Thursday, February 27, 2014

Review: BOMB: A Day in the Life of Spencer Shrike


BOMB: A Day in the Life of Spencer Shrike
BOMB: A Day in the Life of Spencer Shrike by J.A. Huss

My rating: 5 of 5 stars



ต้องบอกว่า เราอ่านเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญจริง ๆ ไม่ได้คิดจะอ่านเลยนะคะ แต่ตอนกดเปิดอ่านดันพลาดไปเปิดเล่มนี้ขึ้นมา พอเปิดแล้วก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ก็ลองอ่านดูซะหน่อย ปรากฎว่า อ่านไปจบบทแรก อาการหนักเลยค่ะ อาการหนักเพราะว่า เรื่องราวช่างน่าสนใจ และยังเป็นแนวแบบที่เราชอบมาก ๆ (ซึ่งเราจะเขียนถึงต่อไป) และความชอบก็มีมากพอขนาดทำให้เราหยุดอ่าน

ประหลาดไหมคะ

เราหยุดอ่านเพราะว่า เล่มนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุด ตัวละครทั้งพระเอกนางเอก และตัวประกอบต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทในเล่มก่อนหน้า ที่สำคัญเรื่องราวดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับเล่มก่อนหน้าอีกต่างหาก เราซึ่งชอบพล็อต และทิศทางของเรื่องมาก ๆ คิดว่า ขืนอ่านไป อาจจะชื่นชมหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ครบถ้วน เลยตัดสินใจแบบเฉียบพลัน (ตอนเที่ยงคืนอีกแล้วค่ะ เราชอบเปิดหนังสือเล่มใหม่อ่านตอนเที่ยงคืน) ด้วยการกลับไปอ่านเล่มก่อนหน้าเรื่องนี้

เราขออนุญาตเกริ่นแบบยาว ๆ นะคะ เรื่องเคยอ่านผลงานของนักเขียนคนนี้ J.A. Huss มาแล้วเล่มนึง ซึ่งก็เป็นเรื่องในชุดนี้เช่นกัน ความแตกต่างคือ เล่มนั้น (Taut ซึ่งเล่มห้าในชุด เล่มนี้เป็นเล่มหก) ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับชุดมากมายนัก ทำให้เราอ่านได้รู้เรื่องจนจบ ปัญหาคือ เราไม่ได้ปิ๊งเรื่องนั้นมากมายหนักหนา คือคิดว่าโอเคอ่านได้ ตัวละครน่าสนใจ แต่ก็แค่นั้น ที่แน่ ๆ คือเราไม่ได้ชอบมากพอที่จะคิดย้อนกลับไปอ่านเล่มก่อน ๆ หน้าในชุด เราถึงกับพูดประเด็นนี้กับเพื่อนเลยนะคะว่า นี่เป็นเรื่องที่เราโผล่เข้าไปอ่านกลางชุด แต่การเขียนไม่ได้ดึงดูดใจทำให้อยากอ่านเล่มก่อนหน้าแม้แต่นิดเดียว

เล่มนี้แตกต่างออกไปค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวค่อนข้างเกี่ยวข้องต่อเนื่องกับสามเล่มแรกในชุดมาก และด้วยตัวของมันเอง เรื่องนี้เขียนได้น่าสนใจมาก ๆ มากขนาดเราคิดว่า คุ้มค่าที่เราจะย้อนกลับไปอ่านเพื่อให้ได้แบ็คกราวด์ของตัวละครในชุดนี้ก่อน

ดังนั้นก่อนจะเข้ารีวิว เราคงต้องบอกว่า ถ้าไม่ได้อ่านสามเล่มแรกในชุด (Tragic, Manic, Panic) และคิดจะอ่าน ก็หยุดอ่านรีวิวนะคะ เพราะไม่มีทางเขียนให้เข้าใจได้ว่า ทำไมเราชอบเล่มนี้มาก ๆ โดยที่ไม่สปอยล์สามเล่มแรกได้

สเปนเซอร์ ไชค์กำลังมาถึงจุดสูงสุดของชีวิต เขาเป็นเจ้าของกิจการ Shrike Bike ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง (ประกอบมอเตอร์ไซด์แบบสั่งทำ ราคาแพง) เขามีรายการทีวีเป็นของตัวเอง เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ เขามีพร้อมทุกอย่าง ขาดเพียงผู้หญิงคนที่เขารักที่สุด

และปัญหาก็คือ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีใจให้กับเขา สเปนเซอร์และเวโรนิก้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่ตลอดเวลาสเปนเซอร์ไม่เคยยอมรับหรือแสดงออกว่า เขามีใจให้กับเธอ ไม่เรียกว่าเธอเป็นแฟนด้วยซ้ำ

นี่เป็นประเด็นที่เราพบว่าตัวเองชอบมาก เพราะการอ่านเล่มนี้ซึ่งเล่าเรื่องผ่านมุมมองของสเปนเซอร์ เรารู้อย่างชัดเจนว่า เขารู้สึกอย่างไรต่อเวโรนิก้า แต่เหตุผลคือ ทำไมเขาจึงทำตัวแบบนั้น ตามจีบเธออย่างไม่ลดละ แต่ในเวลาเดียวกันก็กันเธอให้ออกห่างไปจากชีวิต เหตุผลมันอยู่ที่อดีตของเขา (และคือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องย้อนกลับไปอ่านสามเล่มแรกในชุด)

แต่มันใกล้จะถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแล้ว แค่อีกไม่นาน ปัญหาก็คือ เวโรนิก้ามาถึงจุดแห่งการสิ้นสุดความอดทน (ในมุมมองของเธอ) เธอเสียเวลาในชีวิตไปกับผู้ชายที่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าในตัวของเธอเลย เธอรักสเปนเซอร์สุดหัวใจ แต่เขาไม่เคยตอบสนอง เขาแค่ต้องการความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอ แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือกับผู้หญิงคนอื่น สำหรับเธอ มันถึงเวลาบอกลา

เล่มนี้ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดของอุปสรรคที่กั้นขวางสเปนเซอร์จากการแสดงความรู้สึกของเขาอย่างเป็นรูปธรรมนะคะ แม้จะคาดเดาได้ว่า เกิดจากการกระทำในอดีตของเขา ยังมีความลับอีกหลายอย่างที่คนอ่านไม่รู้ ทำให้การอ่านเรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงที่ว่า สเปนเซอร์รักเวโรนิก้า (ซึ่งชัดเจนมาก ๆ ในเล่มนี้) แต่เขาไม่ต้องการให้เธอเสี่ยงกับปีศาจจากอดีตที่อาจจะกำลังรอทำร้ายพวกเขาอยู่ ทำให้เขาต้องแสดงออกให้คนทั่วไปคิดว่า เธอไม่มีความหมายต่อเขาแม้แต่นิดเดียว

เราชอบเล่มนี้กับฉากที่เล่าย้อนไปในอดีต เมื่อครั้งที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก และเราชอบสเปนเซอร์แบบมาก ๆ

หนังสือเล่มนี้ไม่หนาเลยนะคะ แต่เราดื่มด่ำไปกับการอ่าน มีความสุขมาก ๆ เมื่อจบก็เกิดอาการเซ็งชีวิตอย่างแรง เพราะเรื่องเต็ม ๆ ของสเปนเซอร์และเวโรนิก้ายังไม่ออกขายจนกว่าจะสิ้นเดือนมีนาคม นี่คือเหตุผลที่เราไม่ชอบอ่านเรื่องที่จบแบบ Cliffhanger มาก ๆ

สำหรับเราแล้ว เล่มนี้สุดยอด แต่ต้องเตือนก่อนว่า เราชอบเพราะพล็อตของเล่มนี้เวิร์คสำหรับเรา เราชอบเรื่องที่เล่าผ่านคาแร็คเตอร์ของพระเอก เราชอบ "เสียง" ของสเปนเซอร์ นอกจากนี้เราชอบเรื่องที่พระเอกรักนางเอกมากแบบที่สเปนเซอร์รักเวโรนิก้า แต่ไม่อาจแสดงออกได้ (เรานึกนะคะว่า ถ้าในเล่มเต็ม ๆ ที่เล่าเรื่องพวกเขา แล้วคนแต่งหาเหตุผลมาอธิบายความจำเป็นที่สเปนเซอร์ต้องเล่นละครว่าไม่แคร์เวโรนิก้าไม่ได้อย่างชัดเจน เราจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ซึ่งเราตอบไม่ได้นะคะ แต่ในเล่มนี้ เหตุผลยังเป็นปริศนาไม่ชัดเจนเท่าไหร เราเลยปล่อย ๆ ไปก่อน)

อารมณ์ในเรื่องท่วมท้นโดนใจ โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่อง เมื่อนางเอกยื่นคำขาดบอกเลิกความสัมพันธ์ เมื่อเธอต้องการก้าวไปสู่อนาคตกับผู้ชายคนอื่นที่เห็นค่าในตัวของเธอ เราชอบวิธีการที่พระเอกจัดการกับปัญหานี้ ตอนแรกคิดว่า เขาจะเล่นบทพ่อพระแล้วยอมให้เธอไป แต่เอาเข้าจริงเฮียแกเป็นพระเอกแบบที่เราชอบมาก เมื่อใช้ทั้งเล่ห์และกลจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น

อ่านเล่มนี้แล้วทำให้เราคิดว่า อาจจะกลับไปอ่านหนังสือชุดนี้ใหม่อีกครั้ง คราวนี้จะค่อย ๆ อ่านนะคะ ไม่เร่งรีบ เราน่าจะชอบมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเล่มของฟอร์ด (Taut เล่มห้า) ที่เราคิดว่าธรรมดา เล่มนี้ทำให้เราเริ่มรู้สึกถึงความสามารถของคนแต่งตรงที่ไม่มีคาแร็คเตอร์ไหนเป็นอย่างที่ตาเห็น หรือนึกคิด

ในสามเล่มแรก (ยกเว้นช่วงท้ายเล่มสามที่ความจริงเปิดเผย) สเปนเซอร์เป็นช่างมอเตอร์ไซด์ที่มีแต่กำลังแต่ไร้สมอง เวโรนิก้าเป็นหญิงสาวที่ไล่จับสเปนเซอร์ ถูกเขาหลอกใช้ แล้วปฏิบัติอย่างไม่ใยดี ทั้งสองไม่ใช่ตัวละครแบบนั้น สามเล่มแรกถูกเล่าโดยตัวละครที่เป็นคนนอก คนที่ไม่รู้ได้รู้จักสเปนเซอร์หรือเวโรนิก้ามาตั้งแต่ต้น คนอ่านจึงถูกหลอกไปกับมุมมองที่ไม่ถูกต้อง และนี่คือสิ่งที่เราชอบมาก ๆ กับเรื่องชุดนี้ค่ะ ที่ไม่มีใครเป็นอย่างที่คิด หรือเห็น (แต่ในขณะเดียวกันคนแต่งก็ไม่ได้จู่ ๆ เปลี่ยนแปลงตัวตนพวกเขานะคะ เพียงแค่มุมมองของคนเล่าเรื่องไม่ได้รู้จักตัวละครเหล่านั้นดีเท่านั้นเอง)

สรุปชอบมาก ๆ แต่คงต้องเตือนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่อ่านเดี่ยว ๆ ได้อย่างรู้เรื่อง และอาจจะไม่ได้ชื่นชมไปกับหลาย ๆ สิ่งในเล่มนี้ได้ครบถ้วนหากไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า

คะแนนที่ 85
ป.ล. เรารอ Guns ซึ่งจะออกขายสิ้นเดือนมีนาคม 2014 และจะเล่าเรื่องของสเปนเซอร์กับเวโรนิก้าแบบเต็ม ๆ ขอบอกว่าใจสั่นมาก กลัวใจคนแต่ง ทำให้เราปฏิญาณเลยนะคะว่า จะไม่อ่านเรื่องที่ไม่จบชุด หรือลงเอยด้วยดีอีกแล้ว (อย่างแนว In death ที่ไม่จบก็จริง แต่ความสัมพันธ์ตัวเอกลงตัวไปแล้ว) ลุ้นเหนื่อยค่ะ



View all my reviews

Thursday, February 20, 2014

Review: Rome


Rome
Rome by Jay Crownover

My rating: 5 of 5 stars



เราหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเพราะกำลังอยู่ในโหมดอ่านงานของคนแต่ง เจย์ คราวโนเวอร์ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ หลังจากที่เราอ่านเล่มแรกในชุดเรื่อง Rule แล้วก็ติดใจมาก แต่เพราะผิดหวังพอควรกับเล่มสองในชุด Jet พอมาเล่มนี้เราก็เลยไม่รู้ว่าควรจะต้องตั้งความหวังดีไหม

คำวิจารณ์ที่เราได้ยินเกี่ยวกับนักเขียนคนนี้ก็คือ ตอนที่เธอเขียนเรื่อง Rule ออกมานั้น เธอพิมพ์ขายเอง แต่ดันโด่งดังระดับติดอันดับหนังสือขายดี จนทำให้เธอถูกติดต่อโดยสนพ.วิลเลี่ยมมอร์โรว์ (เครือเอวอนนั่นแหละ) ซื้อลิขสิทธิ์ไปพิมพ์ขายใหม่อีกรอบ แถมยังซื้อสิทธิ์ของเรื่องอื่น ๆ ในชุดของเธออีก แต่จากเสียงวิจารณ์ ตอนที่เธอพิมพ์ขายเอง เรื่องของเธอเต็มไปด้วยการสะกดคำที่ผิดพลาด แต่เรื่องราวน่าสนใจ น่าติดตามอ่านมาก ๆ เมื่อเทียบกับงานที่เธอมาออกกับสนพ.ใหญ่แล้ว เรื่องถูกตรวจสอบเป็นอย่างดี แต่กลับไม่น่าติดตามเหมือนเก่า

และเนื่องจากเล่มนี้คืองานเขียนเล่มแรกเต็ม ๆ ที่คนแต่งเขียนให้กับสนพ. (สองเล่มแรกนั้นเธอเขียนก่อนขายงานได้) เราก็เลยเตรียมใจไว้เล็กน้อย ว่าเรื่องอาจจะไม่จับใจเราเหมือนอย่างที่เรารู้สึกกับเรื่อง Rule

แต่ผิดคาดค่ะ มากเท่าที่เราชอบเรื่อง Rule เล่มนี้คือที่สุดของเรา

เป็นเล่มที่โดนใจเรามาก ๆ และที่ถูกใจเราก็คือ คนแต่งคงเอกลักษณ์ความธรรมดา ๆ ของตัวละครเอาไว้ แถมพล็อตก็ทั่วไปไม่ได้สร้างสรร แต่กลับทำให้เราพุ่งความสนใจไปที่เนื้อเรื่องได้ตลอดเวลา และติดตามชีวิตของคนธรรมดาเหล่านี้อย่างแทบหยุดหายใจ

โรม อาร์เชอร์ถูกปลดประจำการหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บในการรบ บาดแผลภายนอกของเขาหายดีแล้ว แต่เหมือนกับทหารผ่านศึกหลายคน จิตใจของโรมบอบช้ำ เมื่อบวกกับปัญหาทางครอบครัวที่ร้าวฉานเพราะการตายของเรมี่ น้องชาย ทำให้โรมที่กลับมาจากสงครามไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมที่จากไป และไม่ใช่แค่โรมคนเดียวที่สับสน ทุกคนรอบข้างเขาก็สับสนไปด้วย

นั่นเพราะทุกคนรู้จักโรม อาร์เชอร์ในฐานะพี่ชายคนโต ผู้ดูแลน้องชายฝาแฝดเจ้าปัญหาทั้งสองคน ลูกชายผู้รับผิดชอบ ชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่โรมที่กลับมาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น โดยเฉพาะบาดแผลในใจ ความโหดร้ายของสงคราม การต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในวัยยี่สิบแปดปี หลังจากใช้เวลาสิบปีในกองทัพ โรมมาถึงทางแยกของชีวิต เขาถอยหลังให้ทุกอย่างกลับไปเป็นดั่งเช่นอดีตไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

แต่สำหรับทุกคนที่รู้จักเขา ไม่มีใครรู้ว่า ควรจะปฏิบัติเช่นไร ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง จะหยาบคาย หรือไร้มารยาทมากแค่ไหน ทุกคนรักเขา แต่ก็เพราะรักและห่วงที่มากมาย ทำให้ไม่ใครกล้าเผชิญหน้ากับความจริง ทุกคนยกเว้นคอรา เลวิส ส่วนหนึ่งเพราะเธอแทบจะไม่ได้รู้จักโรมก่อนหน้าที่เขาจะไปออกรบ เธอไม่มีทัศนคติบูชาโรมแบบที่คนอื่น ๆ รู้สึก ดังนั้นคอราจึงมองทุกอย่างตามแบบที่มันเป็น เมื่อโรมทำตัวงี่เง่า เธอก็กล้าพอที่จะพูดออกมา แทนที่จะนิ่งเงียบและทนกับพฤติกรรมของเขา

ดังนั้นการพบกัน (แม้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่ทั่งคู่มองกันแบบจริงจัง) จึงไม่ได้หวานชื่น คอราเทเบียร์ราดหัวโรม เมื่อเขาพูดจาไม่เป็นมงคลเกี่ยวกับชีวิตคู่ของน้องชายและแฟน (ซึ่งเป็นพระนางเล่มแรก) นั่นยิ่งกว่าทำให้โรมหันมาสังเกตเห็นคอรา ผู้ที่เป็นเสมือนพี่สาวคนโตของหัวโจกตัวแสบแห่งร้าน Marked (ซึ่งเป็นร้านสักที่ช่างส่วนใหญ่เป็นพระเอกในหนังสือชุดนี้ และเป็นที่มาของชื่อชุดว่า Marked Man)

เราไม่คิดว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องแนว New Adult เหมือนอย่างสองเล่มแรกในชุดนะคะ เพราะด้วยอายุของตัวละคร (โรมยี่สิบแปด ส่วนคอราแม้ไม่ได้บอกไว้ในเรื่อง แต่ก็เยอะกว่าพระนางในเล่มก่อนหน้า) ด้วยตัวเนื้อเรื่องเอง แม้จะเป็นการค้นหาตัวเอง (ซึ่งก็ถือเป็นพล็อตหลักของ NA) แต่ก็เกิดขึ้นเพราะความเปลี่ยนแปลงในชีวิต (ไม่ใช่เพราะเป็นเพิ่งเรียนจบ และออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง) ซึ่งว่าไปก็คงบอกว่า เป็นเรื่องแนวปัจจุบันทั่ว ๆ ไป

องค์ประกอบที่เราชอบเล่มแรกในชุดนี้ (เรื่อง Rule ซึ่งเป็นเรื่องราวของน้องชายของโรม พระเอกเล่มนี้) ก็คือ ความเป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไปของตัวละคร เล่มนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ในความหมายของคำว่า ธรรมดา ไม่ใช่ว่า ตัวละครไม่น่าจดจำนะคะ แต่ประเด็นที่โรมเผชิญ ก็เป็นสิ่งที่ทหารอีกนับพันต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ที่อเมริกาส่งทหารไปในตะวันออกกลาง โรมจึงไม่ใช่ตัวละครที่พิเศษ แตกต่าง หรือมีความสำคัญขนาดต้องเปลี่ยนแปลงโลก เขาก็แค่เป็นผู้ชายอีกคนที่ต้องเอาชนะปีศาจร้ายในใจ และใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดที่เป็นไปได้

และเช่นเดิม พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรสร้างสรรเป็นพิเศษ อันที่จริงคนแต่งใช้พล็อตที่เก่าแก่ที่สุดด้วยซ้ำ เริ่มจากการปิ๊งกันของชายและหญิงที่แตกต่างกันอย่างมากทางบุคลิก โรมที่แม้จะเป็นพี่ชายของรูล ซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก และเจาะ ร่างกายเขามีแค่แผลเป็นจากการรบ เขาเป็นพี่ชายใหญ่ผู้รับผิดชอบที่แม้ตอนนี้กำลังหลงทาง แต่ไม่มีใครคิดว่า เขาจะมาลงเอยกับคอร่า หญิงสาวที่ทำงานในร้านสัก และถือว่าเป็นมือโปรในการเจาะ ประเด็นนึงที่เรานึกขำทุกคนที่อ่าน (หรือนึกถึง) คือเมื่อนึกว่า ตัวละครผู้ชายในเรื่องนี้ (ก็บรรดาพระเอกในเล่มก่อนหน้า และอนาคตพระเอกในเล่มต่อ ๆ ไป) ล้วนผ่านมือเจาะของคอร่ามากันหมดแล้วทั้งสิ้น ประเด็นก็คือ เธอไม่ได้แค่เจาะหูนะคะ อะไรที่เจาะได้ เธอก็เจาะไปหมด ดังนั้นเมื่อเธอพูดถึงประสบการณ์ที่เธอจัดการเจาะชิ้นส่วนสำคัญของน้องชายของโรมแล้ว เราก็ฮานะคะ

แต่ท่ามกลางความแตกต่างกันทั้งทางนิสัย และรูปลักษณ์ภายนอก เรารู้สึกว่า การจับคู่ทั้งสองเหมาะสมและลงตัวมาก และนี่คือเหตุผลสำคัญที่เราชอบเล่มนี้ เราชอบในความเข้ากันได้ของทั้งคู่ ทำให้เราเชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เริ่มต้นอย่างตั้งใจเท่าไหรนัก

โดยรวมก็คือ ขอบอกว่า เราชอบความเป็นโรแมนซ์ของเรื่องนี้ แม้ทั้งโรม และคอร่าจะไม่ได้เดินเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ แต่เราชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ว่าไปก็คือ เราชอบคาแร็คเตอร์ทั้งพระเอกและนางเอก และนั่นก็ได้ใจเราไปเกินครึ่ง

เราพบว่า เส้นทางการค้นหาตัวเองโรมน่าเชื่อ มันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และไม่ได้เป็นไปโดยไม่มีอุปสรรค แม้ว่าด้วยวิธีการเล่าเรื่องโดยผลัดกันเล่าผ่านมุมมองของโรม และคอร่า ทำให้เราพลาดจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องไป ฉากที่ โรมหนีไปเพราะไม่ต้องการให้คอร่ารับรู้ถึงอาการ PTSD ของตัวเอง เรื่องในช่วงนี้เล่าผ่านมุมมองของคอร่า ทำให้เมื่อโรมกลับมาเพื่อขอคืนดี คนอ่านพลาดการตัดสินใจครั้งสำคัญไป นั่นคือ การที่โรมตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ และยอมรับความจริงว่า ตัวเองแก้ปัญหาคนเดียวไม่ได้ มีจุดนี้แหละค่ะที่เรารู้สึกว่า คนแต่งข้ามประเด็นสำคัญไป

หนังสือเรื่องนี้เหมือนเป็น slow burn ของเรานะคะ คืออย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่ออ่านไปถึงจุดนึง เราก็ระลึกได้ว่า นี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ เลยนะ เป็นหนังสือที่เราชอบมาก ๆ เราไม่รู้นะคะว่า เป็นฉากไหน หรือจุดไหนในเรื่องกันแน่ รู้แต่ว่า เมื่อนาฬิกาถึงเที่ยงคืน และเรายังเหลืออีกร้อยกว่าหน้าจึงจะจบเล่ม เราพบว่า ตัวเองไม่อาจหยุดอ่านได้ และไม่อาจรีบอ่านให้จบเพื่อจะได้เข้านอนได้ เราอยากละเลียดความรู้สึกที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ (คืนนั้นเรานอนตอนตีสาม เพราะเราอ่านแบบกลัวหนังสือจะจบ ทั้งที่ง่วงก็ง่วง และต้องไปทำงาน แต่เมื่อเจอหนังสือที่เราชอบมาก ๆ เรามักจะเป็นแบบนี้ค่ะ กลัวจะจบมาก ๆ)

คะแนนที่ 85



View all my reviews

Wednesday, February 19, 2014

Review: Jet


Jet
Jet by Jay Crownover

My rating: 2 of 5 stars



เล่มนี้น่าสงสารนะคะ เราต้องเริ่มต้นแบบนี้ค่ะ เพราะเราอ่านต่อจาก Rule ซึ่งเป็นเล่มที่เราชอบมาก และแม้ส่วนที่มีเหตุผลในสมองของเราจะบอกว่า พระเอกของเล่มนี้ไม่ใช่รูล และไม่ควรจะเป็นรูล (เพราะถ้าคนแต่งเขียนคาแร็คเตอร์แบบเดียวกันหมด เธอคงไม่ใช่คนแต่งที่มีความสามารถ) แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะเอาเปรียบเทียบ

แต่การที่เจ็ทไม่ใช่รูลไม่ใช่ปัญหาที่เรามีต่อเล่มนี้หรอกนะคะ แต่เป็นความไม่น่าสนใจของตัวละครมากกว่า เราพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกผูกพันไปกับเจ็ท หรืออายเดน นางเอกเท่าไหรเลย โดยเฉพาะนางเอก บอกตามตรงค่ะว่า เราอ่านแล้วเข้าไม่ถึงคาแร็คเตอร์ของเธอ

เจ็ทซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของรูล เป็นนักร้องเพลงร็อคที่ประสบความสำเร็จ จริง ๆ เจ็ทควรจะเป็นมากกว่านั้น มีชื่อเสียงมากกว่านั้น เมื่อคิดถึงความสามารถที่เขามี แต่นี่คือชีวิตที่เจ็ทเลือก เขาชอบดนตรี และอยากใช้ชีวิตกับดนตรี เขาไม่ได้ต้องการเป็นคนดัง อยู่ท่ามกลางแสงไฟ เขาพอใจในที่ที่ตัวเองอยู่ เราชอบตัวตนด้านนี้ของเจ็ทนะคะ ชายที่รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี และอยู่กับตัวเองได้ เราชอบด้านนี้ของเขานะคะ แต่ในขณะเดียวกันเราก็พบว่า คาแร็คเตอร์ของเจ็ทมีอยู่แค่นี้จริง ๆ (ซึ่งแตกต่างจากรูล ที่แม้ในแง่นึงเขาก็คือคนธรรมดา ๆ แต่ก็มีด้านที่เราอยากรู้จักมากขึ้น) ทำให้เขาค่อนข้างเป็นตัวละครที่แบนราบเกินไป

แล้วยังผสมรวมคาแร็คเตอร์ของนางเอกเข้าไปอีก บอกตามตรงนะคะเราเฉยมาก ๆ กับอายเดนตอนที่เธอออกมาในเล่มแรก (เธอเป็นเพื่อนสนิทของชอว์ นางเอกเล่มนั้น) มาเล่มนี้เธอก็ช่างเป็นนางเอกเกินเหตุ ช่วงต้น ๆ ยังพอโอเคนะคะ เมื่ออายเดนต้องพยายามหาสมดุลให้กับชีวิตของตัวเอง อายเดนในอดีต เด็กสาวจากเคนตักกี้ เด็กใจแตกเสียคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่บันยะบันยัง แล้วก็มาเป็นอายเดน นักศึกษามหาวิทยาลัยในเดนเวอร์ คนที่เพียบพร้อม ครบถ้วน อายเดนพยายามที่จะไม่กลับไปเป็นคนเก่า แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า ตัวตนที่เป็นอยู่นั้นจอมปลอม เราเข้าใจประเด็นนี้เป็นอย่างดีนะคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทิ้งอดีต

แต่พอไปช่วงกลางเรื่อง เมื่ออดีตหวนกลับมาเล่นงานอายเดน เราไม่ชอบปฏิกริยาที่เธอแสดงออก มันช่างเป็นสูตร ช่างเป็นนางเอก และนั่นทำให้เรื่องนี้ดิ่งลงห้วยสำหรับเรา เมื่อ นางเอกต้องเป็นคนแสนดี ยืมเงินมาจ่ายให้พี่ชายที่หาเรื่องใส่ตัว บอกเลิกกับเจ็ทเพราะกลัวเขาจะเดือดร้อน นั่นทำให้เราเกือบเลิกอ่านไปเลยนะคะ โชคดีว่า เราอ่านเรื่องนี้ตอนนั่งเครื่องบินกลับมาจากไต้หวัน ก็เลยไม่มีทางเลือกมาก จะนอนก็ไม่หลับ เลยทนอ่านไปเรื่อย ๆ จนจบในที่สุด

ว่าไปเล่มนี้ไม่ได้เลวร้ายมากมาย แต่เราตั้งความหวังไว้สูงน่ะค่ะ หลังจากอ่านเล่มแรก พอมาเล่มนี้ เลยเหมือนผิดหวังไป

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Rule


Rule
Rule by Jay Crownover

My rating: 4 of 5 stars



เราหยิบเล่มนี้มาอ่านเพราะเริ่มเกิดอาการอินกระแสเรื่องแนว New Adult ค่ะ (หลังจากอ่านเรื่อง Real ของเคตี้ เอแวนส์จบไป ก็เริ่มเข้าถึงเรื่องแนวนี้มากขึ้น) แต่ยอมรับนะคะว่า ไม่ได้คาดหวังมากมาย ส่วนหนึ่งเพราะเราได้ยินก่อนจะเริ่มอ่านว่า หนังสือเล่มนี้มีปัญหาในเรื่องของการตรวจคำสะกดอย่างมาก และเราดูพล็อตแล้วก็ช่างจะแสนธรรมดา เรื่องราวของหญิงสาวผู้เพียบพร้อมที่ตกหลุมรักแบดบอย เข้าแนว Opposite Attract ซึ่งไม่ได้เป็นพล็อตที่เราโปรดปรานอะไรเป็นพิเศษ

แต่พออ่านเข้าจริง ตั้งแต่หน้าแรกเมื่อเรื่องเริ่มต้นด้วยการที่ชอว์ แลนดอน นางเอกของเรื่องไขกุญแจเข้าไปในบ้านของรูล อาร์เชอร์และพบเขากำลังเปลือยอยู่บนเตียงกับผู้หญิงที่เขาหิ้วมาจากบาร์เมื่อคืนวันก่อน เธอปลุกเขาจากอาการเมาค้าง และขับรถพาเขาไปกินข้าววันอาทิตย์กับครอบครัว เราอ่านฉากนั้นก็รู้สึกว่า เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คำโปรยปกหลังเขียนเอาไว้ เพราะมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้น

นี่ไม่ใช่เรื่องของหญิงสาวแสนดีที่ตกหลุมรักแบดบอย ความสัมพันธ์ระหว่างชอว์และรูลซับซ้อนกว่านั้น รูลเข้าใจมาตลอดว่า ชอว์คือแฟนสาวของเรมี่ พี่ชายฝาแฝดที่เสียชีวิตแล้วของเขา และนั่นทำให้เขาไม่เคยมองชอว์ในทางชู้สาวเลย สิ่งที่เขาไม่เคยสังเกตก็คือ ชอว์ไม่เคยมองเรมี่ด้วยสายตาแบบที่เธอมองรูล นั่นเพราะชอว์ตกหลุมรักรูลมาตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว และเรมี่ก็เป็นแค่เพื่อนสนิทคนนึง

เราชอบที่พล็อตเรื่องไม่เหมือนกับคำโปรยบนปกหลังนะคะ การวางเรื่องให้ชอว์และรูลรู้จักกันมานานทำให้เรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือ นี่ไม่ใช่การตกหลุมรักของคนที่แตกต่างสุดขั้ว แต่เป็นความรักของหญิงสาวที่รู้จักรูลดีกว่าตัวเขาเอง ยอมรับในความแตกต่าง และรักเขาเพราะความแตกต่างนั้น

อย่างไรก็ตามนี่เป็นพล็อตเรื่องง่าย ๆ ของคนธรรมดา ๆ และนี่ทำให้เรื่องนี้แตกต่างไปจาก Real อย่างชัดเจน ในขณะที่เราชอบ Real เพราะความยิ่งใหญ่ของตัวละคร เล่มนี้เราตกหลุมรักรูลเพราะความธรรมดาของเขา

ในการบอกว่า รูลเป็นคนธรรมดา เราหมายความถึงการใช้ชีวิตของเขานะคะ เรื่องนี้คนแต่งก็ยังบรรยายพระเอกว่าเป็นชายหนุ่มสุดหล่อที่หญิงสาวต้องมองเหลียวหลังเมื่อเขาเดินผ่าน แต่ถ้าเรามองผ่านใบหน้า (ไม่ว่าจะถูกบรรยายว่าหล่อขนาดไหน) รูลก็คือชายอเมริกันวัยยี่สิบต้น ๆ ที่ใช้ชีวิตคนนึง

เรายอมรับค่ะว่า อ่านเล่มนี้แล้วนึกถึงเพื่อน ๆ สมัยที่เราเรียนที่อเมริกามาก ๆ ชีวิตที่รูล (และชอว์) ใช้ ก็คือสิ่งที่เราเห็นจากเพื่อน ๆ ของเรา รูลทำงานเป็นช่างสัก เรื่องไม่ได้บอกว่า เขาเก่งกาจมีชื่อเสียง หรือมีรายการทีวีเป็นของตัวเอง เขามีฝีมือ และนั่นทำให้เขามีรายได้พอเลี้ยงตัว หลังเลิกงานรูลก็ออกเที่ยวกับเพื่อนสนิท เหล่สาว แล้วหิ้วกลับบ้าน ชีวิตที่ใช้ไปกับการทำงาน เหล้า และอิสระตามแบบที่คนในวัยยี่สิบต้น ๆ ใช้กัน

ขอบอกว่า เรารักในความ "ธรรมดา" ของตัวละคร มันให้บรรยากาศสมจริง เรื่องนี้พระเอกไม่ได้รวยล้นฟ้า ไม่ได้ยากจน ไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสถานการณ์เลวร้าย เขาก็เป็นคนอีกคนนึงที่ใช้ชีวิต

เราไม่แน่ใจว่า คนอื่นจะเข้าใจความชื่นชอบที่เรามีให้กับความธรรมดานี้ไหมนะคะ แต่สำหรับเรา เรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญนี่แหละเขียนยากที่สุด เพราะคุณจะทำยังไงให้ชีวิตของพวกเขาดูน่าสนใจขึ้นมา แน่ล่ะคนแต่งเลือกให้พระเอกหล่อเหลาเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่นั่นก็แค่เปลือกนอก ใคร ๆ ก็เขียนได้ เราชอบเล่มนี้เพราะคนแต่งเขียนชีวิตของชายสุดหล่อคนนี้ให้ออกมาธรรมดา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อไปได้

นั่นทำให้หนังสือเล่มนี้โดดเด่นสำหรับเรา

เราอ่านบลอกของคนแต่งที่เธอพูดถึงรูล เธอบอกว่า แท้จริงแล้วรูลไม่ใช่แบดบอยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้ "แบด" รูลคือชายหนุ่มที่มีงานทำ หาเลี้ยงตัวเอง รับผิดชอบต่อสังคม การที่เขาชอบสัก หรือเจาะตามร่างกาย นั่นคือเปลือก และมันเป็นสิทธิของเขาที่จะใช้ชีวิตแบบที่เขาต้องการ (เมื่อเขาตอบโจทย์ที่สังคมมอบให้ในการรับผิดชอบตัวเองครบแล้ว)

ดังนั้นคาแร็คเตอร์ในเล่มนี้ (รูล และรวมไปถึงชอว์) จึงเป็นสิ่งที่เวิร์คที่สุด และทำให้เราชอบหนังสือเล่มนี้ แม้ว่าพล็อตเรื่องจะธรรมดาทั่วไป สาวแอบหลงรักหนุ่ม แต่เขาไม่เคยเห็น แถมเข้าใจผิดว่า เธอเป็นแฟนของพี่ชาย เมื่อพี่ชายตาย สาวยังคงแอบรัก และถือว่า เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาบ้างก็ยังดี แม้เขาจะไม่เคยมองเห็น จนกระทั่งวันนึงเมื่อดื่มเหล้าเข้าไปมากเกินไป เส้นที่กั้นก็ถูกข้าม เขามองเห็นเธอในที่สุด

อีกส่วนหนึ่งที่เราชอบเล่มนี้ก็คือ การที่รูลไม่จมปลักกับความรู้สึกผิด หรือโทษตัวเอง เขาถูกมารดาโยนความผิดในความตายของเรมี่ พี่ชายฝาแฝดให้ และแม้รูลจะเจ็บปว เรมี่เป็นอีกส่วนหนึ่งของตัวตนของเขา แต่รูลปฏิเสธที่จะแบกรับเอาไว้ เราชอบทัศนคติที่เขามองตัวเอง ความมั่นใจที่เขามีให้ และนั่นนำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชอว์ที่เราชอบ ซึ่งก็คือ การที่เขาไม่ได้คิดว่า ตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ จึงไม่มีประเด็นดอกฟ้าหมาวัดในเล่มนี้ และที่เราชอบมาก ๆ ก็คือ เป็นรูลนั่นเองที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ หลังจากที่ ทั้งสองหลวมตัวมีเซ็กส์กันในวันเกิดของชอว์ หาได้ไม่มากนักนะคะ สำหรับพระเอก (ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น) จะเป็นฝ่ายมาหานางเอก และบอกว่า พวกเขาน่าจะลองคบกันสักหน่อย

และเหมือนเกือบทุกครั้งที่เขียนรีวิวเรื่องแนว New Adult (โดยเฉพาะเรื่องที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก Self Published) เราคงต้องบอกว่า เล่มนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ การสะกดผิดที่ร่ำลือกันมีจริงค่ะ แต่ไม่ได้มากอย่างที่เราคิดว่ามี ส่วนนึงคงเพราะเราอ่านเวอร์ชั่นพรินต์บุ๊ค ซึ่งถือว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกตรวจสอบมากเยอะที่สุด และองค์ประกอบหลายอย่างในพล็อตเป็นสูตรสำเร็จมากเกินไปหน่อย

แต่เราชอบเล่มนี้ เพราะเรารู้สึกว่า เล่มนี้แหละคือ New Adult ของแท้ เรื่องไม่ได้เล่าถึงพระนางที่พิเศษ ร่ำรวย ประสบความสำเร็จ หรือมีโรคบางอย่างที่ทำให้พวกเขาแตกต่าง เล่มนี้เล่าถึงคนธรรมดา ๆ ชายและหญิงที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตตามลำพัง ห่างไกลจากครอบครัว และเพิ่งพาเพื่อนเป็นหลัก

คะแนนที่ 80



View all my reviews

Tuesday, February 11, 2014

Review: Shatter


Shatter
Shatter by Joan Swan

My rating: 3 of 5 stars



นี่เป็นเล่มที่คาดหวัง เป็นคาแร็คเตอร์ที่เราอยากอ่านมาก ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาออกมามีบท และเราเชื่อนะคะว่า ตอนแรกที่โจน สวอนเขียนถึงมิทช์ ฟอสเตอร์ เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาเป็นพระเอก แต่ความสนใจของเราพุ่งไปหาเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาออก พี่ชายฝาแฝดของนางเอก (เรื่อง Fever) ที่ทำทุกอย่างเพื่อตามหาน้องสาวที่ถูกนักโทษ (ก็พระเอกเรื่อง Fever นั่นแหละ) จับตัวไป ชายที่มีอาวุธคือมันสมอง มิทช์ไม่ใช่หน่วยรบพิเศษ เก่งกาจเรื่องปืน หรือการต่อสู้ระยะประชิด เขาเป็นทนายความที่มีเส้นสาย รู้จักคนมากมาย เป็นคนที่ช่วยเหลือคนไร้ทางสู้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระบบ หรือรัฐบาล สรุปแล้ว เราอ่านหนังสือชุดนี้ไป ก็พุ่งความสนใจเดียวไปที่คาแร็คเตอร์คนนี้

ส่วนหนึ่งเราคิดว่า คนแต่งคงไม่เขียนเรื่องราวของเขาเป็นแน่ ไม่น่าจะเขียนเมื่อชุดเป็นเรื่องแนวพารานอมอล และมีพระเอกที่เป็นนักดับเพลิง (ที่โดนสารเคมีจนมีพลังเหนือธรรมชาติ) อีกตั้งหลายคนที่ยังไม่มีเรื่องเป็นของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องกรี๊ดเสียดังค่ะ เมื่อรู้ว่า เล่มนี้จะเป็นเรื่องของเขา

แต่เมื่อได้อ่าน อย่าเข้าใจผิดนะคะ มิทช์ยังเยี่ยมยอดแบบที่เขาเป็น คุณลักษณะของเขาที่เราชอบยังมีอยู่เต็มเปี่ยม ชายที่รู้จักคนมากมาย คนที่ช่วยเหลือคนเอาไว้ และมีคนที่ติดหนี้บุญคุณของเขาอยู่ คนที่ฉลาด และไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับระบบ คนที่ต่อสู้เพื่อคนที่ด้อยกว่า มิทช์ที่เราชอบปรากฎตัวในเล่มนี้ค่ะ ปัญหาก็คือ เรามีความรู้สึกว่า เขามีนางเอกที่ไม่คู่ควร

เรารู้สึกถึงเทรนด์นี้แล้วนะคะ สามเล่มหลังที่เราอ่านงานเขียนของนักเขียนคนนี้ เรารำคาญนางเอกทั้งสามเล่ม ความรู้สึกว่า พวกเธอไม่คู่ควรมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นางเอกเล่มนี้ไม่ถึงกับแย่เท่ากับที่เรารู้สึกกับเจสสิก้า (นางเอกเล่มสาม Rush) แต่ด้วยความชื่นชอบที่เรามีให้กับมิทช์ เราพบว่า หลายครั้งในเรื่อง เราแช่งให้พระเอกทิ้งเธอ แล้วไปหาคนใหม่ที่คู่ควรดีกว่า

เป็นเวลาเจ็ดปีแล้วที่เฮลินาบอกมิทช์ แฟนหนุ่มว่า แท้จริงแล้ว เธอมีสามี และกำลังจะย้ายกลับไปรัสเซียกับเขา นั่นทำลายหัวใจของมิทช์ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นเสือผู้หญิง เปลี่ยนและควงผู้หญิงสาวสวยไม่ซ้ำหน้าในแต่ละวันตลอดช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา

เขาไม่เคยคิดว่า นั่นเป็นแค่คำโกหก จนกระทั่งได้พบกับความจริงว่า เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฮลินาเอาเสียเลย เพราะหลังจากมิทช์เข้าไปพัวพันกับการปกปิดความลับ และการทดลองที่ผิดกฎหมายโดยสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงอำนาจคนนึง (เขาไปเกี่ยวเพราะน้องสาวดันไปแต่งงานกับกลุ่มพระเอกในชุด) เพื่อหาหลักฐานเอาผิดชายคนนั้น มิทช์ตามร่องรอยและพบว่า เบาะแสสำคัญกลายเป็นผู้หญิงที่มาจากอดีตของเขา

เฮลินาไม่ได้แต่งงาน เธอไม่ใช่คนที่เขาคิดว่า เธอเป็น แท้จริงแล้วเฮลินาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองให้กับคนร้าย บางอย่างทำให้เธอหลบหนีออกไปซ่อนตัว แต่มิทช์หาตัวเธอจนเจอ แต่การค้นหาความลับที่เธอซ่อนไว้ ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่เธอปกปิดเขาเอาไว้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงนั้นหรือ

เราต้องบอกว่า พล็อตเรื่องโอเคนะคะ แต่เรามีปัญหากับนางเอกมาก ๆ เราเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของเธอนะคะ ด้วยสถานการณ์ที่เกิด เราโอเคกับการตัดสินใจของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอไม่เชื่อใจมิทช์ และไม่บอกความจริงแก่เขา สร้างเรื่องจนกลายเป็นความเข้าใจผิด ไล่เขาให้ออกไปจากชีวิต ทั้งหมดนี้เรายอมรับได้ แต่เราไม่ชอบเธอตรงที่ เกือบตลอดทั้งเรื่อง เธอทำตัวเป็นผู้เสียสละ และคนแต่งก็เขียนในแง่นั้น ส่งเสริมทิศทางเรื่องให้ไปในแนวนี้ กดดันให้คนอ่านต้องยอมรับว่า นางเอกช่างแสนดี ช่างเสียสละ ช่างรักพระเอกเหนือตัวเองอะไรแบบนี้

คือเราคิดว่า มันจะดีกว่าไหม ถ้าให้คนอ่านรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เอง โดยที่ไม่ต้องตอกย้ำทุก ๆ สองบรรทัด นั่นจึงกลายเป็นการทำให้เรารู้สึกว่า นางเอกน่ารำคาญ ทำความดีแล้วก็กลัวว่า คนจะไม่รู้ ต้องย้ำในสมอง (คือเธอไม่ได้พูดออกมา แต่คิด แต่คนอ่านก็ดันรู้ด้วยไง) ตลอดว่า เธอเสียสละทุกอย่าง ทำทุกอย่างเพื่อมิทช์

แล้วยังจะความไม่เชื่อใจที่เธอมีให้เขา ตลอดทั้งเรื่องเฮเลน่าวิ่งหนีมิทช์ เหตุผลของเธอก็คือ ความเสียสละ (อีกแล้ว) เพื่อปกป้องเขา มีสักวินาทีนึงไหมที่เธอคิดว่า การที่เธอจากไป ทำอะไรกับเขาบ้าง

เรารู้สึกว่า นางเอกเรื่องนี้เป็น แม่พระซินโดรม น่ะค่ะ แล้วกลัวคนไม่รู้ด้วยว่า ตัวเองเป็นคนดี ต้องตอกย้ำอยู่เรื่อย ๆ

เสียดายพระเอกมาก ๆ และนั่นทำให้ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรหนักหนา เรากลับหงุดหงิดไปตลอดเวลาที่อ่าน เราคาดหวังว่า มิทช์จะได้อะไรในสิ่งที่ดีกว่านี้ (คือเราต้องการคนที่เหมาะสมกับเขา)

เรื่องน่าเสียดายอีกอย่างก็คือ เราคิดว่า คนแต่งจงใจเลี่ยงไม่บรรยายรูปร่างหน้าตาของมิทช์ ปกติเราไม่ใช่คนที่ให้ความสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของคาแร็คเตอร์เท่าไหรนะคะ แต่เท่าที่เราจำได้ (และเราชอบมิทช์มาก) เขาไม่ได้เหมือนพระเอกนักบู๊ทั่วไป เขาน่าจะมีเชื้อสายเอเชียด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกเอ่ยถึง ทุกอย่างเหมือนถูกกลบ ๆ ให้คนอ่านไปเข้าใจเองว่า พระเอกก็ล่ำบึกตามปกติ เป็นเรื่องน่าเสียดายอีกอย่างค่ะ เรามองว่า มิทช์เป็นผู้ชายธรรมดาที่เอาตัวรอดด้วยสมอง (คือเนื้อเรื่องเราโอเคนะคะ พระเอกเก่งพอตัว ไม่ได้เก่งเหนือมนุษย์) นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบเขามาตั้งแต่แรก แต่พอเป็นเล่มของเขาเอง เรื่องกลับไม่ได้เน้นจุดนี้

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Review: Eternal Hunger


Eternal Hunger
Eternal Hunger by Laura Wright

My rating: 3 of 5 stars



เราเป็นคนใจง่าย (ในระดับนึง) กับนักเขียนหน้าใหม่ค่ะ ทำให้เมื่อเราดูรายชื่อหนังสือออกใหม่ แล้วเห็นชื่อนักเขียนที่ไม่คุ้นหู กับเรื่องแนวพารานอมอล แม้จะเป็นแนวแวมไพร์อีกแล้ว เราก็ตัดสินใจลองเสี่ยงสั่งซื้อมาอ่านดูค่ะ

ซึ่งหลังจากอ่านไปไม่ถึงครึ่งเรื่องด้วยซ้ำ เราก็รู้สึกทึ่งเล็ก ๆ กับฝีมือของลอรา ไรท์ มากพอที่จะทำให้เราลุกจากเตียงกลางดึก เปิดเครื่องคอมฯ แล้วหาข้อมูลเกี่ยวกับเธอในอินเตอร์เน็ต

และมันก็ทำให้เราอึ้งไปอีกพักใหญ่ เพราะลอรา ไรท์ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่ เธอเคยมีผลงานกับฮาร์ลิควินมาเป็นสิบเล่ม โดยเขียนให้กับซิลลูเอ็ตดีไซน์ จากจุดนั้นเองทำให้เรานึกเปรียบเทียบเธอกับนลินี ซิงห์ เพราะคล้ายคลึงกันตรงที่นลินี ก็เคยเขียนให้กับดีไซน์มาก่อน ที่จะหันมาเขียนเรื่องแนวพาราฯ

แต่โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า เราเทียบระดับลอรา ไรท์เท่ากับนลินีนะคะ แต่เล่มแรกของเธอก็ทำให้เรารู้สึกสนใจได้เยอะเลยล่ะ

Eternal Hunger ของลอรา ไรท์

หนังสือเรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุด Mark of the Vampire ที่เล่าเรื่องพี่น้องสามคนในตระกูลโรมัน ซึ่งไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาเป็นแวมไพร์ และไม่ใช่แวมไพร์ทั่วไปอีกต่างหาก นั่นเพราะพวกเขาเกิดจากความพยายามในการรักษาเผ่าพันธุ์แวมไพร์เอาไว้

แวมไพร์ในหนังสือชุดนี้ไม่เหมือนตำนานที่เราคุ้นเคย มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ผสมข้ามเผ่าไม่ได้ และเนื่องจากประชากรของแวมไพร์ลดน้อยลง สภาแวมไพร์ที่ทรงอำนาจตัดสินใจดัดแปลงพันธุกรรมของแวมไพร์สามคน ทำให้พวกเขากลายเป็นพ่อพันธุ์ชั้นดี ข้อเสียก็คือ แวมไพร์ทั้งสามกระหายในเซ็กส์จนเสียสติ ทำให้ต้องถูกจับขังเอาไว้ แล้วนำมาผสมเป็นครั้งคราว กับหญิงสาวที่โชคร้ายมากพอที่จะถูกเลือกให้กับพวกเขา

พี่น้องตระกูลโรมันทั้งสาม คือผลผลิตของการกระทำนั้น ชีวิตของพวกเขายากลำบาก เพราะเหล่าเป็นมารดา (ที่เป็นคนละคนกัน แต่พ่อเดียวกัน) ล้วนเกลียดชังการเกิดของพวกเขายิ่งนัก ความเกลียดลามมาถึงลูกของพวกเธอด้วย

เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ชายทั้งสามตัดสินใจหลบหนีออกจากชุมชมแวมไพร์ที่พวกเขาอาศัยอยู่ ออกมามีชีวิตอย่างอิสระในโลกภายนอก สลัดทิ้งวิถีชีวิตแบบแวมไพร์ที่ถูกควบคุมโดยสภา

หนึ่งร้อยปีที่พวกเขามีชึวิตเป็นของตัวเอง อยู่อย่างอิสระ แต่แล้วอดีตก็ไล่ตามพวกเขาทัน

มันเริ่มต้นด้วยการที่อเล็กซานเดอร์ โรมันถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์เต็มรูปแบบ แม้ว่า เขายังน่าจะเหลือเวลาอีกหนึ่งร้อยปี (แวมไพร์ที่ยังไม่ผ่านการเปลี่ยน จะสามารถทนแสงแดดได้ แต่ก็จะมีพลังไม่เต็มที่เหมือนพวกที่เปลี่ยนแล้ว) แต่สภาแวมไพร์เลือกที่จะเปลี่ยนเพื่อบังคับให้เขาทำงานให้

นั่นคือ การตามล่าแวมไพร์ลูกผสมที่กำลังคิดก่อกบฎอยู่ และถ้าเขาทำไม่สำเร็จ น้องชายอีกสองคนของเขาก็จะถูกเปลี่ยนก่อนเวลาอันควรเช่นกัน

สังคมแวมไพร์ในเรื่อง แตกร้าว และแบ่งเป็นฝ่าย แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์ คือชนชั้นปกครอง และใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาบังคับให้แวมไพร์เลือดผสม ซึ่งเกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นแวมไพร์ กับมนุษย์ ถูกตอนเพื่อไม่ให้มีลูกหลานเพิ่ม แถมยังกดขี่ข่มเหง สารพัด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกบฎ แต่กลุ่มกบฎเองก็ไม่ได้กำลังทำเพื่อผลประโยชน์ของใคร นอกจากตัวเอง

สำหรับพี่น้องโรมัน พวกเขาไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับศึกครั้งนี้ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก สภาแวมไพร์เลือกพวกเขา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่สุด ต้องไปต่อกร

ด้วยความบังเอิญ หรือโชคชะตา ในยามที่อเล็กซ์ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์เต็มตัว เขาได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์สาวนามว่า ซาราห์ โดโนฮิวท์ ที่ช่วยเขารอดจากแสงแดดแผดเผา ในขณะเดียวกัน ชีวิตของซาราห์ก็กำลังยุ่งเหยิง อดีตคนไข้ของเธอ สติแตกและตัดสินใจตามล่าซาราห์ เพราะหลงรัก แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย อเล็กซ์ช่วยเธอไว้ได้ พร้อมกับตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์คุ้มครองหญิงสาว จนกว่า จะจัดการคนไข้ของเธอได้

โดยหารู้ไม่เลยว่า ชะตากรรมของเขา และซาราห์ พัวพันกันมากกว่าที่คิด

ในแง่ของโลกในเรื่อง ชุดนี้ไม่ถึงว่าใหม่มากนะคะ เรารู้สึกถึงกลิ่นของชุด Midnight Breeds ของลารา เอเดียนเล็กน้อย ในแง่ของความมืดของสังคมแวมไพร์ การแบ่งออกเป็นชุมชนย่อย ๆ ที่รักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมราวกับย้อนยุค อีกส่วนหนึ่งก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสามพี่น้องโรมัน จึงนี้ทำให้เรานึกถึงชุดเดมอนิกาของลาริสสา ไอโอนมาก เราชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างอเล็กซ์, นิโคลัส, และลูเซียนมาก มันถือเป็นไฮไลท์ของเรื่องเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งสามผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมาด้วยกัน แต่ละคนมีปีศาจเกาะหลังที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสามก็ทำทุกอย่างเพื่อกันและกัน

เราคิดว่า ได้เจอนางเอกของลูเซียนในเล่มนี้แล้วนะคะ (เรื่องของเขาน่าจะเป็นเล่มสามในชุด แต่คาแร็คเตอร์เด่นแบบเกินหน้า) นั่นยิ่งทำให้อยากอ่านชุดนี้มากขึ้น

แม้เราจะบอกว่า โลกอาจจะไม่ได้ดูใหม่อะไร แต่ก็ไม่ได้ถึงกับลอกมาหรอกนะคะ โครงสร้างหลายอย่างมาจากความคิดอันล้ำหน้าของ คนแต่ง ทำให้เรื่องน่าสนใจดี เราติดใจนิดเดียวตรงจังหวะการเล่าเรื่อง เพราะตอนต้นทำเอาเราสับสนไปพอสมควร เพราะไม่ได้ปูพื้นมาก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีคำอธิบาย กว่ามันจะเริ่มอธิบาย ก็งงไปพักใหญ่แล้ว

ในแง่คาแร็คเตอร์ บอกตามตรงว่า ทั้งอเล็กซ์ และซาราไม่ถึงกับทำให้เราประทับใจได้มากนัก แต่นิโคลัส และลูเซียน (โดยเฉพาะลูเซียน) น้องชายของอเล็กซ์ ทำเอาฝันไปเลย กระนั้น (ความไม่โดดเด่นของคาแร็คเตอร์) ก็ไม่ได้เสียหาย เพราะพล็อตเรื่องเลี้ยงตัวมันเองได้ และตัวประกอบก็น่าอ่านทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้องของอเล็กซ์ อยางที่บอกไป หรือน้องชายของซาราห์ที่เรารู้สึกว่า เขาต้องกลายเป็นตัวสำคัญในอนาคต (ถ้าคนแต่งได้เขียนต่อเล่มสี่นะคะ)

สิ่งเดียวที่เราก็กลัวก็คือ หนังสือชุดนี้อาจจะออกมาช้าเกินไป เพราะแวมไพร์มันท่วมตลาดแล้วนะคะ เราไม่รู้ว่า มันจะฝ่าออกมาให้คนเห็นได้มากน้อยแค่ไหน ที่แม็กซ์กลัวก็เพราะ เราสนใจตัวละครหลายตัวในเล่มนี้ และอยากอ่านเรื่องราวของพวกเขา แต่ถ้าชุดนี้มีแค่สามเล่ม เราคงหมดโอกาส และนั่นคงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง

โดยรวมนี่เป็นเล่มแรกในชุดที่จับใจเราได้อย่างมาก โดยตัวของมันเอง (คือพระเอกและนางเอก) อาจจะไม่เท่าไหร แต่ในฐานะส่วนหนึ่งในภาพรวม แม็กซ์ชอบมากค่ะ

คะแนนที่ 67




View all my reviews

Review: Eternal Kiss


Eternal Kiss
Eternal Kiss by Laura Wright

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด Mark of the Vampire ที่เล่าเรื่องพี่น้องสามคนในตระกูลโรมัน ซึ่งไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาเป็นแวมไพร์ และไม่ใช่แวมไพร์ทั่วไปอีกต่างหาก นั่นเพราะพวกเขาเกิดจากความพยายามในการรักษาเผ่าพันธุ์แวมไพร์เอาไว้

แวมไพร์ในหนังสือชุดนี้ไม่เหมือนตำนานที่เราคุ้นเคย มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ผสมข้ามเผ่าไม่ได้ และเนื่องจากประชากรของแวมไพร์ลดน้อยลง สภาแวมไพร์ที่ทรงอำนาจตัดสินใจดัดแปลงพันธุกรรมของแวมไพร์สามคน ทำให้พวกเขากลายเป็นพ่อพันธุ์ชั้นดี ข้อเสียก็คือ แวมไพร์ทั้งสามกระหายในเซ็กส์จนเสียสติ ทำให้ต้องถูกจับขังเอาไว้ แล้วนำมาผสมเป็นครั้งคราว กับหญิงสาวที่โชคร้ายมากพอที่จะถูกเลือกให้กับพวกเขา

พี่น้องตระกูลโรมันทั้งสาม คือผลผลิตของการกระทำนั้น ชีวิตของพวกเขายากลำบาก เพราะเหล่าเป็นมารดา (ที่เป็นคนละคนกัน แต่พ่อเดียวกัน) ล้วนเกลียดชังการเกิดของพวกเขายิ่งนัก ความเกลียดลามมาถึงลูกของพวกเธอด้วย

