Monday, November 4, 2013

Review: Truth


Truth
Truth by Aleatha Romig

My rating: 5 of 5 stars



เล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด และเราไม่แนะนำให้เริ่มต้นอ่านที่เล่มนี้ แต่นี่คือเล่มที่ดีที่สุดในชุด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ๆ ค่ะ เพราะปกติเล่มสองในชุดจะเป็นเล่มที่อ่อนด้อยที่สุด (เนื่องจากต้องเชื่อมเหตุการณ์จากเล่มแรก และตั้งต้นไปสู่จุดจบ)

เราไม่แนะนำให้ใครที่ต้องการอ่านเรื่องชุดนี้อ่านรีวิวเล่มนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก (Consequence) ก่อน เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้โดยไม่สปอยล์เหตุการณ์ในเล่มแรก

หลังจากสิบสี่เดือนในคุก แคลร์ นิโคลก็ได้รับอิสรภาพ แต่เธอรู้ว่า ชีวิตของเธอยังไม่ปลอดภัย ดังนั้นการออกจากไอโอวาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่แคลร์ตัวคนเดียว ครอบครัวของเธอก็แทบไม่เหลือใครแล้ว พี่สาวเองก็ต้องดูแลพี่เขยซึ่งก็ถูกใส่ความ (เช่นเดียวกับเธอ) จนติดคุก แม้จะได้พ้นโทษออกมา แต่ก็ติดทัณฑ์บน คนเดียวที่เธอนึกออกก็คือ คู่หมั้นของคนรักเก่า เพราะคนรักเก่าของแคลร์ก็ถูกโทนี่ฆ่าตาย นั่นทำให้ผู้หญิงทั้งสองมีจุดหมายร่วมกัน นั่นก็คือ การแก้แค้น

ถ้าเล่มแรกเป็นจุดเริ่มต้น ที่เปลี่ยนแปลงแคลร์จากหญิงสาวธรรมดา ๆ ทั่วไป จากคนที่ตกเป็นเหยื่อ เล่มนี้เราได้เห็นแคลร์ในด้านที่เข้มแข็งมากขึ้น เมื่อเธอใช้เวลาแยกออกจากห่างจากโทนี่ ผู้ชายที่ครอบงำเธอมาตลอดเวลาสองปี เล่มนี้เป็นเรื่องราวของการเผชิญหน้า หักเหลี่ยมระหว่างคนทั้งสอง ในการเอาชนะในเกมที่แคลร์เองก็ยังไม่เข้าใจเต็มที่นัก

เธอรู้ว่า มันเป็นเรื่องของการแก้แค้น ที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกลียดโทนี่ เพราะมันเป็นการแก้แค้นที่แย่มาก ปู่ของเขาคือคนผิด ในขณะที่ปู่ของแคลร์คือฝ่ายดี และทำตามหน้าที่ แต่เขาใช้มันเป็นเหตุผลในการเอาคืนครอบครัวของคนที่เกียวข้อง แต่นั่นคือทั้งหมดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เจอกับโทนี่อีกครั้ง

เราคิดว่า สิ่งที่คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ในเล่มนี้ก็คือ การทำให้เราเข้าใจ แม้เราจะไม่เลือก หรือทำอย่างที่แคลร์ทำ แต่เราเข้าใจการตัดสินใจของเธอ มันอาจจะไม่ถูกใจเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราเข้าใจ และยอมรับมัน คำพูดที่ถูกยกขึ้นมาประโยคนึง (เราจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่แปลคร่าว ๆ ได้ก็คือ) ด้านที่ตรงข้ามกับความรัก ไม่ใช่ความเกลียด หากแต่เป็นความเฉยเมย ความรักและความเกลียดเป็นอารมณ์ที่ใกล้ชิดกันมาก มันทั้งรุนแรงและหมกหมุ่น

นั่นคือส่วนที่จริงที่สุด และความรู้สึกของแคลร์ในเล่มนี้ก็เป็นเช่นนี้ อดีตระหว่างเธอและโทนี่ แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่มันก็คือบางอย่างที่ฝังรากอยู่ในตัวเธอ บุคคลที่แคลร์เป็นในปัจจุบันก็คือคนที่โทนีสร้างขึ้น นั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเราเข้าใจทางเลือกของเธอ

และมาถึงโทนี่ เราจำได้ว่า ตอนที่อ่านเล่มแรกเราโพสต์ในเฟซบุ๊คว่า ถ้าคนแต่งทำให้เรายอมรับโทนีได้ เราจะขอคารวะ เล่มนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น เรายังคงเกลียดเขา และรู้สึกว่า เขาควรจะต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อไถ่บาป แต่เราก็ไม่รู้ว่า มันจะมีวันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไถ่บาปได้ เราเชื่อว่า เมื่อเขาตาย โทนี่จะตกนรก นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะใช้กรรมที่ก่อได้ แต่ในระหว่างนี้ที่เขามีชีวิต เขาเป็นตัวละครที่โคตรทรงพลังเลย

ขนาดว่าเราเกลียดเขา เรายังแทบจะลืมหายใจเวลาอ่านฉากที่เขามีบทบาท ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับแคลร์ที่ถูกปั่นหัวมาตั้งแต่เล่มแรก เธอจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร สำหรับเราที่มองด้วยสายตาแบบรู้ดี (มองอย่างคนนอกที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่แคลร์ต้องเผชิญ) เรายังแทบไม่อาจละสายตาจากเขาได้ แล้วเราจะหวังให้แคลร์ทำได้งั้นเหรอ

เราชอบตอนจบของเรื่อง และสะใจกับชะตากรรมของโทนี่ ยกเว้นแค่ มันเกิดขึ้นจากแผนการของคนอื่น ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของแคลร์ เราคิดว่า เรื่องจะเฟอร์เฟ็คกว่านี้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่แคลร์วางแผนไว้แต่ต้น แต่ถ้าแคลร์ทำแบบนั้น เธอก็จะไม่ใช่ตัวละครที่ถูกวางเอาไว้ เราเข้าใจนะคะ แต่ก็อดหวังไม่ได้ นี่คือความขัดใจหลักของเราเกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ ก็คือ การเติบโตในคาแร็คเตอร์ของแคลร์ เรารู้สึกว่า เธอไม่เข้มแข็งอย่างที่เราหวังให้เธอเป็น แต่แม้จะคิดเช่นนั้น ก็กลับมาที่คำว่าเข้าใจอีกล่ะค่ะ เราว่าคนแต่งเลือกถูกต้องแล้วที่วางคาแร็คเตอร์ของแคลร์ให้เป็นเชนนี้ ถ้าเธอแข็งแกร่งมากกว่านี้ เธอจะไม่แคลร์ และกลายเป็นคนอื่นไป

ในแง่ความน่าติดตาม เล่มนี้ยิ่งอ่านสนุกกว่าเล่มแรกซะอีก เราอ่านแบบวางไม่ลง และนั่งอ่านในที่ทำงานแบบไม่แคร์สื่อ มันสนุกมากขนาดนั้น

คะแนนที่ 85
ป.ล. มันก็ยังคงไม่ใช่โรแมนซ์ และเรายังภาวนาให้โทนี่ต้องชดใช้กรรมกับการกระทำของเขา





View all my reviews

No comments: