเจนนะคะ แต่เข้าใจได้ (จากศัพท์ และเรื่องรอบด้าน) ก็คือ การที่ดวงอาทิตย์ส่งคลื่นความร้อนอย่างรุนแรงมายังโลก และทำลายเทคโนโลยีทุกอย่างที่เรารู้จัก ทำให้มนุษย์แทบจะกลับไปอยู่ยุคหินอีกครั้ง และหลังจากสี่สิบปีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางความเจริญถูกเรียกว่า อีเดน เมืองที่อาจจะบอกได้ว่า ผู้ปกครองอาศัยอยู่ เมืองที่เคร่งศาสนา (ที่อาจจะไม่ใช่ศาสนาที่เราคุ้นเคยกัน) เมืองที่แสดงออกว่า ประชาชนอยู่กันอย่างผาสุข

แต่แน่นอนว่า ย่อมมีปัญหาในสวรรค์ และโนเอล คันนิ่งแฮมถูกขับออกจากสวรรค์แห่งนั้น เพราะเธอไม่อาจยอมรับสิ่งที่ถูกบอกและพร่ำสอนให้กระทำได้ และแม้บิดาของเธอจะเป็นถึงหนึ่งในสมาชิกของสภาเมือง โนเอลก็ถูกเนรเทศออกจากอีเดน ปล่อยให้เผชิญโชคเอาเองในดินแดนนอกเขตเมือง ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นแปดแห่ง

และหญิงสาวที่ไม่ประสาโลกอย่างเธอคงจะไม่รอด ถ้าหากไม่ได้ไปล้มลงตรงหน้าของแจสเปอร์ เขาคือเบอร์สองของผู้นำแห่งเขตปกครองที่สี่ ผู้ซึ่งพาตัวเธอกลับไปยังอาณาจักรของเขา และทำให้เธอกลายเป็นส่วนหนึงของแก๊งค์โอเคน ซึ่งผู้นำคือดัลลัส โอเคน ก็คือผู้นำของเขตปกครองที่สี่

การสร้างโลกของเล่มนี้ยังไม่ถึงกับชัดเจนเห็นภาพ คนอ่านเห็นแค่คร่าว ๆ รู้ว่าอีเดนคือศูนย์กลาง และล้อมรอบด้วยเขตปกครองด้านนอกอีกแปดเขต ซึ่งแต่ละเขตจะมีลักษณะของตัวเอง ในขณะที่อีเดนล้อมรอบตัวเองด้วยวัฒนธรรม ความงดงาม เขตปกครองที่สี่ใช้ความหยาบกระด้าง และอำนาจ เรื่องราวในเล่มนี้บอกเล่าการเดินทางของโนเอลที่ต้องละทิ้งความเชื่อจากโลกนึง ไปสู่อีกโลกนึง และแน่นอนว่า เรื่องนี้เป็นแนวอีโรติคโรแมนซ์ การเดินทางของโนเอล จึงเต็มไปด้วยฉากเซ็กส์มากมาย

เราชอบโครงสร้างของเรื่อง แต่ที่เหนือกว่านั้น เราชอบแก๊งค์โอเคน บอกอย่างอายนิด ๆ เหมือนเราแอบดูแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ในบาร์ราคาถูก ๆ มองแบบกลัวเขาจะเห็นว่าเรามอง แต่ก็อดมองไม่ได้ เราคิดว่าแก๊งค์โอเคนคือแบบนั้น และนั่นคือเสน่ห์ของหนังสือชุดนี้ (ถ้าไม่นับว่า คาแร็คเตอร์แต่ละตัวในเรื่องเท่ห์สุดยอด)

จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ถึงกับ "อิน" ไปกับคาแร็คเตอร์ของโนเอล และแจสมากเลยนะคะ เรามองแต่ตาโต (บวกน้ำลายหก) ไปกับคาแร็คเตอร์อื่น ๆ ในแก๊งค์ แต่เล่มนี้ได้สร้างแรงดึงดูดชนิดที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ดึงเราเข้าไปในโลกที่ก่อนหน้าที่จะหยิบเล่มนี้มาอ่าน เราไม่คิดว่า ตัวเองจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่คลั่งแก๊งค์นี้ไปได้ เราชอบความดิบ เถื่อน และความแรงของคาแร็คเตอร์

แต่แม้จะบอกว่า เราไม่ค่อยผูกพันกับพระนางในเรื่องเท่าไหร แต่เราชอบการเดินทางของโนเอล จากหญิงสาวที่ไร้ความสามารถทั้งปวง มาเป็นคนที่เอ่ยปากปฏิเสธ และเลือกทางของตัวเองได้ (สปอยล์)



เราชอบตอนใกล้จบที่เมื่อแจสแสดงความเป็นพระเอก ด้วยการจะส่งตัวโนเอลกลับอีเดน โดยแสร้งทำเป็นไม่ใยดีเธออีกต่อไป และโนเอลก็เลือกที่จะอยู่ในเขตปกครองที่สี่ต่อ แม้จะชายที่เธอรักจะไม่แคร์เธอต่อไปแล้ว แต่เธออยู่ เพราะสถานที่แห่งนี้คือสิ่งที่เธอต้องการจะเป็น ไม่ใช่ชีวิตหลอกลวงในอีเดนที่อาจจะสุขสบาย แต่จอมปลอม


จบเรื่องนี้แล้วเรารีบหยิบเล่มสองมาอ่านต่อทันทีค่ะ เพราะเล่าเรื่องคาแร็คเตอร์ที่เรากรี๊ดสลบที่สุดในชุดแล้ว

เล่มนี้คะแนนที่ 77






View all my reviews

Review: Beyond Control


Beyond Control
Beyond Control by Kit Rocha

My rating: 4 of 5 stars



เราชอบเล่มหนึ่งในชุดมาก ๆ นะคะ ทำให้หยิบเล่มนี้มาอ่านอย่างคาดหวังไม่น้อย โดยเฉพาะเล่มนี้เล่าเรื่องราวของดัลลัส โอเคน ผู้นำแก๊งค์โอเคน หัวหน้าเขตปกครองที่สี่ และเล็กซ์ หญิงสาวผู้ไม่เป็นสองรองจากเขาเลย