อันนี้เราลอกตัวเองมาจากบลอกที่เขียนรีวิวเล่มแรกในชุดนะคะ

ตัวเอกของเล่มนี้คือ นิโคลัส โรมัน น้องชายคนรอง คนที่เปรียบเสมือนกาวที่ผสานพี่น้องทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน นั่นเพราะนิกกี้ มีสติที่เยือกเย็นที่สุด มีเหตุผล และแทบจะไม่มีรอยแผลจากการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายในอดีต

เขาเป็นพี่น้องโรมันคนที่สองที่ถูกสภาแวมไพร์เปลี่ยนให้กลายเป็นแวมไพร์เต็มตัว ซึ่งจะมีพลังเพิ่มขึ้น แต่ทนแสงแดดไม่ได้ เพื่อบีบให้เขาตามหาหัวโจกของกลุ่มแวมไพร์ลูกผสมที่คิดก่อการกบฎ ซึ่งหาเขาทำไม่สำเร็จ สภาก็จะเปลี่ยนลูเชียน น้องชายคนสุดท้องของเขาบ้าง และนิโคลัสรู้ว่า ลูเชียนซึ่งสืบทอดลักษณะมาเกือบครบจากผู้เป็นบิดา หากถูกเปลี่ยน ลูเชียนก็จะกลายเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์ ขาดสติที่จะควบคุมตัวเองไป ดังนั้นเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลูเชียนมีเวลาที่จะใช้ชีวิตอย่างแวม ไพร์ธรรมดาให้มากที่สุด (เพราะในที่สุดก็ต้องถูกเปลี่ยนเมื่ออายุครบสามร้อยปี แต่พี่น้องตระกูลโรมันถูกเปลี่ยนก่อนเวลา)

ก่อนที่เราจะเริ่มอ่าน แม็กซ์ไม่สนใจเล่มนี้เท่าไหรเลยนะคะ เพราะคาแร็คเตอร์อย่างนิกกี้ไม่น่าสนใจ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ แต่คนแต่งก็พิสูจน์ว่าเราคิดผิด

ซึ่งรวมทั้งพี่น้องของนิโคลัสด้วย เพราะท่ามกลางความปกติ นิโคลัสมีรอยแผลเป็นอันใหญ่ ที่ยังไม่หายด้วยซ้ำซ่อนอยู่

อดีตที่เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของมารดา ทำให้เขาไม่อาจมีชีวิตทางเพศที่ปกติได้ นิโคลัสไม่อาจมีความสุขหากไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นแม้เขาและพี่น้องจะอยู่กันอย่างร่ำรวย และสงบสุข นิโคลัสก็ไม่อาจเลิกอาชีพเก่าได้

เขาเป็นหนึ่งในแวมไพร์ที่ขายบริการเพื่อความสุข อาชีพที่เขาทำอย่างลับ ๆ โดยปกปิดเอาไว้จากคนอื่นในครอบครัว

ผลของการถูกเปลี่ยน และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ยุ่งยากเท่ากับการปรากฎตัวของเคท แวมไพร์สาวที่เขาไม่รู้จัก ที่มาพร้อมกับเด็กชายที่เธออ้างว่า เป็นลูกชายของเขา ชื่อของมารดาของเด็กคนนั้น นิโคลัสจำได้ว่า เคยมีความสัมพันธ์ด้วย แต่กระนั้นนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะวุ่นวายเรื่องครอบครัว

แต่เขาไม่มีทางเลือก และยิ่งไม่มีทางเลือกมากขึ้นไปอีก เมื่อเส้นทางของเขาและเคทวนมาบรรจบกันอีก เพราะเธอกลับกลายเป็นเป้าหมายของแวมไพร์ลูกผสมที่เขาตามไล่ล่าอยู่ ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นเหยื่อล่อชั้นดี

ตอนที่อ่านเล่มแรกในชุด แม็กซ์ชอบโลกในเรื่องนี้มากนะคะ มากพอที่เราจะติดตามอ่านต่อเล่มสอง แม้ว่า เราจะรู้สึกว่า คาแร็คเตอร์ของพระนางเล่มแรกไม่โดนเท่าไหร แต่มาเล่มนี้ แม็กซ์โดน (กระหน่ำ) เต็ม ๆ เลยค่ะ ชอบพระเอกและนางเอกมาก โดยเฉพาะพระเอก (ก็อยู่แล้ว)

คาแร็คเตอร์ของนิโคลัสถูกใจเรานะคะ ท่ามกลางฉากหน้าที่ดูเหมือนปกติ และสมบูรณ์แบบ เขาซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างมาก และเอาเข้าจริง เขาก็ยังมีปีศาจในใจที่ไม่อาจหนีพ้น ซึ่งนั่นทำให้เขาเหมาะสมกับนางเอกของเรื่องมาก ๆ เพราะเคทเองก็มีภูมิหลัง เธอติดคุกของแวมไพร์เป็นเวลานาน และเมื่ออิสรภาพอยู่แค่เอื้อม เธอก็ดันโดนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครสนใจว่า เธอจะโดนลูกหลงอะไรบ้าง มีเพียงนิโคลัสคนเดียวที่ห่วงใยเธอ

ตอนนี้เราอยู่ในภาวะหวาดกลัวค่ะ เพราะดูแล้ว คนไม่ค่อยพูดถึงหนังสือชุดนี้กันเท่าไหร ทำให้อนุมานได้ว่า คงไม่ฮิตติดลมอะไรนัก ทำให้กลัวว่าจะได้อ่านแค่สามเล่ม แต่คาแร็คเตอร์หลาย ๆ ตัวในชุดนี้ล้วนน่าสนใจมาก และยิ่งมาอ่านเล่มนี้ที่คนแต่งเขียนคาแร็คเตอร์ได้โดนใจ ทำให้เรายิ่งอยากอ่านงานของเธอเพิ่มพูนทวี (แปลว่า มาก ๆ)

เล่มหน้าเรื่องของน้องนุชสุดท้อง ลูเชียนหัวแข็ง และแสนดื้อ แวมไพร์ที่ถูกกำหนดโดยโชคชะตาว่าจะกลายเป็นพ่อพันธุ์ การเสียสติรอคอยเขาอยู่ อยากอ่านมากค่ะ

คะแนนที่ 77



View all my reviews

Review: Eternal Captive


Eternal Captive
Eternal Captive by Laura Wright

My rating: 4 of 5 stars



เล่มสามในชุด เล่มที่เรากรี๊ดอยากอ่านมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพระเอกในเล่มแรก เรื่องราวย้อนกลับมาเล่าถึงพี่น้องในตระกูลโรมันอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นเรื่องของน้องนุชสุดท้องอย่างลูเซียน โรมัน

เนื่องจากประชากรของแวมไพร์ลดน้อยลง สภาแวมไพร์ที่ทรงอำนาจตัดสินใจดัดแปลงพันธุกรรมของแวมไพร์สามคน ทำให้พวกเขากลายเป็นพ่อพันธุ์ชั้นดี ข้อเสียก็คือ แวมไพร์ทั้งสามกระหายในเซ็กส์จนเสียสติ ทำให้ต้องถูกจับขังเอาไว้ แล้วนำมาผสมเป็นครั้งคราว กับหญิงสาวที่โชคร้ายมากพอที่จะถูกเลือกให้กับพวกเขา

พี่น้องตระกูลโรมันทั้งสาม คือผลผลิตของการกระทำนั้น ชีวิตของพวกเขายากลำบาก เพราะเหล่าเป็นมารดา (ที่เป็นคนละคนกัน แต่พ่อเดียวกัน) ล้วนเกลียดชังการเกิดของพวกเขายิ่งนัก ความเกลียดลามมาถึงลูกของพวกเธอด้วย

และสำหรับลูเซียน โชคชะตาอันเลวร้ายได้รอคอยเขาอยู่ ด้วยลักษณะและการตรวจสอบดีเอ็นเอ มันค่อนข้างแน่นอนว่า ลูกากำลังจะกลายเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์คนใหม่ล่าสุด นั่นเพราะเขามียีนส์ที่คล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดา (ซึ่งเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์คนดั้งเดิม ซึ่งตอนนี้ถูกเข้าใจว่า ตายไปแล้ว แต่ความจริงก็คือ กลายเป็นหนึ่งในสมาชิคสภาแวมไพร์) นั่นทำให้ลูกามีเวลาเหลืออีกไม่มาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขากลายเป็นแวมไพร์เต็มตัว (ซึ่งจะทำให้เขามีพลังมากขึ้น แต่จะโดนแสงแดดไม่ได้) เขาก็จะเสียสติไปเพราะยีนส์ในร่างกายที่จะทำให้เขากระหายเซ็กส์จนไม่อาจควบคุมตัวเองได้

นั่นมันอีกร้อยเจ็ดสิบห้าปี เพราะแวมไพร์จะต้องอายุครบสามร้อยปีก่อนถึงจะเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ตัวเต็มวัย กระนั้นเวลาของลูกากลับใกล้เข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเพราะเขายอมให้บรอนวีน แวมไพร์สาวจากตระกูลสูงดื่มเลือดของเขา ซึ่งนั่นเป็นการปลุกยีนส์ของการเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์ในตัวของเขาให้ตื่นขึ้น ซึ่งถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขามีเ็ซ็กส์กับเธอ ก็จะทำให้วงจรสมบูรณ์ และลูกาก็จะกลายเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งถ้าเขายังต้องการมีอิสระ เขาจะต้องอยู่ให้ห่างจากเธอ

แต่ลูกาทำไม่ได้ เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ กระทั่งแม้รู้ว่า บรอนวีนได้พบกับคู่แท้ของตัวเองแล้ว และกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับแวมไพร์อีกคน เขาก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกได้ สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ บรอนวีนสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้น เธอเลือกที่จะแต่งงานกับเพื่อนสนิท เพราะไม่ต้องการให้ความจริงที่ว่า ตัวเองไม่มีคู่แท้ (แวมไพร์จะมีคู่แท้ และปรากฎสัญลักษณ์ขึ้นบนร่างกายของพวกเขา) เนื่องจากเธอกลัวที่จะถูกส่งไปให้แวมไพร์พ่อพันธุ์ทำให้ท้อง หากยังหาคู่ไม่ได้ และเพื่อนสนิทของเธอก็สูญเสียหญิงสาวที่เขารักไปเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ตกลงที่จะเล่นละครครั้งนี้

แต่หลังจากพิธีแต่งงาน บรอนวีนก็โดนลักพาตัวไป โดยแวมไพร์ชั่วร้ายที่มีแผนการเตรียมไว้ แวมไพร์ผู้นี้คือเจ้าความคิดในการดัดแปลงพันธุกรรม เป็นผู้สร้างแวมไพร์พ่อพันธุ์คนแรก ๆ ขึ้นมา และคราวนี้เขาวางแผนจะผสมแวมไพร์พ่อพันธุ์กับแวมไพร์แม่พันธุ์ (ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน) แต่แวมไพร์พ่อพันธุ์คนเีดียวที่เหลืออยู่ก็คือ ลูเซียน โรมัน และเขาต้องอาศัยบรอนวีนเป็นการกระตุ้นให้ลูกาเปลี่ยนก่อนวัยอันควร

ทั้งสองจึงถูกจับมาขังร่วมกัน และปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไป

พล็อตเล่มนี้ง่ายมากนะคะ และพระเอกไม่ได้แสดงฝีมืออะไรเลย เพราะทั้งเรื่องถูกจับขัง หลังจากหนีมาได้ ก็ถูกขังต่ออีก เพราะเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์ ทำให้ไม่อาจควบคุมสติ หรือตัวเองได้ แต่ก็ขอบอกว่า คนแต่งก็เขียนให้เรื่องน่าสนใจได้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ (อย่างน้อยก็สำหรับเรา) ถึงความแข็งแกร่งของหนังสือชุดนี้ ซึ่งในเวลานี้ขอบอกเลยค่ะว่า เข้ามาอยู่กลางดวงใจของเราอีกชุดนึงแล้วล่ะ

