Friday, September 27, 2013

Review: Tarnished Knight


Tarnished Knight
Tarnished Knight by Bec McMaster

My rating: 3 of 5 stars



เราอ่านเล่มนี้ก็เพื่อเตรียมตัวในการอ่านเรื่อง [b:Heart of Iron|15927484|Heart of Iron (London Steampunk, #2)|Bec McMaster|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1366437375s/15927484.jpg|21678148] เรื่องนี้แรกเริ่มเป็นเรื่องสั้นที่คนแต่งแจกฟรีให้อ่านกันในเว็บไซด์ของเธอ เพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาสสำหรับแฟนหนังสือเมื่อปีก่อน (2012) ด้วยเหตุผลนั้นเองทำให้เราไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้มากมายเท่าไหรนะคะ จึงทำให้ตอนที่อ่านเราต้องแปลกใจอย่างมาก ๆ เพราะเรื่องนี้ดีเกินคาด (ดีเกินกว่าจะเป็นหนังสือแจกฟรีน่ะค่ะ)

เล่มนี้เล่าเรื่องของริป และเอสมี ซึ่งเป็นตัวละครรองในเล่มแรกของชุด ([b:Kiss of Steel|13507512|Kiss of Steel (London Steampunk, #1)|Bec McMaster|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1344055795s/13507512.jpg|19058959]) ซึ่งใครที่อ่านเล่มนั้นก็จะพอรู้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นแนวแอบรักกันและกัน แต่อีกฝ่ายไม่รู้ อันที่จริงถ้าใครได้อ่านเรื่อง Kiss of Steel ก็พอจะเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า คู่นี้คงลงเอยกันเป็นแน่ ไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มนี้แต่อย่างใด (คือไม่ได้เกิดความรู้สึกค้างคาว่าต้องอ่านน่ะค่ะ) นี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรกับเล่มนี้มากนัก

ทำให้พออ่านเข้าจริงต้องประหลาดใจ เพราะนอกจากคาแร็คเตอร์จะมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื้อเรื่องก็ยังน่าติดตามอีกต่างหาก

จากเหตุการณ์ในเล่มแรก (ซึ่งเราไม่คิดว่า จำเป็นต้องอ่านเพื่อความเข้าใจในเล่มนี้หรอกนะคะ) ริปถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ และการเป็นแวมไพร์ใหม่ทำให้เขาไม่อาจควบคุมความหิวกระหายของตัวเองได้ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาไม่ยอมดื่มเลือดจากเอสมี ทั้งที่เธอเองก็เต็มใจ (และมีประสบการณ์ในการเป็นผู้บริจาคเลือดให้กับแวมไพร์มาก่อน) การที่ริปปฏิเสธทำให้เอสมีน้อยใจ

โปรดจำไว้ว่า เรื่องนี้พล็อตเรื่องคือ ทั้งคู่แอบรักกันและกันมาก แต่คิดว่าอีกฝ่ายไม่มีใจให้ ดังนั้นหลายเหตุการณ์จึงเข้าข่ายการคิดไปเองของแต่ละคน ข้อดีคือ เราไม่รู้ว่า น่ารำคาญนะคะ ทั้งที่เราก็ไม่ชอบเรื่องแนวนี้มากนัก คิดว่า ทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่องกันไปซะที แต่เล่มนี้เราโอเคกับมันค่ะ

นอกจากจะต้องปรับตัวกับความ "พิเศษ" ที่ตัวเองได้มา (จากการเป็นแวมไพร์) ริปยังต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า ยังคงเป็นคนเดิม นั่นก็คือคนสนิทของเบลด (พระเอกเล่มแรก) และช่วยเขาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของพวกเขาได้ ดังนั้นเมื่อคนที่อยู่ในความคุ้มครองถูกลักพาตัวไปโดยกลุ่มคนร้าย ริปจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่ปรากฎว่า เรื่องมันใหญ่มากกว่าที่คิด

นอกจากเรื่องนี้จะเล่าถึงริปและเอสมีแล้ว ในอีบุ๊คของเล่มนี้ก็ยังมีเรื่องสั้น ๆ (ที่ไม่ได้จบในตัวเอง) เล่าถึงเลนา และวิล ซึ่งจะเป็นพระนางในเล่มต่อไป เรื่องสั้นนี้เราคิดว่า สำคัญไม่น้อย เพราะทำให้คนอ่านเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสองปีระหว่างเหตุการณ์ในเล่มแรก และเล่มสอง ([b:Heart of Iron|15927484|Heart of Iron (London Steampunk, #2)|Bec McMaster|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1366437375s/15927484.jpg|21678148])

โดยรวมถ้าคิดว่า เล่มนี้คนแต่งเขียนแล้วแจกฟรี ถือว่าสนุกคุ้มค่ามาก และเป็นเรื่องที่แฟนหนังสือชุดนี้ ไม่ควรพลาด

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: His Risk to Take


His Risk to Take
His Risk to Take by Tessa Bailey

My rating: 4 of 5 stars



ติดใจงานเขียนของเทสสา ไบลลีย์จากการอ่านเรื่อง [b:Protecting What's His|17413427|Protecting What's His (Line of Duty, #1)|Tessa Bailey|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1361771804s/17413427.jpg|24259737] แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกถึงกับว่าจะต้องรีบไปติดตามเรื่องอื่น ๆ ของเธอมาอ่านทันทีหรอกนะคะ จนกระทั่งได้คุยกะเพื่อนผ่านเฟซบุ๊ค และเขาบอกว่า เล่มนี้พระเอก ditry talking เสียยิ่งกว่าเดเรคพระเอกของเล่มแรกเสียอีก ทำให้อดใจไม่อยู่ค่ะ รีบหยิบมาอ่านทันที

แล้วก็ต้องพยักหน้างึก ๆ เห็นด้วยว่า พระเอกเล่มนี้ร้อนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ดูโหงวเฮงตอนที่เขามีบทบาทในเล่มแรก (Protect What's His) ก็ดูหงิม ๆ เรียบร้อยตามปกติ เพราะได้ออกโรงมาเป็นพระเอก ต้องบอกว่าผิดคาด

เราชอบเล่มนี้ยิ่งกว่าเล่มแรกเสียอีก ซึ่งไม่ง่ายหรอกนะคะ เพราะเราชอบเล่มแรกไม่น้อยเลย

ทรอย เบนเน็ตต์อดีตนายตำรวจจากชิคาโก้ขอย้ายตัวเองไปอยู่นิวยอร์คเพื่อหนีความเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญ หลังจากเสียคู่หูไปจากการที่ถูกคนร้ายสังหาร แต่เพียงแค่อาทิตย์แรกที่ย้ายมาถึง ทรอยก็ได้พบกับปัญหาปวดหัวเรื่องใหม่ คราวนี้มาในรูปแบบของหญิงสาวที่เขาเห็นเพียงครั้งแรกก็ปิ๊งชนิดถอนตัวไม่ขึ้น

สไตล์การเขียนของเรื่องนี้คล้าย ๆ กับอิมพรินต์ฮาร์ลิควิน เบลซ แต่ผูกร้อยได้น่าสนใจอย่างมาก ไม่ใช่เฉพาะแต่ฉากเซ็กส์ที่ร้อนแรง แต่ตัวละครในเรื่องก็มีความน่าสนใจในตัวเอง

พระนางพบกันในผับ สถานที่รูบี้ นางเอกของเรื่องเข้าไปเพื่อต้มตุ๋นในการพนันแทงพูล ทรอยซึ่งเป็นตำรวจ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่การปฏิบัติงานของเขา เลือกที่จะออกโรงมาปกป้องเธอ (เมื่อคนที่แพ้พนันพาลจะไม่จ่ายเงิน) และเมื่อพบว่า รูบี้ต้องกลับบ้านตามลำพังในเวลาดึกดื่นค่ำมืด เขาก็เลยชวนเธอไปนอนที่บ้านของเขาแทน (ใช้เหตุผลอะไรมาทำให้รูบี้คิดว่า นี่เป็นการปลอดภัยกว่า เราก็สุดจะเข้าใจ แต่ยอมรับได้ตามแนวเรื่องที่วางมา)

ในคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นหลายอย่าง แต่รูบี้ก็จากไป และเมื่อตามหาตัวเธอเจอ ทรอยก็พบว่า รูบี้เข้าไปพัวพันกับคดีล่าสุดที่เขาได้รับมอบหมายให้สืบสวน

เล่มนี้ไม่ยาวมากนัก พล็อตไม่ซับซ้อน แต่มีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่น เราชอบทรอยมาก ๆ ถือเป็นพระเอกในดวงใจอีกคนนึงของเราเลย เราชอบความขัดแย้งกันในตัวตนของเขา ภายนอกเวลากลางวันเขาเป็นตำรวจหน้าใหม่ (ในเมือง) ทำตามกฎ แต่ในยามส่วนตัว ก็มีจินตนาการที่กว้างไกล มันเป็นความขัดแย้งที่อ่านแล้ววาบหวาม (สำหรับเรา) ไม่น้อย ในขณะที่นางเอกแม้เธอจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง จนบางครั้งเรารู้สึกว่า เธอเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตราย แต่พื้นหลังที่คนแต่งวางเอาไว้ ก็พอทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมรูบี้จึงกระทำเช่นนั้น เธอดูแลตัวเองตามลำพังมาตลอดชีวิต แม้ทรอยจะแสดงออกว่า เธอไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไป และเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอ มันก็ไม่ง่ายที่เธอจะเชื่อว่า ทุกอย่างเป็นความจริง

อย่างที่เราเคยเขียนเอาไว้ในรีวิวของเล่มแรก งานของเทสสา ไบลลีย์ทำให้เรานึกถึงงานของลินดา โฮเวิร์ดยุครุ่งเรือง เล่มนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนี้ของเรา เรื่องราวที่พระเอกเป็นอัลฟ่า นางเอกที่เข้มแข็ง ฉากเซ็กส์ที่ร้อนแรง เทสสา ไบลลีย์เขียนตรงตามเป้าได้ทั้งหมด

ชอบค่ะ ชอบมาก ๆ ด้วย อยากให้สนพ.เอามาพิมพ์พรินต์บุ๊คออกขายจังเลยค่ะ เราจะได้เก็บเป็นคอเล็กชั่น

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Wednesday, September 18, 2013

Review: All of You


All of You
All of You by Christina Lee

My rating: 3 of 5 stars



เรื่องนี้มาแรงแซงทางโค้งคิวอ่านหนังสือทั้งหมดของเราด้วยคำโปรยโฆษณาสั้น ๆ ที่ว่า "Avery has just met her hot upstairs neighbor. He's irresistible. Tattooed. And a virgin." ความน่าสนใจก็มากพอจะทำให้เราตัดสินใจซื้อหนังสือ และเริ่มต้นอ่านในวันแรกที่หนังสือออกขาย

และอาจจะเป็นเพราะเจ้าความตื่นเต้นอยากอ่านนี่ก็ได้นะคะ เลยทำให้การอ่านของเราได้ผลลัพธ์ที่ด้อยกว่าความคาดหวัง

เรื่องนี้ไม่ได้แย่เลยนะคะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่ม

เราไม่ใช่คนที่อ่านเรื่อง New Adult มากนัก แต่จากเรื่องที่เราได้อ่าน สิ่งนึงที่เราสัมผัสได้จากหนังสือแนวนี้ก็คือ อารมณ์ของเรื่องที่บีบคั้นรุนแรง เรียกว่าอ่านไปก็สะอื้นไป เล่มนี้ไม่ได้ถึงขนาดอย่างนั้น มีหลายฉากที่ทำเราน้ำตาไหลบ้าง แต่เราก็เป็นคนที่ร้องไห้ (เวลาอ่านหนังสือ) ง่ายค่ะ ดังนั้นในส่วนของอารมณ์เราจึงคิดว่า เล่มนี้ยังไม่ถึงระดับบีบคั้นของงานแนวเดียวกันเล่มอื่น (กรณีนี้เราพูดถึงแนว NA ที่คาแร็คเตอร์มีภูมิหลังที่เจ็บปวดนะคะ ซึ่งพระนางในเล่มนี้ก็เข้าข่ายแบบนั้น)

แต่ในอีกแง่นึง เราชอบภูมิหลังที่วางไว้สำหรับนางเอก เราว่า มันกำลังพอดี เอเวอรีมาจากครอบครัวที่ไม่มีพ่อ มารดาก็ใช้ชีวิตขึ้นลงตามแต่ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิต และไม่เคยเป็นหลักให้กับเอเวอรีเลย ประสบการณ์ที่มีต่อผู้ชายของแม่จึงทำให้เอเวอรีไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ผูกพันกับผู้ชายคนไหน ทางออกของเธอก็คือการใช้ผู้ชายเหมือนของเล่น ดังนั้นคนที่มีปัญหากับนางเอกที่ไม่รักนวลสงวนตัว อาจจะมีปัญหากับเล่มนี้ก็ได้ค่ะ

ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย ๆ ของเอเวอรีไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับเราค่ะ เราพอเข้าใจว่า นี่คือทางออกของเธอในการเอาชนะ "อดีต" อันที่จริงทัศนคติช่วงต้นเรื่อง ที่เธอมีต่อ "หนุ่มฮ็อต" หรือพระเอก ที่เธอได้เจอในงานปาร์ตี้ก็ทำให้การอ่านสนุกไม่น้อย

คาแร็คเตอร์ที่เป็นปัญหาสำหรับเรากลับกลายเป็นพระเอกค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเล็กน้อย เพราะปกติเราจะไม่เป็นกลางกับนางเอก และให้อภัยพระเอกได้ทุกอย่าง แต่ปัญหาที่เรามีไม่ได้เกี่ยวกับพฤติกรรมของพระเอกหรอกค่ะ เราคงต้องบอกว่า เบนเน็ตต์เป็นพระเอกที่สมบูรณ์แบบมาก ๆ น่ารักมาก ๆ ดีต่อนางเอกมาก ๆ

ประเด็นก็คือ อะไรที่มาก ๆ เกินไป มันไม่พอดีสำหรับเราค่ะ

เราพบว่า เบนเน็ตต์ดูดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง เขามาจากครอบครัวบ้านแตกไม่ต่างจากเอเวอรี แต่ทางออกของเขาก็คือ การกลายเป็นคนที่รับผิดชอบต่อทุกคน ในตอนเปิดเรื่องเบนเน็ตต์เพิ่งมีอิสระในการใช้ชีวิตเป็นครั้งแรก หลังจากมารดาแต่งงานใหม่ และพ่อเลี้ยงบอกให้เขาใช้ชีวิตเพื่อตนเองบ้าง แทนที่จะทุ่มเททุกอย่างให้แม่และน้องสาว (ซึ่งจริง ๆ ประเด็นนี้น่าสนใจนะคะ แต่กลับไม่เคยถูกนำมาพูดถึงเท่าไหร)

เบนเน็ตต์เลือกเส้นทางที่แตกต่างจากเอเวอรี เขาต่อต้านการเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย ๆ ของมารดาด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน อันนี้เราเข้าใจค่ะ แต่เราโยงไม่ได้กับทางเลือกที่เขาจะรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ เบนเน็ตต์สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวทางเพศกับหญิงคนไหนจนกว่าเขาจะพบคนที่รัก เราพยายามทำความเข้าใจทางเลือกของเขานะคะ แต่ไม่เข้าใจค่ะ ในสังคมตะวันตกความบริสุทธิ์อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างสังคมไทย (หรือตอนนี้สังคมไทยไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว เราก็ไม่รู้นะคะ เรายังหัวโบราณพอที่จะคิดว่า มันยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่) และสำหรับเพศชายมันยิ่งเป็นสิ่งที่หายากมาก ดังนั้นสำหรับเรา ทางเลือกของเบนเน็ตต์จึงต้องถูกอะไรบางอย่างผลักดัน และสิ่งนั้นจะต้องชัดเจนและสำคัญมากพอ การที่เขาอธิบายทางเลือกของตัวเอง (ต่อเอเวอรี) ว่าเขาเห็นแม่ทำตัวเละเทะ มีลูกกับผู้ชายหลายคน เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี จนน้องสาวก็ท้องไม่มีพ่อตอนอายุแค่สิบหกปี ทำให้เขาสัญญากับตัวเองว่า จะไม่เป็นพ่อของใครจนกว่าจะพร้อม และอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้อง ๆ เราไม่เก็ตน่ะค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะน้องสาวนางเอกคนที่ท้องอายุในเรื่องก็แค่สิบเจ็ดปี แสดงว่าเหตุการณ์นี้ก็เพิ่งเมื่อปีก่อน แต่เบนเน็ตต์อายุยี่สิบต้น ๆ แล้ว เราคิดว่า ความคิดที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองสำหรับผู้ชาย มันน่าจะเกิดช่วงสิบปลาย ๆ มากกว่า

ที่พูดไปทั้งหมดก็เพื่อจะสรุปว่า ด้วยเหตุผลในการครองความบริสุทธิ์ของพระเอกที่เราไม่รู้สึกว่า น่าเชื่อถือเพียงพอ เราก็เลยรู้สึกว่า พระเอกถูกสร้างขึ้นมา ไม่ได้มีความสมจริงในแง่ของคาแร็คเตอร์

ยิ่งไปกว่านั้น พระเอกนอกจากจะบริสุทธิ์แล้ว ยังทำอาชีพพิเศษ (นอกเวลาเรียนมหาวิทยาลัย) ด้วยการเป็นช่างสัก แถมยังมีรอยสักบนเรือนร่างอีก เมื่อทั้งหมดมาประกอบกัน ยิ่งเน้นความรู้สึกของเราว่า พระเอกถูกสร้างมาจากคุณลักษณะของพระเอกเรื่องแนว NA ที่คนชอบอ่าน แต่ทั้งหมดนั่นไม่ได้ซึมลึกเข้าไปในคาแร็คเตอร์ของเขามากพอจนทำให้เราเชื่อว่า เขาคือคนคนนั้นจริง ๆ

ปัญหาใหญ่ของเราจึงกลายเป็นความรู้สึกว่า พระเอกไม่ใช่คนจริง ๆ แต่เป็นองค์ประกอบของคุณลักษณะของเรื่องแนว NA น่ะค่ะ

อาจจะดูเหมือนจะไม่ชอบซะเยอะนะคะ ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น คือถ้าเราไม่ได้คาดหวังเอาไว้ตอนเริ่มอ่าน เราคิดว่า ตัวเองคงจะไม่รู้สึกว่า ประเด็นนี้เป็นปัญหาอะไรเท่าไหร (แต่เพราะเริ่มต้นอ่านด้วยคาแร็คเตอร์ของพระเอก เวลาอ่านเราก็เลยให้ความใส่ใจตัวตนของเขามากหน่อย)

อันที่จริงพล็อตที่เรื่องนี้ใช้ถือว่า น่าสนใจทีเดียว เป็นการสลับเพศ โดยที่นางเอกเหมือนพระเอกในหนังสือหลาย ๆ เรื่องที่กลัวการผูกมัด และไม่กล้าเปิดใจยอมรับความรัก ในขณะที่พระเอกเป็นฝ่ายอ่อนไหว และถึงจุดนึงก็ไม่อาจทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่นางเอกไม่อาจตอบกลับความรักที่เขามีให้ จนพระเอกถึงกับน้อยใจเดินหนี ฉากง้อของสองคนนี้น่ารักค่ะ

เราจบเล่มนี้ไปแบบผิดหวังเล็กน้อย แต่เพราะเราคาดหวังเยอะเกินไปเอง เรื่องนี้เป็นงานเขียนเล่มแรกของคริสตินา ลี ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ เราถือว่าเธอเขียนได้ดีเลยล่ะค่ะ ความน่าสนใจของเล่มนี้มากพอที่จะทำให้เราจะติดตามอ่านเล่มต่อไปในชุด ซึ่งจะเป็นเรื่องเพื่อนของนางเอก และถือว่าเป็น companion ของเล่มนี้ (น่าจะแปลว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับเหตุการณ์ในเล่มนี้ แต่มีตัวเอกเป็นคู่อื่น) กับเรื่อง [b:Before You Break|18323939|Before You Break|Christina Lee|/assets/nocover/60x80.png|25866508]

อันที่จริงถ้าการซื้อหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องยาก (เนื่องจากมีการจำกัดเขตการขายหนังสือเล่มนี้ และสนพ.ไม่ขายมาประเทศไทย) ทำให้คนที่อยากอ่านต้องใช้เทคนิคเล็กน้อยในการซื้อ เราก็อยากจะแนะนำให้ลองอ่านกันดูนะคะ เล่มนี้เป็นตัวแทนของเรื่องแนว NA ที่ใช้ได้เลย อาจจะเป็นไปตามสูตรหลายอย่าง แต่เรื่องราวไม่ถึงกับหนักเกินไป (ในส่วนของภูมิหลังของพระเอกนางเอก) และมีตัวละครที่น่าสนใจ ที่สำคัญ (อันนี้เป็นส่วนที่เราชอบมากที่สุด) พฤติกรรมของพระนางไม่งี่เง่าเลย อ่านแล้วไม่หงุดหงิดค่ะ

