Thursday, October 16, 2014

Review: Irresistible Force


Irresistible Force
Irresistible Force by D.D. Ayres

My rating: 1 of 5 stars



เรื่องเริ่มต้นได้น่ารักดีนะคะ พระเอกตามเบาะแสเกี่ยวกับคู่หูที่โดนลักพาตัวไป จนมาถึงกระท่อมที่นางเอกพักอาศัยอยู่ ก่อนเรื่องจะเฉลยว่า "คู่หู" ที่พระเอกตามหาก็คือน้องหมาหน่วย K9 ซึ่งนางเอกรับมาเลี้ยงโดยไม่รู้ว่า โดนลักพาตัวมา

หลังจากพูดคุยจนเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางเอกซึ่งมีปมชีวิตวัยเด็ก ประกอบกับถูกแฟนเก่าตามรังควาน ก็ไม่ยอมส่งคือน้องหมาให้กับพระเอกง่าย ๆ แม้จะรู้แก่ใจว่า เขาคือเจ้าของ เพราะเธอได้รักและผูกพันด้วยกันไปแล้ว การกระทำของนางเอกที่ไม่ยอมคืนหมาไม่เท่าไหรนะคะ แต่เราไม่ชอบสิ่งที่เธอพยายามจะทำ ก็คือการแจ้งความว่า พระเอกบุกรุกที่พักของเธอเพื่อหวังใช้แบล็กเมลล์ให้เขายกน้องหมาให้กับเธอ (ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ หมาเป็นทรัพย์สินของกรมตำรวจ) มันทำให้เราไม่ชอบนางเอกเอาเสียเลย

นอกจากนี้คาแร็คเตอร์ของเธอมีลักษณะของความเป็นเหยื่ออย่างน่าอึดอัด ตั้งแต่วัยเด็กเธอถูกมองว่า มีสภาพจิตไม่มั่นคง เพราะเคยทำร้ายร่างกายแฟนของแม่ ตอนเรียนก็โดนเพื่อน ๆ ล้อเลียน ทำให้ไม่มีความมั่นใจ แถมยังไม่ไว้ใจผู้ชาย (จากประสบการณ์เรื่องแฟนของแม่ที่ลวนลาม) แต่น่าแปลกนะคะ ด้วยอาการทั้งหมดที่ว่า และเธอนำมาแสดงออกกับพระเอก สร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ที่พระเอกหวังจะสานต่อ แต่เธอกลับมีแฟน (ก่อนหน้าที่จะได้พบกับพระเอก) เชื่อใจเขาสารพัด แล้วก็ถูกทำร้าย จนมาตอกย้ำให้ไม่ไว้ใจผู้ชายอีก (คือเรางงน่ะค่ะ ถ้าหวาดระแวงผู้ชายขนาดนี้ ทำไมไว้ใจแฟนเก่า ซึ่งดูแย่มาก ๆ แถมเธอยังแสนจะไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี หรือกำลังยักยอกเงินบริษัทที่ทั้งคู่ทำงานอีก แต่พอมาเจอพระเอก บาดแผลในอดีตสารพัดที่มีผุดขึ้นมาเพื่อเป็นอุปสรรคในความรักของผู้ชายที่ดีดีมีให้)

อ่านแล้วเบื่อหน่ายความเป็น "เหยื่อ" ของนางเอก รู้สึกอึดอัดกับคนทั้งโลกที่ดูเหมือนจะกลั่นแกล้งเธอ การที่ตลอดทั้งชีวิตดูไม่มีใครเคยช่วยเหลือเธอเลย ทั้งหมดนั่นทำให้เราตั้งคำถามว่า ถ้านางเอกเป็นคนดีอย่างที่คนแต่งต้องการให้เราเชื่อว่าเธอเป็น ชีวิตของเธอจะแห้งแล้งปราศจากที่พี่งขนาดนี้เลยเชียวเหรอ

เรารู้สึกเหมือนนางเอกใช้ประสบการณ์อันเลวร้ายของตัวเองมาลงโทษพระเอก (ในขณะที่ไม่ใช่มันลงโทษคนร้ายซึ่งเป็นแฟนคนแรก)

แล้วก็มาเหล่าบรรดาตัวร้าย ที่แต่ละคนเหมือนจะถูกลอกมาจากศูนย์คนร้ายแห่งชาติ กล่าวคือ ดูเหมือนตัวการ์ตูน ไม่มีมิติ แฟนเก่านางเอกที่คบนางเอกไว้เผื่อเลือก ในเวลาเดียวกันก็แอบจีบลูกสาวคนใหญ่คนโตเอาไว้ (น่าแปลกก็คือ จีบสำเร็จจนได้หมั้นหมายไปแล้ว ทางนางเอกก็ขอเลิกกันไป เรื่องน่าจะจบ แต่คนแต่งกลัวไม่มีคนร้ายมั้งคะ ต้องเขียนให้แฟนคนนี้เป็นโรคประหลาด มาตามราวีนางเอก เพื่อ... ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ เพราะดูก็ไม่ได้รัก หรืออยากได้ เขียนทำนองว่าอีโก้สูง ฉันต้องเป็นคนบอกเลิก ไม่ใช่เธอบอกเลิก มันขัดกับนิสัยของคนที่วางไว้นะ เพราะบอกว่า ชายคนนี้เห็นแก่ตัว ขี้โกง คนพวกนี้ชอบเอาตัวรอด การที่นางเอกเดินจากไปเอง ทำให้เรื่องง่ายลง เขาได้ผู้หญิงที่มีสถานะสูงอย่างที่ต้องการแล้ว ทำไมต้องมาแยแสนางเอกอีก)

ส่วนแฟนเก่าพระเอกก็เหมือนตัวตลก แต่ไม่ตลกเท่าคนร้าย ที่แท้จริง เหตุผลคนร้ายยิ่งปัญญาอ่อนอย่างรุนแรง เขียนอธิบายไม่ออกค่ะ มันน่าหัวเราะเกินกว่าจะเล่าออกมาเป็นคำพูดได้

ผิดหวังมาก ๆ ขนาดทำให้เราขยาดที่จะลองซื้องานเขียนของนักเขียนใหม่เป็นพรินต์บุ๊คไปเลยค่ะ ต่อไปจะลองซื้ออีบุ๊คตอนลดราคามาอ่านก่อนดีกว่าค่ะ



View all my reviews

Review: The Dark Affair


The Dark Affair
The Dark Affair by Maire Claremont

My rating: 2 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มแรกของนักเขียนคนนี้ที่เราหยิบมาอ่าน แต่ตามลำดับการออกขายแล้ว เล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุดค่ะ เหตุผลที่เราเลือกมาอ่านก็คือ พล็อตเรื่อง เริ่มตั้งแต่ที่พระนางจำเป็นต้องแต่งงานกัน เพื่อช่วยพระเอกออกมาโรงพยาบาลบ้า แถมพระเอกยังมีอาการสติไม่สมประกอบดี (เนื่องจากติดฝิ่น) พล็อตแบบนี้ คาแร็คเตอร์แบบนี้ เห็นแล้วเป็นต้องหยิบมาอ่านค่ะ

ผลลัพธ์ออกมาไม่สวยนัก เพราะแม้เราจะชอบพล็อตแบบนี้ แต่การเขียนเรื่องในพล็อตแบบนี้ไมใช่เรื่องง่ายนะคะ การเขียนให้อารมณ์เรื่องมีลึกซึ้ง ตัวละครที่มีมิติ การเล่าเรื่องราวที่ดูน่าเชื่อสมจริงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้สอบตกเกือบหมด

เลดี้มาร์กาเร็ต แคสสิดี้ที่แม้จะเป็นลูกสาวของขุนนาง แต่ก็แค่ขุนนางชาวไอริช แถมเธอยังทำอาชีพนางพยาบาลซึ่งไม่ได้รับความนับถือในสมัยของสังคมในเรื่อง คุณค่าเดียวที่สำคัญของเธอก็คือ ความสามารถในการช่วยเหลือคนไข้ที่ติดฝิ่น นั่นทำให้เธอได้รับการติดต่อจากบิดาของเจมส์ ผู้ซึ่งกำลังจมดำดิ่งไปกับอาการเสพติดฝิ่น ที่เขาใช้เป็นทางออกในการบรรเทาความเศร้าอันเนื่องมาจากการสูญเสียครอบครัวไป

มาร์กาเร็ตถูกขอให้มาช่วยทำให้เจมส์หายขาดจากอาการเสพติด แต่พ่อของเขาต้องการมากกว่านั้น เขายังต้องการทายาทเพื่อสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อไปอีกด้วย ด้วยข้อเสนอที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ (ซึ่งแน่นอนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือน้องชายจอมก่อเรื่องของเธอ) มาร์กาเร็ตจึงตอบตกลงแต่งงานเพื่อความสะดวก

ความไม่น่าเชื่ออย่างรุนแรงในเรื่องนี้ก็คือ มาร์กาเร็ตเก่งกาจอย่างมากในการเสกให้เจมส์หายติดฝิ่นได้ในเวลาสามวัน เธอใช้วิธีหักดิบทำให้เขาเลิกฝิ่น เรื่องราวทำเหมือนว่า ทุกอย่างมันช่างง่ายดาย จึงอยู่ค่ะ อาจจะมีการพูดถึงความอยากในการกลับมาเสพ แต่มันก็ยังง่ายเกินไป มันเหมือนกับคนแต่งต้องการให้ประเด็นเรื่องกาติดฝิ่นจบไปภายในหนึ่งในสามส่วนของเล่ม จากนั้นก็จะหันไปพูดประเด็นอื่นแล้วนะ แต่เรื่องมันไม่ควรเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะเรื่องที่ดูเหมือนจะส่งผลอย่างมากมายต่อชีวิตของชายคนนึง เราคิดว่าคนแต่งใช้ประเด็นเรื่องเสพติดมาเพื่อทำให้พระนางมาเจอกัน จากนั้นก็จะไปเข้าเรื่องอื่น

การตกหลุมรักของเจมส์ที่มีต่อมาร์กาเร็ตก็ง่ายดายเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องบอกนำมาว่า เขากลายมาเป็นคนติดฝิ่นเพราะสูญเสียครอบครัว แต่สุดท้ายก็ลงเอยตามสูตรง่าย ๆ ที่ว่า ภรรยาที่เสียชีวิตไปของเจมส์มีปัญหาทางจิตและทำร้ายลูกของพวกเขา เพื่อกำจัดประเด็นว่า พระเอกเคยมีรักมาก่อน และคนอ่านอาจจะไม่เชื่อว่าพระเอกที่เคยมีชีวิตการแต่งงานที่มีความสุขจะรักนางเอกแท้จริงได้ มันเป็นการหาทางออกที่ง่ายเกินไปน่ะค่ะ



View all my reviews

Wednesday, October 15, 2014

Review: Beautiful Addictions


Beautiful Addictions
Beautiful Addictions by Season Vining

My rating: 2 of 5 stars



เราไม่แน่ใจนะคะว่า เป็นความพยายามมากเกินไปที่จะทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหลายอย่าง เลยทำให้ท้ายที่สุดแล้ว เรารู้สึกว่า มันอยู่ได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของทุกอย่าง ไม่สามารถทำให้เราประทับใจไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของพล็อตเรื่องได้เลย

โจซี แบงส์หญิงสาวผู้สูญเสียอดีตไปตลอดกาล เธอถูกพบในสภาพถูกทำร้ายหนักปากตาย ความทรงจำขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่า เธอคือใคร มาจากไหน และไม่มีใครสนใจ ชีวิตดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย โจซี่ปล่อยตัวเองไปกับยาเสพติดและเซ็กส์ จนกระทั่งการพบกันโดยบังเอิญในตรอกมืดแห่งนึง กับคนชายอดีต

ทริสแทน เฟลบรู๊คเสียสละทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตเพื่อความรัก แต่มันก็ไม่เพียงพอ จากเด็กหนุ่มมันสมองอัจฉริยะผู้กำลังมีอนาคตไกลในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทริสแทนทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขาหลงรัก เพื่อจะพบว่า เธอไม่ได้รักเขา และทุกอย่างก็สายเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ ตอนนี้เขามีชีวิตในเวลาที่ขอยืม รอวันที่ศัตรูจะตามล่าจนพบตัว แต่เมื่อเขาได้พบกับโจซี่ อดีตที่เขาคิดว่าเลือนหายไปแล้วกลับคืนมา

นั่นเพราะโจซีคือรักแรกของเขา ก็เด็กสาวข้างบ้านผู้ที่เป็นเพื่อนสนิท ผู้ที่กลายเป็นความรักที่เริ่มผลิบาน อย่างกระทันหันเธอจากไปเมืองอื่น จากนั้นไม่กี่วันเขาก็ได้ข่าวว่าเธอตายไปแล้ว แต่การเผชิญหน้ากันบอกความจริงที่ตรงข้าม เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะอาการความจำเสื่อม โจซี่จึงไม่รู้จักทริสแทน แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่เธอจะเปิดรับเขาเข้ามาในชีวิตอันแห้งแล้งของเธอ

เรื่องเป็นแนว New Adult ที่ผสมกับทริลเลอร์โดยที่บุคคลจากอดีตของโจซีและทริสแทนออกตามล่าหาตัวคนทั้งสอง ประเด็นคือ ศัตรูที่ตามล่าทั้งคู่ก็คือ คนคนเดียวกัน แต่จากการกระทำที่ต่างกรรมต่างเวลากัน เราไม่เชื่อเรื่องบังเอิญค่ะ เราคิดว่า เป็นการเขียนที่เกียจคร้านเพื่อที่่จะได้ใช้คนร้ายร่วมกัน โจซี่เพราะเธอเป็นพยานการฆาตกรรมบิดาของเธอเอง เกรงว่าจะจดจำอดีตชี้ตัวคนร้ายได้ ส่วนทริสแทนเพราะเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร (เนื่องจากไปตรงหลุมรักลูกสาวมาเฟีย และเข้าไปทำงานให้ แต่สาวเจ้าไม่รัก ทริสแทนก็เลยหนีออกจากแก๊งค์ไป) ทำให้เรารู้สึกพล็อตส่วนนี้อ่อนมาก แทนที่จะต้องลุ้นว่าพระนางจะหนีรอดจากคนร้ายไหม กลายเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของ (คือไม่มีความสมจริง จนไม่ต้องลุ้นอะไร)

นอกจากนี้เรื่องยังมีตัวละครรองเด่น ๆ และน่าสนใจหลายตัว ปัญหาคือ มีมากเกินไป และที่แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ก็คือ คนแต่งไม่ได้วางแผนที่จะเขียนภาคต่อที่มีตัวละครเหล่านั้นเป็นพระเอกนางเอก ซึ่งเป็นความแตกต่างที่น่าสนใจดี แต่ข้อเสียก็คือ เรื่องราวของเหล่าตัวละครรองโดนยัดเข้ามาในเล่มนี้ด้วย ทำให้ความสนใจของคนอ่านกระโดดไปมาก จากโจซี่และทริสแทน ไปที่อเล็กซ์ (เพื่อนข้างบ้านของโจซี่ที่เป็นนักค้ายา) และโมนิกา (เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ที่พยายามช่วยโจซี่)

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราเดาเรื่องได้แต่ต้นรึเปล่านะคะ เราจึงไม่ได้ตื่นเต้น หรือลุ้น หรือแปลกใจอะไรกับตัวตนที่แท้จริงของแฟนหนุ่มของโมนิกา ที่เอาเข้าจริงคือนักฆ่าที่ถูกส่งกำจัดโจซี่ จริง ๆ แล้วเราสนใจคาแร็คเตอร์ของตัวนักฆ่าคนนี้ (เราว่าเขาน่าสนใจสุดแล้วในเรื่อง) แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้มีอะไรต่อเนื่องไปได้อยู่ดี

สรุปก็คือ เป็น New Adult ที่งั้น ๆ ไม่แนะนำให้ใครอ่าน เราเองยังนึกเสียดายเวลาเล็ก ๆ ที่อ่านไปเลยค่ะ



View all my reviews

Review: How to School Your Scoundrel


How to School Your Scoundrel
How to School Your Scoundrel by Juliana Gray

My rating: 5 of 5 stars



หลังจากอ่านหนังสือห้าเล่มแรกในชุด (จริง ๆ คือเรื่องถูกแบ่งออกเป็นสองชุดนะคะ คือ Affairs by Moonlight กับ Princess in Hiding แต่ทั้งหกเรื่องเกี่ยวพันกันค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเล่มนี้ถือว่าไขความกระจ่างในหลายประเด็นที่ทิ้งไว้ในเล่มก่อนหน้าด้วย) ก็มาถึงเล่มนี้ ก่อนหน้าที่เราจะหยิบเล่มนี้มาอ่าน ขอบอกว่า เรากำลังอยู่ในภาวะเบื่อหน่ายเรื่องแนวย้อนยุคอย่างแรงค่ะ มันเหมือนกับว่า เราไม่อาจหาเรื่องแนวนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องแนวที่เราชอบมาก ๆ มาอ่านให้สนุกเหมือนในอดีตได้ พล็อตเรื่องซ้ำซากเกินไป ตัวละครเป็นสูตรสำเร็จเกินไป นักเขียนที่เราเคยชอบมาก ๆ ก็ยังไม่อาจทำให้เรากลับมาต่อกับเรื่องแนวนี้สำเร็จ

เราไม่คิดนะคะว่า จะเป็นเรื่องนี้ และนักเขียนคนนี้ที่ทำให้เรากลับมามีศรัทธาในงานแนวย้อนยุคได้อีกครั้ง

และเมื่อคิดว่า องค์ประกอบหลายอย่างในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ พล็อตเรื่องที่ถ้าไม่ได้มีใครแนะนำมาให้อ่านอย่างจริงจังและจริงใจ เราคงหลีกเลี่ยง (กระนั้นเราก็นั่งมองเรื่องนี้อยู่สองเดือนนะคะ ไม่อยากอ่านเพราะพล็อต แต่เพราะเพื่อนที่แนะนำย้ำหลายครั้งว่า เราต้องอ่านให้ได้ เพราะเราน่าจะชอบมาก ๆ) เรื่องนี้พิสูจน์ชัดเจนเลยนะคะว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือของคนแต่ง พล็อตอะไรแบบไหนไม่สำคัญ ถ้าคนแต่งมีฝีมือดีพอ พล็อตที่ไม่น่าอ่าน (สำหรับเรา) ก็กลายเป็นเรื่องที่สนุกมากที่สุดไปได้

เจ้าหญิงหลุยซาเป็นหนึ่งในเจ้าหญิงสามองค์ที่หนีตายออกมาจากประเทศ หลังจากพระบิดาผู้เป็นกษัตริย์ และพระสวามีของเธอถูกลองสังหาร หลุยซาที่กำลังรอทำพิธีขึ้นเป็นราชินีคนใหม่ของประเทศ ก็ถูกลอบทำร้าย จนสุดท้ายไม่มีทางเลือกต้องหนีไปประเทศอังกฤษ เพื่อขอให้ลุง (พี่ชายของแม่) ช่วยเหลือ และแผนการของดยุคแห่งโอลิมเปีย ผู้เป็นลุงก็คือ นำเจ้าหญิงทั้งสามไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัย แต่ข่าวการหายตัวไปของเจ้าหญิงทั้งสามก็โด่งดัง จนทำให้พวกเธอกลายเป็นที่จับตามอง ดังนั้นเพื่อซ่อนในที่แจ้ง ทั้งสามจึงปลอมตัวเป็นชาย และถูกส่งแยกย้ายกันไปในที่ต่าง ๆ

เรื่องนี้เล่าเรื่องตั้งแต่ต้น (ก่อนเหตุการณ์ใน How to Tame your Duke) ดำเนินคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ในหลาย ๆ เล่มในชุด และมีบทสรุปตอนจบเลยตอนจบของทุกเล่มออกไป ระยะเวลาในเรื่องดำเนินไปมากกว่าหนึ่งปี และนี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เราคิดว่า พล็อตเรื่องที่ใช้เป็นไปได้

หลุยซา (ที่ปลอมเป็นชาย) ถูกส่งไปทำงานผู้ช่วยส่วนตัวให้กับเอิร์ลแห่งโซเมอร์ตัน (สำหรับคนที่เคยอ่าน หรือจำรีวิวที่เราเขียนไปแล้วได้ เขาคือสามีผู้โหดร้ายของนางเอกในเรื่อง A Gentleman Never Tells) ชายหนุ่มอนาคตไกลหลายคนมาทำงานให้กับโซเมอร์ตัน แล้วก็ยื่นใบลาออกกันแทบไม่ทัน เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำงานให้กับท่านเอิร์ลผู้เรียกร้องความสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ครั้งแรกที่โซเมอร์ตันพบกับหลุยซา ผู้ซึ่งเขารู้จักในนามของนายมาร์คแฮม เขาก็คิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะลาออกในเวลาไม่นาน ใครล่ะจะทนทำงานกับเขาได้ ในเมื่อโซเมอร์ตันมีความลับมากมาย และต้องการความภักดีอย่างเต็มร้อยจากคนรอบตัว แถมเขายังมีวิธีต้อนรับคนที่มาทำงานให้กับเขาด้วยการส่งพวกเขาไปยังสถานที่อันตราย ถูกจับไปทรมานเพื่อพิสูจน์ใจว่า จะทรยศโซเมอร์ตันหรือไม่ การทดสอบที่หลุยซาสอบผ่าน

คาแร็คเตอร์ของโซเมอร์ตันเคยออกมาให้คนอ่านเห็นแล้วในเรื่อง A Gentleman Never Tells พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาเป็นตัวร้าย เป็นสามีผู้เย็นชา และใจร้ายกับนางเอกมาก ๆ เป็นพ่อที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยให้ความสนใจลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ และในหนังสือเล่มอื่น ๆ พฤติกรรมแย่ ๆ ของโซเมอร์ตันก็ถูกกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็น การที่เขาเป็นชู้กับเมียของแอชแลนด์ และเป็นพ่อของลูกนอกสมรส ใน How to Tame Your Duke พูดง่าย ๆ เลยก็คือ เขาไม่ใช่แค่เป็นชายเสเพล เขาเป็นคนเลวที่สร้างปัญหาต่าง ๆ มากมายให้กับบรรดาตัวเอก (ที่เป็นคนดี) ในเรื่องชุดนี้

ก่อนเราจะอ่านเรื่องนี้ เราก็คิดนะคะว่า คนแต่งจะเขียนยังไงให้ดูน่าเชื่อว่า ชายคนนี้กลับตัว และกลายเป็นพระเอก