จุดเด่นของเรื่องก็คงต้องเป็นปฏิกริยาระหว่างบรอนวีน และลูกาซึ่งฮ็อต ฮ็อต แล้วก็ฮ็อตมาก ๆ อ่านแล้วสื่อถึงความโหยหาของคนสองคนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้อนาคตที่ลูกาต้องเผชิญ ฝันร้ายที่เขารู้ว่า จะมาถึง การกลายเป็นแวมไพร์พ่อพันธุ์คือจุดจบ เพราะเขาจะไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป ยิ่งทำให้เรารู้สึกเห็นใจ และสื่อถึงเขามากขึ้น แม้ว่า่ลูกาจะเป็นผู้ชายที่ปากเสียมากที่สุดคนนึง และนี่ก็เป็นจุดเด่นของเรื่องอีกเช่นกัน

ตั้งแต่อ่านหนังสือมา ลูกาเป็นพระเอกที่สบถ และพูดคำหยาบมากที่สุด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหานะคะ เรายิ่งรู้สึกว่า นี่คือตัวตนของเขา และทำให้เรื่องมีความสมจริงอย่างยิ่ง พูดตรง ๆ ก็คือ อ่านไปก็กรี๊ดพระเอกไปค่ะ

ทางด้านนางเอกแม้จะไม่โดดเด่นเท่ากับพระเอก แต่ก็ถือว่าคู่ควร และเหมาะสมกับเขาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องที่ทั้งเรื่องเธอแทบจะไม่ต้องทำอะไร (เพราะถูกจับขังกะพระเอกเกือบทั้งเรื่อง) บรอนวีนมีตัวตนที่ชัดเจน และเข้าใจได้ว่า ทำไมเธอจึงเป็นที่ปรารถนาของลูกายิ่งนัก

ข่าวดีก็คือ เล่มนี้ยังไม่ใช่เล่มสุดท้ายของชุด ข่าวว่าลอราเซ็นต์สัญญาเขียนต่ออีกอย่างน้อยสองเล่ม และหนึ่งในนั้นจะเป็นเรื่องของเกรย์ และดิลลอน (โอ้ยไม่รู้จะบรรยายความดีใจออกเป็นตัวหนังสือได้ยังไง) ส่วนอีกเล่มก็ลุ้นกันไปค่ะ เพราะเล่มนี้เปิดตัวละครใหม่เยอะมาก

ตอนนี้กลายเป็นแฟนของหนังสือชุดนี้ไปแล้วค่ะ คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: Eternal Blood


Eternal Blood
Eternal Blood by Laura Wright

My rating: 4 of 5 stars



เล่มนี้เป็นเล่มอยู่ตรงกลางระหว่างเล่มสอง และสามในชุด (ดังนั้นขอนับว่าเป็น 2.5 แล้วกันนะคะ) เล่าเรื่องของคาแร็คเตอร์ที่จะเป็นพระเอกนางเอกของเล่มสี่ ดังนั้นทำใจเลยนะคะว่า เนื้อเรื่องค้างคาไม่จบในตอน ทิ้งท้ายแบบให้ติดตามอ่านกันต่อไป

เกรย์ โดโนฮิว อดีตคนไข้โรคจิตที่ใช้เวลามากกว่าค่อนชีวิตในโรงพยาบาล เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ทำให้บิดาเสียชีวิต และสร้างรอยแผลเป็นให้กับเขา ทำให้เกรย์มีชีวิตอย่างคนไม่สมประกอบเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งความจริงเปิดเผยออก ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านเรื่อง Eternal Hunger ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุด ก็คงจะงงชีวิตไปไม่น้อย ดังนั้นเราไม่แนะนำให้ใครเริ่มต้นอ่านชุดนี้ที่เล่มนี้นะคะ

ความจริงก็คือ เกรย์เป็นแวมไพร์ ซึ่งตามคอนเซ็ปต์ของหนังสือเล่มนี้ แวมไพร์ไม่เหมือนตำนานที่เราคุ้นเคย มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ผสมข้ามเผ่าไม่ได้ และสภาแวมไพร์มีนโยบายกีดกันทางเชื้อชาติ นั่นคือ แวมไพร์ที่เป็นลูกผสมกับมนุษย์ หรือแวมไพร์ที่ถูกเปลี่ยนจากมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์ทั้งคู่ จะถูกกดลงเป็นพลเมืองชั้นสอง ที่นอกจากจะไม่มีสิทธิแล้วก็ยังถูกจับตอนเพื่อไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศ จะได้ไม่มีลูกหลานสืบสายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ต่อไป

และเกรย์ก็คือลูกผสมระหว่างแวมไพร์สายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ แต่เขาถูกเลี้ยงดูโดยคิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ การตามล่าจากแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ทำให้เกิดไฟไหม้ และบิดาของเสียชีวิตลง เกรย์เสียสติไปกับความหวาดกลัว ก่อนที่จะได้พระเอกเล่มแรกในชุดช่วยจนกลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง

ถ้าจะเรียกว่าเขาปกติได้นะ นั่นเพราะเกรย์ต้องปรับตัวกับการมีชีวิตอีกครั้ง และกับความจริงที่ว่า เขาเป็นแวมไพร์ ทำให้จากคนไข้โรคจิต เกรย์กลายเป็นเพลย์บอยที่มั่วไปทั่ว แต่แล้วเขาก็ตกเป็นเหยื่อของสภาแวมไพร์ ที่ไล่จับแวมไพร์สายเลือดผสม แต่ก่อนที่จะถูกจับตอน เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากแวมไพร์สาวที่เขาแอบปิ๊งมานานอย่างดิลลอน

ที่เล่าไปก็เกือบจบเรื่องแล้วล่ะค่ะ อย่างที่บอกเล่มนี้เป็นเหมือนบทเริ่มต้นในเรื่องราวระหว่างเกรย์ และดิลลอน ก่อนจะต้องไปติดตามอ่านกันต่อในเล่มของพวกเขาเอง เล่มสี่ในชุด Eternal Beast (ยังไม่ออกขาย) แต่แม้จะเป็นเรื่องสั้น เราก็ขอบอกว่า เล่มนี้เขียน Sexual Tension ได้แบบเด็ดขาดมาก ฮ็อตสุด ๆ ชนิดที่ไม่ต้องมีฉากเซ็กส์ชนิดที่เข้าด้ายเข้าเข็ม ปฏิกริยาทางเคมีระหว่างเกรย์ และดิลลอนสุดยอดมาก ๆ แค่ฉากนี้ก็คุ้มค่าราคาจ่ายแล้วล่ะค่ะ

เรื่องนี้มีประเด็นทิ้งท้ายไว้เยอะนะคะ เกรย์ดูเหมือนจะเริ่มมีเป้าหมายในชีวิต และค้นพบตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เห็นถึงความรู้สึกที่เขามีต่อดิลลอนได้ชัดเจนมากขึ้น (หลังจากแค่สงสัยตอนที่อ่านในเล่มก่อนหน้า) แต่เพราะเรื่องราวค้างคา จึงยากมาก ๆ ในการให้คะแนน ดังนั้นเราไม่ให้นะคะ เพียงแต่จะบอกว่า สำหรับคนที่ตามอ่านเรื่องชุดนี้ ห้ามพลาดเด็ดขาด



View all my reviews

Review: Eternal Beast


Eternal Beast
Eternal Beast by Laura Wright

My rating: 5 of 5 stars



นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่เรารอคอยอ่านค่ะ ดังนั้นจึงเป็นโชคดีของเราอย่างมากที่ได้เล่มนี้มาในช่วงเวลาที่อาการเบื่อหนังสือของเรากำลังกำเริบ เพราะหลังจากอ่านเล่มนี้จบไป ความอยากอ่านหนังสือก็กลับมาเลยล่ะค่ะ เราอ่านเล่มนี้ด้วยความรวดเร็ว และจบลงอย่างประทับใจ แม้จะต้องบอกว่า มีอะไรหลายอย่างที่ดูไม่ค่อยลงตัว แต่ความชอบเกือบทั้งหมดที่เรามีต่อเล่มนี้ก็คือ คาแร็คเตอร์ของพระเอกและนางเอก

Eternal Beast ของลอรา ไรท์

เรื่องนี้เป็นเล่มที่สี่ในชุด Mark of the Vampire และคงต้องบอกว่า ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีในการอ่านเรื่องชุดนี้ค่ะ เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้า รวมทั้งความสัมพันธ์ของทั้งพระเอกและนางเอกที่รู้จักกัน มีปฏิกริยาต่อกันมาก่อนจะเริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทำให้คนที่ไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้ามาก่อนเลย คงจะออกอาการงง หรือถ้าไม่งง ก็อาจจะไม่เข้าใจความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์และดิลลอน ซึ่งมันซับซ้อนมาก

แบ็คกราวด์ของเรื่องชุดนี้ เราขอลอกที่เราเขียนก่อนหน้าแล้วกันนะคะ

คอนเซ็ปต์ของเรื่องชุดนี้ แวมไพร์ไม่เหมือนตำนานที่เราคุ้นเคย มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง และสภาแวมไพร์มีนโยบายกีดกันทางเชื้อชาติ ไม่ต้องการให้มีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ นั่นคือ แวมไพร์ที่เป็นลูกผสมกับมนุษย์ หรือแวมไพร์ที่ถูกเปลี่ยนจากมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์สายพันธุ์แท้ทั้งคู่ จะถูกกดลงเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกเรียกว่า อิมเพียว (แปลง่าย ๆ ก็คือ สายเลือดไม่บริสุทธิ์) ที่นอกจากจะไม่มีสิทธิแล้วก็ฝ่ายชายยังถูกจับตอนเพื่อไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศ จะได้ไม่มีลูกหลานสืบสายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ต่อไป

และเกรย์ โดโนฮิว พระเอกของเล่มนี้ก็คือ ก็คือลูกผสมระหว่างแวมไพร์สายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ แต่เขาถูกเลี้ยงดูโดยคิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ การตามล่าทำให้เกิดไฟไหม้ และบิดาของเสียชีวิตลง เกรย์เสียสติไปกับความหวาดกลัว ก่อนที่จะได้พระเอกเล่มแรกในชุดช่วยจนกลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง

ถ้าจะเรียกว่าเขาปกติได้นะ นั่นเพราะเกรย์ต้องปรับตัวกับการมีชีวิตอีกครั้ง และกับความจริงที่ว่า เขาเป็นแวมไพร์ ทำให้จากคนไข้โรคจิต เกรย์กลายเป็นเพลย์บอยที่มั่วไปทั่ว แต่แล้วเขาก็ตกเป็นเหยื่อของสภาแวมไพร์ ที่ไล่จับแวมไพร์สายเลือดผสม แต่ก่อนที่จะถูกจับตอน เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากแวมไพร์สาวที่เขาแอบปิ๊งมานานอย่างดิลลอน

ทั้งหมดที่เล่าไปเกิดขึ้นในเรื่องสั้น Eternal Blood ที่ออกขายเป็นอีบุ๊คอย่างเดียว และนี่เป็นปัญหาใหญ่ของคนที่อ่านเล่มนี้ค่ะ เราบอกเลยนะคะว่า ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะยากในการทำความเข้าใจ หรือติดตามเรื่องราวต่อเนื่องต่อไปได้ (กระทั่งสำหรับคนที่อ่านสามเล่มแรกในชุด ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องสั้น ก็ลำบากค่ะ)

จากเหตุการณ์ในเรื่อง Eternal Blood เกรย์มีจุดมุ่งหมายในชีวิต เขากลายเป็นผู้นำในการต่อต้าน ความพยายามของเหล่าอิมเพียวในการเรียกร้องสิทธิให้เท่าเทียมกับแวมไพร์สายพันธุ์บริสุทธิ์ เขาได้พบความจริงว่า บิดาของเขาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เคยเป็นผู้นำการต่อสู้เช่นกัน จนกระทั่งถูกสภาแวมไพร์จับได้ และถูกจับตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ เกรย์ที่รอดมาได้ เพราะดิลลอนเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ก็เห็นการกระทำอันโหดร้ายนั้นต่อหน้าต่อตา นั่นทำให้เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อีกต่อไป