คะแนนที่ 63





View all my reviews

Tuesday, September 17, 2013

Review: The Spy Wore Blue


The Spy Wore Blue
The Spy Wore Blue by Shana Galen

My rating: 3 of 5 stars



เรื่องสั้น ๆ ที่ออกขายเป็นอีบุ๊ค เรื่องราวที่ตัวละครรองจากเรื่อง Lord and Lady Spy กลายมาเป็นพระเอกของเรื่องนี้ เราขอบอกเลยค่ะว่า จำเขาไม่ได้เลย ทั้งที่เรื่อง [b:Lord and Lady Spy|10729336|Lord and Lady Spy (Lord and Lady Spy, #1)|Shana Galen|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1327926543s/10729336.jpg|15640163] ก็ถือว่าเป็นเล่มที่เราชอบในระดับนึง แต่การจำเขาไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการอ่านเรื่องนี้หรอกค่ะ

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เนเปิ้ลในประเทศอิตาลี เมื่อสายลับนามว่าบลู (ชื่อที่ตั้งตามนัยน์ตาสีฟ้าแสนสวยของเขา) ถูกส่งมาตามล่าสายลับของฝ่ายตรงข้าม แต่ภารกิจที่ได้รับซึ่งให้เขาปลอมตัวเข้าไปในคณะละครโอเปรามีปัญหา เพราะหนึ่งในนักร้องโอเปร่ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา อันที่จริงเธอคือภรรยาของเขานั่นเอง และนั่นทำให้บลูตัดสินใจไปเตือนเฮเลนาก่อนว่าเขาจะปรากฎตัว เพื่อเธอจะได้ไม่เผลอหลุดปากเอ่ยความจริงว่า เขาเป็นใครกันแน่

เล่มนี้เป็นเพราะรักเก่าหวนคืนซึ่งเราชอบค่ะ การเขียนก็ถือว่า สนุกน่าอ่าน แต่เรานึกอยากให้เล่มนี้หนากว่านี้ เพราะภูมิหลังของทั้งบลูและเฮเลนามีอะไรหลายต่อหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเราคิดว่า มันค่อนข้างทรงพลัง ถ้าหากคนเขียนให้เวลากับมันมากกว่านี้ (ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องเล่าให้คนอ่านฟัง) การที่เฮเลนามีอาการติดเหล้าจนทำลายความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเขา หรือการที่บลูทุ่มเททุกอย่างให้กับองค์กรสายลับของตัวเอง จนไม่มีเวลาให้กับภรรยาสาวคนสวย

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างบลูและเฮเลนาค่ะ เป็นความสัมพันธ์ของคนที่โต ๆ กันแล้ว และนับถือซึ่งกันและกัน ตั้งแต่เรื่องเล่าในอดีตที่บลูยอมรับตัวตนของเฮเลนาได้ (เธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ และเป็นนักแสดง) หรือในปัจจุบันที่เขามองเห็นความสามารถของเธอ

พล็อตส่วนสายลับดูขาดหาย เหมือนเอามาเป็นส่วนประกอบในเนื้อเรื่องครบถ้วน สายลับฝ่ายศัตรูก็ดูโง่เกินกว่าจะมีความสามารถ ในขณะเดียวกันก็อาจเหมาะสมก็ได้ เพราะเราก็ไม่รู้สึกว่า บลูจะเก่งกาจอะไรมากมายนัก

โดยรวมเป็นเรื่องสั้นที่อ่านได้เรื่อย ๆ ถือว่า อยู่ในระดับดีเลยล่ะ คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: Lord and Lady Spy


Lord and Lady Spy
Lord and Lady Spy by Shana Galen

My rating: 3 of 5 stars



นี่เป็นหนังสือที่แม็กซ์เห็นปกก็ปิ๊งในทันที แถมเมื่ออ่านพล็อตก็ยิ่งได้ใจไปใหญ่ เพราะน่าสนใจมาก แม้จะไม่ใช่พล็อตดั้งเดิมคิดเองแบบสร้างสรร แต่การเอาคอนเซ็ปต์ของภาพยนตร์เรื่อง Mr. and Mrs. Smith มาใช้ในเรื่องราวยุครีเจนซีก็น่าสนใจไม่น้อย ดังนั้นแม้ว่าจะเขียนโดยนักเขียนที่แม็กซ์เคยอ่านผลงานของเธอมาแล้วในอดีต และผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง เราก็ยังตัดสินใจซื้อเรื่องนี้มาก พร้อมทั้งอ่านทันทีค่ะ

ซึ่งผลก็คือ แม้จะไม่ได้สนุกมากมายนัก แต่ก็ดีกว่าที่คาดคิดไว้ (สำหรับงานของนักเขียนคนนี้) และแน่นอนว่า พล็อตเรื่องเป็นจุดใหญ่ที่ำทำให้เราชอบเล่มนี้ค่ะ





Lord and Lady Spy ของชานา กาเลน

ไม่แน่ใจนะคะว่า จะเป็นหนังสือชุดหรือไม่ เพราะก็มีตัวละครในเรื่องที่พอมีแววเป็นพระเอกเล่มต่อไปได้ แต่เนื่องจากในเว็บไซด์ของคนแต่งไม่ได้บอกข้อมูลเอาไว้ ก็สันนิษฐานไว้ก่อนแล้วค่ะกันว่า เป็นเล่มเดี่ยว ๆ

เรื่องนี้เปิดเรื่องที่แห่งนึงในยุโรป เมื่อสายลับนามว่า เซ็นต์แอบซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า ในบ้านของนางบำเรอของผู้หลบหนีชาวฝรั่งเศส ชายคนที่ทางการอังกฤษต้องการตัว ถือว่าเป็นมันสมองที่อยู่เบื้องหลังการหนีของนโปเลียน เพื่อให้ชนะสงคราม ภารกิจนี้สำคัญอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่เซ็นต์จะจัดการจับตัววายร้ายรายนี้ได้ สายลับอีกคนนึงนามว่า วูลฟ์ก็ชิงตัดหน้าจับคนร้ายไปก่อน

ถ้านั่นยังไม่เลวร้ายพอ เซ็นต์ยังถูกหัวหน้าแจ้งข่าวว่า ตัวเองถูกเลิกจ้างอีกต่างหาก เพราะตอนนี้สงครามสงบแล้ว ความต้องการสายลับลดน้อยลง เซ็นต์จึงเป็นหนึ่งในสายลับที่ถูกไล่ออก

เซ็นต์สายลับมือหนึ่งขององค์การ ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ต้องกลับไปอังกฤษ และรับบทบาท "ภรรยา" งานที่เธอแทบไม่รู้ว่า จะต้องทำยังไง แม้จะแต่งงานมาแล้วถึงห้าปีก็ตาม ฉากนี้ในเรื่องฮามาก ตอนที่เซ็นต์ถูกถามว่า ที่อังกฤษมีอะไรรอเธออยู่ และเธอก็ตอบไปว่า รู้สึกเหมือนฉันจะมีสามีอยู่คนนึงนะ

เรื่องตัดไปที่สายลับนามว่า วูลฟ์ ที่แม้จะทำภารกิจสำเร็จ และจับตัวคนร้ายได้ แต่เขาก็ตกเหยื่อของการลดกำลังพลเช่นกัน เขาถูกเจ้านายแจ้งข่าวเลิกจ้าง และบอกให้เขากลับไปทำหน้าที่ "ขุนนาง" อย่างที่ควรจะเป็นซะที สำหรับชายผู้ที่ตลอดชีวิตต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า ไม่ใช่คนคนเดียวกับบิดา (ซึ่งทรยศประเทศ) นั่นเป็นยิ่งกว่าคำสั่งประหาร

ในโลกแห่งความเป็นจริง เซ็นต์มีนามว่า โซเฟีย กัลโลเวย์ เธอแต่งงานกับสายลับวูลฟ์ หรือลอร์ดเอเดรียน กัลโลเวย์ ไวส์เคาท์สมิท เป็นเวลาห้าปี แต่ทั้งคู่ไม่เคยรับรู้อีกด้านหนึ่งของกันและกันเลย ทั้งสองคิดว่า ชีวิตแต่งงานราบเรียบ และคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดา ๆ ที่ไม่เคยรู้ว่า มีอะไรน่าตื่นเต้นอยู่ข้างนอกนั่น

โซเฟียคิดว่า สามีเป็นขุนนางน่าเบื่อ ที่วัน ๆ ใช้เวลาไปกับการหาความสุขส่วนตัว เหตุผลเดียวที่เธอแต่งงานกับเขา ก็เพราะเธอคงจะไม่ได้รับเลือกให้ทำงานสายลับในภารกิจที่ใหญ่ขึ้นได้ หากยังเป็นสาวโสด ส่วนเอเดรียนก็คิดว่า ภรรยาเป็นหญิงสาวเชย ๆ รสนิยมบรรลัย ที่แต่งตัวไม่ได้เรื่อง หนูน่าเบื่อที่อยู่บ้านทั้งวัน เหตุผลเดียวที่เขาเลือกเธอ ก็เพราะโซเฟียมีชาติตระกูลที่เหมาะสม และเขาต้องมีทายาทสืบสกุล

ดังนั้นลองคิดดูว่า ทั้งสองคนช็อคแค่ไหนเมื่อเผชิญหน้ากันตามคำสั่งเรียกของนายกรัฐมนตรี ที่เรียกทั้งสายลับเซ็นต์ และวูลฟ์มาเพื่อให้ทำภารกิจสำคัญ ภารกิจในการสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าน้องชายต่างบิดาของนายกรัฐมนตรี ภารกิจที่ถ้าใครสืบพบความจริงก่อน ก็จะได้รับการบรรจุกลับเข้าไปเป็นสายลับอีกครั้ง ตำแหน่งว่างเพียงที่เดียว แต่มีสองคนที่ต้องการมัน

การได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ทำให้โซเฟีย และเอเดรียนมองกันและกันด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกันอย่างแท้จริง แม้ภารกิจจะเป็นการแข่งขันกัน แต่ก็กลายเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อตามหาตัวคนร้าย

แม็กซ์ชอบช่วงต้นเรื่องมาก ๆ นะคะ ออกแนวตลกหัวเราะขำ ๆ ดี แม้จะลอกพล็อตหนังเรื่องดังมา แต่ก็เป็นแค่คอนเซ็ปต์เรื่องเท่านั้น รายละเอียดอย่างอื่นมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองชัดเจนดี ที่สำคัญเราเชื่อในความผูกพัน และการพัฒนาของความรักระหว่างตัวละคร เราเชื่อสนิทใจว่า เอเดรียนยอมรับตัวตนของโซเฟียได้อย่างหมดใจ และเธอคือ ผู้หญิงแบบที่เขาต้องการ

ฉากที่ทั้งสองเทียบรอยแผลเป็นระหว่างกัน ทำให้เรานึกถึงหนังอีกเรื่อง (Lethal Weapon III) ฮาผสมเซ็กซีดีค่ะ

อย่างไรก็ตามเรารู้สึกถึงความไม่ค่อยสม่ำเสมอในพล็อตเรื่องค่ะ โดยเฉพาะในส่วนของภูมิหลังของคาแร็คเตอร์ ที่เรื่อง (สปอยล์) เล่าถึงการแท้งลูกถึงสามครั้งของโซเฟีย ซึ่งเป็นประเด็นที่หนักมากสำหรับลูกผู้หญิงคนนึง ทำให้เรื่องดูขัด ๆ กันไปหน่อย ตอนเปิดเรื่องก็ทำเหมือนเอเดรียนกะโซเฟีย เป็นคนแปลกต่อกันและกัน แต่ภูมิหลังที่ลึกซึ้งก็ทำให้เรื่องถูกดึงไปเข้าใจได้อีกทาง จริง ๆ ไม่ได้มีปัญหากะทั้งสองแนวทางนะคะ เพียงแต่อยากให้คนแต่งเลือกทางใดทางนึงไปเลยดีกว่า

โดยรวมเล่มนี้ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านงานของชานา กาเลนมาค่ะ อาจจะไม่ได้ดีอย่างคิดเป็นไปได้ แต่ก็สนุกใช้ได้

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Review: Vampires Need Not...Apply?


Vampires Need Not...Apply?
Vampires Need Not...Apply? by Mimi Jean Pamfiloff

My rating: 4 of 5 stars



I got this book from GCP via Netgalley in exchange for an honest review.

I hear a lot of good things about the author, Mimi Jean Pamfiloff and actually looking forward to read [b:Accidentally in Love with...A God?|13549824|Accidentally in Love with...A God? (Accidentally Yours, #1)|Mimi Jean Pamfiloff|http://d202m5krfqbpi5.cloudfront.net/books/1344001887s/13549824.jpg|18957870] when it will come out in printed book format in October 2013 (yes, I still one of those people who really prefer to read a physical book). But the opportunity comes and I have chance to read this book first, I decide to take it.

And it is a good decision. Even this is the fourth book in the series, I do not feel lost. I think I get all the good part of the continuing plot perfectly and I actually get the good deal since this book closes some of the major cliffhanger in the previous books. Since I hate the cliffhanger, I think it is easier for me to go back and read the first three books (and a novella) now. The resolution in this book is enough for me.

The first obvious thing I notice in Ms. Pamfiloff's style of writing is humor. She is pretty funny with creative characters. The heroine, Ixtab is the goddess of Suicide. Who can come up with that title (if you are not a very funny person). Due to her power, Ixtab has to be very carefully not to touch anything (human or not) accidentally otherwise she will be a cause of suicide. She makes her first love drink poison. She even kills a cat.

A Cat.

When I laugh at the scene when she search hero's room and "accidentally" touch his cat and make it jump to his death, I feel so guilty. A Cat Has Died. I love cat and consider myself a catperson. I should not laugh but I cannot help myself. I am a terrible person. But it is hilarious.

As mentioned, this is the fourth book in the series. If you begin at this book, the beginning may lost a little bit but I personally think (since I also start at this book as well) it will get better. I do not think the plot is the most important in this book (or this series). It is the characters who lead and among several past hero/heroine who parades into this story, Ixtab and her hero are still shine.

I consider this book is a black comedy (since the cat dies), which may offend some people. But for me, it is counteract with the heroine's inner goodness. Ixtap may do bad things (such as causing the death of an innocence cat) but she does not have any intention to do so. And that's why I can accept her action (and laugh along with the consequences). The only problem I have with the black comedy of this book is Cimil. I do not like her. I do not feel that her action is funny even it is intent to perceive that way. I think she would be the heroine of the next book and that is the most difficult feeling for me. After I finished reading this book, I will definitely purchase the first three book (plus a novella) but I do not know if I want to read about Cimil as a leading lady. I hate her enough as an evil supporting cast.

I would like to recommend this book to a reader who do not take anything seriously. This is a compliment because I think it is much easier to write a serious paranormal but a comedy paranormal with an interesting storyline is very hard to find. This book is one of them.



View all my reviews

Review: Protecting What's His


Protecting What's His
Protecting What's His by Tessa Bailey

My rating: 4 of 5 stars



จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนแนะนำเรื่องนี้ให้เราอ่าน แต่ต้องขอขอบคุณมาก ๆ ค่ะ เพราะสมคำแนะนำจริง ๆ อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงงานเขียนของลินดา โฮเวิร์ดยุครุ่งเรืองขึ้นมาเลย

เรื่องนี้ออกขายเป็นอีบุ๊ค เท่าที่รู้ยังไม่มีพรินต์บุ๊คตามมานะคะ (ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะเราอยากเก็บเป็นตัวเล่มสุด ๆ) เรื่องเริ่มต้นที่แนชวิลล์เมื่อจินเจอร์ พีทพบมารดาของตัวเองเมายานอนสลบอยู่ในบ้าน นั่นไม่ใช่เหตุการณ์ใหม่ หรือน่าตกใจ ตลอดชีวิตเธอพบแม่ทำตัวแบบนี้มาตลอด แต่คราวนี้ข้างกายของวาเลอรีมีเงินสด ๆ อยู่ถึงห้าหมื่นเหรียญ และจากที่จินเจอร์รู้จักมารดา มันไม่ใช่เงินที่หามาได้อย่างถูกต้องนัก

ชั่วแว่บเดียวจินเจอร์ก็ตัดสินใจฉกเงินนั้นไปเป็นของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับวิลลา น้องสาววัยรุ่น ถือว่านั่นเป็นราคาที่มารดาละเลยพวกเธอทั้งสองมาตลอดชีวิต จินเจอร์และน้องสาวย้ายหนีไปชิคาโก้

แต่อพาทเม้นต์ที่สองพี่น้องเช่ากลับอยู่ห้องตรงข้ามกับผู้หมวดตำรวจหน่วยสืบคดีฆาตกรรมของเมืองชิคาโก้น่ะสิ เพียงครั้งแรกที่เจอกันปฏิกริยาเคมีก็พุ่งพรวด เรียกว่ารู้สึกเหมือนเรา (ซึ่งเป็นคนอ่าน) ถูกเครื่องอีรีดเดอร์ดูดเลยล่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างจินเจอร์และเดเรคให้ความรู้สึกเหมือนงานของลินดา โฮเวิร์ดอย่างยิ่ง แต่การบอกว่าเหมือนไม่ใช่ว่างานของเทสสา ไบลลีย์ไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองนะคะ จากข้อมูลที่ค้นมา นี่คือหนังสือเล่มแรกของเธอ และเรายกย่องฝีมือการเขียนของเธอมาก ๆ

พล็อตเรื่องไม่ได้ถึงกับสร้างสรร แต่เขียนให้ความรู้สึกของเรื่องแนวโรแมนซ์ได้ชัดเจน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนางเอกเด่นชัด เคมีระหว่างกันร้อนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็น่าเชื่อถึงความผูกพันที่ก่อตัวขึ้น นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกสมัยใหม่ จินเจอร์เป็นสาวน้อยวัยยี่สิบต้น ๆ เธอก็ทำตัวตามอายุ กระทั่งน้องสาวของเธอ วิลลาก็มีความเป็นเด็กวัยทีนชัดเจน ตัวละครในเรื่องดูเป็นมนุษย์จริง ๆ

จุดเด่นที่เราได้ยินจากหลายคนของเรื่องนี้ก็คือ การที่พระเอกพูดคำหยาบเวลาเกิดอารมณ์ ซึ่งสำหรับนักอ่านหลายคน (รวมทั้งเราด้วย) ถือว่าเป็นความเซ็กซี่อย่างยิ่ง ตรงจุดนี้เราไม่ถึงกับรู้สึกว่าเดเรคปากเสียอะไรมากมายนะคะ มีบ้างแหละ แต่ไม่มากอย่างที่คาดหวัง (จากที่ได้คนอื่นพูดถึงประเด็นนี้กันในอินเตอร์เน็ต)

อ่านจบแล้วกลายเป็นแฟนผลงานของเทสสา ไบลลีย์ไปเลยค่ะ คะแนนที่ 77



View all my reviews

Monday, September 16, 2013

Review: The Five Deaths of Roxanne Love


The Five Deaths of Roxanne Love
The Five Deaths of Roxanne Love by Erin Quinn

My rating: 3 of 5 stars



ก่อนเริ่มอ่านเราคิดว่า พล็อตของเรื่องนี้น่าสนใจมากที่สุดเรื่องนึงในรอบปี เรื่องราวของร็อคแซนด์ เลิฟ หญิงสาวผู้ที่ตายไปแล้วหลายครั้ง แต่เธอฟื้นคืนชีพกลับมาทุกครั้ง ความสามารถในการหลีกหนีความตายของร็อคแซนด์สร้างความไม่พอใจให้กับยมทูตตนนึงอย่างยิ่ง เพราะเขารอคอยวิญญาณของเธอมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยรั้งวิญญาณเธอไว้กับเขาได้เลย ความหงุดหงิดมีมากพอที่จะทำให้ยมทูตฝืนกฎและเดินผ่านประตูที่กั้นระหว่างพวกเขา มายังโลกมนุษย์ เข้าครอบครองร่างของมนุษย์ที่กำลังจะตาย ยมทูตตั้งใจว่า จะค้นหาความลับของร็อคแซนด์ อะไรที่ทำให้เธอไม่ตาย เพื่อที่เขาจะได้เอาเก็บวิญญาณของเธอไปสักที

เห็นพล็อตแล้ว เรารีบหยิบมาอ่านเลยค่ะ เพราะอยากรู้ (เหมือนยมทูต) ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้นางเอกของเราไม่ตาย แต่พอเริ่มอ่านคงต้องบอกว่า สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองก็คือ Meet Joe Black อ่านต่อไปอีกหน่อยก็ได้ความรู้สึกของ City of Angels ตามมาอีก เรื่องดูจะเน้นไปที่ความเริ่มมีความรู้สึกของยมทูตที่บัดนี้ได้กลายเป็นซานโต้ คาสติโย (ชายคนที่ยมทูตเข้าไปยึดครองร่างเพื่อทำให้มีตัวตนบนโลกมนุษย์) มากกว่าการค้นหาความลึกลับของการไม่ตายของร็อคแซนด์

เราจึงผิดหวังหน่อย ๆ แต่พออ่าน ๆ ไป และเริ่มปรับตัวกับทิศทางของเรื่องได้ ก็เริ่มอินไปกับเรื่องค่ะ