ในเล่มนี้ เราได้เห็นโลกในเรื่องชุดนี้มากขึ้น ทำให้รู้ว่า ในแต่ละเขตการปกครองมีใครเป็นผู้นำอยู่บ้าง และดูเหมือนว่า แต่ละเขตปกครองจะมี "ความเชี่ยวชาญ" เป็นของตัวเอง เขตปกครองที่สี่ของดัลลัสทำหน้าที่ผลิตเหล่า ในขณะเขตปกครองที่สาม ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเล็กซ์ (นางเอกในเรื่อง) เชี่ยวชาญในเรื่องประเวณี และการหาความสุข แต่ไม่ว่าจะเป็นเขตปกครองใดก็ตาม ผู้นำของเขตยืนหยัดอยู่ได้ด้วยบารมี และอำนาจ การพบปะของผู้นำแต่ละคนก็เปรียบเสมือนการเจรจรผู้นำระดับโลก (ในยุคนี้) ที่แต่ละคนต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เขตของตัวเองได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราชอบเล่มนี้มาก ๆ เราชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับอำนาจ และชอบมากกว่าเมื่อพูดถึงคนที่ครองอำนาจนั้น และจะมีใครในเรื่องชุดนี้ที่ทรงอำนาจมากไปกว่าดัลลัส โอเคน และจะมีใครที่คู่ควรกับเขามากไปกว่าหญิงสาวที่สร้างทุกอย่างมาพร้อมกับเขาอย่างเล็กซ์

เรื่องราวของดัลลัส และเล็กซ์ถูกพูดถึงไปแล้วในเล่มแรกในชุด มันชัดเจนว่า ทั้งสองคนมีบางอย่างต่อกัน (แต่แน่นอนว่ามีความสัมพันธ์ต่อกัน) แต่เล็กซ์ไม่อาจยอมให้ตัวเองผูกพันกับดัลลัสมากไปกว่าที่เป็นอยู่ได้ เธอรู้ว่า สำหรับชายที่กระหายอำนาจ ในที่สุดเรื่องราวระหว่างเธอและเขาจะต้องมาถึงจุดจบอันเลวร้าย แต่การต้านทานดัลลัสไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเธอเกือบจะเป็นคนเดียวที่มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ของเดคแคลน ผู้ชายคนที่เขาเคยเป็นก่อนที่จะมาเป็นดัลลัส โอเคน

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างดัลลัส และเล็กซ์มาก เราชอบความเท่าเทียมของทั้งคู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำให้เราเชื่อ เพราะคาแร็คเตอร์ที่วางมา ดัลลัสคือผู้นำเด็ดขาด สูงสุด และเป็นเจ้าของทุกคนในแก๊งค์โอเคน

เราชอบพล็อตเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจ ความทะเยอทะยานอย่างไม่มีขีดจำกัดของดัลลัส และอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกในชุดนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่า ให้น้ำหนักมากเกินไป ก็คือ ฉากเซ็กส์ ซึ่งเป็นเรื่องที่โทษคนแต่งไม่ได้ เพราะนี่มันเรื่องแนวอีโรติค โรแมนซ์ จะบ่นว่า ฉากเซ็กส์มากเกินไป ก็ดูประหลาดอยู่ แต่เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ นะคะ คือเราอยากให้เรื่องใช้เวลากับความสัมพันธ์ระหว่างดัลลัส และเล็กซ์ และพูดถึงโลกในเรื่องมากกว่านี้ และที่มากไปกว่านั้น เราอยากรู้จักดัลลัสให้ดีกว่านี้ เรารู้สึกว่า สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเขาช่างเล็กน้อยเหลือเกิน เราอยากรู้การต่อสู้ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นหัวหน้าแก๊งค์โอเคน และผู้นำของเขตปกครองที่สี่

เช่นเดียวกับเล่มแรก เราหลงใหลไปกับตัวละครในชุด ที่แต่ละคนเมื่อบรรยายไม่ใช่ชายในสเป็ค หรือผู้หญิงแบบที่เราอยากรู้จัก แต่กลับเป็นตัวละครที่มีสีสัน และทำให้เราอยากรู้เรื่องราวของพวกเขามากขึ้น เรียกได้ว่า เราติดกับ หลงเข้าไปในโลกของเรื่องชุดนี้เต็มตัว

เรื่องนี้ (และรวมไปถึงเล่มแรกในชุด Beyond Shame) ทำให้สิ่งที่เราไม่คิดว่า จะทำได้ นั่นก็คือ ทำให้เรายอมรับความตัวเองว่า เราชอบเรื่องแบบนี้ คาแร็คเตอร์แบบนี้ (นึกถึงแก๊งค์มอเตอร์ไซด์แนวเถื่อน ๆ หยาบคาย -- ไม่ใช่ว่า ตัวละครในเรื่องนี้จะเป็นแบบนั้นนะคะ แต่มันให้ความรู้สึกแบบนั้น) และนี่คือคำชมสูงสุดที่เราจะให้กับหนังสือเล่มนึงได้

เล่มนี้ไม่สมบูรณ์แบบ เราอยากให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับโลก และตัวละครมากกว่านี้ แต่นั่นก็เพียงเพราะว่า เราชอบโลกในเรื่อง และหลงใหลตัวละครนั่นเอง

คะแนนที่ 80
ป.ล. ชอบฉากจบมาก เมื่อราชาแสดงอำนาจ และถูกสนับสนุนโดยราชินีของเขา นั่นบอกตัวตนของดัลลัส และเล็กซ์ได้อย่างชัดเจน (แต่ถึงยังไง เราไม่เชื่อ สปอยล์นะคะ





ที่ดัลลัสบอกว่า จะทิ้งทุกอย่าง แล้วกลายไปเป็นคนธรรมดาเพื่ออยู่กับเล็กซ์ เขาไม่มีวันทำได้ แต่เล็กซ์ก็ไม่มีทางกลายเป็นคนธรรมดาได้เช่นกัน)