จูเลียนา เกรย์ทำได้ดีกว่านั้นค่ะ เพราะโซเมอร์ตันไม่ได้กลับตัว เขาก็คือคนคนเดิมที่เป็นมาตลอด เพียงแต่คนแต่งได้แสดงให้คนอ่านได้เห็นถึงห้วงความคิดของเขา ไม่มีคำขอโทษในการกระทำ เพราะนั่นคือตัวตนของเขา แต่ทำให้คนอ่าน (อย่างเรา) เห็นว่า เรื่องทุกอย่างมีสองด้าน (โปรดอย่าคิดว่า คนแต่งใช้พล็อตความเข้าใจผิดนะคะ) และในมุมมองของโซเมอร์ตัน แม้จะไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนถูก แต่ทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น

เขายังเป็นสามีที่ใจร้าย และเนื่องจากเรื่องนี้เล่าเรื่องตั้งแต่ต้น คนอ่านได้เห็นความสัมพันธ์ของโซเมอร์ตันและอลิซาเบ็ธ ภรรยาของเขา (ซึ่งเป็นนางเอกเรื่อง A Gentleman Never Tells) ร่วมรับรู้ไปกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดที่อลิซาเบ็ธตัดสินใจหนีไปจากเขา (และไปสู่อ้อมแขนของโรแลนด์พระเอกของเธอ) คนอ่านยังได้รับรู้ไปถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแต่งงาน เพราะเมื่อโซเมอร์ตันได้พบกับอลิซาเบ็ธ เขาก็ตัดสินใจว่า เขาตกหลุมรักผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบคนนี้ แต่เพราะเธอไม่เคยชายตามองเขาเลย หัวใจของเธอมีแต่โรแลนด์เท่านั้น สิ่งเดียวที่ชายผู้ที่ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ และเด็ดขาดพอที่จะลงมือกระทำก็คือ การวางแผนส่งโรแลนด์ไปปฏิบัติหน้าที่สายลับในดินแดนห่างไกล จับคู่รักแยกจากกัน จากนั้นก็ทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวไปช่วยเหลือทางการเงินกับครอบครัวของอลิซาเบ็ธ แต่งงาน และได้เธอมาครอบครอง

โซเมอร์ตันชนะ แต่เขาก็พ่ายแพ้ เพราะแม้จะแต่งงาน ในความรู้สึกของเขา อลิซาเบ็ธไม่เคยลืมคนรักเก่า นั่นคือบาดแผลที่ลุกลามทำลายความสัมพันธ์ที่อาจจะเป็นไปได้ของพวกเขา การไม่ไว้ใจที่เขามีให้ ผลักดันให้เขากระทำหลายอย่างที่เป็นการทำร้ายจิตใจของภรรยา และทำให้เขาห่างไกลจากลูกชายของตัวเอง

เราคิดว่า คนแต่งเก่งมาก ๆ เพราะเราอ่านเรื่องนี้แล้ว เข้าใจว่าทำไมอลิซาเบ็ธต้องไป แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าใจว่า โซเมอร์ตันเองก็ไม่ใช่ปีศาจเหมือนอย่างที่เราเคยคิดว่าเขาเป็นตอนอ่านเรื่อง A Gentleman Never Tells

นี่เป็นแค่ตัวอย่างนึงของการที่คนแต่งเปลี่ยนใจเราได้เกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ของพระเอกนะคะ เธอไม่ได้ชำระล้างทำความสะอาด ไม่มีการกลับเนื้อกลับตัว แต่ทำให้เราเข้าใจแรงขับดัน เข้าใจตัวตนของโซเมอร์ตันมากขึ้น และยอมรับเขาอย่างที่เป็น

และนั่นนำมาสู่เหตุผลที่เราชอบเล่มนี้มากมาย นั่นก็คือคาแร็คเตอร์ของนางเอก และความสัมพันธ์ของเธอกับพระเอก

นี่ไม่ใช่เรื่องรักแรกพบ ตอนที่เจอกันโซเมอร์ตันคิดว่า หลุยซาเป็นผู้ชาย และเขายังตกหลุมรักภรรยาผู้ไม่เคยรักเขาเลยอยู่ อย่างที่เราบอกค่ะ การที่เหตุการณ์ในเล่มนี้กินเวลานานเป็นปีเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เรื่องนี้ลงตัว เพราะพระเอกและนางเอกมีเวลาในการทำความรู้จักกันและกัน รู้ข้อดีข้อด้อย และยอมรับอย่างที่เป็น

หลุยซายอมรับโซเมอร์ตันในตัวตนของเขา ชายที่ฉลาด แต่เหี้ยมโหด อารมณ์ร้อนแต่ช่างปกป้อง เธอรู้จักเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดจะใช้เวลาในการทำความรู้จัก และนั่นทำให้เธอคือคนที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด เพราะเธอรักเขาในแบบที่เขาเป็น (ไม่ใช่รักเขาแม้เขาจะเป็นแบบนั้น)

และสำหรับโซเมอร์ตัน สถานภาพทางการเงินและสังคม รวมไปถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าคนทั่วไป เขาไม่เคยต่อติดกับมนุษย์คนอื่น ทุกคนคือเบี้ยเป็นกระดานที่สามารถใช้งานได้เสมอ แต่เมื่อเขามีเวลาที่จะรู้จักกับมาร์คแฮม (คือหลุยซาในคราบผู้ชาย) เขาได้เรียกรู้ที่จะ "เคารพ" เพื่อนมนุษย์อีกคน การได้ใช้เวลาร่วมกัน (ทำงานนะคะ ช่วงครึ่งเล่มแรกไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยว) ทำให้ทั้งสองรู้จักตัวตนของกันอย่างแท้จริง แน่นอนว่า เขาไม่รู้ว่า ผู้ช่วยส่วนตัวคนนี้คือเจ้าหญิงที่กำลังหลบซ่อน แต่เขารู้จักหลุยซาอย่างที่เธอเป็น เพราะด้วยตัวตนที่แท้จริง เธอไม่ได้หวาดกลัว หรือเกรงใจเอิร์ลผู้ทรงอำนาจ เธอได้รับการศึกษา และเตรียมพร้อมเป็นผู้นำประเทศ เธอคือคนที่เท่าเทียมกับเขา การอยู่ในสภาพของมาร์คแฮมไม่ได้ทำให้คุณสมบัตินี้ของเธอหายไป มันแสดงออกมา และเป็นครั้งแรกในชีวิตสำหรับโซเมอร์ตัน ที่เขาได้พบกับคนที่ "เท่าเทียม" กับเขา

เราต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็น Slow burn มาก ๆ สำหรับเรา อย่างที่บอกนะคะ โซเมอร์ตันไม่ได้ระแคะระคายเลยว่า นายมาร์คแฮม ผู้ช่วยส่วนตัวคนที่เขารู้สึกผูกพันเป็นผู้หญิง ไม่ได้มีการใช้พล็อตว่า พระเอกสงสัยตัวเองว่าเป็นเกย์รึเปล่าที่ชอบผู้ชาย มันไม่ใช่เรื่องเพศ มันเป็นความผูกพัน (แบบที่เราไม่รู้ว่าจะเขียนอธิบายยังไงให้เข้าใจ) เหมือนความเอ็นดู ปนกับเป็นห่วง ในขณะที่หลุยซาเอง เมื่อได้เห็นตัวตนข้างในลึก ๆ เธอไม่ได้หลอกตัวเองว่า เขาเป็นคนดี หรือถูกเข้าใจผิด เธอเคารพในความเข้มแข็งและเก่งกาจของเขา

ช่วงครึ่งเล่มแรกมันสมบูรณ์แบบมาก ๆ สำหรับเรา

เรื่องนี้ดำเนินก่อนและจบหลังเล่มอื่น ๆ และสำหรับการที่เป็นเล่มสุดท้ายในชุด เราคิดว่าคนแต่งทำได้ดีในการใช้เล่มนี้อธิบายปริศนาหลายอย่างในเรื่อง เราชอบแผนการของดยุคแห่งโอลิมเปียมาก ๆ เราคิดว่าฉลาดที่สุดที่ โซเมอร์ตันที่เป็นหัวหน้าองค์กรสายลับที่เป็นคู่แข่ง เป็นคนที่โอลิมเปียรู้ว่า คือคนคนเดียวที่สามารถพาหลุยซากลับคืนสู่ราชบัลลังค์ได้ เขาจึงส่งเธอไปที่นั่น กระทั่งเรื่องการเฉลยเหตุผล ที่ทำให้พระเอกทั้งสามในชุด Affairs by Moonlight ต้องเดินทางไปอิตาลีกัน

ช่วงครึ่งหลังของเล่ม เมื่อโซเมอร์ตันรู้ว่า หลุยซาคือผู้หญิง (และต่อมาคือใคร) เรื่องดร็อปความสนุกลงมาเล็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเรามีความสุขมาก ๆ ในการอ่านเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโซเมอร์ตันและนายมาร์คแฮม จนเมื่อเธอกลับมาเป็นหลุยซาอีกครั้ง เราก็ยังคิดถึงความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องของคู่นั้นอยู่

เราเสียดายมาก ๆ ตรงที่คนแต่งเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องซ้ำ (คือจูเลียนา เกรย์เป็นนักเขียนที่ชอบเขียนเหตุการณ์เดียวกันซ้ำไปซ้ำมาจากหลายมุมมอง) ในฉากที่โซเมอร์ตันและมาร์คแฮมไปอิตาลีเพื่อตามหาอลิซาเบ็ธและลูกชายของเขา เราอยากเห็นความคิดของโซเมอร์ตันมาก ๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ตอนที่โรแลนด์จับมาร์คแฮมเป็นตัวประกัน เราอ่านฉากนี้ใน A Gentleman Never Tells แล้ว มันเป็นฉากที่ดีที่สุดที่เราอ่านในหนังสือชุดนี้ (ก่อนจะได้อ่านเล่มนี้)

ตอนจบคลี่คลายง่ายเกินไป จนทำให้ระดับความสมบูรณ์แบบลดน้อย เราว่ามันง่ายเกินไปที่จู่ ๆ ประชาชนก็ยอมรับหลุยซา และเป็นฝ่ายขับไล่กบฎออกไปเอง เราคิดว่า เรื่องเปิดมาขนาดนี้ว่า โซเมอร์ตันทรงอิทธิพล และ "เป็นคนเดียว" อย่างที่เขาและโอลิมเปียกล่าวไว้ว่า ที่จะช่วยให้หลุยซากลับคืนบังลังค์ได้ เราอยากให้เขาแสดงตัวตนด้านนั้นออกมาน่ะค่ะ

สุดท้ายอยากจะบอกว่า นักเขียนที่ทำให้เราคิดว่า ชายวัยแปดสิบกว่าปีเท่ห์ และสามารถเป็นพระเอกนิยายโรแมนซ์ได้ นักเขียนคนนั้นสุดยอดค่ะ (แม้ว่า คาแร็คเตอร์ของโอลิมเปียดูเว่อร์เกินไปหน่อยก็ตาม)