นอกจากร็อคแซนด์ที่สามารถหลบหนีความตายได้ ก็ยังมีรีซ พี่ชายฝาแฝดของเธอที่ทำได้เช่นเดียวกัน อันที่จริงความตายทั้งสี่ครั้งของร็อคแซนด์ ทุกครั้งเธอและรีซตายไปเกือบจะพร้อมกัน และฟื้นขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แต่รีซแตกต่างจากร็อคแซนด์ เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรี๊ดร้อง ในขณะที่เธอได้พบกับ "เพื่อน" ในความมืดหลังความตาย ในขณะที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ในร้านอาหารของครอบครัว โจรบุกเข้ามาปล้นฆ่ารีซ และร็อคแซนด์ ซานโต้ซึ่งรออยู่ที่นั่น (เพื่อหาโอกาสค้นหาความจริงว่า ทำไมร็อคแซนด์จึงไม่ตาย) จึงเข้าไปพัวพันมากกว่าที่เขาคาดหวังไว้ นั่นเพราะโจรไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นปีศาจที่ด้วยเหตุผลบางอย่างสามารถหลบหนีออกมาจากนรกได้

ด้วยสัญชาตญาณซานโต้ลืมภารกิจที่ตัวเองคิดว่าจะทำ กระโดดเข้าไปช่วยร็อคแซนด์ (ที่ตอนนี้ยังตายอยู่) จากเงื้อมมือปีศาจ และพาเธอหนีออกไป แล้วก็กลายเป็น "เทวทูต" ผู้คุ้มครองเธอในเวลาต่อมา

โฟกัสของเรื่องนี้แตกต่างจากที่เราคาดหวังก่อนอ่าน และแม้ธีมเรื่องจะให้กลิ่นของ Meet Joe Black อย่างยิ่ง แต่ก็ถือว่าอ่านได้สนุกนะคะ เพราะเราต้องการรู้ความจริงว่า อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับร็อคแซนด์ และรีซ อะไรทำให้พวกเขาไม่ตาย ซึ่งเมื่อเปิดเผยออกต้องบอกว่าเหนือคาด นั่นก็คือ ร็อคแซนด์กลับมาจากความตาย เพราะยมทูตของเธอ (หรือซานโต้) ปล่อยเธอกลับมานั่นเอง และร็อคแซนด์ก็คือคนที่รั้งตัวรีซเอาไว้

สิ่งที่เราชอบมากในเรื่องนี้ก็คือ การทำให้เราคิด คนแต่งไม่ได้ใช้วิธีบอกกล่าวตรงไปตรงมา เราไม่แน่ใจว่า คนอื่นจะรู้สึกรำคาญไหมนะคะ หรือคนอ่านคนอื่นจะได้ข้อสรุปแบบเดียวกับที่เราได้ไหม แต่การอ่านเล่มนี้ทำให้เราใช้สมองจินตนาการ และตีความตามความเข้าใจของเราเอง น่าแปลกเหมือนกันว่า มีหลายอย่างที่เล่มนี้ไม่ได้ให้ข้อสรุปเอาไว้ อย่างเช่น การที่ความตายของรีซเป็นการเปิดประตูนรก ในขณะที่ความตายของร็อคแซนด์เป็นการปิดประตู ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่เรากลับไม่หงุดหงิดนะ

ช่วงท้ายเรื่องเรารู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่องมาก ฉากที่เศร้าเรารู้สึกลึกไปถึงข้างในเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์นั้น ไม่รู้นะคะว่าทำไมการเขียนของคนแต่งคนนี้ถึงได้จับใจเรามากขนาดนี้ ทั้งที่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับบีบคั้นอะไรรุนแรง (คือมีเรื่องอื่นที่ฉากดูรุนแรงกว่า แต่เรากลับไม่รู้สึกมากขึ้นขนาดนี้)

เรื่องนี้ให้คะแนนยาก ในเวลาที่อ่านเรารู้สึกเหมือนสัมผัสแก่นของเรื่องได้ และอินไปกับเนื้อเรื่องมาก ๆ แต่ตอนทีนั่งเขียนรีวิวตอนนี้ แล้วนึกถึงเนื้อเรื่อง เรากลับไม่รู้สึกว่า มีอะไรที่พิเศษเพียงพอ (เราเขียนไปก็ยังงงตัวเองไปค่ะ)

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Review: The New Kid


The New Kid
The New Kid by Eileen Wilks

My rating: 5 of 5 stars



เรื่องสั้นนี้แจกให้อ่านฟรีในเว็บไซด์ของผู้เขียนนะคะ เป็นเรื่องสั้น ๆ หนาแค่ 13 หน้า (A4) แต่น่ารักมาก ๆ และถือว่า พลาดไม่ได้สำหรับคนที่เป็นแฟนหนังสือชุด The World of Lupi เพราะเรื่องนี้นำคนอ่านกลับไปในอดีตสมัยที่รูลยังอายุแค่สิบหกปี และเป็นเด็กชายคนนึง ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองต่อบิดา (และหัวหน้าเผ่า) ว่า ตัวเองสามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วยการไปโรงเรียนมัธยมได้

ที่มากไปกว่านั้น เราชอบการเขียนเรื่องเด็กวัยรุ่นของเอลีน วิลค์สมากเลยค่ะ นึกอยากให้เธอเขียนต่อเป็นเล่ม เรื่องคงจะน่าสนใจน่าดู



View all my reviews

Review: Ritual Magic


Ritual Magic
Ritual Magic by Eileen Wilks

My rating: 3 of 5 stars



นี่เป็นหนังสืออีกชุดแนวพารานอมอลโรแมนซ์ที่เราติดตามอ่านอย่างจงรักภักดี เรียกได้ว่า พอเล่มใหม่ในชุดออกวางขาย เราก็กระโดดเข้าใส่ รีบอ่านจนจบเกือบจะในทันที และเป็นเพราะความคงเส้นคงวาของหนังสือชุดนี้ที่ทำให้เรามั่นใจว่า จะได้เรื่องที่สนุกสมกับที่รอคอยเล่มล่าสุดในชุดมาเกือบปี

ไม่รู้ว่า เป็นเพราะความมั่นใจแบบนี้รึเปล่านะคะ เลยทำให้เรารู้สึกว่า เล่มนี้ "ด้อย" กว่าเล่มอื่นในชุด โดยเฉพาะในช่วงสี่ห้าเล่มที่ผ่านมา มาตรฐานของเล่มนี้ไม่ได้แย่นะคะ โดยตัวของมันเองอ่านได้สนุกมาก แต่อาจเพราะเรื่องนี้มีศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์เยอะมาก ทำให้เราปวดหัวไม่น้อยในการพยายามทำความเข้าใจ กระนั้นเล่มนี้ก็คือว่า เป็นส่วนหนึ่งของชุดที่สนุกมาก และเราคงติดตามอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ

ในงานเลี้ยงวันเกิดของจูเลีย หยู มารดาของลิลลี นางเอกของเรื่อง บางอย่างเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ไม่มีใครเข้าใจ หรือแก้ไขมันได้ เพราะจู่ ๆ จูเลียก็สูญเสียความทรงจำ เธอลืมเลือนอดีต สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ ก็คืองานวันเกิดอายุครบสิบสองของตัวเอง ดังนั้นแน่นอนว่าจูเลียไม่รู้ว่า ตัวเองเติบโตขึ้น แต่งงาน มีลูก ทุกอย่างในชีวิตของเธอตอนนี้คือ สิ่งที่เธอไม่รู้จัก สามีคือคนแปลกหน้า ลูกสาวก็เป็นแค่เอฟบีไอที่จะช่วยสืบว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่

สิ่งที่เกิดกับมารดาทำให้ลิลลีแทบไม่อาจรับมือได้ไหว ครั้งนี้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นใกล้ตัวเกินไป และเธอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า ศัตรูอันดับหนึ่งของตัวเองคือต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อยิ่งสืบลึกลงไป ลิลลี่ก็พบว่า มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นยิ่งนัก

ความรู้สึกของเราที่มีต่อเล่มนี้คล้าย ๆ กับตอนที่เราอ่านเรื่อง Night Seasons ค่ะ นั่นคือศัพท์เทคนิคเยอะเกินไปหมด จนทำลายความสนุกของเรื่อง จริง ๆ ในส่วนของพล็อตก็น่าติดตามมาก เพราะเราเองก็อยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับจูเลียกันแน่ แต่คำอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (โดยเฉพาะตอนที่แซมคุยกับลิลลี) ทำให้เราปวดหัวไปเลยค่ะ เราอ่านเล่มนี้แล้วก็ปลงตกค่ะว่า เราคงไม่เหมาะที่จะอ่านเรื่องแนวแฟนตาซีแน่ ๆ

แต่หลังจากที่ผ่านช่วงต้นเรื่อง (และคำอธิบายเกี่ยวกับเวทมนตร์ด้วยภาษาประหลาด ๆ ที่เราไม่อยากทำความเข้าใจ) เรื่องก็เริ่มเข้มข้นขึ้น และน่าติดตามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะฉากที่คนร้ายส่งสัตว์ประหลาดในตำนานออกมาตามล่าคนในเผ่านิโคไลยอ่านแล้วสนุกมาก การตัดฉากระหว่างลิลลี, รูล, เบเนดิกส์, และไอเซน ทำให้เราลุ้นระทึกตลอดเวลา

ความสัมพันธ์ระหว่างรูลและลิลลีก็ยังคงเป็นไฮไลท์ของเรื่องนี้สำหรับเรา เราชอบตัวละครสองคนนี้มาก ๆ ทั้งคู่เหมาะสมลงตัว นอกจากนี้การได้เห็นเบเนดิกส์ในบทบาทของพ่อผู้เป็นห่วงลูกสาว (วัยสี่สิบกว่าปี) ก็น่าสนใจ และทำให้เราเห็นอีกด้านนึงของเขา

โดยรวมเราไม่รู้สึกว่า เล่มนี้มีพล็อตก้าวหน้าไปเท่าไหรในโครงสร้างของเรื่องในชุดโดยรวม และคงไม่ใช่เล่มที่เราชอบมากที่สุดในชุด แต่เราก็ไม่เสียใจที่อ่าน หรือผิดหวัง ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอเล่มต่อไปในชุดอยู่ค่ะ

คะแนนที่ 67




View all my reviews

Review: Blood Lines


Blood Lines
Blood Lines by Eileen Wilks

My rating: 0 of 5 stars



นี่เป็นหนังสือเล่มที่สามในชุด The World of Lupi ของอีลีน วิลค์ส หนังสือชุดที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องสั้นที่ชื่อ Only Human (ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่ดีที่สุดที่แม็กซ์โชคดีได้อ่านมา) จากเรื่องสั้นถูกนำมาเขียนขยาย (และดัดแปลง) จนกลายเป็นเรื่องยาวที่ชื่อ Tempting Danger (เรื่องยาวที่เสน่ห์เทียบเท่าเรื่องสั้นไม่ได้เลย) แต่ก็ยังมีคุณภาพมากพอในเราติดตามอ่านตอนต่อไปได้

เรื่องราวการผจญภัยของคู่ต่างอย่างลิลลี่ หยู สาวอเมริกันเชื้อสายอดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นเอฟบีไอ กับรูล เทอร์เนอร์ทายาทของตระกูลหมาป่าชื่อดังที่โชคชะตาผูกทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสองเจอกันและเกือบจะตกหลุมรักกันใน Tempting Danger และยอมรับความรักที่มีให้กันใน Mortal Danger กลับมาแล้วกับเรื่อง Bloodline คราวนี้การผจญภัยขยายขอบเขตไปไกลขึ้น ประเด็นความรักไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว (ก็รักกันไปแล้วในเล่มก่อน)

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้มาก่อน แม็กซ์เล่าเรื่องคร่าว ๆ แล้วกันนะคะ ใน Tempting Danger มีการตายอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์หมาป่าเกิดขึ้น ลิลลี่ หยูตำรวจเจ้าของคดีตามร่องรอยไปจนนำไปถึงรูล เทอร์เนอร์ ผู้ซึ่งเป็นลูนันซิโอหรือทายาทแห่งเผ่าหมาป่าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เขาเป็นภาพลักษณ์ของชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ คนที่เป็นฉากหน้าแสดงให้โลกเห็นว่ามนุษย์หมาป่าไม่ได้มีอันตรายใดใดเลยกะมนุษย์ เมื่อจบเล่มหลังจากการแก้ปริศนาฆาตกรรม ลิลลี่ก็พบว่าตัวเองเป็นคู่ชีวิตของรูลด้วยการลิขิตของโชคชะตา เล่มนี้ถ้าแม็กซ์ไม่เคยอ่าน Only Human มาก่อน ก็คงจะบอกว่าสนุกมาก แต่เพราะมีตัวอย่างเปรียบเทียบแล้ว เรื่องนี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องที่อ่านได้เท่านั้น เพราะการหาหนังสือมาเทียบเคียง Only Human นี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย

ใน Mortal Danger การผจญภัยนำลิลลี่และรูลไปยังโลกแห่งปีศาจ เล่มนี้มั่วค่ะ บอกได้คำเดียว อ่านแล้วทั้งงงทั้งมึน เรื่องไม่สนุก ไม่น่าอ่าน แต่ก้ออ่านเพราะติดตามมาแล้วนี่คะ แม็กซ์ไม่ชอบพล็อตเรื่องที่นางเอกถูกแยกออกเป็นสองร่าง ที่สำคัญไม่ชอบที่รูลต้องอยู่ในร่างของหมาตลอดทั้งเล่ม คนแต่งไม่รู้หรือไงว่าแฟนหนังสือเกินครึ่งอ่านชุดนี้เพราะความเท่ห์ของรูล หมามันน่ารัก แต่มันไม่มีเสน่ห์หรอกนะ

แล้วก็มาถึงเล่มนี้ ด้วยความผิดหวังจากเล่มสอง แม็กซ์จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ดังนั้นโอกาสสมหวังจึงเพิ่มมากขึ้น และก็เป็นจริงค่ะ เล่มนี้สนุก(เพราะรูลไม่ได้เป็นหมาทั้งเรื่อง) ความโรแมนซ์อาจจะไม่ได้เต็มที่นัก เพราะผจญภัยกันทั้งเรื่อง แต่ก็น่าติดตาม เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยการตามล่าสังหารบรรดาทายาทของตระกูลมนุษย์หมาป่า ซึ่งรูลก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกลอบทำร้าย เขาโชคดีกว่าคนอื่นที่รอดตาย แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ ที่แปลก็คือ แผลนั้นไม่ยอมหาย ทั้งที่เขาเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีอัตราก็เยียวยาตัวเองเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่แผลที่ได้รับจากปีศาจที่ตามฆ่าเขา กลับไม่หาย

ในเล่มนี้ตัวเอกยังคงเป็นลิลลี่ และรูลอยู่ ที่ดูจากธีมเรื่องแล้ว คาดว่าอีกไม่นานเรื่องราวคงจะเปลี่ยนตัวเอกไปเป็นตัวละครอีกคู่หนึ่ง มนุษย์หมาป่าที่เต้นรำเปลื้องผ้าเป็นอาชีพ กับแม่มดเอฟบีไอสาว นั่นก็คงเป็นเพราะเรื่องราวของลิลลี่ และรูลดูจะลงตัวและใกล้จบลงเต็มที่ ตัวละครใหม่ ๆ ถูกแนะนำเข้ามาในเรื่อง

แม็กซ์คงไม่แนะนำเรื่องนี้ให้กับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้มาก่อน เพราะคาดว่าคงงงกันเป็นแถวแน่ แต่สำหรับคนที่อยากลองอ่านพารานอมอลดีดีที่ไม่เน้นเซ็กส์ เรื่องชุดนี้ของอีลีนถือเป็นชุดที่น่าติดตาม หรือถ้าไม่อยากอ่านหนังสือชุด อย่างน้อยก็ควรจะหาเรื่อง Only Human มาอ่านนะคะ นี่เป็นเรื่องสั้นที่สนุกมากเล่มหนึ่งที่แม็กซ์ได้อ่านมาในชีวิต



View all my reviews

Review: Burn


Burn
Burn by Maya Banks

My rating: 2 of 5 stars



เป็นอีกเรื่องนึงค่ะที่เราโทษตัวเองมากกว่าโทษคนแต่ง เราคิดว่า ตัวเองคาดหวังมากเกินไป (จากสไตล์การเขียนของคนแต่ง ซึ่งเธอไม่ได้เขียนเรื่องแนวที่เราอยากอ่าน) เราผิดหวังกับเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวไม่ได้ออกมาแบบที่เราคิดว่า ควรจะเป็น แต่นั่นก็คือความผิดของเราเอง มายา แบงค์สมีสไตล์การเขียน และคาแร็คเตอร์ของตัวเอง และเรื่องที่เราคาดหวัง ก็ไม่ใช่เรื่องแบบที่เธอแต่ง (ไม่ใช่ว่า คนแต่งไม่ดีนะคะ แต่เราคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากกว่า)

ในบรรดาพระเอกสามคนในเรื่องชุดนี้ เราคิดว่า แอชเป็นคาแร็คเตอร์ที่น่าสนใจที่สุด นั่นทำให้เราคาดหวังเหลือเกินว่า เล่มนี้จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชุด แต่พออ่านจริงก็ต้องผิดหวัง ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าที่เราเห็นในตัวแอช ความน่าสนใจของเขาก็ยังคงมีอยู่นะคะ แต่มันคือเท่าเดิม เราคิดว่า ในเล่มของเขาเราจะได้พบอะไรเกี่ยวกับตัวเขาที่เรายังไม่รู้ ที่จะทำให้เขาดูมีมิติมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่พอเอาเข้าจริงสิ่งที่เห็น (จากเล่มก่อนหน้า) ก็คือตัวเขา ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

แอชมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตและสร้างตัวเองตามลำพัง โดยไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากครอบครัว เพราะราคาที่เขาต้องจ่ายแพงเกินไป นั่นทำให้เขามีอิสระจากครอบครัว เราเห็นประเด็นนี้มาตั้งแต่เล่มแรก และคิดว่า มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น มีความลับอะไรซ่อนอยู่อีก แต่มันก็แค่นั้น

ในแง่นึงเล่มนี้ช่างเหมือนเล่มก่อนหน้า (Fever เล่มสองในชุด) เพราะเมื่อพระเอกได้พบนางเอก เธอก็ครอบครองความคิด ความรู้สึก ความถวิลหาของเขาทั้งหมด และแอชก็เหมือนเจซ (พระเอกเล่มสอง) ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้นางเอกมาครอบครอง จนเข้าขั้นหมกมุ่น คลั่งไคล้ และที่ยิ่งไปกว่า สไตล์การใช้ชีวิตทางเพศของแอชก็เหมือนเจซไปอีก เพราะเขาต้องการให้โจซียอมทำตามความต้องการของเขาทุกอย่างตลอดเวลา

เราซึ่งอ่านสองเล่มนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงรู้สึกเหมือนการดูเทปซ้ำน่ะค่ะ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อพระเอกนางเอก แต่ส่วนอื่นโดยเฉพาะความสัมพันธ์ของพระนางเหมือนกันไปหมด

ข้อดีของเล่มนี้ก็คือ การช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ของโจซีมีน้อยกว่าเบทธานี ทำให้เราไม่เกิดความรู้สึกอึดอัดเวลาอ่านเท่าไหรนัก กระนั้นก็ใช่ว่าเธอจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เพราะเงินที่เธอได้มา ก็มาจากการที่แอชซื้อผลงานศิลปะของเธอ (ซึ่งทำให้เราคิดต่อไปว่า นางเอกก็ไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไร เพราะก่อนจะเจอพระเอกก็ขายผลงานไม่ได้ ต้องเอาสมบัติเก่าไปจำนำ แล้วทำให้นึกต่อไปถึงบรรดาพระเอกที่หลงรักงานศิลปะของนางเอก แล้วกว้านซื้อไว้เองจนหมด ช่างทำลายโอกาสของนางเอกเสียจริง เล่นซื้อเก็บคนเดียว นางเอกจะเป็นศิลปินที่โด่งดังได้ยังไง)

โดยสรุปเราคิดว่า เป็นตัวเราเองค่ะที่ผิด เราอาจจะไม่ถูกกับสไตล์เรื่อง และนางเอกของมายา แบงค์สเท่าไหรนัก

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Fever


Fever
Fever by Maya Banks

My rating: 2 of 5 stars



เราค่อนข้างโอเคกับเล่มแรกในชุดนะคะ ไม่ถึงขนาดชอบมาก หรือคิดว่า เป็นงานที่ดีที่สุดของมายา แบงค์ส แต่ก็ถือว่า เป็นการขึ้นต้นชุดได้น่าสนใจ และทำให้เรามีความหวังกับสองเล่มที่เหลือในชุด โดยเฉพาะในเล่มแรกเราเห็นคาแร็คเตอร์ของพระเอกในอนาคตแล้ว ดูก็น่าสนใจไม่น้อย