View all my reviews

Review: Rock Chick


Rock Chick
Rock Chick by Kristen Ashley

My rating: 3 of 5 stars



ได้ยินชื่อเสียงของคริสติน แอชลีย์มาพักใหญ่แล้วล่ะค่ะ (เราไม่ได้ขุดหลุมอยู่ในรูที่ไหน) เพื่อนหลายคนก็แนะนำให้อ่าน ว่าไปแล้ว คนแปลกหน้าก็ยังแนะนำเราให้อ่านงานเขียนของเธอเลยนะคะ แต่ด้วยความเป็นคนที่ติดพรินต์บุ๊คอย่างมาก และแม้คริสตินจะเริ่มต้นอาชีพด้วยการพิมพ์งานขายเอง และขายอีบุ๊คเป็นหลัก แต่เราก็เห็นว่า กระทั่งงานที่เธอพิมพ์ขายเองก็ยังมีหนังสือพรินต์บุ๊คในฉบับ POD ออกขาย (แต่ราคาแพงเหลือใจ)

เราก็เลยรอ ตั้งใจว่า จะรองานที่ถูกสนพ.ใหญ่ซื้อไปพิมพ์ (อีกรอบ และคราวนี้จะออกพรินต์บุ๊คด้วย) ออกขาย แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหว เนื่องจากได้พรินต์บุ๊คสองเล่มแรกในหนังสือชุดนี้มาอยู่ในมือพอดี ก็เลยตัดสินใจอ่าน

ด้วยความที่เราปิดหูปิดตา พยายามไม่หาข้อมูลเกี่ยวกับงานเขียนของเธอเลยนะคะ (นอกจากการรับรู้ว่า เธอเขียนได้น่าติดตามมาก) ทำให้เราต้องแปลกใจเมื่อเปิดหน้าแรก และพบว่า เธอเล่าเรื่องผ่านมุมมองของนางเอกเพียงอย่างเดียว (ผ่านการเล่าเรื่องด้วยการใช้สรรพนาม I) นั่นทำให้เราแปลกใจมาก และบอกตามตรงว่า ทำให้ช่วงแรก ๆ ของการเริ่มอ่าน เรามึน ๆ ไปพักใหญ่

โดยเฉพาะเมื่อเล่มนี้คือเล่มแรกในชุด (และถ้าเข้าใจไม่ผิด อันนี้คิดเองนะคะ) เรื่องนี้น่าจะเป็นเล่มแรก ๆ ที่เธอเขียนด้วย มีอะไรหลายอย่างเยอะมาก ตัวละครเยอะ พล็อตเรื่องดูสับสน ทำให้เราถึงกับวางเล่มนี้ลงไปแล้วนะคะ ไม่ใช่เพราะไม่สนุก แต่รู้สึกเหมือนเล่มนี้น่าจะสนุกกว่านี้นะ แต่ทำไมเราถึงยังไม่รู้สึก เลยตัดสินใจเบรกตัวเองก่อน ซึ่งเป็นความคิดที่ดีค่ะ เพราะหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ เรากลับไปหยิบมาอ่านอีกรอบ คราวนี้อ่านลื่นไหลไปจนจบเรื่อง แถมรู้สึกดีพอกับมันจนหยิบเล่มสองมาอ่านทันที

ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังสือเล่มนี้ (และงานของคริสตินที่เราอ่านมาอย่างน้อยนิดแค่สองเล่ม) ก็คือ มีสไตล์ที่คล้ายคลึงกับหนังสือชุดสเตฟานี พลัม ของเจเน็ต เอวาโนวิชอย่างยิ่ง ไม่ได้เหมือนในแง่พล็อตเรื่องนะคะ แต่เป็นการมองโลก การเล่าเรื่องของนางเอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องที่วุ่นวาย สับสน ชุลมุน เหมือนที่เกิดในโลกของพลัม แต่เราคงต้องบอกค่ะว่า เราชอบคริสติน แอชลีย์มากกว่าพลัมนะคะ (แต่ก็ต้องเป็นธรรมด้วยว่า สเตฟานี พลัมเกิดขึ้นก่อนที่โลกใบนี้จะรู้จักคริสติน แอชลีย์ จึงอาจไม่เป็นการยุติธรรมเท่าไหรที่จะเอาไปเปรียบเทียบกัน)

นางเอกของเรา อินดี้ ซาเวจเป็นลูกสาวตำรวจ ดังนั้นเธอจึงคุ้นเคยกับชายในเครื่องแบบ และชายที่พกปืน แต่มันไม่สนุกเท่าไหรนักเมื่อเธอถูกข่มขู่ และยิงเข้าใส่หน้าร้านหนังสือที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ความวุ่นวายมากมายตามมาหลังจากนั้น โดยเฉพาะเมื่อลี ไนติงเกล พี่ชายของเพื่อนสนิท หนุ่มที่เธอแอบปิ๊งมายาวนานเกินกว่าจะจำได้ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และวุ่นเข้าไปยิ่งกว่า เมื่อเธอพบว่า หลังจากหลายปีแห่งการตามตื้อให้ท่าลี ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาที่เธอควรจะเป็นของเขาเสียที

เรามีความรู้สึกว่า ช่วงร้อยหน้าแรกเป็นอะไรที่คนอ่านต้องอดทนเล็กน้อย เพราะเหมือนช่วงเปิดเรื่อง แนะนำตัวละครที่เยอะมาก ต้องใช้เวลาในการจดจำลักษณะ นิสัย และพฤติกรรมของทุกคน (ซึ่งเมื่อจำได้แล้ว นี่จะเป็นส่วนสนุกของเรื่องค่ะ) ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จบอย่างไม่มีปัญหา

จุดเด่นอย่างนึงที่เราเห็นจากเล่มนี้ก็คือ การที่คนแต่งไม่ได้แสดงให้คนอ่านเห็นว่า พระเอกคิดอะไรอยู่ในสมอง ไม่ใช่ปัญหาของการอ่านเลย นั่นก็เพราะว่า สำหรับเรา (ในฐานะคนอ่าน) มันเห็นได้เด่นชัดถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนางเอก และเราคิดว่า นี่คือสิ่งที่คนแต่งเก่งมาก ๆ เราไม่รู้สึกอึดอัดเลยนะคะว่า พระเอกกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไร เพราะเรามั่นใจ แน่ใจในความรู้สึกที่เขามีต่อนางเอก ราวกับว่า การอ่านเรื่องที่เล่าผ่านสายตาของนางเอก ด้วยความมั่นใจที่เธอมีให้กับพระเอก ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เขาคิดไปด้วย