แค่การเขียนรีวิวหนังสือเล่มนี้ (หลังจากอ่านจบไปสองเดือนกว่า ๆ) ก็ทำให้เราอยากกลับไปอ่านอีกรอบแล้วล่ะค่ะ จริง ๆ คะแนนไม่ได้ถึงห้าดาว ถ้าการที่ห้าดาวคือความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง เล่มนี้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ส่วนที่มันลงตัวก็มากพอจะกลบทุกอย่างที่มีตำหนิได้หมดค่ะ





View all my reviews

Review: How to Master Your Marquis


How to Master Your Marquis
How to Master Your Marquis by Juliana Gray

My rating: 2 of 5 stars



เราถือว่าเป็นความผิดของเราเองนะคะที่ไม่สนุกกับเล่มนี้เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเพราะเราค่อนข้างรีบอ่าน (เพราะอยากอ่านเล่มสุดท้ายในชุดมาก ๆ) แต่อีกส่วนหนึ่งที่ขอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเรื่องเองแล้วกันค่ะ คือ เราไม่อาจยอมรับการกระทำบางอย่างของนางเอกได้ จนทำให้ค้างคาใจ และไม่อาจสนุกไปกับเรื่องราวได้เต็มที่

วิธีการเล่าเรื่องในหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากเล่มอื่น ๆ ในชุด คือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนับจากจุดเริ่มต้น ก็คือ การหนีของสามเจ้าหญิงเพื่อไปหลบซ่อนจากกลุ่มกบฎที่ตามปองร้าย โดยจะตัดสลับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือเจ้าหญิงสเตฟานีซึ่งปลอมเป็นชาย และทำงานเป็นเสมียนผู้ช่วยทนายความที่กำลังว่าความคดีฆาตกรรมให้กับเจมส์ มาร์ควิสแห่งเฮทเทอร์ฟิลด์

เจ้าหญิงสเตฟานีปลอมตัวเป็นชาย และถูกส่งไปทำงานเป็นเสมียนให้กับทนายความผู้มีชื่อเสียงคนนึง แต่ภายในระยะเวลาเพียงแค่วันเดียว ตัวตนของเธอก็ถูกมองออกโดยมาร์ควิสแห่งเฮทเทอร์ฟิลด์ ผู้ซึ่งความช่างสังเกต ซึ่งทำให้เขาเป็นสายลับที่มีความสามารถ รู้เกือบในทันที และเมื่อรู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วเสมียนที่ทำงานไม่ได้เรื่องคนนี้คือใคร เจมส์ก็ถือเอาเป็นหน้าที่ในการดูแลและปกป้องเธอจากคนร้าย

สิ่งที่เราชอบก็คือ การที่คนแต่งทำให้การปลอมตัวเป็นชายของสามเจ้าหญิงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งชุด มีความแตกต่างกันได้ในแต่ละเล่ม เราอ่านเล่มนี้แล้วเราไม่รู้สึกว่า มีอะไรที่เหมือนกับเล่มก่อนหน้า (และเราบอกได้เลยตอนนี้ว่า แตกต่างจากเล่มสามมาก ๆ เช่นกัน) แผนการของดยุคแห่งโอลิมเปีย (ซึ่งเป็นลุงของนางเอก และส่งนางเอกไปซ่อน) ก็คือ คาดการเอาไว้แล้วว่า เจมส์จะต้องดูออกว่าสเตฟานีเป็นผู้หญิง และเขาซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการสายลับของเจมส์รู้นิสัยสายลับของตัวเองดีว่า จะต้องปกป้องสเตฟานีแน่นอน

การตัดเรื่องระหว่างการพิจารณาคดีที่เจมส์ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม กับเหตุการณ์ที่นำพาไปสู่จุดนั้น (และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจมส์และสเตฟานี) ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ น่าอ่านได้ตลอด ปัญหาเดียวของเรา แต่ดันเป็นปัญหาใหญ่มาก ๆ ก็คือ เราไม่อาจยอมรับการกระทำของสเตฟานีได้

เรื่องนำมาถึงจุดที่ชัดเจนมากว่า สเตฟานีเป็นพยานที่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเจมส์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเธออยู่กับเขาในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้น แต่เจมส์ไม่ต้องการให้สเตฟานีเปิดเผยตัวตนออกไป ด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของเธอ สถานการณ์ในเรื่องบีบบังคับว่า คนที่สมควรปกป้องเธอจู่ ๆ ก็หายตัวกันไปหมด เหลือแค่เจมส์เพียงคนเดียว และเขายอมตายดีกว่าที่จะเปิดเผยตัวตน อันนี้เราเข้าใจนะคะ พระเอกก็ต้องคิดแบบนี้ แต่นางเอกล่ะ เธอจะยอมให้พระเอกตาย เพื่อปกป้องตัวเอง เรารับไม่ได้น่ะค่ะ เพราะกระทั่งในท้ายที่สุด กว่าสเตฟานีจะตัดสินใจได้ มันก็สายเกินไปแล้ว และถ้าเหตุการณ์ไม่ได้เกิดอย่างที่คนเขียนกำหนด เจมส์คนตายไปแล้วล่ะ ไม่ว่าอย่างไร แม้เรื่องจะบอกว่า เจมส์ห้ามมากมายยังไง แต่เรื่องก็ไม่ทำให้สเตฟานีเป็นคนว่านอนสอนง่ายสักหน่อย เรื่องอื่นเธอทำได้เยอะแยะ แต่การออกมาแสดงตัวเพื่อปกป้องชายที่เธอรักกลับไม่ทำ รับประเด็นนี้ไม่ได้ค่ะ

นี่คือเหตุผลใหญ่ที่เรื่องนี้ไม่ค่อยเวิร์คสำหรับเราค่ะ



View all my reviews

Review: How to Tame Your Duke


How to Tame Your Duke
How to Tame Your Duke by Juliana Gray

My rating: 3 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุด A Princess in Hiding แต่ก็มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับหนังสือชุดสามเล่มก่อนหน้าของนักเขียนคนนี้ (ชุด Affairs by Moonlight) อยู่พอสมควร ตัวละครเอก และรองหลายตัวจากชุดโน้นออกมามีบทบาทในเล่มนี้ แต่เหตุการณ์ในเรื่องชุดนี้กลับเริ่มต้นเกิดขึ้นก่อนนะคะ

คอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ก็คือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร นางเอกที่เป็นเจ้าหญิงที่ต้องหลบหนีจากภัยร้าย ไปหลบซ่อนตัวในปราสาทอันห่างไกล พระเอกที่ใบหน้าเสียโฉมจนกลายปลีกวิเวกไม่พบหาผู้คน เรื่องราวมีความคล้ายคลึงกับเรื่อง The Raven Prince ของ Elizabeth Hoyt อยู่หน่อย ๆ ด้วยนะคะ

พล็อตหลักของเรื่องก็คือ ในประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ยุโรป (แถบเยอรมัน) กษัตริย์ถูกลอบปลงพระชนม์พร้อม ๆ กับลูกเขย เจ้าหญิงทั้งสามก็ถูกลอบทำร้ายจนทำให้ต้องหลบหนีออกไปตั้งหลัก โดยไปขอความช่วยเหลือจากลุงซึ่งคือดยุคแห่งโอลิมเปียในประเทศอังกฤษ แผนการของดยุคก็คือ นำเจ้าหญิงทั้งสามไปหลบซ่อนไว้เพื่อซื้อเวลา สืบหาความจริง และรวบรวมกำลังเพื่อกลับไปกอบกู้ประเทศจากเงื้อมือของกบฎอีกครั้ง

เจ้าหญิงเอมิเลียซึ่งปลอมเป็นชาย ถูกส่งไปชนบทอันห่างไกล เพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนเพื่อเตรียมให้ลูกชายของดยุคแห่งแอชแลนด์ในการเข้ามหาวิทยาลัย ภารกิจที่เหมาะสมกับนิสัยหนอนหนังสือของเอมิเลียเป็นอย่างดี

อันที่จริงถ้าไม่นับว่า ต้องสูญเสียประเทศ และหลบหนีการตามล่า เอมิเลียกำลังมีชีวิตอย่างที่เธอใฝ่ฝัน ความเป็นเจ้าหญิงได้ปิดกันเธอจากการใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ เธอฝักใฝ่ในการเรียนรู้ และต้องการอิสระในการเลือกใช้ชีวิต การใช้ชีวิตในครอบครัวของแอชแลนด์ ทำให้เธอได้ในฝันไว้

และนั่นรวมไปถึงตัวของดยุคแห่งแอชแลนด์ด้วยเช่นกัน เพราะใบหน้าที่เสียโฉม หลังจากถูกจับเป็นเชลยศึก ภรรยาของแอชแลนด์ทิ้งเขาไป ปล่อยให้เขาต้องดูแลลูกชายตามลำพัง และใช่ค่ะ นี่เป็นอีกหนึ่งเล่มที่พระเอกในเรื่องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ ในระหว่างที่เจอกับนางเอก แม้ว่า ท้ายที่สุดความจริงเปิดเผยว่า ภรรยาของแอชแลนด์ได้ตายไปนานแล้ว

แต่อาจจะเพราะว่า เล่มนี้การแยกจากกันระหว่างแอชแลนด์และภรรยาของเขาได้เกิดขึ้นนานนับสิบปีไปแล้ว จึงไม่ได้รบกวนใจเรามากอย่างที่เรารู้สึกกับเรื่อง A Gentleman Never Tells

ความสัมพันธ์ระหว่างเอมิเลียและแอชแลนด์เริ่มต้นในฐานะของนายจ้างและครูของลูกชาย กลายเป็นความพึงพอใจทางเพศ เมื่อเอมิเลียสวมรอยเป็นผู้หญิงที่แอชแลนด์จ้างมาเพื่อปลอบประโลมความเหงาของเขา และมันก็เป็นแค่นั้นจริง ๆ เพราะแอชแลนด์ไม่ได้จ้างผู้หญิงมาเพื่อเซ็กส์ แต่แค่เป็นเพื่อนพูดคุยกันธรรมดา นั่นทำให้ทั้งคู่เหมือนมีชีวิตสองแบบ

เราค่อนข้างชอบเรื่องนี้นะคะ แต่ติตรงที่พล็อตเป็นสูตรสำเร็จมากจนเราไม่รู้สึกว่า มีอะไรใหม่ให้ต้องค้นหา คาแร็คเตอรถือว่า สอบผ่าน แต่ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ดังนั้นโดยรวมก็คือ เราชอบเล่มนี้นะคะ แต่ไม่ได้ถึงกับคลั่งไคล้



View all my reviews

Tuesday, October 14, 2014

Review: A Duke Never Yields


A Duke Never Yields
A Duke Never Yields by Juliana Gray

My rating: 1 of 5 stars



ถ้าหากบอกว่าเล่มก่อนหน้า (A Gentleman Never Tells) คือความสนุกแบบไม่คาดคิด เล่มนี้ก็คือความน่าเบื่อแบบที่คิดว่าจะเป็น คาแร็คเตอร์ของทั้งพระเอกและนางเอกออกมาในสองเล่มก่อนหน้า และเราบอกตามตรงว่า ไม่รู้สึกว่า พวกเขาจะมีความน่าสนใจอะไรเลย ประกอบกับเทคนิคการเล่าเรื่องของหนังสือสามเล่มในชุดนี้ คือการเล่าเหตุการณ์เดียวกันจากหลายมุมมองตัวละคร ทำให้เหตุการณ์หลายอย่างคือสิ่งที่คนอ่านรับรู้อยู่แล้ว เมื่อมุมมองของตัวละครไม่ได้มีความน่าสนใจ แถมประเด็นที่เพิ่มเติมเสริมเข้ามาไม่ได้น่าสนใจอีกต่างหาก เล่มนี้จึงเป็นความน่าเบื่อแบบ... บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ

อบิเกลเดินทางพร้อมกับพี่สาวและญาติไปยังอิตาลีเพื่อสัมผัสกับโลกกว้าง สำหรับหญิงสาวโสดและไม่คิดจะแต่งงานอย่างเธอ นี่คืออิสระอย่างแท้จริง และเมื่อเธอได้พบกับดยุคแห่งวอลลิงฟอร์ด เธอก็หมายตาจะให้เขาเป็นชายคนแรกในการมอบประสบการณ์ทางเพศแก่เธอ แต่สำหรับวอลลิงฟอร์ด การเดินทางมาอิตาลีก็คือการเริ่มต้นใหม่ หลังจากใช้ชีวิตเสเพลไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายปี เขาคิดที่จะใช้โอกาสครั้งนี้ในการกลับเนื้อกลับตัว แต่การได้พบกับอบิเกล ทำให้ความตั้งใจนั้นทำได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ

พล็อตเรื่องไม่มีอะไรเลยนะคะ อย่างที่บอกไว้ เหตุการณ์ในช่วงต้นเรื่องก็คือเหตุการณ์เดียวกับที่เล่าไปแล้วในสองเล่มแรก เพื่อประกอบกับความไม่น่าสนใจในคาแร็คเตอร์ของพระนางเข้าไปด้วย จึงน่าเบื่อมาก ๆ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งรำคาญอบิเกล เรารู้สึกว่า เธอพยายามที่จะเป็นสาวสมัยใหม่เกินเหตุ อย่างไม่สนใจคนอื่น และไม่มีแรงผลักดันว่า ทำไมเธอจำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้น

แต่ส่วนที่ทำให้หนังสือเรื่องนี้ลงเหวสำหรับเราอย่างแท้จริงก็คือ พล็อตส่วนที่เป็น พารานอมอล ที่เอาเรื่องผีเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งช่วงท้ายเรื่องยิ่งออกทะเล การเดินทางไปคอนแวนส์เพื่อตามหาผีสาวในตำนาน การล้างคำสาปบ้าบอไร้สาระ ยิ่งอ่านยิ่งมั่ว และยิ่งไม่มีประเด็น แล้วยังแถมท้ายด้วยตอนจบที่ไม่รู้ว่าจะเพิ่มส่วนของการที่พระเอกต้องออกเดินทางทิ้งนางเอกไปเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีก เราไม่เข้าใจค่ะ คือเข้าใจนะว่า เขาต้องพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า สามารถซื่อสัตย์กับนางเอกได้ หลังจากเสเพลมาเป็นเวลานาน แต่มันจำเป็นด้วยหรือ

เรื่องนี้เป็นเล่มที่เลวร้าย คือน่าเบื่อแล้วยังไร้สาระ



View all my reviews

Review: A Gentleman Never Tells


A Gentleman Never Tells
A Gentleman Never Tells by Juliana Gray

My rating: 3 of 5 stars



คงต้องบอกก่อนว่า เราไม่ชอบพล็อตของหนังสือเล่มนี้เอาเสียเลย ยิ่งเมื่อประกอบกับว่า อ่านเล่มแรกในแล้วไม่ประทับใจในความเอื่อยเฉื่อยในการดำเนินเรื่องด้วย เลยทำให้วางเรื่องนี้ลงยาวเลยค่ะ มามีแรงฮึดอ่านเรื่องชุดนี้ก็เมื่อเพื่อนส่งข่าวมาบอกว่า ขอให้อดทนเอาไว้ เพราะเล่มสุดท้าย (How to School your Scoundrel) สนุกมาก

กระนั้นตอนหยิบมาอ่าน ก็เลยเป็นการอ่านแบบเร่ง ๆ เพื่อให้จบ ๆ ไป สิ่งที่ผิดคาดก็คือ เรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดค่ะ ถ้าเราไม่ติดตรงที่ไม่ชอบพล็อตอย่างรุนแรง คะแนนน่าจะได้สูงกว่านี้

เพราะความอ่อนวัย และการแทรกแซงของมือที่สาม ทำให้ความรักระหว่างลอร์ดโรแลนด์ และอลิซาเบ็ธกลายเป็นความผิดหวัง คู่รักวัยเยาว์จึงต้องแยกจากกันเมื่อโรแลนด์ซึ่งถูกเรียกตัวให้ไปเป็นสายลับจำใจต้องทิ้งอลิซาเบ็ธไปเพื่อรับใช้ชาติ เพื่อที่จะกลับมาและพบว่า เธอได้แต่งงานไปกับคนอื่นแล้ว ชีวิตต่อมาหลังจากนั้นของเขาจึงเป็นการทำหน้าที่เพื่อชาติ เล่นบทบาทเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเพื่อปกปิดฉากหน้าการเป็นสายลับตัวฉกาจ

แต่เมื่อดูเหมือนว่า เขากำลังถูกตามล่าเอาชีวิต ผู้เป็นลุงจึงส่งตัวเขาไปอิตาลีเพื่อความปลอดภัย และให้ออกไปจากเรื่องยุ่งยากทั้งหมด การเดินทางไปอิตาลีกับพี่ชาย และญาติอีกคนควรจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างสนุกของหนุ่มโสด จนกระทั่งโรแลนด์ได้พบกับอลิซาเบ็ธอีกครั้ง

เธอยังคงแต่งงาน แถมมีลูกมาด้วยหนึ่งคน แต่หญิงสาวกำลังหนีจากสามีผู้โหดร้าย เหตุการณ์บังคับให้ทั้งคู่ต้องมาพักอาศัยอยู่ในปราสาทหลังเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ถ่านไฟเก่าที่ไม่หยุดลุกไหม้ก็โชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ใช่แล้วค่ะ เล่มนี้เป็นพล็อตเรื่องที่นางเอกแต่งงานแล้ว และเป็นชู้กับพระเอก

อย่างที่บอกนะคะ เราตั้งแง่ไม่ชอบเล่มนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่ออ่านไปกลับรู้สึกว่า เรื่องราวมีความน่าสนใจ ตัวละครมีความลึกมากกว่าที่คิดเอาไว้ ทำให้การอ่านไปได้เร็วมาก ไม่ใช่เร็วเพราะเร่งอ่านเพื่อให้จบ ๆ ไปนะคะ แต่เป็นการอ่านแบบที่เราอินเข้าไปในเนื้อเรื่อง กระนั้นเราก็คงต้องบอกว่า เราไม่ชอบคาแร็คเตอร์ของทั้งโรแลนด์และอลิซาเบ็ธมากนัก พวกเขาดูเป็นเด็กกันมาก และเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้ทำให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่เราเชื่อในส่วนของความสัมพันธ์ของทั้งคู่นะคะ มากขนาดที่ทำให้เราพอเข้าใจได้ว่า ทำไมพวกเขาจึงแทบจะไม่หยุดคิดเลยก่อนที่จะตัดสินใจมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน

แต่ส่วนที่ดีที่สุด และเป็นไฮไลท์ของเรื่องนี้สำหรับเรา กลับไม่ใช่พระเอกนางเอกนะคะ หากแต่เป็น สามีของเธอ และผู้ช่วยประจำตัวของเขานามว่า มิสเตอร์มาร์คแฮม เรื่องราวที่เล่าเกี่ยวกับเอิร์ลแห่งโซเมอร์ตันในมุมมองของอลิซาเบ็ธ เขาเป็นชายที่โหดเหี้ยม เย็นชา และไร้ความรู้สึก เขาไม่รักอลิซาเบ็ธ เพียงแค่อยากครอบครอง ไม่รักกระทั่งลูกชายของเขาเองด้วยซ้ำ ซึ่งตัวตนของโซเมอร์ตันที่ปรากฎในเรื่องก็เป็นเช่นนั้น แต่มีอะไรบางอย่างที่น่าค้นหามาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาออกในฉากเดียวกับคนรับใช้คนสนิทอย่างมาร์คแฮม เราขอบอกว่าปฏิกริยาเคมีร้อนแรงมาก ๆ บอกไม่ถูกนะคะ คิดอยู่ว่าโซเมอร์ตันเป็นเกย์รึเปล่า คือเรื่องไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ หรือเขามีท่าทีเบี่ยงเบนไปอย่างนั้น แต่ฉากที่โรแลนด์จับมาร์คแฮมเป็นตัวประกัน ท่าทางของโซเมอร์ตันออกชัดเจนมาก อันนี้เขียนหลังจากที่อ่านเล่มต่อ ๆ ไปในชุดแล้วนะคะ ขอบอกว่าสุดยอดมาก ๆ คือตอนอ่านเล่มนี้ไม่รู้สึกนะว่า มาร์คแฮมเป็นผู้หญิง แต่พอมองย้อนกลับไป ก็แบบบว่า น่าจะรู้นะ

เล่มนี้เป็นเล่มที่อ่านแล้วทำให้เริ่มมีกำลังใจในการอ่านงานเขียนของนักเขียนคนนี้ต่อ



View all my reviews

Monday, October 13, 2014

Review: Reaper's Stand


Reaper's Stand
Reaper's Stand by Joanna Wylde

My rating: 4 of 5 stars



เรากำลังลังเลว่าจะให้ห้าดาวเลยดีไหม เพราะตอนนี้กำลังคิดว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นเล่มที่สนุกมากที่สุดในชุด (และชุดนี้เป็นชุดที่เราชอบมากที่สุดชุดนึงในเวลานี้) แต่ขอให้เวลาผ่านไปสักหน่อยนะคะ เราอาจจะได้สติมากขึ้น และมองอะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผล (ไม่ใช่ยังมัวเมาหลงอยู่ในเนื้อเรื่องที่อ่าน)

เหตุผลหลักที่เราชอบเล่มนี้ก็คือ เราไม่ได้คาดหวังว่าจะชอบเล่มนี้มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่คิดว่า คนแต่งจะเขียนเรื่องของพระเอกให้น่าเชื่อได้ ตอนที่อ่านเรื่อง Devil's Game และเราได้เห็นเขากับภรรยาผู้เสียชีวิตในฉากเล่าย้อนอดีต (ในมุมมองของเอ็ม นางเอก Devil's Game) เราคิดว่า จะมีผู้หญิงคนอื่นสำหรับเขาได้อีกเหรอ จะมีใครที่เข้ามาแทนที่ภรรยาผู้ตายไปของเขาได้

ดังนั้นแน่นอนว่า เมื่อคนแต่งทำให้เราเชื่อในส่วนของโรแมนซ์ (ที่เราคิดว่า ไม่น่าทำได้) เล่มนี้ก็ชนะใจเราได้

รีส "ปิกนิก" เฮยส์ เป็นประธานของรีปเปอร์ คลับมอเตอร์ไซด์ และสำหรับคนที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร แทบไม่มีอะไรที่เขาอยากได้ แล้วจะไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็รู้ดีเกินกว่าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลอนดอน อาร์มสตรองค์ นั่นเพราะผู้หญิงที่นอนด้วยนั้นหาง่าย แต่ผู้หญิงที่ทำความสะอาดได้ด้วยนั้นยากยิ่งกว่า และลอนดอนก็เป็นเจ้าของบริการทำความสะอาดที่เชื่อถือได้ การยุ่งเกี่ยวกับเธอจึงเป็นการเอาธุรกิจไปปนกับเรื่องบนเตียง