แต่เล่มนี้กลายเป็นความผิดหวังของเราค่ะ ไม่ได้เลวร้ายนะคะ แต่เราคาดหวังอะไรที่มากกว่านี้ อันที่จริงแล้ว เล่มนี้ถือได้ว่า เป็นงานที่เป็นเอกลักษณ์ของมายา แบงค์สเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากไปนั่งคิดดู เธอเขียนเรื่องแนวที่นางเอกเป็นแบบนี้เยอะมาก

ไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับนางเอกของมายา แบงค์สหรอกนะคะ เราคงต้องบอกว่า ก็แค่ลักษณะนางเอกแบบของเธอ ไม่ใช่ลักษณะที่เราชอบในนางเอกของเรื่องที่เราอยากอ่าน มันก็แค่นั้น รสนิยมไม่ต้องตรงกัน

เจซ หนึ่งในสามมหาเศรษฐี หุ้นส่วนของโรงแรมระดับหรูรวยล้นฟ้า ได้พบกับบริกรสาวที่มาเสริฟอาหารในงานเลี้ยงงานหนึ่งที่เขาไปร่วม เพียงแว่บแรกเจซก็สนใจสาวลึกลับคนนั้น แต่กลับกลายเป็นแอช เพื่อนสนิทของเขาที่สังเกตเห็น และแอชเห็นความสนใจที่เจซมีให้ จึงไปหาเธอคนนั้นพร้อมทั้งยื่นข้อเสนอความสัมพันธ์ชั่วคืนเดียว แบบที่พวกเขาทั้งสองคนชอบมีกับหญิงสาวทั่วไป เพราะสำหรับแอช ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นแค่ผู้หญิงอีกคนที่เป็นของเล่นบนเตียงของพวกเขา

แต่สำหรับเจซมันมากกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่ำคืนแห่งความร้อนแรงได้ผ่านพ้นไป และเธอหายไปจากชีวิตของพวกเขา เจซทำทุกอย่างเพื่อติดตามร่องรอยของสาวผู้นั้น และเรื่องที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับเธอก็ช่างน่าตกใจยิ่งนัก

เบทธานีกำลังจนตรอก เธอไม่มีกระทั่งบ้านจะอยู่ด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาที่เธอได้รับข้อเสนอจากแอช มันก็แค่แลกเซ็กส์กับอาหารอีกมื้อนึง แต่เธอไม่คาดว่า เจซจะทำให้เธอรู้สึกได้มากถึงเพียงนี้ ความรู้สึกนั้นทำให้เธอรีบจากไปก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นและพบสภาพเธอในความเป็นจริง

ดังนั้นเบทธานีจึงแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่า เจซออกตามหาเธอ และเมื่อเขาได้พบ ก็เหมือนเรื่อง Pretty Woman ที่เขาพาเธอเข้าไปสู่ชีวิตอันหรูหรา การดูแลอย่างที่ตลอดชีวิตเบทธานีไม่เคยได้รับ และเมื่อความสัมพันธ์แนว BDSM ที่เจซเรียกร้องให้เบทต้องยอมทำตามความต้องการของเขาทุกอย่างตลอดเวลา (ไม่ได้เฉพาะในห้องนอน) ก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการ หญิงสาวจึงปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ได้ไม่ยาก

เรื่องนี้ร้อนแรงสมกับที่เป็นเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์นะคะ แต่เราอึดอัดกับความสัมพันธ์ระหว่างเจซ และเบทธานี การเขียนของมายา แบงค์สดีพอจะทำให้เราเชื่อว่า นางเอกไม่ได้เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับพระเอกเพราะเงินของเขา เราเชื่อว่าเธอรักเขาจริง และเงินไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่สถานการณ์ในชีวิตของเบทธานีทำให้เรารู้สึกว่า เธอช่างช่วยตัวเองไม่ได้เลย ทำให้เราคิดว่า ถ้าเจซไม่โผล่เข้าไปในชีวิตของเธอ เบทธานีจะมีชีวิตอย่างไร มันเป็นความรู้สึกอึดอัด อาจจะเพราะเราชอบที่จะอ่านคาแร็คเตอร์ของนางเอกที่ยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ เรื่องนี้มันดูเหมือนเบทธานีล้มเหลวมาตลอดชีวิต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย รอคอยเวลาเพียงเพื่อจะได้เจอกับเจ้าชายในฝันอย่างเจซเท่านั้น

กระนั้นเราคงต้องบอกว่า การเขียนของมายา แบงค์สชัดเจนดีพอ และนี่เป็นสไตล์นางเอกของเธอ ดูเปราะบาง แต่มีความเข้มแข็งภายใน เรามองเห็นความเข้มแข็งอันนี้ของเบทธานีนะคะ แต่ พูดไม่ถูกค่ะ เราอึดอัดกับสถานะที่แตกต่างกันทางการเงิน ทางสังคม และทุก ๆ อย่างระหว่างเจซ และเบทธานี

ซึ่งอย่างที่บอกไป เราอ่านงานของมายา แบงค์สมาเยอะนะคะ แต่เล่มนี้ทำให้เราประจักษ์ในที่สุดว่า ทำไมเธอซึ่งถือว่า เป็นนักเขียนที่มีคนอ่านติดตามมากมาย (รวมทั้งเราด้วย) แต่กลับแทบไม่มีเล่มไหนของเธอที่เรายกให้เป็นเรื่องสุดยอด ชนิดที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนอ่าน คงเป็นเพราะความรู้สึกอึดอัดที่เรามีต่อสถานภาพของนางเอกที่หลายครั้งต้อยต่ำมากเมื่อเทียบกับพระเอก เราไม่ชอบเรื่องแนวนี้

เราไม่โทษคนแต่งนะคะ เราเลือกที่จะหยิบงานของเธอมาอ่าน เราควรทำใจยอมรับกับนางเอกสไตล์นี้ของเธอได้มากกว่านี้

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Sunday, September 15, 2013

Review: Everything for Us


Everything for Us
Everything for Us by M. Leighton

My rating: 4 of 5 stars



ต้องเตือนอีกเช่นเดิมค่ะ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเล่มหนึ่งในชุด Down to You หรือไม่อยากโดนสปอยล์เหตุการณ์ในเล่มสอง Up to Me กรุณาอย่าอ่านรีวิวนะคะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์ และเราคงจะต้องสปอยล์ เพราะถ้าไม่สปอยล์ เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำไมเราถึงได้ชอบเรื่องนี้มากขนาดนี้

เหมือนอย่างที่สองเล่มแรกไม่ค่อยเวิร์คสำหรับเรา เพราะเราไม่ชอบโอลิเวีย นางเอกของสองเล่มแรก เล่มนี้เวิร์คสำหรับเรามาก ๆ เพราะเราชอบทั้งพระเอกและนางเอกในเรื่อง แม้ว่าพล็อตจะต้องบอกว่าล้มเหลวนะคะ (เหมือนเล่มสองที่ดูไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง) แต่ด้วยคาแร็คเตอร์ที่โดนใจเรา ก็ทำให้เราให้อภัยได้ทุกอย่าง เหมือนอย่างที่เคยเขียนไปนะคะ เรารู้ตัวเลยว่า เราให้คะแนนหนังสือเล่มนี้ตามฮอร์โมนขึ้นลง เวลาชอบก็ชอบมากเกินจริง (คือเรารู้เลยค่ะว่า ชอบเล่มนี้มากกว่าที่มันเป็น) หรือไม่ชอบก็ลงเหวรวดเร็ว (ทั้งที่เล่มหนึ่งและสองก็มีบางอย่างที่ดีและน่าสนใจ แต่ความไม่ชอบนางเอกบังตา อะไรก็เลยดูไม่ดีไปหมด)

ขอเตือนอีกครั้งหนึ่ง เรากำลังจะสปอยล์สองเล่มแรกแหลกรานเลยนะคะ

หลังจากที่ถูกช่วยเหลือมาจากการถูกลักพาตัวโดยมาเฟีย มาริสา ทาวน์เซนด์ก็เปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์เฉียดตายที่ในที่สุดก็ทำให้เธอตาสว่างกับทางเลือกการใช้ชีวิตของตัวเอง ตลอดชีวิตเธอเป็นลูกสาวของพ่อ ทำตามทุกอย่างที่บิดาบงการ เรียนกฎหมายเพราะท่านสั่ง คบเพื่อนที่เหมาะสมกับสถานะทางสังคม เลือกแฟนที่เป็นคนที่พ่อวางแผนจะให้สืบทอดอาณาจักร แต่วันนึงเมื่อชีวิตอยู่ในอันตราย มาริสาพบว่า ไม่มีอะไรสำคัญเลย เธอลืมตาขึ้นและพบว่า ทั้งชีวิตของเธอคือความว่างเปล่า

เธอมีอาชีพที่ฉากนอกดูประสบความสำเร็จ แต่ภายในเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดของพ่อ เธอมีแฟนที่เหมาะสม แต่เขามองเห็น "ความกลวง" ภายในตัวเธอ และหันไปหาญาติสนิทที่มาริสาดูถูกมาตลอดชีวิต แล้วเพื่อน ๆ ของเธออีกล่ะ มีใครที่จริงใจกับเธอบ้าง ท้ายที่สุดเธอไม่มีใครเลยที่ยืนเคียงข้างเธออย่างแท้จริง ทั้งหมดนั่นทำให้มาริสาทบทวนการใช้ชีวิต และตัดสินใจเปลี่ยนแปลง

คาแร็คเตอร์ของมาริสาอาจจะดูเหลือเชื่อสำหรับใครหลายคนนะคะ โดยเฉพาะคนทีอ่านเล่มแรกแล้วเห็นความร้ายกาจที่เธอมีต่อโอลิเวีย อาจจะเพราะเราไม่ชอบโอลิเวีย ก็เลยไม่ได้ทำให้เกลียดมาริสา แม้เธอจะร้ายต่อนางเอก (ในสองเล่มแรก) มากมายแบบนี้ มากไปกว่านั้น เรายอมรับความเปลี่ยนแปลงของมาริสาได้ เพราะเราเคยผ่านสิ่งเดียวกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างที่มาริสาเจอ แต่เราเชื่อว่า เหตุการณ์บางอย่าง ในบางช่วงเวลาในชีวิต สามารถทำให้คนเราทบทวนทางเลือกในการใช้ชีวิตได้ และทำให้มนุษย์คนนึงเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตได้ เราเคยทำมาแล้ว และเราไม่ใช่คนคนเดิมที่เราเป็นในวันก่อนหน้าก่อนที่เราจะตัดสินใจเปลี่ยน ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมาริสามากพอที่จะทำให้เธอเปลี่ยนได้

แล้วก็มาถึงพระเอก ตั้งแต่วินาทีแรกที่แนช ดาเวนพอร์ตปรากฎตัวขึ้นบนหน้ากระดาษ (ใน Up to Me) เขาก็บดบังรัศมีทุกอย่าง ก่อนหน้านั้นเราก็เห็นว่า แคช (พระเอกในสองเล่มแรก) ดูน่าสนใจ แต่เมื่อแนชปรากฎตัวขึ้น เขาคือคนที่ทำให้เรามีแรงอ่านเรื่อง Up to me จนจบ ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เรารู้ว่า เล่มต่อไป (ก็คือเล่มนี้) จะเป็นเรื่องของเขา และเราอยากรู้จักแนชอย่างมาก

เด็กชายวัยสิบแปดปีที่เห็นแม่ตัวเองโดนฆ่าตายต่อหน้า เด็กชายผู้มีความฝัน มีแผนการในการใช้ชีวิต และทำทุกอย่างตามกรอบ แนชพบว่าตัวเองต้องละทิ้งความเชื่อทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด พ่อปกป้องเขาด้วยการส่งเขาไปหาเพื่อน คนที่ส่งเขาไปใช้ชีวิตในนรก อาจจะไม่ได้เป็นความจงใจ แต่แนชต้องกลายเป็นคนที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็น หรือไม่มีวันจะเป็น หากเรื่องเลวร้ายทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้น

แต่มันเกิดขึ้น และแนชต้องใช้เวลาเจ็ดปีต่อมา มองดูน้องชายใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นของเขา อยู่กับผู้หญิงที่ควรจะเป็นของเขา แต่บัดนี้แนชกลับมาแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้อีกต่อไปว่า เขาเป็นใครกันแน่

เราพบว่า ตัวเองสามารถสื่อถึงตัวตนของแนชได้มากกว่าแคช เราเข้าใจความดำมืดในใจของเขา เราเข้าใจความสับสนที่เกิดขึ้น และรู้ว่าอะไรดึงดูดเขาเข้าหามาริสา การจับคู่ตัวละครสองตัวนี้ถือว่าลงตัวมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อมาริสาเปลี่ยนแปลง และแนชเป็นคนอย่างที่เขาเป็น

เราอ่านเล่มนี้แบบอินไปกับตัวละครมาก ๆ มากจนเราปฏิเสธความไม่มีเหตุผลของเนื้อเรื่อง คือสมองส่วนที่มีรอยหยัก (คือมีความฉลาดอยู่บ้าง) รู้นะคะว่า พล็อตเรื่องมันเหลือเชื่อ และประหลาด แต่มันไม่สำคัญพอที่จะดึงเราออกจากเรื่องที่อ่าน เราจึงยอมรับความไม่มีเหตุผล และมีความสุขไปกับการอ่านเรื่องราวของแนชและมาริสา ทั้งคู่เป็นตัวละครที่เราสื่อถึงได้อย่างยิ่ง

เราไม่แน่ใจนะคะว่า คนอื่นที่อ่านเรื่องนี้จะรู้สึกเหมือนกับเราไหม ยิ่งถ้าคิดถึงความไม่ลงตัวของพล็อตในส่วนมาเฟีย ที่ดูไปเหมือนเด็กเล่นขายของ แต่เราคงต้องบอกตรง ๆ ค่ะว่า ชอบเล่มนี้มาก เพราะชอบทั้งพระเอกนางเอกมาก ๆ ทำให้ไม่มีอะไรสำคัญทั้งสิ้น ไม่แม้แต่การเขียนให้เกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมายที่มั่วซั่ว (การที่มาริสกลายเป็นอัยการพิเศษฟ้องคดีมาเฟีย ทั้งที่เธอไม่ได้ทำงานให้กับรัฐบาล หรือเคยทำคดีอาญามาก่อนในชีวิต) ก็ไม่อาจทำลายความ "อิน" ที่เรารู้สึกกับเล่มนี้ได้

กระทั่งตอนจบที่ทำลายตัวตนของมาริสา ด้วยการที่เธอตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และขึ้นเรือล่องลอยไปกับแนช ทั้งที่เธอ "เพิ่ง" จะค้นพบตัวเองเป็นครั้งแรก แต่เธอก็ทิ้งทั้งหมดเพื่อชายคนที่เธอรัก ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เราชอบเรื่องนี้น้อยลง

อ่านเรื่องนี้จบแล้วเราเข้าใจเลยนะคะว่าทำไม เอ็ม. ลีย์ตันกลายเป็นนักเขียนขายดี เรื่องราวของเธอ (ในส่วนพล็อตเรื่อง) อาจไม่มีเหตุผล ไม่ลงตัว แต่นักเขียนที่สร้างตัวละครที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกรัก (มาริสา และแนช) และเกลียด (โอลิเวีย) ได้มากขนาดนี้ มากพอที่จะทำให้เราซื้องานเล่มต่อไปของเธอมาอ่านค่ะ

โปรดอย่าให้น้ำหนักอะไรกับคะแนนของเรามาก อย่างที่บอกเราชอบพระเอกนางเอกมากอย่างไม่มีสติ คะแนนที่ 75



View all my reviews

Review: Up to Me


Up to Me
Up to Me by M. Leighton

My rating: 2 of 5 stars



ถ้าใครที่ยังไม่ได้อ่าน Down to you และคิดจะอ่าน กรุณาอย่าอ่านรีวิวนี้นะคะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์เล่มแรก และมันเป็นสปอยล์ที่แรงมาก ๆ ด้วย

ความรักระหว่างโอลิเวียและแคชที่กำลังเบ่งบานกำลังถูกคุกคาม หลังจากที่แคชตัดสินใจเลิกความคิดที่จะแก้แค้นมาเฟียที่เป็นเหตุให้แม่และพี่ชายของเขาตาย แถมยังใส่ความทำให้พ่อของเขาติดคุก เพราะเขาไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตของโอลิเวีย แต่มาเฟียซึ่งตอนนี้รู้ความจริงแล้วว่า แคชมีสมุดบัญชี (ที่พ่อของเขาขโมยมา) ซึ่งอาจจะเอาผิดพวกเขาได้ เริ่มต้นตามล่าเขาไม่เลิก

แผนการก็คือ จับตัวโอลิเวียมาเพื่อแลกกับสมุดบัญชี แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะแทนที่จะเป็นโอลิเวียที่โดนจับ กลับกลายเป็นมาริสาที่โดนลูกหลงแทน และแม้มาริสาจะเป็นญาติที่โอลิเวียไม่ปลื้มมากนัก เธอก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุ และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยมาริสาให้ได้

แคชติดต่อกับบิดาในคุกอีกครั้ง ซึ่งพ่อของเขาให้แคชลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์สองข้อความ เพื่อติดต่อบุคคลลึกลับสองคน คนที่คิดว่า น่าจะช่วยแคชให้ออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้

หนึ่งในคนที่ปรากฎตัวก็คือ คนที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แนช ดาเวนพอร์ทยังมีชีวิตอยู่

เราอ่านเล่มนี้ด้วยอาการแบบเดิมนะคะ คือเราไม่ชอบนางเอก ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ อะไรก็ไม่อาจทำให้อาการของเราดีขึ้น ดังนั้นความคิดเห็นที่เรามีต่อเล่มนี้จึงอาจจะไม่ใช่ความเห็นที่ยุติธรรมต่อเนื้อเรื่องร้อยเปอร์เซ็นต์นัก เราถูกครอบงำด้วยความไม่ชอบนางเอกค่ะ เราคิดว่า เธอไม่คู่ควร

คาแร็คเตอร์ของแคชถือว่า โอเคนะคะ แต่ ในวินาทีแรกที่แนชปรากฎตัว แคชก็ดูเหมือนเด็กเล่นปืนพลาสติกไปเลย

ส่วนของพล็อตเรื่อง เราคงต้องบอกตามตรงว่า เป็นพล็อตมาเฟียที่น่าหัวเราะมากที่สุดที่เราได้อ่าน เทียบกับความร้ายแรง กับการการะทำที่บอกว่ามาเฟียทำ แล้วลองนึกถึงว่า มาเฟียที่เก่งกาจ ทรงอิทธิพล และแสนจะอันตราย ถูกเด็กอายุยี่สิบห้าปี (อย่างแคช) ที่ทั้งชีวิตไม่ได้เป็นมืออาชีพ (จับปืน หรือฆ่าคน) จัดการ ในภารกิจที่เขาไปช่วยเหลือโอลิเวีย (ซึ่งโง่ โง่ และโง่ ทั้งที่รู้ว่า มีอันตราย และมีบอดี้การ์ดที่แคชส่งไปคุ้มครอง หลบหนีจากผู้ดูแล เพื่อไปมหาวิทยาลัย จนโดนจับ เป็นภาระให้พระเอกต้องไปช่วย) เรารู้สึกว่า พล็อตส่วนมาเฟียนี่มีมาเหมือนเรื่องเล่าน่ะค่ะ เขียนเสือให้คนอ่านกลัว ให้รู้สึกว่า แก๊งค์นี้อันตรายมาก ๆ แต่การกระทำที่พวกมาเฟียแสดงออกมา ไม่มีอะไรเลย นักฆ่าที่ส่งมาก็มีคนเดียว แถมมีการหยุดตามล่าเพื่อต่อรอง ทั้งที่เมื่อดูจากพฤติกรรมในอดีต (ฆ่าแม่และพี่ชายของแคช) พวกนี้น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้

ในแง่ของพล็อตแล้วเราว่า เล่มนี้แย่กว่าเล่มแรกนะคะ อย่างน้อยเล่มแรกยังมีความเซอร์ไพร์ส เล่มนี้เหมือนเอาแนวทริลเล่อร์ตามล่าเข้ามาผูก ซึ่งถ้าไม่คิดถึงความไม่มีน้ำยาของแก๊งค์มาเฟีย ก็พอจะสนุกไปกับมันได้ แต่สุดท้ายเราให้คะแนนเท่ากับเล่มแรกที่ 60 นะคะ ด้วยเหตุผลเดียว เหมือนอย่างที่เล่มแรกเราเกลียดนางเอก เล่มนี้เราตกหลุมรักตัวละครรองค่ะ (ซึ่งจะเป็นตัวเอกในเล่มต่อไป)

เราไม่ค่อยมีเหตุผลเท่ากับกับการอ่านเรื่องชุดนี้นะคะ เหมือนเป็นการให้คะแนนตามฮอร์โมนล้วน ๆ เลย



View all my reviews

Review: Down to You


Down to You
Down to You by M. Leighton

My rating: 2 of 5 stars



ค่อนข้างยากที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้แบบไม่สปอยล์ความลับสำคัญของเรื่องนะคะ ดังนั้นเราจะพยายามเตือนล่วงหน้าก่อนแล้วกัน