อย่างที่บอกไปนะคะ เรื่องนี้ทำให้นึกถึงชุดสเตฟานี พลัม องค์ประกอบหลายสิ่งหลายอย่างในเล่มนี้จึงเป็นแนวนั้น โครงเรื่องที่ดูบ้าเกินกว่าจะเป็นจริง ตัวละครที่เว่อร์ได้สนั่นโลก และแทบจะเรียกได้ว่า เป็นชุมนุมคนเพี้ยน แต่ทุกอย่างลงตัวมากนะคะ เหมือนเราถูกพาขึ้นรถไปวิ่งบนทางหลวงแล้วเหยียบคันเร่งมิด เรื่องดำเนินรวดเร็ว ฉับไว และน่าสนใจ

อย่างไรก็ตามเล่มนี้ก็มีคำสาปของการเป็นหนังสือเล่มแรกในชุด เรารู้สึกถึงความขาด เกินไปในบางครั้ง แต่มีประกายโดดเด่นจนเราต้องหยิบเอาเล่มต่อไปมาอ่าน

คะแนนที่ 70



View all my reviews

Review: Rock Chick Rescue


Rock Chick Rescue
Rock Chick Rescue by Kristen Ashley

My rating: 3 of 5 stars



หลังจากเริ่มจับสไตล์การเขียนของคริสติน แอชลีย์ได้ การอ่านเล่มนี้ซึ่งเป็นเล่มสองในชุดก็ไหลลื่นและจบลงในเวลาอย่างรวดเร็ว และเช่นเดียวกับเล่มแรก เล่มนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับเล่มแรกอย่างยิ่ง (ซึ่งเราไม่อยากเขียนซ้ำนะคะ) เพียงแต่มีการเปลี่ยนคู่พระนางในเรื่อง

ยกความดีให้คนแต่งตรงที่ แม้องค์ประกองในเรื่องจะเหมือนกับเล่มแรก แต่คาแร็คเตอร์ของพระนางมีความแตกต่างเพียงพอที่จะไม่ทำให้เรารู้สึกว่า คนแต่งเอาตัวละครมารีไซเคิล โดยเฉพาะคนเล่าเรื่องในเล่มนี้ ซึ่งก็คือนางเอกอีกเช่นกัน แต่เปลี่ยนคน เจ๊ทมีเสียงของตัวเองที่แตกต่างจากอินดี้มากพอที่จะไม่ทำให้เราคิดว่า พวกเธอคือคนเดียวกัน แต่ก็เป็นตัวตนของเจ๊ทอีกนั่นแหละที่ทำให้เล่มนี้เป็นปัญหาสำหรับเรา

เจ๊ท แม็คอลิสเตอร์เป็นสมาชิกหน้าใหม่ของชุดนี้ (เธอปรากฎตัวนิดเดียวช่วงตอนจบของเล่มแรก) โดยเข้ามาเป็นหนึ่งในลูกจ้างของอินดี้ ซาเวจ (นางเอกเล่มแรก) และปัญหาก็ปรากฎขึ้นในชีวิตของเธอในรูปแบบของพ่อที่หายไปจากชีวิตของเธอยาวนาน นั่นเพราะพ่อของเธอไปติดหนี้พนันมาเฟียหลายคน จนทำให้เจ๊ทตกเป็นเป้าหมายเพื่อหวังใช้ขู่ให้พ่อของเธอกลัว และยอมคืนเงิน เรื่องก็คือ เจ๊ทอาจจะรู้สึกว่า ตัวเองอยู่คนเดียว และต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น คนรอบข้างของเจ๊ทไม่ได้คิดเช่นนั้น ทุกคนพร้อมให้ความช่วยเหลือ ที่มากไปกว่านั้น เอ็ดดี้ ชาเวชนายตำรวจหนุ่มซึ่งเป็นลูกค้าประจำของเธอก็ถือโอกาสแสดงความรู้สึก พร้อมการปกป้องเต็มที่

ในแง่ของพล็อตมีความเหมือนกับเล่มแรกอย่างยิ่ง นางเอกที่ถูกตามปองร้าย และพระเอกที่ก่อนหน้า นางเอกคิดว่า เขาไม่ได้สนใจในตัวของเธอเลย ก็แสดงอาการเป็นห่วงใย และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ การเข้ามาในชีวิตของเธออย่างกระทันหัน และไม่ยอมออกไป ไม่ว่าพวกเธอจะไล่อย่างไร นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเล่มแรก และเกิดขึ้นในเล่มนี้

แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เราชอบเช่นกันค่ะ เพราะเช่นเดียวกับเล่มแรก แม้เราจะไม่รู้ว่า เอ็ดดี้คิดยังไง แต่คนแต่งทำให้เราเชื่อได้ว่า เขารู้สึกจริงแท้แน่นอนกับเจ๊ท ซึ่งตรงนี้ต้องยกนิ้วให้อย่างชื่นชมนะคะ โดยเฉพาะสำหรับคนที่อ่านเล่มแรก (Rock Chick) มาก่อน และ (สปอยล์เล็กน้อย)





เอ็ดดี้รู้สึกยังไงกับอินดี้





เมื่อมาเล่มนี้ เราไม่รู้สึกว่าเป็นประเด็น เรื่องไม่ได้ทำเป็นเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้นนะคะ แต่การเล่าเรื่อง (แม้จะผ่านสายตาของเจ็ทที่เชื่อว่า เอ็ดดี้ยังรู้สึกบางอย่างกับอนดี้) ก็ยังทำให้เราเชื่อว่า ความรู้สึกลึกซึ้งที่เขามีต่อเจ๊ทเป็นเรื่องจริง

เราคิดว่า เล่มนี้เขียนได้ลงตัวกว่า (เรามองเห็นการพัฒนาฝีมือในฐานะนักเขียนของคนแต่งเลยนะคะ) เรื่องมีการปูพื้นให้คนอ่านก่อน ช่วงสองสามบทแรกที่ใช้เวลาแนะนำตัวละคร ทำให้เราเข้าถึงเรื่องได้เร็วขึ้น และผูกพันกับตัวละครมากขึ้น นอกจากนี้แล้วเล่มนี้เป็นเล่มที่เรารู้สึกถึงความสำคัญของบรรดาคนรอบข้างพระนางอย่างมาก คนทั้งหมดไม่ใช่พระนางในอนาคต (บางคนเป็น แต่ไม่ใช่ทุกคน) เรารู้สึกว่า คริสตินแบ่งบทได้ดี โดยเฉพาะในเรื่องที่มีตัวละครเยอะขนาดนี้ แต่ละคนมีความโดดเด่นที่จดจำได้ ทำให้เรารู้ในทันทีที่ออกมาว่า เขาคือใคร และเป็นอะไรในชีวิตของตัวเอก