แต่จะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ เมื่อลอนดอนเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง เพื่อขอให้เขาช่วยตามหาเจสสิกา ญาติสาวของเธอที่มาปาร์ตี้ที่คลับของเขา นั่นเปิดทางให้รีสเข้าไปในชีวิตของลอนดอน และเมื่อเขาได้เข้าไปรู้จักเธอมากขึ้น สิ่งที่เริ่มต้นจากแค่ความต้องการทางกาย ก็เริ่มเป็นอะไรที่มากขึ้น เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนอื่นสามารถเข้าไปถึงด้านในของหัวใจเขา นอกจากภรรยาที่เสียชีวิตไป

มีอะไรเกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้เยอะมากนะคะ แต่เราคิดว่าจังหวะของเรื่องทำได้ค่อนข้างดี เราไม่รู้สึกว่า เรื่องราวโดนเร่งรีบ อันที่จริงทำให้เกือบทุกหน้ากระดาษมีความน่าสนใจอยู่ตลอด เรื่องอาจจะโฟกัสอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างรีสและลอนดอน แต่ความเป็นไปในแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ ที่กำลังช่วงชิงพื้นที่ความเป็นใหญ่กับแก๊งค์ค้ายาจากเม็กซิโกก็ถูกเรียงร้อยเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องด้วย เรื่องจึงมีความน่าติดตามตลอด

และอย่างที่เกริ่นไป เฮทเทอร์ ภรรยาผู้เสียชีวิตไปแล้วรีสเป็นตัวแปรที่สำคัญ จากที่เราได้เห็นความสัมพันธ์ของรีสและเฮทเทอร์ใน Devil's Game และจากความคิดของรีสเอง เรารู้สึกว่า ไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เธอได้แล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็เป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น (และนี่คือเหตุผลที่เราไม่รู้สึกว่า เล่มนี้จะมีความน่าสนใจเท่ากับเล่มอื่น ๆ ในชุด เพราะเราคิดว่า ตัวเองคงไม่เชื่อโรแมนซ์ในเรื่องนี้) แต่คนแต่งทำได้นะคะ ที่สำคัญทำได้โดยที่แก่นคาแร็คเตอร์ของลอนดอนเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเฮทเทอร์ (หรืออย่างน้อยในสายตาของรีสก็มองว่า ทั้งสองมีความเหมือนกัน) แต่ในขณะเดียวไม่แม้แต่วินาทีเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่า รีสเลือกลอนดอนเพราะเธอเป็นตัวแทนของภรรยาที่ตาย ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะคะว่า ทำไมเราจึงคิดแบบนี้ แต่ตลอดทั้งเรื่อง มันชัดเจนว่า รีสรักผู้หญิงทั้งสองคน และมันเป็นไปได้ที่คนเราจะมีรักแท้สองครั้ง

ชอบ ชอบ ชอบมาก ๆ กับเสียงของเฮทเทอร์ในจิตสำนึกของรีส คิดว่าคนแต่งฉลาดมากที่ใช้เทคนิคนี้ มันตีความได้หลากหลายนะคะ อาจจะเป็นสิ่งที่รีสคิดขึ้นมาเอง แต่ก็อาจจะเป็นเสียงของเฮทเทอร์จริง ๆ ก็ได้ เพราะ เมื่อเขายอมเอ่ยคำว่า รัก กับลอนดอนแล้ว เสียงนั้นก็เงียบหายไป เหมือนกับว่า เฮทเทอร์ไปสู่สุคติเสียที เมื่อมั่นใจได้ว่า จะมีคนดูแลครอบครัวของเธอต่อไป และรีสพบกับรักครั้งใหม่แล้ว

แล้วก็ต้องพูดถึงพล็อตที่อาจจะเป็นปัญหากับคนหลายคน การที่ลอนดอนทรยศรีส หลังจากถูกข่มขู่จากคนร้าย เรายอมรับนะคะว่า ชะงักไปเหมือนกัน รู้สึกโมโหเธออยู่ไม่น้อยที่เธอไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากพระเอก (แต่ไปขอจากคนร้ายแทน) แต่หลังจากเธอทำลงไปแล้ว (ยิงรีส) เหตุการณ์ที่เกิดตามมาหลังจากนั้น ทำให้เราอ่านตามเรื่องไปได้ ถึงจะยังหงุดหงิดกับการกระทำของเธอไปบ้าง แต่การเล่าเรื่องในมุมมองของลอนดอน ก็ทำให้ดีกรีความโกรธของเราลดลงนะคะ ส่วนหนึ่งเพราะเธอรู้ตัวว่า คิดผิด และทำผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไป เธอไม่ได้หาข้ออ้างให้กับการกระทำของตัวเอง มันก็แค่เป็นการกระทำโง่ ๆ ของคนที่ตกใจและไม่ทันคิด และผลลัพธ์ที่เกิดกับเธอ ก็ดูน่าเชื่อ

อีกส่วนหนึ่งที่ชอบในพล็อตของเรื่องนี้ก็คือ หักล้างความเชื่อของเราที่ว่า นางเอกของหนังสือแนวนี้จะต้องเป็นคนที่ไม่มีต้นทุน (คือคนที่ไม่มีทางเลือกมากในชีวิต) ลอนดอนแตกต่างจากนางเอกคนอื่น ๆ ในชุดตรงที่ ลอนดอนแม้อาจจะไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอเป็นเจ้าของกิจการ (ทำความสะอาด) มีชีวิตที่เธอมีความสุข และตัดสินใจเลือกเอง สถานการณ์ในเรื่องทำให้เธอต้องเข้าไปพัวพันกับแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ (และรีส) และมันเปลี่ยนแปลงเธอ เราคิดว่าเรื่องเขียนได้น่าเชื่อกับทางเลือกที่เธอเลือก ด้วยเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญ มันทำให้เราเชื่อว่า คนธรรมดา ๆ เดินถนนก็อาจจะหลุดเข้าไป และเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นได้

นี่ยังไม่นับพัฒนาการของตัวลอนดอนเอง หลังจากบอกว่า เอ็ม นางเอกเรื่อง Devil's Game เป็นนางเอกของโจแอนนา ไวด์ที่เราชอบมาก ตอนนี้ลอนดอนเองก็เป็นอีกคนที่เราชอบมากค่ะ แม้จะมีประเด็นขัดใจอย่างที่เขียนไปแล้วในสปอยล์ แต่การที่เธอเปลี่ยนจากผู้หญิงทำมาหากินธรรมดา ๆ กลายเป็น คนที่ยิงพ่อค้ายาตายเพื่อปกป้องญาติสาว ทำให้เธอเท่ห์มาก ๆ

ท้ายสุดคงต้องบอกว่า ชอบเรื่องนี้มาก ๆ ถือเป็นอีกเล่มในชุดที่ไม่ผิดหวัง แต่คงต้องบอกตามตรงว่า หงุดหงิดกับบทส่งท้าย (ที่เป็นโบนัสแถม) เล็กน้อย คือชอบก็ชอบนะคะ เพราะได้เห็นคาแร็คเตอร์ว่าเป็นยังไงกันบ้าง (คือยังไม่ตาย เพราะอายุคนในแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ไม่น่ายืนยาว) แต่ก็เหมือนกับทิ้งท้ายให้เกิดความอยากอ่าน และคนแต่งก็ดูจะยังไม่มีทีท่าว่าจะเขียน (เพราะข่าวล่าสุดก็คือ เธอจะไปเขียนเรื่องของแก๊งค์มอเตอร์ไซด์อื่น ควบคู่กับเรื่องแนว Contemporary ธรรมดาไปก่อน)



View all my reviews

Review: Avenge Me


Avenge Me
Avenge Me by Maisey Yates

My rating: 1 of 5 stars



เราชอบแบ็คกราวด์ของเรื่องชุดนี้นะคะ การฆ่าตัวตายของหญิงสาวคนนึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของชายสามคนที่เกี่ยวข้องกับเธอ และเมื่อความจริงปรากฎว่า เธอฆ่าตัวตายเพราะการกระทำของคนคนนึง ชายทั้งสามร่วมมือกันเพื่อแก้แค้น

ปัญหาก็คือ เรื่องนี้ไม่ได้ตอบโจทย์นั้น เราไม่รู้ว่า เป็นเพราะเรื่องถูกเขียนโดยนักเขียนสามคน ทำให้ประเด็นเรื่องการแก้แค้นดูไม่มีน้ำหนัก แล้วไม่น่าสนใจ ชนิดที่เราไม่รู้สึกว่า พระเอกเรื่องนี้มีความจริงใจในการแก้แค้น คือเรื่องเหมือนพยายามบอกว่า เขากำลังทำบางอย่างเพื่อเปิดเผยความจริง แต่เรากลับไม่เห็นว่า มันคืออะไร หรือจะช่วยสถานการณ์ได้ยังไงบ้าง

และอาจจะเป็นเพราะความคาดหวังที่มากกว่า แต่สิ่งที่เราได้ก็คือ หนังสือแนวฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นส์อีกเล่มนึงก็ได้ที่ทำให้เราเซ็ง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ได้ถึงกับแย่มาก แต่ความผิดหวังจากเล่มนี้ทำให้เราถอยหลังจากสองเล่มที่เหลือในชุดไปเลยนะคะ ต้องตั้งหลักทำใจสักระยะก่อนจะกลับไปอ่านได้

เมื่อออสตินรู้ว่า บิดาที่เขานับถือคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนสมัยเรียนฮาร์วาร์ดของเขาต้องฆ่าตัวตาย (เพราะ หลอกล่อและบีบบังคับให้เธอเข้าสู่อาชีพขายตัว) เขาและเพื่อนสนิทอีกสองคนวางแผนที่จะเปิดโปงการกระทำอันชั่วร้ายนี้ แม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของมารดาและน้องสาวของเขาเองต้องพังทลายลงก็ตาม และเมื่อเขาได้เจอกับเคตี้ น้องสาวของเหยื่อคนนั้น ทั้งคู่จึงร่วมมือกันในการสืบหาความจริง

หรืออย่างน้อยก็คือสิ่งที่พวกเขาบอกตัวเอง สำหรับเรามันเป็นความพยายามที่ไม่ได้เรื่อง แล้วไม่น่าเชื่อว่า ทั้งออสตินและเคตี้จะได้ข้อมูลอะไรจากการสืบของพวกเขา (ซึ่งดูไร้สาระเอามากๆ) นอกจากนี้เรื่องก็ยังผสมผสานพล็อตแนวเพรสเซ่นส์ ที่พระเอกรวยล้นฟ้าเจอนางเอกที่กำลังตกอับ (เคตี้ถูกไล่ออกจากงานเพราะพ่อของออสตินกลั่นแกล้ง) มาเธอมาที่เพนท์เฮ้าส์สุดหรู และเลี้ยงเธอเป็นเมียเก็บ (เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้พ่อสงสัยว่า เขาและเธอกำลังสืบเรื่องบางอย่างอยู่) แถมเอา BDSM มาประกอบเพื่อขายแฟนหนังสือแนวฟิฟตี้เชดอีก