คนแต่ง เอ็ม. ลีย์ตัน มีชื่อเสียงโด่งดังก็จากหนังสือเรื่องนี้แหละค่ะ ขายดีขนาดติดอันดันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์คไทม์ ซึ่งหลังจากนั้นงานเขียนชุดนี้ของเธอก็ถูกสนพ.เบิร์คลีย์ซื้อไปตีพิมพ์อีกรอบ จากเดิมที่หนังสือออกขายเป็น Self Pub เราได้ยินเกียวกับเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วนะคะว่า แต่ไม่ได้อ่านสักที เพราะรู้มาว่า เรื่องในชุดจะมีสามเล่ม ก็เลยรอจนเล่มสุดท้ายออกขายก่อน จึงรวบยอดอ่านทีเดียวพร้อมกัน

เรื่องย่อที่ปกหลังของเรื่องไม่ค่อยตรงกับเนื้อเรื่องข้างในเท่าไหร เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ จะบอกว่า เรื่องย่อเขียนก่อนหนังสือเขียนจบก็ไม่น่าใช่ เพราะเรื่องนี้เคยตีพิมพ์มาแล้วนะ

โอลิเวีย ทาวน์เซนด์ได้เจอกับแคช ดาเวนพอร์ตอย่างบังเอิญสุด ๆ เมื่อเธอเข้าใจว่า แคชเป็นนักเต้นเปลื้องผ้าที่ถูกจ้างมางานเลี้ยงสละโสดของเพื่อนสนิทของเธอ เธอถึงขนาดเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อเรียบร้อยก่อนจะพบความจริงว่า แคชเป็นเจ้าของผับที่เธอและเพื่อน ๆ มาจัดงานเลี้ยงกัน ความเข้าใจผิดทำให้หญิงสาวรู้สึกอับอายมาก และก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอคิดว่า ได้พบกับแคชอีกครั้งในบ้านของญาติสาว

เนื่องจากรูมเมทของโอลิเวียย้ายออกไปอย่างกระทันหัน หญิงสาวซึ่งกำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายจึงไม่มีทางเลือก ด้วยสถานะทางการเงินบีบบังคับ เธอจึงต้องย้ายไปพักอยู่กับมาริสา ญาติสาวผู้สูงวัยกว่า คนที่โอลิเวียไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะมาริสาปฏิบัติต่อเธออย่างหยาบคาย แต่ก็จำเป็นต้องทนกันและกันไป

คนที่เธอคิดว่าเป็นแคช และเจอในบ้านของมาริสา แท้จริงแล้วคือ แนช ดาเวนพอร์ต พี่ชายฝาแฝดของแคชนั่นเอง แนชซึ่งแตกต่างจากแคชราวกับฟ้าดินเป็นทนายความฝึกหัดในสำนักงานทนายความที่พ่อของมาริสาเป็นหุ้นส่วนอยู่ และเป็นแฟนของมาริสาอีกต่างหาก

สองพี่น้องตระกูลดาเวนพอร์ตทำให้โอลิเวียเริ่มหวั่นไหว ด้านนึงแคชตอบความต้องการของโอลิเวียที่ตลอดชีวิตถูกดึงดูดเข้าหา bad boys แต่แนชคือผู้ชายแบบที่แม่ของเธอพร่ำสอนมาตลอดชีวิตให้เลือกเป็นสามี

ตลอดทั้งเรื่องคนอ่านต้องคอยตามลุ้นว่า โอลิเวียจะเลือกใครในสองพี่น้องคู่นี้

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องทั้งหมด

ถ้าอ่านต่อจากนี้เป็นส่วนสปอยล์แล้วนะคะ อย่างที่บอก เราไม่คิดว่า เราจะรีวิวโดยไม่สปอยล์เรื่องได้

เราบอกตามตรงว่า เราไม่ชอบนางเอก ไม่ชอบอย่างรุนแรง เธอคือเหตุผลที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ และเล่มต่อมา (Up to you) ไม่เวิร์คสำหรับเรา เป็นจุดตัดที่ทำให้เราไม่แคร์กับหนังสือทั้งเล่ม เราไม่รู้สึกว่า โอลิเวียมีคุณค่าเพียงพอ การที่เธอโลเลระหว่างผู้ชายสองคน นั่นก็เป็นลักษณะของนางเอกที่เรารับไม่ได้ มันต้องอาศัยการเขียนและการเล่าเรื่องที่เก่งมาก ๆ ถึงจะทำให้เราเชื่อได้ว่า นางเอกเลือกไม่ได้จริง ๆ แต่เรื่องนี้เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น เราโอเคกับการที่โอลิเวียตอบสนองกับแคช เขาประสบความสำเร็จทั้งที่มีอุปสรรคมากมาย แคชเรียนไม่จบมัธยม และอาจจะระห่ำไปบ้าง แต่ในจุดที่โอลิเวียได้เจอกับเขา แคชไม่ได้เลวร้าย ในสายตาของเธอเขาอาจจะเป็น Bad boys และเธอพยายามปฏิเสธความต้องการของตัวเอง แต่มาตรฐานที่โอลิเวียเอามาวัด ก็คือผู้ชายในอดีตที่ทำกับเธอไม่ดี เธอมองว่านั่นเป็นความผิดของแคช และพยายามบอกตัวเองให้ชอบพี่ชายของเขามากกว่า

และนั่นคือปัญหาใหญ่ของเขา เพราะแนชคือผู้ชายที่มีแฟนแล้ว โอลิเวียอาจจะไม่ชอบมาริสา แต่นั่นคือญาติ (เป็นลูกของพี่ชายของพ่อของเธอ) เรางงค่ะ ทำไมโอลิเวียถึงได้เอาแนชเข้ามาอยู่ในสารบบความคิด ทำไมเธอจึงคิดว่า แนชเป็นอีกทางเลือกของเธอ เขามีเจ้าของแล้ว และในเรื่องแม้เขาจะแสดงบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่า เขาสนใจในตัวเธอ แต่มันก็ไม่ได้เด่นชัด หรือมากพอที่จะทำให้โอลิเวียถึงเอาไปคิดว่า แนชคืออีกตัวเลือกของเธอ เราเข้าใจนะคะว่า เธอถูกกดดันจากการเลี้ยงดูของมารดาที่สอนให้เธอเลือกผู้ชายที่มีความมั่นคง เราเข้าใจที่เธอจะโลเลกับการตัดสินใจเลือกแคช แต่เราไม่เข้าใจที่เธอมาปักใจกับแนช โดยเฉพาะเมื่อเธอก็เห็นอยู่ว่า เขาเป็นแฟนของญาติของเธอเอง ผู้หญิงแบบนี้เรารับไม่ได้ค่ะ

เราเกลียดผู้หญิงคนนี้ และนี่คือความรู้สึกของเราตอนที่อ่าน สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เราอ่านเรื่องนี้แบบรู้สปอยล์แล้วนะคะ เรานึกไม่ออกค่ะว่า คนที่อ่านโดยไม่รู้สปอยล์จะรู้สึกยังไงกับโอลิเวีย ดังนั้นถ้าใครอ่านเรื่องนี้แบบไม่รู้อะไรมาก่อนเลย เราอยากได้ความเห็นค่ะว่า คิดยังไงกับนางเอกคนนี้

มาถึงส่วนสปอยล์ของแท้แล้วนะคะ

อย่างที่บอกค่ะ เราอ่านเรื่องนี้โดยรู้ว่า แคชและแนชคือคนคนเดียวกัน แต่รู้แบบนี้เรายังทนโอลิเวียไม่ได้ เพราะเธอไม่ได้รับรู้ และเธอทำเป็นเลือกไม่ได้ระหว่างสองพี่น้อง กระทั่งสุดท้ายเธอก็เลือกไม่ได้ และเป็นโชคดีของเธอที่ไม่ต้องเลือก เพราะทั้งคู่เป็นคนคนเดียวกัน

เหตุผลในการที่แคชต้องปลอมตัวเป็นแนชด้วย เราถือว่า โอเคนะคะ แม้ว่าพล็อตส่วนมาเฟียจะดูหลุดโลกไปบ้าง แต่ในเล่มนี้เรายังถือว่า โอเคอยู่ เราคงจะบ่นเกี่ยวกับพล็อตนี้ในเล่มต่อ ๆ ไป แต่เล่มนี้มันไม่ค่อยสำคัญอะไรมากมายนัก เราปล่อยผ่านไปก่อนค่ะ แค่โอลิเวียคนเดียวก็ทำให้เราโมโหมากพออยู่แล้ว


เหตุผลที่เล่มนี้ล้มเหลวสำหรับเราก็คือ คาแร็คเตอร์ของนางเอก เราไม่ชอบเธอ และทำให้ผู้ชายทุกคนในเรื่องที่ชอบเธอสอบตกไปด้วย ถ้าคุณยอมรับ หรือเข้าใจคาแร็คเตอร์ของโอลิเวีย ก็อาจจะทำให้การอ่านเล่มนี้เวิร์คก็ได้นะคะ เพราะเราคิดว่า เซอร์ไพร์สในเรื่องนี้ใช้ได้เลยล่ะ

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Tuesday, September 10, 2013

Review: In the Arms of the Heiress


In the Arms of the Heiress
In the Arms of the Heiress by Maggie Robinson

My rating: 3 of 5 stars



ต้องขอบคุณซีรีย์เรื่อง Downton Abbey นะคะ เพราะทำให้หนังสือในยุคสมัยช่วงปลาย ๆ 1890 ไปจนถึงต้น 1900s กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นหนังสือโรแมนซ์ที่อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องถือว่าหายากมาก ๆ และเรียกได้ว่า อย่าเขียนกันดีกว่า เพราะเชื่อกันว่าไม่มีใครอยากอ่าน แต่นั่นก็เป็นความเห็นของสนพ. ซึ่งจากความนิยมของ Downton Abbey ก็เห็นได้ว่าไม่จริง

นี่อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่เรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์

เราค่อนข้างชอบงานเขียนของแม็กกี้ โรบินสันนะคะ เราคิดว่า เธอสามารถเขียนคาแร็คเตอร์ที่แตกต่าง และไม่ได้เป็นไปตามสูตร รวมทั้งเรื่องราวที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของเรื่องแนวย้อนยุคโรแมนซ์ เล่มนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น

หลุยซา สแตทตันทายาทสาวผู้ร่ำรวย ซึ่งหลอกครอบครัวของตัวเองว่า แต่งงานแล้วกับหนุ่มสุดวิเศษ ถึงคราวจะต้องเดินทางกลับบ้านในอังกฤษช่วงคริสต์มาสหลังจากหนีไปใช้ชีวิตในยุโรปเป็นเวลานานหนึ่งปี ปัญหาก็คือ เธอต้องหาตัวเจ้าบ่าวนายนั้นมาให้ญาติ ๆ ดูตัวให้ได้ ความคิดเดียวที่ผุดในสมองก็คือ สำนักงานจัดหางานเอเวอร์ซองค์

และสำนักงานแห่งนี้ก็หาชายที่เหมาสมให้กับเธอจนได้ อดีตนายทหารที่กลับการจากรบอย่างชาร์ล คูเปอร์ ซึ่งใช้ชีวิตเหลวแหลกในปารีส แรกเห็นชาร์ลดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แต่เมื่อทำความสะอาดหลุยซาก็คิดว่า พอใช้ได้

ทั้งสองเดินทางกลับจากปารีส และไปปรากฏตัวยังบ้านเกิดของหลุยซา เพื่อหลอกน้าสาว และญาติ ๆ คนอื่น เหตุที่หลุยซาต้องใช้วิธีขนาดนี้ (การหลอกว่าแต่งงานแล้ว) ก็เพื่อให้ได้มีอิสระจากกรงที่เธอถูกกักขังมาตลอดชีวิต เธอเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก และถูกน้าสาวเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด หลังจากทีอายุถึงได้รับมรดก หลุยซาก็หนีไปยุโรปทันที แต่น้าสาวก็ยังตามตอแยไม่เลิก เธอจึงกุเรื่องแต่งงานขึ้น เพื่อหวังให้ทุกคนปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ

ในขณะที่ชาร์ลซึ่งถูกรบกวนโดยฝันร้ายหลังจากที่กลับจากสงครามที่คนบริสุทธิ์มากมายเสียชีวิต เขาไม่คิดว่า ตัวเองคู่ควรที่จะรอด และด้วยพื้นเพที่เป็นชนชั้นใช้แรงงาน หากแต่ได้รับความอุปถัมภ์จากเศรษฐีผู้ใจบุญ ชาร์ลจึงแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในครอบครัว เขามีการศึกษา จึงดีเกินหน้าพี่น้อง แต่ก็ไม่อาจเท่าเทียมชนชั้นขุนนางได้ ดังนั้นตอนแรกเจอกัน ชาร์ลคิดว่า หลุยซาก็เป็นหนึ่งในชนชั้นที่ไม่ต้อนรับเขา แต่เมื่อรู้จักกันมากขึ้น เขาก็เข้าใจเธอมากขึ้นเช่นกัน

เล่มนี้มีความเหมือนกับ Downton Abbey ในแง่ของการมีเรื่องโรแมนซ์ของ Upstairs (หลุยซา และชาร์ล) และ Downstairs (คนรับใช้ของนางเอก) แต่ก็เท่านั้นนะคะ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ค่อนข้างมีโทนเป็นโรแมนซ์คอเมดี้ ซึ่งเราคิดว่า เนื้อหาเบากว่างานส่วนใหญ่ของแม็กกี้ โรบินสัน

โดยรวมเรื่องนี้อ่านได้เพลิน ๆ แต่ด้วยความเบาของข้อสรุป (ในระหว่างเรื่อง เราคิดว่า น่าติดตาม แต่บทสรุปของประเด็นในเรื่องดูเป็นหนังวันคริสต์มาสมากเกินเหตุ) ทำให้เราไม่รู้สึกว่า ได้อะไรเป็นชิ้นอันจากการอ่านเล่มนี้

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: The Submissive


The Submissive
The Submissive by Tara Sue Me

My rating: 2 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นงานของนักเขียนหน้าใหม่ ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร แต่ข่าวที่เราได้ยินก่อนที่จะได้หนังสือมาก็คือ นี่เป็นหนังสือแนวแฟนฟิคของเรื่องทไวไลท์ และได้รับความนิยมสมัยที่ยังลงให้อ่านกันฟรี ๆ ในเว็บ (ได้ยินมา แต่คอนเฟิร์มไม่ได้ว่า ตัวอีแอล เจมส์เองก็ชอบเรื่องนี้มาก ๆ ก่อนที่จะหันมาเขียนฟิฟตี้เชดออฟเกรย์) แต่แม้จะชื่อเสียงโด่งดังแบบนี้ เราก็ยังลังเลในการซื้อนะคะ เพราะอย่างที่เคยบอกไปหลายรอบแล้ว เราเบื่อหน่ายพระเอกรวยพันล้านที่มีรสนิยม BDSM พอสมควรแล้ว

โชคดี (หรืออาจจะเรียกว่าโชคร้ายหลังจากที่อ่านจบไป) เราได้เล่มนี้มาฟรีตอนที่ไปงาน RWA ค่ะ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยเราก้ไม่ต้องควักเนื้อตัวเอง

พล็อตเรื่องตามสูตรเรื่องแนวอีโรติค BDSM มาก นางเอกต้องการฝึกฝนเป็น submissive จึงยื่นใบสมัครไปหาพระเอก เรื่องไม่ได้บอกชัดเจนว่า ทำไมพระเอกถึงมารับใบสมัคร (ประมาณว่า เหมือนเป็นสมาคมคนชอบเรื่องแนวนี้) และทั้งที่นางเอกไม่เคยมีประสบการณ์การเป็น submissive มาก่อนเลย พระเอกก็ตัดสินใจรับมาไว้ในความดูแล

จากนั้นก็น่าจะพอเดาเรื่องได้

เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลวร้ายนะคะ แต่ไม่มีอะไรมากกว่า ทุกอย่างเหมือนเรื่องที่เคยอ่านมาแล้ว กระทั่งฉากเซ็กส์ก็ไม่ได้หวาดเสียวหวือหวาเกินเหตุ คาแร็คเตอร์ก็เป็นมาตรฐานมาก นางเอกไร้เดียงสา แต่ต้องการเรียนรู้ พระเอกกร้านโลกที่ผ่านอะไรมาเยอะ พอเจอนางเอกก็ใช่เลย เซอร์ไพร์สเดียวของเรื่องก็คือ พระเอกเคยเจอนางเอก และปิ๊งเธอมาก ๆ มาก่อน แต่ไม่กล้าเข้าหา เพราะคิดว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองจะทำให้นางเอกกลัว พอนางเอกมาสมัคร พระเอกก็เลยกระโดดรับไว้ทันที

ยอมรับนะคะว่า เราอ่านแบบไม่ได้ตั้งใจเท่าไหรนัก ไม่มีอะไรน่าสนใจพอจะทำให้เราต้องใช้สมาธิในการอ่าน ก็แค่อ่านให้จบ ๆ ไป

คะแนนที่ 53



View all my reviews

Monday, September 9, 2013

Review: Dead Sexy Dragon


Dead Sexy Dragon
Dead Sexy Dragon by Lolita Lopez

My rating: 1 of 5 stars



I received this book from the publisher via NetGalley. And this is an honest review.

I really love the cover of this book and yes, I am that kind of a person who shallow enough to buy book based on the cover (or in this case request a book because of the cover.).

The story has a standard romantic suspense plot. Cora Cardena ran from the bad guy and goes to her dead brother's best friend, Stig Wyvern to ask for help. Paranormal is thrown into the mix when the hero is also a dragon shifter. And with the erotic twist, the timing she arrives at his doorstep is not so good since Stig are in the "heat", which makes him want woman a lot.

This novella is the first in the series of dragon shifters, which belong to the organization called "the Brotherhood of the Green Hide" that provide protection to their species from the slayers. I find the name is too comical. If the tone of the story intend that way, it would be OK. But this is not a comedy romance. The story is quite serious.

But that is not most objection of this book. The deal-breaker for me is the heroine. Cora ran from the bad guys but I am not sure if she is a good person. Please don't get me wrong, I have an open-minded and can read about flawed characters. But I think Cora is way past flaw. She is someone I don't wish to have a happy ending.

She explains how the trouble begin by putting all the wrong into other people. Her grandmother died and she inherited the bakery. Her brother died and he owned a lot of gambling debt to mafia. When they demanded money, she did not have it. So she allowed them to use her business as a mule to make some deliveries. When asked what type of deliveries, this is her answer.

"Drugs, Money. Guns." Cora shrugged.

I really cannot stand this woman. I cannot sympathize with her situation. She still have her bakery with 9 staffs employed at the time. The mafia do not threaten her or anyone she loves. By her word, "I'd just lost my grandmother and my brother within three weeks. I was so confused and swimming in grief. I was desperate. I just wanted them to leave me alone"

For me, that is not enough reason for her to do what she is doing.

After that scene, everything goes downhill. I think my opinion from that point is too bias to continue writing a review so I am not going to mention it.

If this type of heroine is OK with you or you can accept her decision under those circumstances, I think may give this book a try. The rest of the story is not too bad.