อีกอย่างที่เราชอบในเล่มนี้ก็คือ การไม่ใช่ตัวละครแบบคาดการณ์ได้ เราชอบเจ้าของบาร์โชว์ระบำเปลี้ยงผ้าที่มีหัวใจ และรักใครใยดีเด็ก ๆ (นางระบำและเด็กเสิร์ฟ) ในร้านของเขา เกือบทุกเรื่องที่เราอ่าน ตาคนนี้จะต้องเป็นพวกลามก จ้องฟันนางเอก กระนั้นก็มีตัวละครที่มากเกินไปเช่นกัน โดยเฉพาะคนร้าย ที่เราว่า มันมากเกินไปหน่อย และไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหรนัก

โดยรวมแล้ว เราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรกค่ะ แต่ปัญหาเดียวที่เรายังให้สี่ดาวกับเล่มนี้ไม่ได้ก็คือ ตัวนางเอก เราชอบที่เธอมีความแตกต่างจากอินดี้ (นางเอกเล่มแรก) อย่างชัดเจน เราเคารพตัวตนของเธอ แต่หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า เธอตัดสินคนมากเกินไป เธอทำตัวเป็นแม่พระ เสียสละทุกอย่าง และนั่นทำให้คนอื่นรอบข้างเธอดูเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่แบบที่เธอมองเห็น เนื่องจากเรื่องราวผ่านสายตามนางเอก เราจึงมองเรื่องตามที่เธอเล่า เริ่มต้นเรารู้สึกเหมือนน้องสาวของเธอเอาเปรียบ และไล่ตามความฝันของตัวเอง ปล่อยให้เจ๊ทต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง มันเป็นการเสียสละที่เจ๊ทไม่เคยโกรธ หรือเรียกร้องอะไร แต่พอเอาเข้าจริง น้องสาวเธอก็ไม่ใช่คนแบบที่เธอทำให้เราคิดว่า เธอเป็น และนั่นทำให้เราสงสัยการมองโลกของเจ๊ท และรู้สึกว่า เธอเป็นที่ใจแคบไม่น้อย (ใช้คำว่าใจแคบไม่ใช่ว่าเป็นคนงกนะคะ แต่เป็นคนที่แคบ และตัดสินคนอื่นจากตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่เลือกใช้ชีวิตไม่เหมือนเธอ เจ๊ทก็จะด่วนตัดสินว่า พวกเขาไม่มีวันจะตัดสินใจทำในสิ่งเดียวกับที่เธอทำ)

นอกจากนี้ยังมีช่วงท้ายเรื่องที่เธอโง่พอที่จะวิ่งไปหาคนร้าย (เข้าใจว่า เธอถูกขู่ และเป็นห่วงน้องสาว และทั้งหมดเป็นแผนการที่วางเอาไว้) แต่นั่นก็เป็นนางเอกที่โง่สมควรตายคนนึง

สรุปเราคงติดตามอ่านงานของนักเขียนคนนี้ต่อแน่นอนค่ะ และดูจากสองเล่มที่อ่าน และสนุกมากขึ้นเรื่อย ๆ เรามีความหวังกับเธอมากนะคะ

คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Flat-Out Sexy


Flat-Out Sexy
Flat-Out Sexy by Erin McCarthy

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้พิมพ์ขายตั้งแต่ปี 2008 เราซื้อมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ดองมาจนถึงตอนนี้ค่ะ เคยพยายามหยิบมาอ่านครั้งนึง แต่ก็วางไป (จำเหตุผลไม่ได้แล้ว) ตอนหยิบมาอ่านใหม่ ก็จำเนื้อเรื่องไม่ได้สักนิด (จริง ๆ อ่านไปแค่สองบทเอง) ทุกอย่างจึงเป็นการเริ่มอ่านใหม่ทั้งหมด

ตั้งใจว่าจะหยิบมาอ่านเล่น ๆ ฆ่าเวลา เพราะเคยอ่านแล้ว แต่วางลง เลยนึกว่า ไม่น่าจะสนุก ประกอบกับผิดหวังกับเล่มก่อนหน้าที่เพิ่งอ่านจบไป (แต่เป็นงานเล่มล่าสุด) ของเอริน แม็คคาร์ธี้ เลยไม่คาดหวัง พอเริ่มอ่านก็รู้สึกตามนั้นนะคะ เรื่องราวของแม่หม้ายยังสาวที่สามีซึ่งเป็นนักแข่งรถ เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุแข่งรถ ไปงานปาร์ตี้การกุศลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมของนักแข่งรถ ได้เจอกับพระเอกซึ่งเป็นนักแข่งหน้าใหม่ นางเอกซึ่งบอกเลิกคู่เดทที่พามาด้วยจึงต้องไปพักที่บ้านของเพื่อน ซึ่งฝากฝังเธอให้กับพระเอกดูแลพาไปส่งให้ปลอดภัย แต่เมื่อไปถึง ทั้งเมา ทั้งเหงา ทั้งความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่งเริ่ม ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเข้าไปในบ้าน (ที่เป็นรถ) ด้วยกัน และจบลงบนเตียง

มาถึงตอนนี้เรายังเฉย ๆ นะคะ รู้สึกอย่างเดียวก็คือ เอริน แม็คคาร์ตี้ชอบเขียนเรื่องที่พระนางได้เสียพัวพันกันเร็วจัง เล่มก่อนหน้า (Seeing is Believing) ก็เป็นแบบนี้ เล่มนี้ซึ่งเขียนก่อนหน้าเล่มนั้นหลายปี ก็เป็นแบบนี้อีก