เราว่ามันมากไป และพยายามมากเกินไป คือถ้าเล่มนี้วางขายเป็นแค่แนวเพรสเซ่นส์ เราอาจจะให้อภัยได้มากกว่านี้ (เพาะคาดหวังไม่เยอะ) แต่เมื่อเทียบกับพล็อตของชุด เราอยากเห็นอะไรที่เป็นน้ำเป็นเนื้อมากกว่านี้ การแก้แค้นที่จริงจัง ไม่ใช่ว่า แก้แค้นไประหว่างเวลารอเจอนางเอกแบบนี้น่ะค่ะ



View all my reviews

Review: Take Me


Take Me
Take Me by Maisey Yates

My rating: 1 of 5 stars



ถ้าให้คะแนนต่ำกว่านี้ได้ก็จะให้ต่ำกว่านะคะ

เขียนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแย่นะคะ เพียงแต่เรารู้สึกว่า หลายอย่างผิดที่ผิดทาง และเราก็ไม่ชอบเรื่องสั้นเป็นทุนเดิม

เรื่องนี้ตั้งใจให้เป็นเรื่องเปิดชุด Fifth Avenue ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เขียนร่วมกันของนักเขียนสามคนเกี่ยวกับการตายของหญิงสาวคนนึงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของชายสามคนที่เกี่ยวข้องกับเธอ

พล็อตเรื่องน่าสนใจ และเป็นเหตุผลให้เราหยิบเล่มนี้มาอ่าน และต้องขอบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดที่ออกเล่มนี้ออกมาเปิดชุด เรื่องนี้แจกฟรีให้อ่านเป็นอีบุ๊คเพื่อเชิญชวนให้คนอ่านสนใจมาอ่านเรื่องชุดนี้ แต่พออ่านแล้วอาจจะไม่อยากอ่านไปเลยก็ได้

ทราวิสและซิดนีย์เติบโตมาด้วยกัน เขาเป็นลุกชายเจ้าของบ้านผู้ร่ำรวย ส่วนเธอเป็นลูกสาวของแม่บ้านที่ได้รับการส่งเสริมจากครอบครัวของทราวิสจนเรียนจบฮาร์วาร์ด เราชอบภูมิหลังของทั้งสองนะคะ และคิดว่า ถ้าคนแต่งมีหน้ากระดาษมากกว่านี้ เรื่องนี้อาจจะดีกว่านี้ได้ แต่ไม่มีคำว่าถ้าค่ะ ปัญหาคือ เรื่องสั้นเกินไป ด้วยหน้ากระดาษที่จำกัด หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ควรเกิดก็เกิด

นั่นก็คือ เพื่อสรุปความสัมพันธ์ของทราวิสและซิดนีย์ภายในหนึ่งร้อยหน้า ทั้งคู่มีเซ็กส์กันเป็นครั้งแรกในคืนวันที่เพื่อนสนิทของซิดนีย์ฆ่าตัวตาย เราพอเข้าใจนะคะว่า ความเศร้ามีส่วนทำให้คนหันไปพึ่งพาเซ็กส์ แต่การเขียนอย่างเร่งรีบและลวก ๆ ทำให้เราไม่ได้อารมณ์นั้น มันเหมือน เพื่อนฉันตาย ไปสนุกกับการมีเซ็กส์ดีกว่า ความเศร้าที่ทราวิสและซิดนีย์รู้สึกมันตื้นเขิน และหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องต้องรีบสรุปให้จบ จนทำให้เรารู้สึกว่า คนทั้งคู่ช่างไม่ยี่หระต่อการตายของคนที่พวกเขาบอกว่า เป็นเพื่อนเอาเสียเลย

เราเสียดายเล็ก ๆ นะคะ เพราะเราชอบภูมิหลังของคาแร็คเตอร์ทั้งคู่มาก



View all my reviews

Review: Wanted


Wanted
Wanted by J. Kenner

My rating: 1 of 5 stars



เราอ่านงานของนักเขียนคนนี้มาหลายเล่มแล้วนะคะ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเฉย ๆ คืออ่านไปเรื่อย ๆ แล้วก็ลืมไป แต่นี่เป็นงานแนวอีโรติกโรแมนซ์เล่มแรกของเธอที่หยิบมาอ่านค่ะ

เจ. เคนเนอร์เขียนหนังสือในหลายนามปากกา เราอ่านเล่มนี้เป็นเล่มแรกในนามปากกานี้ของเธอ และอาจเพราะว่า เธอค่อนข้างประสบความสำเร็จในนามปากกานี้ เราจึงคิดว่า มันน่าจะมีอะไรมากกว่า ดีกว่า แต่ความจริงก็คือ มันไม่มีอะไรเลย

เรื่องราวตามสูตรฟิฟตี้เชด พระเอกที่ร่ำรวยมหาศาล ชายผู้มีความลับดำมืดในอดีต กับนางเอกที่เป็นสาวน้อยไร้เดียงสา เล่มนี้ทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน เรียกว่าโตมาด้วยกันก็ได้ เมื่อลุงของนางเอก แองเจลินาเป็นเสมือน mentor ของเอแวน แบล็ค พระเอกของเรื่อง เมื่อลุงของเธอเสียชีวิตลง ความโศกเศร้า ความสับสนเกี่ยวกับทางเลือกในชีวิต ก็มาผสมกับความปรารถนาที่ฝังลึกในจิตใจ ชักนำแองจี้เข้าไปในชีวิตของเอแวน แม้เธอจะรู้ว่า มีบางอย่างที่ไม่ปกติกับประวัติภูมิหลังของเขา แต่มันไม่สำคัญ เธอไม่อาจห้ามใจตัวเองได้

เรื่องนี้โคตรน่าเบื่อ ขนาดที่ว่าฉากเซ็กส์อ่านไปก็ยังเบื่อ เราไม่ถึงกับไม่ชอบพระนางนะคะ เพียงแค่ต่อไม่ติดกับพวกเขา เราไม่รู้สึกว่า อยากจะค้นหาว่า ภูมิหลังอันแสนดำมืดของเอแวนคืออะไร ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่เห็นมีอะไรนะคะ แค่เป็นโจร หรือเราอาจจะอ่านเรื่องที่พระเอกทำอะไรเลวร้ายกว่านี้มาเยอะเกินไปก็ได้ เลยมองว่า แค่นี้เองนะ แล้วเราก็ยังรู้สึกว่า นางเอกคร่ำครวญ (ในแง่ที่ว่า ไม่ได้ว่าเศร้านะคะ แต่เป็นสไตล์การเล่าเรื่องของเธอ) ได้น่าเบื่อมาก อ่านไปหาวไป

ส่วนเดียวที่เรารู้สึกว่า น่าสนใจก็คือ อดีตเกี่ยวกับพี่สาวของแองจี้ แต่สุดท้ายเรื่องก็ทำลายมันไปอีกด้วยการ ไม่มีปริศนาใด ๆ ทั้งสิ้น คนร้ายถูกฆ่าล้างแค้นไปตั้งนานหลายปีแล้วโดยลุงของนางเอก



View all my reviews

Review: How the Scoundrel Seduces


How the Scoundrel Seduces
How the Scoundrel Seduces by Sabrina Jeffries

My rating: 3 of 5 stars



จากเหตุการณ์ในเล่มก่อนหน้า (When the Rogue Returns) ทำให้สำนักงานนักสืบแมนตันเป็นหนี้บุญคุณของโซอี้ คีน มาถึงเล่มนี้ได้เวลาที่เธอจะขอให้พวกเขาใช้หนี้ ด้วยการสืบหาว่า ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเธอ

ในสังคมเธอคือเลดี้โซอี้ คีน ทายาทสาวผู้มีสิทธิในมรดกจำนวนมหาศาลของท่านเอิร์ลผู้เป็นบิดา แต่โซอี้สงสัยว่า นั่นจะไม่ใช่ความจริง เธออาจจะถูกรับมาเลี้ยง มีรายละเอียดหลายอย่างไม่ลงตัว และเธอต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เนื่องจากนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าหากความจริงถูกเผยแพร่ออกไป โซอี้จะก็หมดสิทธิ์ในมรดกทั้งหมด รวมทั้งจะยังทำลายชื่อเสียงของบิดาผู้เป็นที่รักอีกด้วย

และนักสืบที่ถูกมอบหมายให้ทำคดีของเธอก็คือ ทริสแทน บรอนชาร์ด ลูกชายนอกสมรสของไวส์เคาท์ผู้ซึ่งมีทัศนคติที่ไม่ดีนักกับเหล่าขุนนางทั้งหลาย จึงทำให้เมื่อเริ่มต้นทำงานร่วมกับโซอี้ ทั้งคู่จึงเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ แต่คนอ่านโรแมนซ์ก็ย่อมรู้ดีว่า ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน ความขัดแย้งแม้จะไม่หายไปไหน แต่โซอี้และทริสแทนก็ถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างรวมเร็ว

ช่วงครึ่งเล่มแรกน่าเบื่อมาก ๆ เพราะเราไม่อินไปกับพล็อตเรื่อง เรารู้สึกว่า สิ่งที่โซอี้ทำไม่ฉลาด เธอเริ่มสืบหาความจริงเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวเองเพียงเพราะคำพูดของคนไม่กี่คน แม้เรื่องจะบอกว่า เธอจ้างให้สำนักงานของทริสแทนสืบเพราะเชื่อมั่นในการทำงานแบบลับ ๆ ของพวกเขา แต่มันก็มีความเสี่ยงมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อโซอี้เองก็ไม่ใช่ว่า จะรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี (คือเหมือนโชคดีว่า มาจ้างพวกพระเอกให้ทำงานให้) เราคิดว่า คนที่อยู่ในสถานะอย่างโซอี้ (ที่จะต้องสูญเสียทุกอย่าง หากความจริงเป็นอย่างที่เธอคิด) ไม่ควรทำอะไรเช่นนั้น แล้วยังการที่เธอตื้อขอตามทริสแทนไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเขาสืบสวน ยิ่งทำให้เรื่องดูไม่สมจริง

แต่ครึ่งเล่มหลังกลับมาสนุกได้ค่ะ เพราะเมื่อความจริงเปิดเผยว่าโซอี้เป็นใครกันแน่ โฟกัสของเรื่องก็เปลี่ยนมาที่อดีตของทริสแทนบ้าง และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองในจุดนี้น่าอ่านมากขึ้น เราชอบเรื่องส่วนนี้ค่ะ และทำให้การอ่านสนุกมากขึ้น

ว่าไปแล้วอาจจะเป็นเพราะ เราค่อนข้างสบายใจกับการอ่านงานของซาบรินา เจฟฟรีย์ก็ได้ค่ะ คืออ่านได้เรื่อย ๆ อาจจะไม่ถึงกับยกนิ้วให้ว่ายอดเยี่ยม แต่อ่านแล้วคุ้นเคย สบายใจ สนุก ผลลัพธ์จึงอาจจะไม่ใช่หนังสือที่ดีมาก ๆ แต่เป็นหนังสือที่เราอ่านได้ไม่ผิดหวัง



View all my reviews

Review: Unrestrained


Unrestrained
Unrestrained by Joey W. Hill

My rating: 1 of 5 stars



บอกได้คำเดียวว่าผิดหวังค่ะ จริง ๆ เราไม่ได้คาดหวังอะไรที่มากมายเท่าไหรนักเวลาที่อ่านเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์นะคะ แต่เพราะนี่เป็นงานเขียนของโจอี้ ฮิลล์ ซึ่งเป็นนักเขียนที่เราชอบมาก เราก็เลยนึกอยากให้เรื่องน่าสนใจมากกว่านี้