Grade D








View all my reviews

Sunday, September 8, 2013

Review: The King of Attolia


The King of Attolia
The King of Attolia by Megan Whalen Turner

My rating: 5 of 5 stars



นี่เป็นรีวิวที่เขียนอีกครั้ง (หลังจากการอ่านอีกรอบ) ในวันที่ 9/9/13

ก่อนจะเปิดเล่มนี้อ่าน เราก็รู้อยู่แล้วนะคะว่าสนุก (เรียกว่าทำใจแล้วว่าสนุก) ตอนอ่านก็ยังรู้สึกสนุกมาก ๆ ทำให้อ่านติดพันไม่ยอมหลับยอมนอน แล้วก็เช่นเดียวกับการอ่านเรื่อง The Queen of Attolia อีกครั้ง เรารู้สึกว่า ได้อะไรเพิ่มขึ้นมากมายจากการอ่านอีกครั้ง รู้สึกเหมือนเข้าใจตัวละครมากขึ้น ที่สำคัญยิ่งสัมผัสได้ถึงความฉลาดของคนแต่งที่ไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้เพียงอย่างเดียวถูกลืม ทุกอย่างที่ถูกกล่าวถึงกลายมาเป็นความสำคัญ

หนึ่งในนั้น (เราไม่รู้นะคะว่า ตอนอ่านรอบแรก ๆ เราจับใจความได้รึเปล่า อาจจะจับได้ก็ได้นะคะ แต่เรานึกไม่ออก) ก็คือ สารน์ลับที่เจ็นส่งผ่านคอสติสไปให้เทเลอัส ซึ่งต้องคำสั่งประหาร สารน์ที่จะเตือนสติแอตโตเลียถึงความผิดพลาดในอดีต ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้อ่านเรื่อง The Queen of Attolia หรืออ่านแล้วแต่ความจำไม่ดี ก็คงจะนึกไม่ออกว่า คำพูดนั้นมีความสำคัญอย่างไรเป็นแน่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ็นพูดระหว่างเพ้อหลังจากที่เขาถูกแอตโตเลียออกคำสั่งตัดมือ คำพูดที่เจ็นรู้ว่า จะทำให้แอตโตเลียคิดได้ แต่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ

อ่านเล่มนี้ก็ยิ่งตอกย้ำสไตล์การเขียนที่ subtle มาก ๆ ของคนแต่ง ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ตาเห็น หรือคิดว่าเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่มนี้เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นคนนอกเป็นหลัก ความเห็นส่วนใหญ่ในเรื่องที่คนอ่านได้รับ จึงเป็นการมองของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ็นเป็นเช่นไร แต่เขาก็ได้เรียนรู้ไปเมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ

เล่มก่อนหน้ามีโฟกัสที่การเติบโตของเจ็น เล่มนี้ก็ยังดำเนินตามเส้นทางนั้นอยู่ แต่บทบาทที่เจ็นจะต้องเป็นให้ได้ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาต้องการจะเป็นมากนัก เหมือนกับคำพูดที่รีไลอัส (หัวหน้าสายลับของแอตโตเลีย) พูดไว้ เจ็นไม่ได้แต่งงานกับแอตโตเลียนเพราะอยากเป็นกษัตริย์ แต่เขายอมเป็นกษัตริย์เพราะต้องการแต่งงานกับแอตโตเลีย ดังนั้นการทำใจเพื่อให้รับบทบาทที่ได้มาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มก็คือเส้นทางการเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัวของเจ็น

และเพราะเจ็นอาจจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจแอตโตเลีย นั่นทำให้เขารู้ว่า อำนาจในฐานะราชินีที่เธอทุ่มเททุกอย่าง ยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อรักษาไว้ มีความสำคัญต่อเธอมากแค่ไหน เขาจึงไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทนที่ นั่นทำให้เขาลังเลที่จะรับบทบาทกษัตริย์แบบที่เขาสามารถเป็นได้ แม้ว่า จะเห็นได้ชัดสำหรับทุกคนว่า แอตโตเลียพร้อมที่จะให้เจ็นเข้าไปแทนที่ เพราะเธอขึ้นครองอำนาจไม่ใช่เพราะเธอต้องการอำนาจ เธอต้องการแค่ให้ประเทศสงบสุข

เล่มนี้อาจจะเป็นเล่มเดียวในชุดที่เราได้เห็นด้านที่อ่อนโยนของแอตโตเลีย ฉากที่ทั้งคู่มาเจอกัน หลังจากเจ็นได้รับบาดเจ็บจากความพยายามลอบสังหาร นั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอรู้สึกมากขนาดไหนกับเขา เราอ่านเรื่องโรแมนซ์เป็นหลักนะคะ แต่แทบจะไม่มีฉากไหนในเล่มไหน (ของโรแมนซ์) ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากเท่ากับฉากนี้

อ่านเล่มนี้อีกครั้ง เราพบว่า เจ็นเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด และน่ากลัวมากกว่าที่คิดอีกด้วย ฉากที่เขาเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับสถานภาพของการเป็นกษัตริย์ เมื่อเขาบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อาจหาทางออกจากเรื่องยุ่ง ๆ (คือการเป็นกษัตริย์) ที่ตัวเองเป็นผู้ก่อไว้ไม่ได้ และไม่ใช่เพราะเขาหาทางออกไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการหาทางออก เขาชอบอำนาจมากเกินไป (คำพูดไม่ได้เป็นแบบนี้เป๊ะ ๆ นะคะ เราไม่ได้มีหนังสืออยู่กับตัว เขียนจากที่จดจำได้) อ่านแล้วทำให้รู้สึกเข้าใจเหตุการณ์ใน A Conspiracy of Kings มากขึ้นเลยค่ะ (อย่างที่บอก ทุกอย่างมีความหมาย)

และเราเพิ่งจะสังเกต (เป็นครั้งแรกเท่าที่เราจำได้) ว่าเจ็นเป็นคนโมโหร้ายมาก ๆ เพิ่งมารู้สึกเอาในเล่มนี้เองนะคะ ในหลายฉากที่เขาต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องตอบคำถามจาบจ้วงเกี่ยวกับญาติสมัยเด็ก ๆ (ที่ตอนนี้ตายไปแล้ว) หรือการที่เขาพังห้องนอนเพราะอัดอั้นที่ไม่อาจทำอะไรอดีตทูตจากอาณาจักรมีดส์ได้

เล่มนี้เราคงต้องบอกว่า เป็นเจ็นโชว์ เพราะทั้งเรื่องโชว์ความเก่งกาจของเขา โดยเฉพาะต่อชาวแอตโตเลียที่ไม่รู้มาก่อนว่า กษัตริย์ของพวกเขาเป็นใคร และดูถูกสติปัญญาของคนที่สามารถทำให้ราชินีของพวกเขาตัดสินใจแต่งงานได้ในที่สุด (หลังจากที่เธอฆ่าสามีคนแรก และประกาศว่า ราชาคนต่อไปของแอตโตเลีย จะเป็นคนที่เธอเลือกเอง และเธอก็เลือกเจ็น)

บอกตรง ๆ ค่ะ เล่มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนละครไทยเล็ก ๆ ตรงจุดที่ว่า เจ็นต้องเอาชนะใจคนทั้งราชสำนักของแอตโตเลีย (เหมือนนางเอกในละครที่เข้าไปบ้านของสามี แล้วถูกดูหมิ่นต่าง ๆ นานาจากเหล่าญาติ ๆ ของเขา)

อ่านใหม่ก็ยังชอบมากเหมือนเดิม และเรายังรู้สึกว่า เราได้อะไรมากมายมากกว่าเดิมมาก ๆ (ใช้คำว่ามากเยอะไปไหม) แปลว่าอ่านแล้วประเทืองปัญญามาก ๆ น่ะค่ะ คะแนนที่ 93


และนี่เป็นรีวิวที่เขียนไว้เมื่อ 30/6/09

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุดที่เล่าเรื่องราวชีวิตและการเติบโตของยูเจนิดิสที่ชีวิตเริ่มต้นด้วยการเป็นจอมโจร ก่อนที่จะจบลงที่เล่มนี้ด้วยการครองบัลลังค์แห่งแอตโทเลีย ซึ่งแม็กซ์กล้ายืนยันได้ว่า ถึงคุณไม่เคยอ่านหนังสือสองเล่มแรก คุณก็อ่านเล่มนี้ได้รู้เรื่องแน่นอน เพราะแม็กซ์ได้ทำมาแล้ว แต่ไม่รับประกันนะคะว่า ถ้าคุณอ่านเล่มนี้จบแล้ว คุณจะไม่อยากกลับไปอ่านสองเล่มแรก เพราะนี่คือสิ่งที่แม็กซ์จะทำทันทีที่ได้หนังสือสองเล่มนั้นมาในครอบครอง

หนังสือโฆษณาว่าเป็นวรรณกรรมสำหรับเยาวชน (แม้ว่าแม็กซ์จะหาข้อมูลอย่างนั้นในตัวเล่มไม่เจอ --- เราอ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เราแน่ใจว่าฉบับแปลเป็นไทยใช้คำว่า วรรณกรรมเยาวชน แต่ในภาษาอังกฤษไม่ได้มีบอกไว้) แต่บอกตามตรงว่า โดยเนื้อเรื่องแล้ว มันไม่ใช่ประเด็นสำหรับเด็ก (เล็ก ๆ) เลย มันเป็นเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ก็สนุกไปกับมันได้ เพียงแต่ไม่มีฉากเซ็กส์ และความรุนแรงเหมือนกับหนังสือนิยายทั่วไปเท่านั้นเอง

สิ่งที่ทำให้แม็กซ์สนใจเรื่องนี้ได้มีสองอย่าง จากคำโฆษณาของเพื่อน เรื่องราวความรักระหว่างราชาและราชินีแห่งแอตโทเลียเป็นความรักชนิดที่คงจะโดนใจแม็กซ์ และเรื่องราวการชิงไหวชิงพริบในทางการเมืองซึ่งนี่อาจจเป็นสิ่งเดียวที่แม็กซ์หาอ่านไม่ค่อยจะได้ในโรแมนซ์

เรื่องเริ่มต้นในคืนวันแต่งงานระหว่างยูเจนิดิส หรือเจ็นที่บัดนี้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอตโทเลีย เป็นสามีของราชินีซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่สั่งตัดมือของเขา การแต่งงานทีทุกคนคิดและลงความเห็นว่าเป็นเพราะการเมือง เมื่อทัพของเมืองเอ็ดดิสได้แทรกซึมเข้ามาในแอตโทเลียแล้ว เหตุผลของการที่ทั้งคู่แต่งงานกันน่าจะถูกอธิบายในเรื่อง The Queen of Attolia ซึ่งเป็นเล่มสองในชุด ในเล่มนี้ไม่ได้บอกอย่างละเอียด นอกจากสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งแม็กซ์คิดว่า คนที่อ่านเล่มนี้จบลงจะรับรู้ได้ก็คือ (สปอยล์) ความรัก

เรื่องราวส่วนใหญ่ถูกเล่าผ่านมุมมองของคอสติส ทหารองค์รักษ์ราชินีที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วลงไม้ลงมือกับกษัตริย์คนที่เขาคิดว่าไม่เหมาะสมกับราชินีที่เขาเทิดทูนบูชาสักนิดเดียว แต่การที่คอสติสต่อยราชาก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับโทษประหารอย่างที่คิดไว้ คอสติสกลับได้รับโอกาสให้ใกล้ชิดกับบุคคลที่น่าค้นหาที่สุดในราชวัง

กษัตริย์แห่งแอตโทเลีย

ในฐานะคนนอก (เจ็นเป็นชาวเอ็ดดิส) ยูเจนิดิสไม่ใช่คนที่ใครคาดหวังให้กับราชินีผู้งดงามของพวกเขา แล้ววิธีการประพฤติตัวของเจนอีกเล่า ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของเขาดูดีขึ้น เจ็นปฏิเสธที่จะทำตัวอย่างราชา เขาไม่ยึดอำนาจการปกครองมาจากราชินี ทำตัวเองเป็นตัวตลก ยอมให้บรรดาผู้ดูแลส่วนตัวกลั่นแกล้งสารพัด กระทั่งการเข้าสังคม เขายังเต้นรำกับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีฐานะทางสังคมเทียบเท่า

สำหรับคอสติสแล้ว ราชาคนนี้เป็นความน่าผิดหวัง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากติดตามรับใช้ และนั่นทำให้เขาได้รู้จักบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้พบ

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านสองเล่มแรกอย่างแม็กซ์ เราพบว่าตัวเองก็เป็นเหมือนคอสติสที่ค้นพบความสามารถของเจ็นเป็นครั้งแรก เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกับนายทหารคนนี้ถึงความชาญฉลาด และล้ำลึกของคนที่ไม่อยากเป็นราชาอย่างเขา แม็กซ์ชื่นชมการเขียนของคนแต่งมาก ๆ นะคะ เพราะลึกซึ้งและต้องการความสนใจจากคนอ่านอย่างยิ่งที่จะไม่พลาดแม้แต่ฉากเดียว เพราะทุกอย่างในเรื่องมีความหมายไม่ทางใดก็ทางนึง

สำหรับหัวใจสีชมพูของแม็กซ์ (ที่ยังไงก็ยังรักโรแมนซ์) เราพบว่า ตัวเองหลงใหลไปกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ็นและราชินีของเขา ผู้หญิงที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อของเธอเอง เพราะสำหรับเจ็น ไอรีนคือไอรีน ผู้หญิงที่เขารัก ไม่ใช่แอตโทเลีย ราชินีผู้โหดเหี้ยมและเย็นชา

โฟกัสของเรื่องนี้อยู่ที่การปรับตัวของเจ็นต่อการเมืองในราชสำนัก เขาเอาชนะอุปสรรค (และชนะใจ) คนที่ต่อต้านการเป็นผู้ปกครองของเขา ทำให้เราแทบจะไม่ได้เห็นมุมมองของตัวราชินีเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอเป็นการเล่าผ่านสายตาของบุคคลที่สาม แต่แค่นั้นก็ทำให้แม็กซ์กรี๊ดไปกับคาแร็คเตอร์ของเธอมาก ๆ

แอตโทเลีย (เป็นชื่อที่ใช้เรียกราชินี แต่ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ ในขณะทีราชาถูกเรียกว่าแอตโทลี) เป็นราชินีที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุน้อย เธอวางยาพิษฆ่าสามีคนแรก เธอลงโทษหัวขโมยที่เข้ามาลูบคมเธอในราชวังด้วยการตัดแขนเขา ก่อนที่จะแต่งงานกับเขาในภายหลังเพื่อสันติภาพระหว่างบ้านเมือง นั่นไม่ใช่คำบอกเล่าที่คนส่วนใหญ่อยากได้ยินเกี่ยวกับนางเอก แต่นั่นทำให้แม็กซ์รู้สึกว่า เธอเป็นตัวละครที่น่าค้นหายิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อมันชัดเจนว่า เธอรักราชาคนที่ถูกคนคิดว่าเธอถูกบังคับให้แต่งงานด้วยอย่างหมดหัวใจ

ความสัมพันธ์ระหว่างเจ็นและไอรีนเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่เราชอบมาก ๆ ในเล่มนี้ และอาจเพราะการถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชน คนอ่านจะไม่ได้เห็นอะไรมากเกินเลยไปนัก (ไม่มีการพูดอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย) แต่มันก็ชัดเจนพอว่า เกิดอะไรขึ้น ราชินีผู้เย็นชาสามารถจับหัวใจของจอมโจรชื่อก้อง และทำให้เขากลายเป็นราชา เพราะ

"He didn't marry you to become king. He became king because he wanted to marry you" (p. 323) นี่เป็นสิ่งที่อดีตที่ปรึกษาของราชินีกล่าวกับเธอ และมันก็เป็นความจริงทุกอย่าง

มีอะไรอีกเยอะมาก ๆ ที่เราชอบในเล่มนี้ แต่การเล่าก็จะเป็นการสปอยล์เรื่องราวที่เราคิดว่า คนอ่านควรจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง สำหรับตอนนี้แม็กซ์ขอเวลาโทรศัพท์ไปสั่งซื้อหนังสือที่เหลืออีกสองเล่มในชุดก่อนนะคะ

คะแนนที่ 87





View all my reviews

Review: A Conspiracy of Kings


A Conspiracy of Kings
A Conspiracy of Kings by Megan Whalen Turner

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่ในชุดที่แม็กซ์เคยเรียกว่า ยูเจนิดิส แต่เล่มนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ จากเดิมเรื่องราวในสามเล่มจะโฟกัสไปที่ตัวเอกคือ ยูเจนิดิส (แม้จะไม่ได้เล่าเรื่องผ่านสายตาของเขาทุกเล่ม) แต่เล่มนี้โฟกัสของเรื่องเปลี่ยนไปที่ตัวละครที่อาจจะดูด้อยกว่า แต่เรื่องราวของเขาก็ทรงพลังไม่แพ้กัน

คำเตือนก็คือ ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านสามเล่มแรกในชุด แม็กซ์ไม่แนะนำให้อ่านรีวิวหนังสือเล่มนี้นะคะ เพราะจะเป็นการสปอยล์อย่างแหลกลาน และแม็กซ์อยากให้คุณได้อ่านหนังสือชุดนี้ทั้งชุดก่อนค่ะ

จากความในเล่มสาม คนอ่านทราบถึงการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของโซฟอส ผู้เป็นรัชทายาทแห่งบัลลังค์เมืองซูนิส และสำหรับคนที่อ่านหนังสือชุดนี้มาแล้ว ก็จะรู้กันว่า ตลอดระยะเวลาสามเล่มในชุดนั้น เมืองซูนิสที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้ซึ่งเป็นลุงของโซฟอสนั้น เปรียบเสมือนตัวร้ายที่คอยระรานเมืองเอ็ดดิส และแอตโตเลีย และเป็นเมืองที่ยูเจนิดิสต้องใช้สติปัญญาในการเอาชนะ (ในเล่มสอง เรื่อง The Queen of Attolia) แต่การเอาชนะได้ของยูเจนิดิสก็เปรียบเสมือนการเปิดแผลของซูนิสให้คนนอกได้เห็น และทำให้ทุกคนต้องการเอาเปรียบ

เหล่าขุนนางที่ไม่พอใจการปกครองของซูนิส (ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้เป็นกษัตริย์เ่ช่นกัน) เหล่าบารอนของเขาร่วมมือกันก่อกบฎ แผนการก็คือ การจับตัวรัชทายาทไป และหลังจากสังหารผู้เป็นกษัตริย์แล้ว โซฟอสก็จะกลายเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดให้เหล่าบารอนครอบงำ ปัญหาก็คือ พวกกบฎสามารถลักพาตัวโซฟอสออกจากที่พักของเขาได้สำเร็จ แต่กลับทำโซฟอสหายไประหว่างเดินทาง

ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ในหนังสือเล่มนี้จะเปิดเผยให้คนอ่านรับรู้ เรื่องราวของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การตัดสินใจที่ยากเย็น และการเรียนรู้ที่จะเป็นกษัตริย์ ชะตากรรมที่โซฟอสไม่เคยคิดว่าคู่ควรกับเขา แต่กลับเป็นสิ่งที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ ภาระที่อาจทำให้เขา และเพื่อนที่สนิทด้วยที่สุดอย่างยูเจนิดิสจะต้องกลายเป็นศัตรูระหว่างกัน

แม็กซ์คงต้องสารภาพตามตรงว่า แม้เราจะคลั่งไคล้หนังสือชุดนี้อย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ไปบ้างที่โฟกัสของเรื่องเปลี่ยนจากตัวยูเจนิดิสมาที่โซฟอส ในสามเล่มที่เขียนออกมาก่อนหน้า โซฟอสคือรัชทายาทที่ดูไม่ค่อยเอาไหนนักของบัลลังค์ซูนิส ไม่มีอะไรที่เทียบกันได้เลยกับยูเจนิดิส การให้เขามาเป็นตัวเอกและดำเนินเรื่องดูแล้วอาจจะไม่สมศํกดิ์ศรี หรือน่าสนใจเท่าไหร

หลังจากได้อ่านเรื่องนี้จบลง ความจริงก็คือโซฟอสไม่ใช่ยูเจนิดิส เขาไม่ได้หลอกลวงคนเก่งเหมือนที่อดีตจอมโจรทำได้ ไม่ได้มีปัญญา หรือเจ้าเล่ห์เท่า แต่เมแกน วาเลน เทิร์นเนอร์ก็รู้ความจริงข้อนี้ดี ดังนั้นเธอไม่ได้พยายามทำให้โซฟอสคือยูเจนิดิส

แต่โซฟอสก็คือโซฟอส และนั่นทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านอย่างมาก

ในเรื่องนี้คนอ่านได้เข้าใจการเติบโตของโซฟอส จากเด็กชายผู้เลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นทาส หลังจากที่หลบหนีจากการจับกุมของฝ่ายกบฎได้ โซฟอสพอใจชีวิตที่เป็นอยู่ เขาเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง เป็นรัชทายาทที่ไม่เอาไหน แต่เป็นทาสที่มีความสามารถ โซฟอสพอใจชีวิตการเป็นทาส เพราะเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ได้มีภาระให้แบก หรือการตัดสินใจที่ยากเย็น

แต่เมื่อถึงจุดนึง คำกล่าวที่ว่า กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ โซฟอสเลือกทางเดินที่เขารู้ว่า จะไม่ง่าย และเต็มไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งอาจหมายถึงการตัดสินใจที่ยาก เขาเลือกที่จะเดินกลับเข้าไปในชีวิตแห่งการแก่งแย่งชิงดีอีกครั้ง เมื่อเขาพบผู้เป็นบิดาที่เดินทางมาเจรจากับพวกกบฎ โซฟอสตัดสินใจดั่งเช่นชายผู้มีสายเลือดกษัตริย์ตัดสินใจ เขาเลือกชีวิตที่อาจจะวุ่นวาย แต่เป็นหน้าที่ โซฟอสกลับคืนสู่โลกของเขาอีกครั้ง

เพื่อที่จะพบว่า เขาไม่ใช่แค่รัชทายาทอีกต่อไป หากแต่เขาได้กลายเป็นซูนิส (หรือเป็นกษัตริย์) ไปแล้ว เพราะผู้เป็นลุงได้เสียชีวิตลง แต่ประเทศที่โซฟอสได้ปกครองไม่ใช่บ้านเมืองที่สงบสุข แต่กำลังแตกออกเป็นฝ่าย ๆ และทุกคนก็ล้วนต้องการชิ้นส่วนของซูนิส

หนึ่งในนั้นก็คือประเทศเมเด มหาอำนาจใหญ่จากภาคพื้นทวีป ที่หวังจะใช้เมืองซูนิสเป็นบันไดในการยึดครองดินแดนคาบสมุทรแห่งนี้ ทางเลือกของซูนิสที่ถูกเสนอก็คือ การเป็นพันธมิตรกับเมเด อย่างที่พวกกบฎต้องการ หรือหันไปเป็นมิตรกับเมืองเมเลนเซ่ ศัตรูอีกฝั่งนึง