เรื่องมาเริ่มโดนใจก็เหตุการณ์ตอนเช้า เมื่อนางเอกสร่างเมา แล้วเริ่มปะติปะต่อได้ว่า พระเอกคือใคร เขาไม่ใช่ช่างเครื่อง หรือทำงานให้กับนักแข่งรถ แต่เป็นนักแข่งรถอีกคน อาชีพของผู้ชายที่เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวเลย เพราะหลังจากเสียสามีไปกับกีฬาประเภทนี้ มันก็เสี่ยงเกินไป ถ้านั่นไม่แย่พอ ก็เมื่อเธอได้ยินนามสกุลของเขา และรับรู้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกัน เมื่อสักสิบปีก่อนเธอเจอเขาในสภาพเด็กวัยรุ่นอายุสักสิบห้าที่ขโมยรถพ่อไปขับเล่น มันเริ่มสนุกเมื่อนางเอกตระหนักว่า ตัวเองเป็นนางเสือเฒ่าที่เพิ่งเขมือบเด็ก (นี่เป็นสิ่งที่นางเอกคิดเกี่ยวกับตัวเองนะคะ ไม่ได้หมายความว่า เธอแก่ว่าพระเอกมากมายอะไร)

นี่เป็นจุดที่เราหยุดอ่านแล้วมองตัวหนังสือ และคิดว่า "มันชักสนุกแล้วว่ะ"

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ไม่ใช่เพราะว่าพล็อตที่นางเอกแก่กว่าพระเอก แต่เป็นเรื่องราวความรักของผู้ชายที่น่ารักมาก ๆ ที่ตามติด ตามตื้อ และเปิดใจให้กับผู้หญิงคนที่เขาชอบ เล่มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเราอ่านเรื่อง The Inn Boonboro ของนอรา โรเบิร์ตส์ (และเพื่อความเป็นธรรม จริง ๆ แล้วเล่มนี้เขียนก่อนนะคะ) เมื่อชายหนุ่มที่พร้อมสมบูรณ์แบบ หล่อเหลา มีอาชีพที่เฉิดฉาย ตกหลุมรักแม่หม้ายลูกสอง และทำทุกอย่างเพื่อเธอ และลูก ฉากที่พระเอกไปเยี่ยมนางเอก ในขณะที่ลูก ๆ ของเธอป่วยด้วยโรคอีสุกอีใส ทำให้เราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผู้ชายอะไรน่ารักจัง (และตามมาด้วยความคิดที่ว่า ถ้าเพียงแต่เราเจอแบบนี้สักคนในชีวิตจริง เราก็คงจะ....)

นี่เป็นหนังสือทีน่ารัก ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่านั้น แต่ความน่ารัก อบอุ่น โดยเฉพาะของพระเอกก็เพียงพอที่จะทำให้เราชอบเล่มนี้มาก ๆ ได้

เกือบจะสี่ดาวค่ะ คะแนนอยู่ที่ 73



View all my reviews

Review: Hard and Fast


Hard and Fast
Hard and Fast by Erin McCarthy

My rating: 2 of 5 stars



เราไม่ค่อยเป็นกลางกับเล่มนี้เท่าไหรนะคะ ส่วนหนึ่งเพราะเราอยากอ่านเรื่องราวของคาแร็คเตอร์ในเล่มสามในชุด (Hot Finished) มากกว่า อีกส่วนหนึ่งก็คือ เราไม่ชอบคาแร็คเตอร์ของทั้งพระเอก และนางเอกในเล่มนี้ ดังนั้นนี่จึ่งเป็นการรีบอ่านให้จบ ๆ ไปตามหน้าที่ (เพื่อที่เราจะได้ไปต่อที่เล่มสามได้) และไม่ได้เอื้อเวลาให้เราทำให้ความรู้จักมากพอที่จะเปลี่ยนความคิดที่เรามีต่อพระนางในเล่มนี้

ส่วนหนึ่งเพราะเรารู้สึกว่า คาแร็คเตอร์พระเอกในเรื่อง ซึ่งเป็นนักแข่งรถ เป็นอะไรที่มาตามสูตรมาก นักกีฬาที่หล่อ รวย ประสบความสำเร็จ และเป็นเสือผู้หญิง เราไม่รู้สึกว่าในคาแร็คเตอร์ของไท มีอะไรมากไปกว่านี้ แม้ว่าคนแต่งจะใส่ความด้อยในเรื่องความผิดปกติทางสมองที่ทำให้เขาอ่านหนังสือไม่ออกลงไป แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า มันทำให้เขามีด้านที่เปราะบางอะไรนัก

แล้วก็ก็ไม่รู้สึกว่า เข้าถึงตัวตนของนางเอกด้วย เธอเป็นคนนอกวงการแข่งรถ มาที่คาโรไลนาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอก และภายใต้สถานการณ์ที่เธอได้เจอ ค้นพบวัฒนธรรมแปลก ๆ ของหญิงสาวที่ต้องการแต่งงานกับนักแข่งรถ เธอคิดว่า น่าสนใจมากพอที่จะศึกษา เรารู้สึกว่า มันเป็นพล็อตชิคลิคเด่นชัด

ทุกอย่างในเรื่องนี้สำหรับเราแล้ว เป็นสูตรไปทั้งหมด เรามีพระเอกนักแข่งรถที่ชอบคลุกคลีกับผู้หญิงที่ไม่ฉลาด มีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย ชายหนุ่มที่ดูประสบความสำเร็จ แต่ลึก ๆ มีปมด้อยเพราะอ่านหนังสือไม่ออก แล้วเราก็มีนางเอกที่เรียนสูง เกิดและโตในนิวยอร์ค ทำให้เธอแตกต่างไปจากสภาพ "บ้านนอก" ของถิ่นที่เธออาศัย และดูเหนือกว่าพระเอก (และยิ่งเป็นการเพิ่มปมด้อยของเขา) มาจับเข้าสูตรการเขียนของเอริน แม็คคาร์ธี้ ที่พระเอกนางเอกมีเซ็กส์กันตั้งแต่บทแรกยังไม่ทันจบ ในขณะที่พล็อตนี้ (พระนางได้เสียกันเร็ว) เวิร์คสำหรับเราในเล่มแรก มาเล่มนี้เรากลับคิดว่าแป๊กค่ะ