ปัญหาของเราที่มีต่อเรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะ เราไม่ผูกพันกับตัวละคร เราไม่แคร์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เราไม่สนใจอยากรู้เรื่องราวในชีวิตของพวกเขา มันเหมือนดูหนังที่เรารู้สึกเฉยมาก ๆ กับตัวเอก

หลังจากสามีผู้เป็นที่รักเสียชีวิต อธีนาก็ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว กระทั่งความสนใจทางเพศด้าน BDSM ก็ไม่อาจทำให้เธอกลับมาสู่โลกแห่งการมีชีวิตได้อีก จนกระทั่งเธอได้เจอกับเดล ทหารผ่านศึกผู้ที่ทำให้เธอต้องทบทวนรสนิยมทางเพศของตัวเองอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าคิดถูกรึเปล่านะคะ แต่เรารู้สึกเหมือนคนแต่งเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อตอบกระแสของเรื่องฟิฟตี้เชด ไม่ใช่ว่าเหมือนกันในแง่ของพล็อตเรื่องนะคะ แต่เหมือนเป็นการสอนคนอ่านว่า นี่คือ BDSM ที่ถูกต้อง ซึ่งเราเชื่อว่าโจอี้ ฮิลล์เขียนได้ถูกต้องมากกว่าอีแอล เจมส์นะคะ แต่มันไม่ใช่ประเด็น เราแค่อยากอ่านเรื่องที่ดึงความสนใจของเราเอาไว้ ทำให้เราอยากพลิกหน้าต่อไปอ่าน แต่เรื่องนี้แม้จะมีฉากเซ็กส์ที่ร้อนแรง แต่ก็แค่นั้น เราอ่านแล้ววาง แล้ววาง แล้ววาง ใช้เวลานานมากกว่าจะจบเรื่อง เพราะเราไม่มีความผูกพันกับคาแร็คเตอร์เลย เราไม่สนใจว่า พวกเขาจะคิดอะไร เลือกยังไง

นอกจากนี้เราไม่ชอบพล็อตที่นางเอกใช้ชีวิตแบบเป็น Dom เพียงเพื่อจะตอบสนองความต้องการของสามี (ที่ตายไปแล้ว) เพราะเขาเป็น sub จนกระทั่งได้เจอกับพระเอกที่แสดงให้นางเอกเห็นว่า แท้จริงแล้วเธอเองก็เป็น sub และต้องการอะไรทางเพศ เราคิดว่า มันดูถูกผู้หญิง (ไม่แน่ใจว่า ใช้คำนี้ถูกไหมนะคะ แต่เหมือนกับ ทำไมนางเอกต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ต้องเสแสร้งเพื่อผู้ชายคนนึง เขาอาจจะเป็นคนดี และเธอรักเขา แต่การใช้ชีวิตที่เป็นอีกด้านนึงของความต้องการของตัวเอง เหมือนนางเอกเป็นแม่พระ และช่างเสียสละ ซึ่งสำหรับเรา ไม่ชอบนางเอกแบบนี้ค่ะ)

ไม่รู้จะเขียนอะไรมากกว่าไปกว่านี้เลยค่ะ เรื่องไม่มีอะไร อารมณ์เรื่องก็ต่อไม่ติดกับเรา คาแร็คเตอร์ไม่ผูกพัน ผิดหวังคำเดียว



View all my reviews

Review: Avenging Angel


Avenging Angel
Avenging Angel by Cynthia Eden

My rating: 3 of 5 stars



เราต้องพยายามพอควรในการอ่านให้พ้นห้าสิบหน้าแรก พล็อตเรื่องดูไม่น่าสนใจ นางเอกที่น่ารำคาญหน่อย ๆ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างดีขึ้นค่ะ อาจจะเป็นเพราะเราชอบงานของนักเขียนคนนี้อยู่เป็นทุนเดิม (คือคุ้นกับสไตล์การเขียนของเธอ) เรื่องอาจจะยังคงเป็นสูตรอยู่ แต่ก็เป็นสูตรที่เราชอบ โดยรวมจึงถือเป็นงานที่อ่านได้สนุกอีกเล่ม แต่ไม่แนะนำให้กับคนที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องในชุดนี้มาก่อนนะคะ เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ต่อเนื่องกับเล่มก่อนหน้า

เรื่องนี้เป็นเล่มที่สี่ (และคิดว่าน่าจะเป็นเล่มสุดท้าย) ของชุด The Fallen เรื่องราวของเทวทูตตกสวรรค์ เพียงแต่ในกรณีของมาร์นา นางเอกของเรา การตกสวรรค์ของเธอแตกต่างออกไป เธอไม่ได้พ่ายแพ้ต่อกิเลสและเลือกที่จะลงมาอยู่ร่วมกับมนุษย์ แต่ปีกของเธอถูกทำลายจากมนุษย์กลายร่าง (เป็นเสือดำ) จนเธอไม่อาจบินกลับสู่สวรรค์ได้ ทำให้จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ถ้านั่นยังลำบากไม่พอ มาร์นายังถูกใส่ความว่าเป็นฆาตกรฆ่าคนตายอีกต่างหาก

แทนเนอร์ แชนซ์รู้สึกรับผิดชอบต่อชีวิตของมาร์นา เพราะไม่เพียงแต่พี่ชายของเขาเป็นคนที่ทำลายปีกของเธอ เขายังรู้สึกอะไรบางอย่างต่อเธอตั้งแต่แรกเห็น เขาหักห้ามใจให้ปล่อยเธอตามลำพังเพื่อปรับตัวกับชีวิตใหม่บนโลกมนุษย์ แต่เมื่อคดีฆาตกรรมมาถึงมือของเขา แทนเนอร์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับตัวมาร์นาไปสืบสวน กระนั้นเขาก็ยังวางแผนทำให้เธอรอดออกมา แต่ความยุ่งยากยังไม่จบสิ้น

ปกติเทวฑูตตกสวรรค์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว แต่มาร์นาเป็นความพิเศษ (ที่เธอไม่ต้องการ) เพราะแทนที่เธอจะได้พลังสมัยที่ยังเป็นเทวฑูตกลับมา เธอกลับไม่อาจป้องกันตัวเองได้เลย และเลือดของเทวฑูตก็เป็นสิ่งมีค่า เป็นความเสพติดที่ทุกคนต้องการ นั่นทำให้เธอตกเป็นเหยื่อและโดนตามล่า ซึ่งแน่นอนว่า แทนเนอร์ต้องรับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์คุ้มครอง

เรื่องมาตามแนวของหนังสือทั่วไป พระเอกที่ต้องปกป้องนางเอก ไม่ได้มีอะไรใหม่นะคะ แต่อาจเพราะนี่เป็นพล็อตแบบที่เราชอบอ่าน ก็เลยอ่านได้ ประกอบกับปริศนาหลายอย่างที่ทิ้งเอาไว้ให้ต้องคิด ไม่ว่าทำไมพลังของมาร์นาจึงไม่กลับมา และใครเป็นคนร้ายตัวจริงกันแน่ เราจึงอ่านไปแบบตามติดทุกหน้า

ประเด็นเกี่ยวกับคนร้าย คงต้องบอกว่า เราผิดหวังมาก ๆ นะคะ ไม่ใช่ตรงที่ใครเป็นคนร้าย แต่เป็นที่คนแต่งไม่ได้ให้รายละเอียดมากพอ เราอยากรู้ประวัติความเป็นมาของคนร้ายให้มากกว่า เช่นเขาเป็นลูกของเทวฑูตคนไหน ทำไมจึงถูกทิ้ง เราอยากรู้ว่า ส่วนผสมของเทวฑูตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะเป็นยังไงกันบ้าง

โดยรวมในฐานะที่เราเป็นแฟนงานเขียนของซินเธีย เอเดน เราไม่ผิดหวังกับเล่มนี้ แต่นี่ไม่ใช่งานของเธอที่เราจะแนะนำให้เริ่มต้นอ่านกันเป็นเล่มแรกหรอกค่ะ



View all my reviews

Review: Hemy


Hemy
Hemy by Victoria Ashley

My rating: 2 of 5 stars



เล่มนี้ดีกว่าเล่มแรกนะคะ อาจจะเพราะทำใจกันไว้ล่วงหน้ากับสไตล์การเขียนและการเล่าเรื่องของคนแต่งคนนี้แล้ว เรารู้สึกว่า วิคทอเรีย แอชลีย์เขียนเรื่องแบบให้คนอ่านรู้สึกช็อคไปกับพฤติกรรมของตัวเอง เรื่องที่ค่อนข้างอีโรติกมาก ๆ และการที่ตัวละครฝ่ายชายไม่มีฟิลเตอร์ (ทั้งคำพูดและความคิด) เอาเลย

เราชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มแรก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนางเอกดูน่าเชื่อมากกว่า (เล่มแรก Slade อ่านยังไงก็ไม่รู้สึกว่า พระเอกจะรักนางเอกจริง ๆ) อาจจะเป็นเพราะวางพล็อตไว้แต่แรกแล้วว่า ทั้งสองรู้จัก และรักกันมาก่อน แต่เพราะนางเอกไม่อาจทนพฤติกรรมของพระเอกได้ ก็เลยเดินจากไป จุดนี้ทำให้เราชอนนางเอกในตอนต้น ๆ มากพอควร

ปัญหาก็คือ เมื่อนางเอกกลับมา เธอไม่ได้กลับมาอย่างผู้ชนะ เรื่องไม่ได้เน้นอะไรนะคะ แต่ลงเอยนางเอกก็มีอาชีพเต้นระบำเปลื้องผ้าเหมือนกับพระเอก เราชอบนะคะที่ทัศนคติของเรื่องไม่ได้ดูถูกอาชีพนี้ (เราเองต่างหากอาจจะรับไม่ได้มากกว่า) แต่เรานึกอยากให้นางเอกกลับมาแบบ ไม่มีเธอในชีวิต ฉันก็อยู่ได้ และมีความสุข

เรื่องเป็นแนวรักเก่าหวนคืน เมื่อพระเอกรู้ว่า นางเอกกลับมา ก็ไม่มีอะไรหยุดเขาจากการเอาชนะใจของเธออีกครั้งให้ได้ ส่วนนี้เราชอบค่ะ แต่อาจจะเป็นเพราะการปูคาแร็คเตอร์ของเขามาจากเล่มแรก เราคิดว่า เรื่องมันจะโลดโผนกว่านี้ โดยเฉพาะฉากเซ็กส์ที่เรายังรู้สึกเหมือนคนแต่งหลอกคนอ่านให้คาดหวัง (อะไรที่มันจะพิศดารมากกว่าที่เป็น) แล้วยังเรื่อง ความเป็น Bisexual ของพระเอกอีก มาเรื่องนี้แล้ว เหมือนมันไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน น่าผิดหวังมาก ๆ ค่ะ

ไม่แน่ใจว่า จะซื้อเล่มสามในชุดนี้อ่านต่อไหมนะคะ เพราะโดยรวมแล้ว แม้เล่มนี้จะดีกว่าเล่มแรก แต่มันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากฉากเซ็กส์ฮ็อต ๆ เท่านั้นเอง



View all my reviews