และโซฟอสเลือกแอตโตเลีย เพราะเขามั่นใจในตัวกษัตริย์แห่งแอตโตเลีย ชายผู้ที่เขาเชื่อว่าคือเพื่อน ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางตรงไปยังแอตโตเลีย และทำการเจรจาเพื่อขอกองทัพและการสนับสนุนจากแอตโตเลียเพื่อให้ช่วยซูนิสจากสงครามกลางเมือง แลกกับการเป็นประเทศราชของแอตโตเลีย

ทว่ากษัตริย์แห่งแอตโตเลีย ดูราวกับจะไม่ใช่คนเดียวกับยูเจนิดิส ผู้ที่โซฟอสคิดว่าเป็นเพื่อนอีกต่อไป มิตรภาพดูจะถูกทำลายเพราะบทบาทที่ทั้งสองจำใจต้องรับ

เช่นเดียวกับเรื่อง The King of Attolia ที่เหตุการณ์หลายอย่างในเล่มนี้เต็มไปด้วยความแยบคายอันแสนชาญฉลาด แม็กซ์ต้องอ่านด้วยความระมัดระวังกับความหมายนัยที่ซ่อนอยู่ ความชาญฉลาดของตัวละครทำให้เรื่องนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์

แต่ฉากที่ได้ใจแม็กซ์มาก ๆ อยู่ตอนท้ายเรื่อง (สปอยล์) เมื่อโซฟอสรู้ราคาของการกษัตริย์ ที่เขาต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ยากเย็น นั่นคือการฆ่าคนที่ไม่ได้พกอาวุธ และใช้พระเดชในการปกครองเหล่าบารอน เพราะการใช้เหตุผลไม่มีทางที่จะทำได้ เมื่อสถานการณ์เรียกร้อง โซฟอสก็ทำได้ทุกอย่างในฐานะกษัตริย์

แม็กซ์ขอเรียกคอนเซ็ปต์ของหนังสือเล่มนี้ว่า ราคาของการเป็นกษัตริย์ คำพูดของราชินีแห่งเอ็ดดิสบ่งบอกความหมายที่ดีที่สุด

"We are not philosophers; we are sovereigns. The rules that govern our behavior are not the rules for other men, and our honor, I think, is a different thing entirely, difficult for anyone but the historians and the gods to judges." (p. 295 - 296)

ส่วนเดียวที่เรารู้สึกว่า คนแต่งหาทางออกให้ง่ายเกินไปก็คือ (สปอยล์) การรวมเอาเอ็ดดิสเข้ามาเป็นประเทศราชของแอตโตเลีย และเท่ากับการรวมสามชาติแห่งคาบสมุทรแห่งนี้เข้าไว้ด้วยกัน เหตุผลที่ราชินีแห่งเอ็ดดิสยอมให้มันเกิดขึ้นดูเป็นเรื่องของพรหมลิขิตมากเกินไป แต่มันไม่ได้ผิดปกติไปจากธีมของเรื่องชุดนี้หรอกนะคะ เรื่องความฝันของเฮเลน (ราชินีแห่งเอ็ดดิส) เกี่ยวกับการล่มสลายของเอ็ดดิสเคยถูกกล่าวถึงมาแล้วในเล่มก่อนหน้า แต่แม็กซ์อยากเห็นยูเจนิดิสใช้สติปัญญาในการบรรลุสิ่งนี้มากกว่าน่ะค่ะ

เป็นหนังสืออีกเรื่องที่ทำให้เราต้องคิดเยอะมาก ๆ ขณะที่อ่าน และหลังจากอ่านจบแม็กซ์ก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่า เราจะทำยังไงในระหว่างที่รอคอยเล่มต่อไปออกขาย อยากจะคร่ำครวญว่า ทำไมคนแต่งถึงใช้เวลาเขียนแต่ละเล่มนานอย่างนี้ (ซึ่งอาจะเป็นเพราะเรื่องราวของเธอเต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ให้คิดก็ได้ค่ะ)

คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: The King of Attolia


The King of Attolia
The King of Attolia by Megan Whalen Turner

My rating: 5 of 5 stars



นี่เป็นรีวิวที่เขียนอีกครั้ง (หลังจากการอ่านอีกรอบ) ในวันที่ 9/9/13

ก่อนจะเปิดเล่มนี้อ่าน เราก็รู้อยู่แล้วนะคะว่าสนุก (เรียกว่าทำใจแล้วว่าสนุก) ตอนอ่านก็ยังรู้สึกสนุกมาก ๆ ทำให้อ่านติดพันไม่ยอมหลับยอมนอน แล้วก็เช่นเดียวกับการอ่านเรื่อง The Queen of Attolia อีกครั้ง เรารู้สึกว่า ได้อะไรเพิ่มขึ้นมากมายจากการอ่านอีกครั้ง รู้สึกเหมือนเข้าใจตัวละครมากขึ้น ที่สำคัญยิ่งสัมผัสได้ถึงความฉลาดของคนแต่งที่ไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้เพียงอย่างเดียวถูกลืม ทุกอย่างที่ถูกกล่าวถึงกลายมาเป็นความสำคัญ

หนึ่งในนั้น (เราไม่รู้นะคะว่า ตอนอ่านรอบแรก ๆ เราจับใจความได้รึเปล่า อาจจะจับได้ก็ได้นะคะ แต่เรานึกไม่ออก) ก็คือ สารน์ลับที่เจ็นส่งผ่านคอสติสไปให้เทเลอัส ซึ่งต้องคำสั่งประหาร สารน์ที่จะเตือนสติแอตโตเลียถึงความผิดพลาดในอดีต ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้อ่านเรื่อง The Queen of Attolia หรืออ่านแล้วแต่ความจำไม่ดี ก็คงจะนึกไม่ออกว่า คำพูดนั้นมีความสำคัญอย่างไรเป็นแน่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ็นพูดระหว่างเพ้อหลังจากที่เขาถูกแอตโตเลียออกคำสั่งตัดมือ คำพูดที่เจ็นรู้ว่า จะทำให้แอตโตเลียคิดได้ แต่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ

อ่านเล่มนี้ก็ยิ่งตอกย้ำสไตล์การเขียนที่ subtle มาก ๆ ของคนแต่ง ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ตาเห็น หรือคิดว่าเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่มนี้เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นคนนอกเป็นหลัก ความเห็นส่วนใหญ่ในเรื่องที่คนอ่านได้รับ จึงเป็นการมองของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ็นเป็นเช่นไร แต่เขาก็ได้เรียนรู้ไปเมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ

เล่มก่อนหน้ามีโฟกัสที่การเติบโตของเจ็น เล่มนี้ก็ยังดำเนินตามเส้นทางนั้นอยู่ แต่บทบาทที่เจ็นจะต้องเป็นให้ได้ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาต้องการจะเป็นมากนัก เหมือนกับคำพูดที่รีไลอัส (หัวหน้าสายลับของแอตโตเลีย) พูดไว้ เจ็นไม่ได้แต่งงานกับแอตโตเลียนเพราะอยากเป็นกษัตริย์ แต่เขายอมเป็นกษัตริย์เพราะต้องการแต่งงานกับแอตโตเลีย ดังนั้นการทำใจเพื่อให้รับบทบาทที่ได้มาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มก็คือเส้นทางการเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัวของเจ็น

และเพราะเจ็นอาจจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจแอตโตเลีย นั่นทำให้เขารู้ว่า อำนาจในฐานะราชินีที่เธอทุ่มเททุกอย่าง ยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อรักษาไว้ มีความสำคัญต่อเธอมากแค่ไหน เขาจึงไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทนที่ นั่นทำให้เขาลังเลที่จะรับบทบาทกษัตริย์แบบที่เขาสามารถเป็นได้ แม้ว่า จะเห็นได้ชัดสำหรับทุกคนว่า แอตโตเลียพร้อมที่จะให้เจ็นเข้าไปแทนที่ เพราะเธอขึ้นครองอำนาจไม่ใช่เพราะเธอต้องการอำนาจ เธอต้องการแค่ให้ประเทศสงบสุข

เล่มนี้อาจจะเป็นเล่มเดียวในชุดที่เราได้เห็นด้านที่อ่อนโยนของแอตโตเลีย ฉากที่ทั้งคู่มาเจอกัน หลังจากเจ็นได้รับบาดเจ็บจากความพยายามลอบสังหาร นั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอรู้สึกมากขนาดไหนกับเขา เราอ่านเรื่องโรแมนซ์เป็นหลักนะคะ แต่แทบจะไม่มีฉากไหนในเล่มไหน (ของโรแมนซ์) ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากเท่ากับฉากนี้

อ่านเล่มนี้อีกครั้ง เราพบว่า เจ็นเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด และน่ากลัวมากกว่าที่คิดอีกด้วย ฉากที่เขาเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับสถานภาพของการเป็นกษัตริย์ เมื่อเขาบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อาจหาทางออกจากเรื่องยุ่ง ๆ (คือการเป็นกษัตริย์) ที่ตัวเองเป็นผู้ก่อไว้ไม่ได้ และไม่ใช่เพราะเขาหาทางออกไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการหาทางออก เขาชอบอำนาจมากเกินไป (คำพูดไม่ได้เป็นแบบนี้เป๊ะ ๆ นะคะ เราไม่ได้มีหนังสืออยู่กับตัว เขียนจากที่จดจำได้) อ่านแล้วทำให้รู้สึกเข้าใจเหตุการณ์ใน A Conspiracy of Kings มากขึ้นเลยค่ะ (อย่างที่บอก ทุกอย่างมีความหมาย)

เล่มนี้เราคงต้องบอกว่า เป็นเจ็นโชว์ เพราะทั้งเรื่องโชว์ความเก่งกาจของเขา โดยเฉพาะต่อชาวแอตโตเลียที่ไม่รู้มาก่อนว่า กษัตริย์ของพวกเขาเป็นใคร และดูถูกสติปัญญาของคนที่สามารถทำให้ราชินีของพวกเขาตัดสินใจแต่งงานได้ในที่สุด (หลังจากที่เธอฆ่าสามีคนแรก และประกาศว่า ราชาคนต่อไปของแอตโตเลีย จะเป็นคนที่เธอเลือกเอง และเธอก็เลือกเจ็น)

บอกตรง ๆ ค่ะ เล่มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนละครไทยเล็ก ๆ ตรงจุดที่ว่า เจ็นต้องเอาชนะใจคนทั้งราชสำนักของแอตโตเลีย (เหมือนนางเอกในละครที่เข้าไปบ้านของสามี แล้วถูกดูหมิ่นต่าง ๆ นานาจากเหล่าญาติ ๆ ของเขา)

อ่านใหม่ก็ยังชอบมากเหมือนเดิม และเรายังรู้สึกว่า เราได้อะไรมากมายมากกว่าเดิมมาก ๆ (ใช้คำว่ามากเยอะไปไหม) แปลว่าอ่านแล้วประเทืองปัญญามาก ๆ น่ะค่ะ คะแนนที่ 93


และนี่เป็นรีวิวที่เขียนไว้เมื่อ 30/6/09

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุดที่เล่าเรื่องราวชีวิตและการเติบโตของยูเจนิดิสที่ชีวิตเริ่มต้นด้วยการเป็นจอมโจร ก่อนที่จะจบลงที่เล่มนี้ด้วยการครองบัลลังค์แห่งแอตโทเลีย ซึ่งแม็กซ์กล้ายืนยันได้ว่า ถึงคุณไม่เคยอ่านหนังสือสองเล่มแรก คุณก็อ่านเล่มนี้ได้รู้เรื่องแน่นอน เพราะแม็กซ์ได้ทำมาแล้ว แต่ไม่รับประกันนะคะว่า ถ้าคุณอ่านเล่มนี้จบแล้ว คุณจะไม่อยากกลับไปอ่านสองเล่มแรก เพราะนี่คือสิ่งที่แม็กซ์จะทำทันทีที่ได้หนังสือสองเล่มนั้นมาในครอบครอง

หนังสือโฆษณาว่าเป็นวรรณกรรมสำหรับเยาวชน (แม้ว่าแม็กซ์จะหาข้อมูลอย่างนั้นในตัวเล่มไม่เจอ --- เราอ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เราแน่ใจว่าฉบับแปลเป็นไทยใช้คำว่า วรรณกรรมเยาวชน แต่ในภาษาอังกฤษไม่ได้มีบอกไว้) แต่บอกตามตรงว่า โดยเนื้อเรื่องแล้ว มันไม่ใช่ประเด็นสำหรับเด็ก (เล็ก ๆ) เลย มันเป็นเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ก็สนุกไปกับมันได้ เพียงแต่ไม่มีฉากเซ็กส์ และความรุนแรงเหมือนกับหนังสือนิยายทั่วไปเท่านั้นเอง

สิ่งที่ทำให้แม็กซ์สนใจเรื่องนี้ได้มีสองอย่าง จากคำโฆษณาของเพื่อน เรื่องราวความรักระหว่างราชาและราชินีแห่งแอตโทเลียเป็นความรักชนิดที่คงจะโดนใจแม็กซ์ และเรื่องราวการชิงไหวชิงพริบในทางการเมืองซึ่งนี่อาจจเป็นสิ่งเดียวที่แม็กซ์หาอ่านไม่ค่อยจะได้ในโรแมนซ์

เรื่องเริ่มต้นในคืนวันแต่งงานระหว่างยูเจนิดิส หรือเจ็นที่บัดนี้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอตโทเลีย เป็นสามีของราชินีซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่สั่งตัดมือของเขา การแต่งงานทีทุกคนคิดและลงความเห็นว่าเป็นเพราะการเมือง เมื่อทัพของเมืองเอ็ดดิสได้แทรกซึมเข้ามาในแอตโทเลียแล้ว เหตุผลของการที่ทั้งคู่แต่งงานกันน่าจะถูกอธิบายในเรื่อง The Queen of Attolia ซึ่งเป็นเล่มสองในชุด ในเล่มนี้ไม่ได้บอกอย่างละเอียด นอกจากสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งแม็กซ์คิดว่า คนที่อ่านเล่มนี้จบลงจะรับรู้ได้ก็คือ (สปอยล์) ความรัก

เรื่องราวส่วนใหญ่ถูกเล่าผ่านมุมมองของคอสติส ทหารองค์รักษ์ราชินีที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วลงไม้ลงมือกับกษัตริย์คนที่เขาคิดว่าไม่เหมาะสมกับราชินีที่เขาเทิดทูนบูชาสักนิดเดียว แต่การที่คอสติสต่อยราชาก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับโทษประหารอย่างที่คิดไว้ คอสติสกลับได้รับโอกาสให้ใกล้ชิดกับบุคคลที่น่าค้นหาที่สุดในราชวัง

กษัตริย์แห่งแอตโทเลีย

ในฐานะคนนอก (เจ็นเป็นชาวเอ็ดดิส) ยูเจนิดิสไม่ใช่คนที่ใครคาดหวังให้กับราชินีผู้งดงามของพวกเขา แล้ววิธีการประพฤติตัวของเจนอีกเล่า ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของเขาดูดีขึ้น เจ็นปฏิเสธที่จะทำตัวอย่างราชา เขาไม่ยึดอำนาจการปกครองมาจากราชินี ทำตัวเองเป็นตัวตลก ยอมให้บรรดาผู้ดูแลส่วนตัวกลั่นแกล้งสารพัด กระทั่งการเข้าสังคม เขายังเต้นรำกับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีฐานะทางสังคมเทียบเท่า

สำหรับคอสติสแล้ว ราชาคนนี้เป็นความน่าผิดหวัง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากติดตามรับใช้ และนั่นทำให้เขาได้รู้จักบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้พบ

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านสองเล่มแรกอย่างแม็กซ์ เราพบว่าตัวเองก็เป็นเหมือนคอสติสที่ค้นพบความสามารถของเจ็นเป็นครั้งแรก เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกับนายทหารคนนี้ถึงความชาญฉลาด และล้ำลึกของคนที่ไม่อยากเป็นราชาอย่างเขา แม็กซ์ชื่นชมการเขียนของคนแต่งมาก ๆ นะคะ เพราะลึกซึ้งและต้องการความสนใจจากคนอ่านอย่างยิ่งที่จะไม่พลาดแม้แต่ฉากเดียว เพราะทุกอย่างในเรื่องมีความหมายไม่ทางใดก็ทางนึง

สำหรับหัวใจสีชมพูของแม็กซ์ (ที่ยังไงก็ยังรักโรแมนซ์) เราพบว่า ตัวเองหลงใหลไปกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ็นและราชินีของเขา ผู้หญิงที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อของเธอเอง เพราะสำหรับเจ็น ไอรีนคือไอรีน ผู้หญิงที่เขารัก ไม่ใช่แอตโทเลีย ราชินีผู้โหดเหี้ยมและเย็นชา

โฟกัสของเรื่องนี้อยู่ที่การปรับตัวของเจ็นต่อการเมืองในราชสำนัก เขาเอาชนะอุปสรรค (และชนะใจ) คนที่ต่อต้านการเป็นผู้ปกครองของเขา ทำให้เราแทบจะไม่ได้เห็นมุมมองของตัวราชินีเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอเป็นการเล่าผ่านสายตาของบุคคลที่สาม แต่แค่นั้นก็ทำให้แม็กซ์กรี๊ดไปกับคาแร็คเตอร์ของเธอมาก ๆ

แอตโทเลีย (เป็นชื่อที่ใช้เรียกราชินี แต่ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ ในขณะทีราชาถูกเรียกว่าแอตโทลี) เป็นราชินีที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุน้อย เธอวางยาพิษฆ่าสามีคนแรก เธอลงโทษหัวขโมยที่เข้ามาลูบคมเธอในราชวังด้วยการตัดแขนเขา ก่อนที่จะแต่งงานกับเขาในภายหลังเพื่อสันติภาพระหว่างบ้านเมือง นั่นไม่ใช่คำบอกเล่าที่คนส่วนใหญ่อยากได้ยินเกี่ยวกับนางเอก แต่นั่นทำให้แม็กซ์รู้สึกว่า เธอเป็นตัวละครที่น่าค้นหายิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อมันชัดเจนว่า เธอรักราชาคนที่ถูกคนคิดว่าเธอถูกบังคับให้แต่งงานด้วยอย่างหมดหัวใจ

ความสัมพันธ์ระหว่างเจ็นและไอรีนเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่เราชอบมาก ๆ ในเล่มนี้ และอาจเพราะการถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชน คนอ่านจะไม่ได้เห็นอะไรมากเกินเลยไปนัก (ไม่มีการพูดอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย) แต่มันก็ชัดเจนพอว่า เกิดอะไรขึ้น ราชินีผู้เย็นชาสามารถจับหัวใจของจอมโจรชื่อก้อง และทำให้เขากลายเป็นราชา เพราะ

"He didn't marry you to become king. He became king because he wanted to marry you" (p. 323) นี่เป็นสิ่งที่อดีตที่ปรึกษาของราชินีกล่าวกับเธอ และมันก็เป็นความจริงทุกอย่าง

มีอะไรอีกเยอะมาก ๆ ที่เราชอบในเล่มนี้ แต่การเล่าก็จะเป็นการสปอยล์เรื่องราวที่เราคิดว่า คนอ่านควรจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง สำหรับตอนนี้แม็กซ์ขอเวลาโทรศัพท์ไปสั่งซื้อหนังสือที่เหลืออีกสองเล่มในชุดก่อนนะคะ

คะแนนที่ 87





View all my reviews

Review: The Thief


The Thief
The Thief by Megan Whalen Turner

My rating: 3 of 5 stars



เริ่มนี้เปิดเรื่องในคุกของกษัตริย์แห่งซูนิส เมื่อปากทำให้เจ็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก เขาโอ้อวดถึงความเ็ป็นจอมโจรที่เก่งกาจ แต่สุดท้ายเขาก็มาจบลงในคุกแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อที่ปรึกษาของกษัตริย์เสนอทางออกให้ โดยแลกกับการขโมยอะไรบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย เจ็นจึงตอบตกลง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางจากซูนิส ไปสู่เอ็ดดิส และสิ้นสุดลงที่แอตโทเลีย ที่ซึ่งเขาได้เผชิญหน้ากับราชินีแห่งแอตโทเลียเป็นครั้งแรก

หลายคนพูดตรงกันว่า หนังสือเล่มแรกในชุดเล่มนี้เป็นเล่มที่น่าเบื่อมากที่สุด ซึ่งแม็กซ์ก็เห็นจริงด้วยค่ะ เพราะมันไม่ค่อยน่าสนใจมากนัก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเดินทาง แต่อย่างไรก็ตามเราคิดว่า มันจำเ็ป็นสำหรับคนที่คิดจะติดตามอ่านหนังสือชุดนี้ เพราะมันปูพื้นหนังสือชุดนี้ไว้ทั้งชุด (และนั่นเป็นเหตุผลที่แม็กซ์คิดว่า การที่ตัวเองเริ่มต้นอ่านที่เล่มสามเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าเราเริ่มที่เล่มนี้ มีหวังคงเลิกอ่านไปแล้วล่ะ) โดยเฉพาะความเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับการอยู่รอดของทั้งสามอาณาจักรอย่างซูนิส, เอ็ดดิส, และแอตโทเลีย ที่สุดท้ายแล้วก็มาบรรจบกับตอนจบในเรื่อง TKOA (สปอยล์) ที่บอกว่า ทั้งสามอาณาจักรต้องรวมกันเป็นหนึ่งถ้าหากอยากจะเอาตัวรอดจากสงครามที่จะต้องเกิดขึ้นกับพวกเมเดส เพียงแต่สิ่งที่ที่ปรึกษาของกษัตริย์แห่งซูนิสคิดไว้ก็คือ กษัตริย์ของเขาจะเป็นคนรวมสามชาติเอาไว้ได้ แต่เมื่อจบเล่มสามเราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นยูเจนิดิสต่างหากที่ต้องรับภาระนั้นเอาไว้

และเนื่องจากเรารู้อยู่แล้วว่า ทริคสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่ตรงไหน (สปอยล์) ซึ่งก็คือ การที่เจ็นเป็นจอมโจรแห่งเอ็ดดิส และทำงานให้กับเอ็ดดิสมาตลอด และหลอกใช้ที่ปรึกษาแห่งซูนิสเป็นเครื่องมือในการตามหาสิ่งที่เขาต้องการ ทำให้การอ่านเรื่องนี้ไม่มีจุดพลิกผันที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถูกหลอก แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของคนแต่งหรอกนะคะ เราดันอ่านสลับลำดับซะเอง

สำหรับแม็กซ์การอ่านเรื่องนี้ก็คือการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับยูเจนิดิส และทำให้เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างชัดเจน ที่เริ่มต้นจากการฆ่าคนครั้งแรกซึ่งเกิดในเล่มนี้ ไปจนถึงการที่เขาฆ่ามือสังหารที่ส่งมาลอบฆ่าเขาในเล่มสาม เรามองเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับยูเจนิดิสได้อย่างชัดเจน และทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมถึงได้จัดประเภทให้หนังสือชุดนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชน นั่นก็เพราะเล่มนี้ค่อนข้างเหมาะกับเยาวชน ในขณะที่สองเล่มหลังมีประเด็นที่อาจจะรุนแรงมากกว่า แต่นั่นก็เป็นเพราะตัวละครเติบโตขึ้น และพบว่า โลกไม่ได้สมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ตัวละครที่คาดว่าน่าจะเป็นตัวเอกในเล่มสี่ (ที่จะออกขายในเดือนมีนาคมปีหน้าเรื่อง A Conspiracy of Kings) ก็เป็นตัวละครที่ปรากฎตัวในเล่มนี้ (ซึ่งคุณจะไม่ได้เห็นเขาจากการอ่านเล่มสองและสาม) ทำให้นี่เป็นแรงกระตุ้นให้เราพยายามอ่านเล่มนี้ให้จบ แม้ว่ามันจะน่าเบื่อมาก ๆ ก็ตาม

จบเล่มนี้ก็ได้เวลาย้อนกลับไปอ่านเล่มสามอีกรอบค่ะ เพราะเราคิดว่า เราได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเล่มนั้น

สำหรับเล่มนี้คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: The Queen of Attolia


The Queen of Attolia
The Queen of Attolia by Megan Whalen Turner

My rating: 5 of 5 stars



รีวิวที่เขียนอีกครั้งหลังจากอ่านใหม่อีกรอบ (วันที่ 9/9/13)

ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เลยนะคะที่จะหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน แต่เพราะเอาคินเดลมาชาร์ตไฟ แล้วเปิดไวไฟเช็คหนังสือใหม่ ก็เจอว่า เพื่อนซื้อหนังสือเล่มนี้ในฉบับอีบุ๊คมา (เพื่อนซื้อแต่มาปรากฎที่เครื่องของเราด้วย เพราะเราใช้บัญชีอเมซอนร่วมกันน่ะค่ะ) ก็เลยอดไม่ได้เปิดมาดูหน้าตาฉบับอีบุ๊คว่าเป็นยังไง ซึ่งมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะค่ะ มันก็เหมือนพรินต์บุ๊คนั่นแหละ ทั้งหน้าปก แล้วก็เนื้อหา

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องเลย เพราะพอหลงอ่านไปนิดเดียว ทั้งที่เคยอ่านแล้วหลายรอบ ก็ถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายก็เลยอ่านต่อเนื่องไปเลย

และแม้จะบอกว่า เคยอ่านเรื่องนี้หลายรอบแล้ว เราก็ยังรู้สึกตื่นเต้น และมีความสุขเหมือนกับตอนที่ได้อ่านครั้งแรก ๆ ที่สำคัญ เรารู้สึกว่า มีรายละเอียดหลายอย่างมากที่เรารู้สึกว่าอ่านตกไปตอนอ่านครั้งก่อนหน้า ดังนั้นรีวิวนี้จึงเป็นการทดสอบตัวเองค่ะ เราเขียนโดยไม่ได้ดูรีวิวอันเก่าที่เราเคยเขียนเอาไว้ อยากรู้น่ะค่ะว่า ประเด็นที่เราชอบมาก ๆ จากการอ่านครั้งนี้ยังเป็นเหมือนเดิมไหม (หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ตัวเราเองเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน)

เรามองเล่มนี้เหมือนเรื่องราวของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเจ็น คนอ่านได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา เดินทางร่วมกับเขาจากจุดที่ต่ำสุด ไปจนถึงการที่เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องตัดสินใจ และกระทำในเรื่องที่ยากลำบาก (การเติบโตที่ยังคงเป็นธีมของเรื่องต่อเนื่องไปจนถึงเรื่อง The King of Attolia)

สิ่งแรกที่เราคิดก็คือ คนที่อ่านเรื่อง The Thief คงไม่คิดว่า เส้นทางชีวิตของเจ็นจะจบลงที่แอตโตเลีย เราเอง (ซึ่งรู้อยู่แล้ว เพราะอ่านมาแล้ว) ตอนอ่านเล่มนี้ก็ยังตั้งข้อสงสัย เพราะดูห่างไกลจากความเป็นไปได้มาก ๆ แต่ถ้ามองให้ดี นี่คือบทสรุปเดียวที่จะเป็นไปได้

เหตุการณ์ในเรื่อง สงครามระหว่างสามประเทศบนคาบสมุทรได้เกิดขึ้น ความระส่ำระสายทำให้ทั้งสามประเทศกำลังอยู่ในความเสี่ยงของการถูกเข้าครอบครองโดยอาณาจักรที่ใหญ่กว่า และเสถียรภาพของแอตโตเลียเป็นสิ่งสำคัญต่อทุกประเทศบนคาบสมุทรแห่งนี้ โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้แอตโตเลียมีความใกล้ชิดกับอาณาจักรมีดส์ ซึ่งกำลังหาช่องทางเข้ามาแผ่ขยายอำนาจที่นี่ ข้อเสนอของเจ็นต่อเอ็ดดิสไม่ใช่การที่เอ็ดดิสจะเข้าครอบครองแอตโตเลีย หากแต่เป็นการที่เขาจะกำจัดความไม่มั่นคงของราชินีแห่งแอตโตเลียให้หมดสิ้น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ตลอดทั้งเล่มการใช้ภาษาที่นุ่มลึก (เราไม่แน่ใจว่า ใช้คำถูกไหม มันคือ subtle) ที่ทำให้เราต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาที่อ่าน นี่คือมนต์เสน่ห์ของเล่มนี้ (หรือบอกให้ถูกทั้งชุดนี้) คือความงดงามของเรื่อง ไม่มีอะไรที่เราอ่านแล้วตีความเพียงแค่ตัวอักษรที่ปรากฎได้เลย

เล่มนี้เหมือนกลยุทธ์ในการรบ แผนการต่าง ๆ ที่เจ็นนำมาใช้ เพื่อช่วยประเทศของเขาซึ่งอยู่ในชัยภูมิที่ดี แต่ไม่มีกำลังทางทหารถือว่ายอดเยี่ยม และสมจริง (อาจจะยังไม่ถึงในระดับของเรื่อง The Vor Game แต่ก็ซับซ้อนถี่ถ้วน)

และอาจเพราะเรื่องนี้เป็นเล่มที่แสดงถึงการเติบโตอย่างมากที่สุดของเจ็น เล่มนี้แม้จะชื่อเรื่องว่า The Queen of Attolia แต่เราคิดว่า เป็นเล่มที่โฟกัสของเรื่องอยู่ตัวเขามากที่สุด ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นมาจากตัวเขา และคนอ่านได้มองเข้าเห็นในสิ่งที่เขาคิด (และรู้จักตัวตนของเขา) มากกว่าเล่มไหน ๆ ในชุด เราอยู่ร่วมกับเขาในเวลาที่เขาอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด ยามที่เขาคิดว่า จะยอมแพ้ และกลับไปเรียนหนังสือ เห็นเขาค่อย ๆ ลุกขึ้น และกลายมาเป็นคนที่เขาเป็น ไม่ใช่คนเดิม เพราะไม่มีใครสามารถกลับไปเป็นคนเดิมหลังจากประสบการณ์ที่เขาผ่านมาได้ แต่เป็นคนที่เขาจำเป็นต้องเป็น

เราพยายามคิดว่า อะไรคือสิ่งที่เจ็นมองเห็นในตัวของแอตโตเลีย เขามีโอกาสได้เจอเธอในขณะที่เธอยังคงเป็นเพียงเจ้าหญิงธรรมดา คนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย ก่อนที่ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลง และเธอต้องทำอะไรหลายอย่างเพื่อที่จะเป็นราชินี และมีชื่อเสียงอย่างที่เป็นในปัจจุบัน ดังนั้นอาจจะมีเจ็นเพียงคนเดียวที่ยังจดจำแอตโตเลียในขณะที่เธอเป็นเพียงแค่ไอรีนได้ กระนั้นเราก็ยอมรับไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของเขาชัดเจนนัก แต่เมื่อเขาสามารถทำให้เป้าหมายที่เขาต้องการสองอย่างมาเป็นสิ่งเดียวกันได้ (การที่เขาต้องรับใช้ประเทศ และความรักที่เขามีให้กับราชินีแอตโตเลีย) เจ็นก็มุ่งมุ่นเพื่อสิ่งนั้น (จนลืมไปว่า การที่ได้แต่งงานกับราชินีแห่งแอตโตเลีย เขาจะต้องเป็นกษัตริย์แห่งแอตโตเลียไปด้วย แต่นั่นเป็นอีกประเด็นนึง และจะถูกพูดต่อในเล่มสามของชุด)

ส่วนเดียวจริง ๆ ที่เราไม่ชอบในเล่มนี้ (หรือบอกให้ถูกก็คือในชุดนี้) ก็คือส่วนที่เทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเล่มนี้ บทบาทของเทพเจ้ามาเยอะมาก จนเรารู้สึกว่า มนุษย์ช่างไร้อำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองเหลือเกิน และมันเป็นการดูถูกสติปัญญาของเจ็นอย่างยิ่ง เราเข้าใจข้อสรุปของเรื่องนะคะ ทุกอย่างที่เทพเจ้าทำ ก็เพื่อนำมาที่จุดจบของเรื่องอย่างที่เป็น แต่ก็นะ...

อย่างไรก็ตามถ้ามองอีกด้าน ก็มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่เอาชนะสติปัญญาของเจ็นได้

พูดถึงเจ็นเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาคือโฟกัสของเรื่อง แต่คาแร็คเตอร์ของราชินีแห่งแอตโตเลียก็น่าค้นหาไม่แพ้กัน แม้เรื่องจะไม่ได้ให้เวลากับเธอมากนัก แต่สิ่งที่พูดถึงก็มากพอที่จะทำให้เราเข้าใจตัวตนของเธอ หญิงสาวธรรมดากับภาระอันใหญ่หลวง เธอไม่มีทางเลือก ในสถานการณที่เผชิญ จากเจ้าหญิงไอรีน ลูกสาวของภรรยาคนที่สองของกษัตริย์ เธอกลายเป็นรัชทายาท เป็นเบี้ยในเกมการเมืองที่บิดานำมาใช้อย่างไม่แยแส เธอสามารถรักษาความไร้เดียงสาของตัวเองไว้ได้ ถ้าเธอเลือกเป็นเหยื่อ แล้วปล่อยให้ประเทศไปตามยถากรรม แต่เธอเลือกที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นราชินี และนั่นทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เรานึกไม่ออกค่ะว่า จะมีใครในเรื่องที่เหมาะสมกับเจ็นมากไปกว่าแอตโตเลียอีกแล้ว

ฉากที่เธอคุยกับเอ็ดดิสแล้วค้นพบว่า เจ็นก็โกหกกับเอ็ดดิสเช่นกัน ทำให้เรายิ้มออกมาเลย นั่นเป็นการแสดงความรู้สึกที่มากโขแล้วของเธอ (ถ้าไม่นับฉากในเรื่อง The King of Attolia)

เราสามารถพูดถึงวิธีการเล่าเรื่องของคนแต่งได้อีกหลายหน้าเลยค่ะ ทุกอย่างในเรื่องมีความหมาย ต่างหูทับทิมที่เจ็มมอบให้กับเธอ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในตอนท้ายเรื่อง เมื่อไม่มีใครสามารถสือสารด้วยคำพูดออกมาได้ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ทให้หนังสือเล่มนี้ทรงคุณค่ามากขึ้น

สรุปว่า อ่านจบแล้วเราก็อดไม่ได้ที่ต้องหยิบเรื่อง The King of Attolia มาอ่านอีกรอบค่ะ

คะแนนที่ 90

และนี่เป็นรีวิวที่เราเคยเขียนไว้ที่บลอกตัวเองเมื่อ 2/7/09

คนที่อ่านรีวิวเรื่อง The King of Attloia ก็คงจะโดนสปอยล์เหตุการณ์ในเล่มนี้ไปหลายฉากแล้วล่ะค่ะ แต่รู้อะไรไหมคะ แม็กซ์กลับรู้สึกว่า การเริ่มต้นอ่านที่เล่มสามก่อน แล้วย้อนมาเล่มนี้กลับทำให้เรามองเห็นเสน่ห์ และเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเล่มนี้ได้ดีมาก ๆ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด และบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของการที่ ยูเจนิดิส ผู้ที่เป็นจอมโจรแห่งเมืองเอ็ดดิสกลายมาเป็นราชาแห่งแอตโตเลียได้อย่างไร ในเล่มสามเราได้รู้แล้วว่า ยูเจนิดิสเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาดแค่ไหน แต่ในเล่มนี้เราได้มองเห็นอีกด้านนึงของเขาที่เติบโตจากเด็กชายมาเป็นผู้ใหญ่ และต้องทำทุกอย่างเพื่อทำให้เกิดสันติภาพในดินแดนที่เขาอาศัยอยู่

ในตอนเปิดเรื่องยูเจนิดิสซึ่งถูกราชินีแห่งเอ็ดดิสส่งตัวไปแอตโตเลียเพื่อลอบสืบความลับ แต่เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้น เขาถูกจับตัวได้ และโทษที่เขาได้รับกลับไม่ใช่ความตาย

มันโหดร้ายกว่านั้น สำหรับคนที่เติบโตมาโดยใช้ความสามารถในการขโมย ยูเจนิดิสสูญเสียมือข้างขวาของเขาไป คำสั่งนั้นมาจากราชินีแห่งแอตโทเลีย ทางออกที่โหดร้าย มันดูเหมือนว่า จอมโจรแห่งเอ็ดดิสได้จบสิ้นไปแล้ว

ยูเจนิดิสถูกส่งกลับเอ็ดดิสอย่างพ่ายแพ้ เขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาสูญเสีย ถึงขนาดคิดจะละทิ้งทุกอย่าง กลับไปเรียนหนังสือ และมีชีวิตที่น่านับถือ แต่แล้วสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างเอ็ดดิส และแอตโตเลีย รวมทั้งดินแดนใกล้เคียงกันอย่างซูนิสก็ทำให้จอมโจรแห่งเอ็ดดิสต้องกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และคราวนี้เขาต้องทำมันให้สำเร็จด้วยมือที่เหลือเพียงข้างเดียว

หากจะมองว่าเล่มสามในชุดเป็นเรื่องราวการชิงอำนาจกันทางการเมือง ในเล่มนี้ก็คือเอาชนะกันในการทำสงคราม ศึกระหว่างสามดินแดนซับซ้อน และเต็มไปด้วยการซ้อนแผนกันไปมา ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ผู้เล่นใหม่ก็กำลังจะเข้ามายึดครองทั้งสามประเทศ นั่นก็เมเด ประเทศที่อยู่นอกคาบสมุทรออกไป แต่หวังจะยึดดินแดนใดดินแดนนึงเพื่อเริ่มต้นการรุกรานเข้ามา อัครราชทูตแห่งเมเดเริ่มต้นด้วยการผูกสัมพันธ์กับราชินีแห่งแอตโทเลีย ผู้ที่ครอบครองแผ่นดินท่ามกลางความไม่สงบของข้าราชบริพานภายในประเทศของเธอเอง แอตโทเลียเป็นราชินีตั้งแต่เยาว์วัย เธอเรียนรู้กลยุทธ์การครอบครองอำนาจในบ้านของคู่หมั้นของเธอ เมื่อเขาและพ่อของเขาวางแผนที่จะยึดครองอาณาจักรของเธอ ภายหลังจากทั้งคู่ได้แต่งงานกัน

พวกเขาแต่งงานกัน และแอตโทเลียวางยาพิษฆ่าเขาในคืนวันแต่งงาน เธอประกาศความเป็นราชินีผู้อำมหิตในวันนั้น ยึดครองอำนาจในประเทศที่แทบจะตกอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมือง การเดินเกมส์การเมืองอันชาญฉลาดของเธอ ทำให้สามารถยึดหน่วยเหล่าบารอนที่ล้วนแต่เตรียมตัวจะก่อกบฎไว้ได้ แต่แอตโทเลียกำลังจะเดินมาสุดทางของเธอแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดกับเอ็ดดิส สงครามที่ต้องทำกับซูนิส กำลังผลักแอตโทเลียให้เข้าใกล้กับการเป็นพันธมิตรของเมเดเข้าทุกที

และนั่นเป็นสิ่งที่เอ็ดดิสไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

ดังนั้นภารกิจครั้งนี้สำหรับยูเจนิดิสจึงใหญ่หลวง รางวัลคือสันติภาพ ความล้มเหลวไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่นอกเหนือจากหน้าที่ที่เขาทำให้ราชินีของเขา ส่วนแบ่งของตัวยูเจนิดิสเองก็สูงค่าไม่แพ้กัน เพราะมันคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต

หนังสือชุดนี้อย่างที่บอกไม่ใช่โรแมนซ์ แต่แม็กซ์ซึ่งเป็นแฟนโรแมนซ์อ่านเล่มนี้ด้วยสายตาของคนที่มองหาโรแมนซ์ (หวังว่าจะเข้าใจที่เขียนนะคะ) ดังนั้นแน่นอนว่า การชิงไหวชิงพริบกันของตัวละครในเรื่องจะสนุกมาก แต่สิ่งที่ดึงแม็กซ์ไว้ตลอดเรื่องก็คือยูเจนิดิสและแอตโทเลีย

การอ่านเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เกิดใน The King of Attolia ได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้มองเห็นเข้าไปในความคิดของแอตโทเลียเป็นครั้งแรก (ซึ่งคุณจะไม่ได้เห็นหรอกถ้าอ่าน TKOA) และพบว่าแม็กซ์ชอบเธอไม่น้อยกว่ายูเจนิดิสเลย เธอเหี้ยมโหด เย็นชา และเลือดเย็น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเธอรัก แอตโทเลียก็ทำได้ทุกอย่าง (สปอยล์) เห็นได้จากการที่เธอไม่ยอมให้ตั้งแท่นบูชาเทพเจ้าของชาวเอ็ดดิสในเมืองของเธอ เพราะเธอคิดว่าพวกเขาทรยศเจ็น ก่อนที่จะสาบานต่อเหล่าเทพเจ้าว่า เธอจะสร้างแท่นบูชาให้พวกเขาไว้ยังที่สูงสุดของเมือง ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะคืนยูเจนิดิสกลับมาให้เธออีกครั้ง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของแอตโืทเลียได้ถูกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนใน TKOA

ดังนั้นแม็กซ์จึงบอกไม่ถูกนะคะว่า ลำดับการอ่านควรจะเป็นยังไง แต่สำหรับเรา การที่ได้อ่านเล่มสามก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหาย และไม่ได้บั่นทอนความสนุกของเล่มสองลงเลย (เพียงแต่เมื่ออ่านจบ แม็กซ์ก็กำลังจะย้อนกลับไปอ่านเล่มสามอีกรอบ)

ชอบชุดนี้มาก และบ้ามาก ๆ ไปแล้วล่ะ คะแนนที่ 83



View all my reviews