เราไม่รู้สึกว่า รู้จักตัวละคร ดังนั้นแม้การเขียนบทสนทนาในเรื่องจะอ่านแล้วสนุก การโต้ตอบกันระหว่างไท และอิมโมเชนจะน่าสนใจ แต่นั่นไม่มากพอที่จะทำให้เราคิดอะไรลึกซึ้งไปกับเรื่องนี้ มันฉาบฉวยเกินไป

แล้วยังตอนใกล้จบ เรารู้สึกเหมือนสูตรเลยนะคะ ที่พระนางเจอกัน มีเซ็กส์กันเร็ว ตกหลุมรักกันแบบไม่รู้ตัว บอกรักกัน จากนั้นจะต้องมีฉากนึงที่ทั้งคู่ทะเลาะ และเลิกกัน เล่มนี้ก็พยายามหาฉากทะเลาะกันให้ได้ แต่มันดูฝืน ไร้ที่มา และไร้เหตุผลทั้งปวง จนทำให้เรายิ่งไม่ชอบพระนางเข้าไปอีก

คะแนนที่ 60




View all my reviews

Review: By Love Unveiled


By Love Unveiled
By Love Unveiled by Deborah Martin

My rating: 2 of 5 stars



เราอ่านงานของซาบรินา เจฟฟรีย์อย่างจงรักภักดีนะคะ (หมายความว่า เราอ่านหนังสือที่เธอเขียนทุกเล่ม) เธออาจจะไม่ใช่นักเขียนที่ดีที่สุดที่เราได้พบได้เห็นในสามโลก แต่สำหรับเรา งานส่วนใหญ่ของเธอไม่ทำให้เราผิดหวัง ที่มากไปกว่านั้น เรายังอ่านงานเขียนในนามปากกาเดบอราห์ มาร์ตินของเธออีกด้วยค่ะ (ก่อนที่จะมีซาบรินา เจฟฟรีย์ เธอใช้นามปากกว่าเดบอราห์ มาร์ตินมาก่อน) และก็ชอบมากในระดับนึง อาจจะไม่เท่ากับที่เราชอบงานในชื่อล่าสุดของเธอนะคะ แต่ก็อยู่ในความทรงจำที่ดี

เรื่องนี้คือ หนังสือที่เขียนสมัยที่เธอยังเป็นเดบอราห์ มาร์ตินอยู่ (แต่เราไม่ได้อ่านเล่มนี้ค่ะ) เมื่อซาบรินาดังในระดับนึง สนพ.จึงซื้อลิขสิทธิ์มาพิมพ์ใหม่ แถมยังให้ซาบรินาตรวจต้นฉบับอีกรอบด้วย ดังนั้นสำหรับเราเล่มนี้จึงเป็นอีกเล่มที่เราต้องอ่านแน่ ๆ

ปัญหาก็คือ มันไม่สนุกน่ะค่ะ มากถึงขนาดทำให้เราตั้งคำถามความชอบที่เรามีต่องานเขียนในนามปากกาเดบอราห์ มาร์ตินเลยล่ะค่ะ (เพราะเรายังชอบงานของซาบรินา เจฟฟรีย์อยู่ เพิ่งอ่านเล่มล่าสุดไป ก็ถือว่าใช้ได้) ว่าที่เราคิดว่าชอบในอดีตนั้น เราชอบจริง ๆ หรือเป็นแค่ความทรงจำอันลางเลือน เพราะเล่มนี้แย่อย่างไม่น่าเชื่อ (ในมาตรฐานของซาบรินา เจฟฟรีย์ที่เราวางไว้ในระดับนึง)

เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคที่หนังสือสมัยนี้ไม่ค่อยวางพล็อตเรื่องกันแล้ว นั่นก็คือสมัยพระเจ้าชาร์ลที่สอง หลังจากที่ได้รับเชิญให้เสด็จกลับมาครองราชบัลลังค์อีกครั้ง (หลังจากพ่อโดนตัดคอ และชาร์ลที่สองหนีตายไปลี้ภัยในฝรั่งเศส) กษัตริย์โดนลอบปลงพระชนม์ด้วยการวางยาพิษ และหมอที่ดำเนินการนั้นก็ถูกจับในฐานะกบฎ บ้านเรือนและสมบัติของเขาถูกยึดเป็นสมบัติหลวง นั่นเป็นโชคดีของพระเอก เพราะบ้านของหมอหลวงก็คือ ทรัพย์สินของตระกูลของเขานั่นเอง ทรัพย์สินที่กาเร็ตต์ถูกผู้เป็นอาเขยโกงในระหว่างที่เขาลี้ภัยตามกษัตริย์ไปที่ฝรั่งเศส

เมื่อได้รับพระราชทานปราสาทของตัวเองคืน กาเร็ตต์ก็รับคำสั่งอีกอย่าง นั่นคือ ช่วยสืบดูว่า มีขบวนการใดอีกรึเปล่าที่ร่วมมือกับหมอในการวางยากษัตริย์

พล็อตเรื่องนี้เก่าตามอายุของเรื่องมาก พระเอกเป็นเจ้าของปราสาทที่กษัตริย์ยกให้ แน่นอนว่า นางเอกก็คือลูกสาวของหมอ หรือเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ถูกยกให้พระเอก และแน่นอนว่า นางเอกของเราต้องปลอมตัวเป็นยิปซี และแน่นอนว่า นางเอกจะต้องมีความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วน และแน่นอนว่า พระเอกต้องมีอาการป่วยจนต้องเรียกนางเอกมารักษา และแน่นอนว่า พระเอกต้องค้นพบว่า นางเอกมีความลับบางอย่างปิดบัง และเขาหลงใหลความงามของเธอจนเก็บเธอไว้ข้างตัว และจะไม่ใช่พระเอกได้อย่างไร หากไม่พยายามทำให้นางเอกมาเป็นเมียเก็บ

พล็อตมันเก่า และดันไม่ใช่พล็อตแบบที่เราอยากอ่าน เราไม่ชอบนิสัยพระเอก เราไม่ได้ชอบพระเอกที่สมบูรณ์แบบนะคะ เราติดที่จะชอบอ่าน Anti-hero ด้วยซ้ำ แต่พฤติกรรมทำให้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นเมียเก็บเนี่ย เรารับไม่ไว้ค่ะ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่การกระทำแบบนี้คือการทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนั้นทั้งคน เหตุผลเดียวที่พระเอกใช้อธิบายก็คือ นางเอกเป็นยิปซี (ทุเรศค่ะ)

ตัวร้ายในเรื่องก็เด่นชัดจนไม่ต้องบอกว่า เป็นใคร อะไรที่แย่ ที่เลว ตาคนนี้รับเอาไว้หมด

อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ต้องรีบไปหยิบงานเล่มล่าสุดของซาบรินา เจฟฟรีย์มาอ่านเลยค่ะ เพื่อทำให้ตัวเองมั่นใจว่า นั่นมันคืออดีตที่เธอเคยเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เธอเขียนในตอนนี้

คะแนนที่ 53



View all my reviews

Review: Hot Finish


Hot Finish
Hot Finish by Erin McCarthy

My rating: 3 of 5 stars



เราคาดหวังกับเล่มนี้ไม่น้อยค่ะ เพราะคาแร็คเตอร์ของไรเดอร์ และซูแซนน์ออกมามีบทไม่น้อย แถมยังเล่นบทเป็นกามเทพให้กับพระนางในสองเล่มแรกอีกต่างหาก ความน่าสนใจของเล่มนี้ก็คือ อะไรที่ทำให้ชายและหญิงสองคนที่ดูเหมาะสม และยังรักกันมาเหลือเกินแบบทั้งคู่เลิกลาจากกัน และอะไรจะทำให้ทั้งสองกลับมาคืนดีกันได้

นี่เป็นคำถามที่เราตั้งเอาไว้ในใจ ก่อนเริ่มอ่าน

น่าเสียดายก็คือ เราอ่านจนจบ ก็ไม่ได้คำตอบค่ะ เพราะนี่เป็นประเด็นที่ดูเหมือนคนแต่งไม่กล้าแตะต้องเอาเสียเลย มีการพูดถึงบ้าง ซูแซนน์ให้เหตุผลว่า ไรเดอร์เป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่ติดตามผลจนสำเร็จ ทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายคอยเช็ดถูก ทำความสะอาดการละเลยของไรเดอร์ทุกครั้ง ทำให้เธอเบื่อ (นี่เป็นเหตุผลในตอนต้น ๆ เรื่อง) จากนั้นก็ไปที่ประเด็นที่ว่า ไรเดอร์แต่งงานกับเธอ เพราะท้อง ไม่มีเหตุผลที่คนประสบความสำเร็จอย่างไรเดอร์ จะหันมามองเธอ (ช่วงกลาง ๆ เรื่อง) ไม่มีประเด็นไหนถูกอธิบาย หรือบรรยายจนเราเข้าใจ บอกตามตรงนะคะ เราไม่รู้ว่า อะไรทำให้ทั้งคู่เลิกกัน

และนั่นคือปัญหาว่า แล้วเราจะทำใจให้เชื่อได้อย่างไรว่า การคืนดีกันของทั้งคู่ในเล่มนี้จะเป็นสิ่งที่ยั่งยืน

แต่ถ้าพยายามมองข้ามข้อข้องใจนี้ไป เรื่องโดยรวมก็สนุกอ่านได้นะคะ เพียงแต่เราเสียดายน่ะค่ะ เล่มนี้มันจะเป็นอะไรบางสิ่งที่ดีกว่านี้ได้เยอะมาก

ไรเดอร์ และซูแซนน์ เจฟเฟอร์สัน เป็นคู่แต่งงานที่หย่าขาดแล้วยังมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคู่มีเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน อยู่ในวงสังคมเดียวกัน และยังคอยช่วยเหลือกัน ดังนั้นแม้จะเป็นเวลาสองปีแล้วที่ทั้งสองหย่าจากกัน แต่ก็ยังมีความเป็นเพื่อนหลงเหลืออยู่ จนกระทั่งจดหมายจากทนายความแจ้งว่า ทั้งคู่ยังไม่ได้หย่าขาดจากกันทางกฎหมาย การที่ไรเดอร์ไม่ไปปรากฎตัวในศาล ทำให้การหย่าไม่มีผล และทั้งสองยังแต่งงานอยู่

นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แค่งานเอกสารที่แก้ไขได้ไม่ยาก ถ้าหากทั้งสองหมดรักจากกันไปจริง ๆ แต่การได้รับรู้ว่า ยังคงเป็นสามีภรรยากันอยู่ได้ปลุกความรู้สึกที่ทั้งสองคิดว่า จบไปแล้ว กลับขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ทำให้ไรเดอร์ได้มีโอกาสเข้าไปพัวพันในชีวิตของซูแซนน์มากขึ้น เมื่อเขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานที่เธอทำหน้าที่เป็นผู้จัดการงานแต่งนั้น

เราชอบคาแร็คเตอร์ทั้งคู่นะคะ ชอบความสัมพันธ์ของทั้งสอง ชอบจังหวะของเรื่องที่เราคิดว่า ลงตัว ปัญหาก็คือ เราคิดว่า เรื่องนี้น่าจะซีเรียสมากกว่านี้ การที่คนสองคนที่รักกันมาก ๆ และไม่เคยเสื่อมรักกันเลย กลับเลือกที่จะหย่าขาดจากกัน บางสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่เราไม่อาจระบุได้ว่า มันคืออะไรกันแน่ คนแต่งเสนอหลายเหตุผลเพื่ออธิบาย แต่ไม่มีประเด็นไหนถูกเอามาพูดเป็นเรื่องเป็นราว ท้ายสุดเรื่องทำเหมือนว่า เป็นการที่ไรเดอร์ไม่ยอมอธิบายความรู้สึกของตัวเอง (ประมาณว่า ไม่บอกรัก) คือเหตุผล แต่เรากลับไม่รู้สึกว่า นั่นมากพอ หรือเพียงพอที่จะเป็นเหตุให้ทั้งคู่เลิกกันได้ (โดยเฉพาะเมื่อเรื่องทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองรักกันมากเพียงไหน)

ไม่รู้นะคะว่า ถ้าเราไม่ได้อ่านสองเล่มก่อนหน้าในชุดมาก่อน เราอาจจะชอบเล่มนี้มากกว่านี้ก็ได้

คะแนนที่ 67



View all my reviews