แต่การกระทำของเขาก็นำมาซึ่งอันตรายใหญ่หลวง ความไม่พอใจในกลุ่มอิมเพียวที่ปะทุขึ้น ทำให้สภาแวมไพร์เร่งรีบในการตามหาผู้นำการต่อต้าน และถ้านั่นไม่ยุ่งยากมากพอ เกรย์ก็ยังเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งมีชีวิตต้องห้ามอีกชนิดนึงในบัญชีรายชื่อของสภาแวมไพร์ที่ปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่ใช่สายพันธุ์บริสุทธิ์

เหตุการณ์ในเล่มสามในชุด Eternal Captive ทำให้ความจริงปรากฎออกแล้วว่า มีแวมไพร์อีกกลุ่มนึงที่พิเศษเหนือแวมไพร์ธรรมดา พวกเขาเป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ แต่มีบางอย่างกลายพันธุ์ ทำให้พวกเขาสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของลัทธิที่นิยามความบริสุทธิ์ทางสายเลือด เด็กที่แสดงลักษณะกลายพันธุ์เหล่านี้จะถูกฆ่าตั้งแต่เกิด ทว่าหนึ่งในสมาชิกสภาแวมไพร์ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาเลี้ยงดู ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่เพราะต้องการใช้งาน และเอาไว้เป็นหนูทดลองในการพัฒนาสายพันธุ์แวมไพร์ ซึ่งเมื่อความจริงปรากฎว่า บุคคลที่พวกเขาเรียกว่าเป็น "พ่อ" ไม่ได้รักใครพวกเขาอย่างที่เข้าใจ แวมไพร์พันธุ์ใหม่กลุ่มนี้จึงประกาศอิสรภาพ และแยกตัวเองออกมา กลายเป็นพันธมิตรแบบห่าง ๆ กับพี่น้องตระกูลโรมัน (พระเอกสามเล่มแรก) แวมไพร์ที่มองเห็นความจริงเกี่ยวกับการกดขี่ของสภาแวมไพร์ (และแยกตัวออกมาจากสังคมแวมไพร์เช่นกัน)

บอกแล้วไงคะว่า ถ้าไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า จะงงมาก ขนาดเราเล่าเองยังรู้สึกว่า เรื่องมันเยอะจังเลย ทั้งหมดนั่นเป็นแบ็คกราวด์เรื่องเองนะคะ ยังไม่ได้เข้าเรื่องในเล่มนี้ด้วยซ้ำ

นางเอกของเรื่อง ดิลลอนซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์ที่ออกมาตั้งแต่เล่มแรก (เป็นเพื่อนของอเล็กซานเดอร์ พระเอกเล่มแรก และถูกขอให้มาคุ้มครองนางเอกเล่มแรก) หลังจากที่ถูกวุฒิสมาชิกซึ่งเธอทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดสั่งให้คนรุมทำร้าย ทำให้เธอไม่อาจคุ้มครองด้านที่เป็นสัตว์ป่าของตัวเองได้ และทำให้ความจริงเปิดเผยออกมาว่า แท้จริงแล้วดิลลอนก็เป็นหนึ่งในแวมไพร์สายพันธุ์พิเศษ แต่เธอหลบหนีจากการ "เลี้ยงดู" ของคนที่เหล่าพี่ ๆ ของเธอคิดว่าเป็นพ่อ ออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเธอเอาไว้เพื่อความอยู่รอด เพราะสภาแวมไพร์จะฆ่าทุกคนที่แตกต่าง ทว่าการถูกทำร้ายทำให้ดิลลอนไม่อาจควบคุมด้านสัตว์ป่าของเธอได้ และไม่อาจกลายร่างกลับมาเป็นแวมไพร์ตามเดิม ทางแก้เดียวที่หญิงสาวคิดออกก็คือ การฆ่าคนที่ออกคำสั่งให้เธอกลายเป็นแบบนี้ แต่การตามล่าวุฒิสมาชิก็ไม่เป็นผล เพราะเกรย์ได้ฆ่าชายคนนั้นเสียแล้ว เมื่อหมดบุคคลที่เป็นเป้าหมาย ดิลลอนก็คิดว่า ตัวเองหมดโอกาสที่จะกลับมาเป็นแวมไพร์ปกติอีกครั้ง

แต่แล้วการปรากฎตัวของเกรย์ (ซึ่งเขาวิ่งมาหาทุกครั้งที่ดิลลอนเรียก) สัมผัสของเขาทำให้เธอรู้สึกอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่ทำให้เธอเริ่มที่จะบังคับการกลายร่างของตัวเองได้ และนั่นทำให้ดิลลอนตัดสินใจว่า เกรย์คือทางออกเดียวของการกลับเป็นปกติ ซึ่งถ้านั่นหมายถึง การทำตามคำสั่งทุกอย่างของเกรย์ก็ตาม

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า (โดยเฉพาะเรื่อง Eternal Blood) อาจจะไม่เข้าใจไดนามิคของความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์และดิลลอน และอาจจะงงไปกับท่าทีของเกรย์ นั่นก็เพราะว่า เขาเจ็บเพราะดิลลอนมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งคู่อาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาว แต่ก็มีอะไรบางอย่างระหว่างกันเสมอ ในขณะที่เกรย์เปิดใจพร้อมจะอ้าแขนรับดิลลอน แต่เธอกลับวิ่งหนีทุกครั้งที่ความสัมพันธ์พัฒนาไปอีกขั้นนึง ดิลลอนไม่เคยอยู่เคียงข้างเกรย์ ทำให้ในเล่มนี้ เขาเริ่มจะตัดใจ และเลิกหวังกับความสัมพันธ์ในอนาคตกับเธอ

ส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องก็คือปฏิกริยาทางเคมีระหว่างเกรย์และดิลลอน ไม่ใช่เซ็กส์นะคะ กว่าฉากเซ็กส์เป็นเต็ม ๆ จะโผล่เข้ามาในเรื่องก็เกินครึ่งเล่มไปแล้ว แต่ในระหว่างทาง บทสนทนา การมองตา การจับต้องระหว่างกัน ร้อนแรงมาก ๆ อ่านไปก็ต้องพักหายใจไปเป็นระยะ ๆ เรียกว่าหน้ากระดาษแทบไหม้เลยล่ะ

ในส่วนของพล็อต แม็กซ์ชอบประเด็นของเกรย์ค่ะ ในเรื่องการเป็นผู้นำฝ่ายต่อต้าน ชอบคาแร็คเตอร์แนวเป็นผู้นำแบบนี้มานานแล้ว และเกรย์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ก็ต้องยอมรับว่า (สปอยล์) ตอนจบง่ายเกินเหตุ จนรู้สึกว่าเกรย์ไม่ได้โชว์ฝีมือ หรือความเป็นผู้นำเลย

นี่เป็นอีกเล่มนึงที่นางเอกวิ่งหนีความรัก กลัวความผูกพัน เพราะอดีตอันเจ็บปวด ดิลลอนมีทัศนคติที่ไม่ยึดมั่นในอะไร เธอบอกเสมอว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอ ก็คือตัวเธอเอง ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจแรงผลักดันที่เกรย์มีในการต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มอิมเพียว แต่ (สปอยล์) ในท้ายที่สุดเธอก็ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับเขา ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่เธอมองว่าสำคัญที่สุด เหนือกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ ก็คือ เกรย์ และถ้านี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เธอก็จะต้องช่วยเขาทุกวิถีทาง เรากรี๊ดมากตอนที่ดิลลอนได้ข้อสรุปนี้

ไม่รู้ว่า เป็นเพราะพล็อตโฟกัสที่คาแร็คเตอร์เป็นหลักรึเปล่านะคะ เราเลยรู้สึกว่า ส่วนของพล็อตค่อนข้างหลวม มีหลายประเด็นที่คลี่คลายง่ายเกินเหตุ ตรรกะบางอย่างในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่สมจริง แต่ก็นะ สำหรับเรา ส่วนเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบ เราตกหลุมรักคาแร็คเตอร์ (ที่ไม่สมบูรณ์แบบ) อย่างเกรย์และดิลลอนไปแล้ว ก็เลยทำให้ส่วนที่เหลือดูไม่สำคัญเอาเสียเลย (แปลว่า แม้จะไม่ดีพร้อม แต่เราไม่สนใจ ชอบพระเอกนางเอกซะอย่าง)

เล่มนี้เปิดประเด็นอีกหลายเรื่องเพิ่มเติม หลายส่วนที่เรารู้สึกว่า ขัดกับตรรกะที่วางมาในเล่มแรก ๆ แต่ก็นะ ไม่ได้เป็นปัญหาอีกนั่นแหละ

สรุปว่าคาแร็คเตอร์เป็นไฮไลท์ของเรื่อง

มีหลายช่วงนะคะที่ คนแต่งใช้เวลาไปกับคาแร็คเตอร์ในเล่มก่อนหน้า เปลืองไปกับเรื่องราวที่ดูเหมือนว่า จะไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักในเรื่อง แต่เราก็มองว่าไม่ใช่ปัญหาอีกนั่นแหละ กลับชอบด้วยซ้ำ ได้เห็นพระเอกนางเอกเล่มก่อน ๆ ออกมามีบทบาท ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า เรากลายเป็นสาวกของหนังสือชุดนี้ไปแล้วแหละ (นึกถึงเรื่องชุด DH หรือ BDB ที่ทำแบบเดียวกัน แล้วเราก็ไม่บ่นสักนิดเดียว)

อยากแนะนำให้อ่านเรื่องชุดนี้ค่ะ เพราะถ้าไม่ได้อ่านเรื่องชุดนี้มาเลย คงไม่สนุกกับการเริ่มต้นอ่านที่เล่มนี้เป็นแน่ และเราอยากให้อ่านเล่มนี้กันค่ะ

ลอรา ไรท์ยิ่งเป็นนักเขียนที่ยิ่งเขียน เราก็ยิ่งชอบ หลังจากที่ชอบเล่มสาม (Eternal Captive) มากที่สุด ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาชอบเล่มนี้ ซึ่งเป็นเล่มที่สี่ และเล่มล่าสุดที่ออกขายมากกว่าแล้วล่ะค่ะ

คะแนนที่ 87




View all my reviews

Review: Fever


Fever
Fever by Joan Swan

My rating: 3 of 5 stars




สะดุดตากะหนังสือเรื่องนี้ก็เพราะปกค่ะ (ยอมรับตรง ๆ) ทำให้ตามลิงค์ไปจนถึงเว็บไซด์ของนักเขียน แล้วอ่านเรื่องย่อปกหลัง ก็คิดว่าน่าอ่านดี ประกอบกับเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา เว็บไซด์หนังสือที่อ่านประจำมีโปรโมชั่นลดราคาสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อบวกกับส่วนลดที่ให้อยู่แล้วยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ (หากเราสั่งหนังสือล่วงหน้า) ทำให้คิดว่า คุ้มที่จะลองเสี่ยง และซื้อเล่มนี้มาอ่าน ทั้งที่เรื่องนี้ออกเป็นไซด์เทรด (ซึ่งราคาแพงกว่าหนังสือไซด์ปกติพอสมควร) และเป็นงานของนักเขียนหน้าใหม่ แถมออกกะบราวา ซึ่งช่วงหลัง ๆ ทำให้เราผิดหวังไปกับงานของนักเขียนหน้าใหม่หลายคน

และก็เป็นโชคดีค่ะ ที่เรื่องนี้สนุก ถือว่าสอบผ่านเลยล่ะ แม้จะมีหลายจุดที่เราคิดว่า ไม่ลงตัว แต่หากคิดว่า นี่คืองานเขียนของนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่งเขียนเป็นเล่มแรก เราว่าโอเคเลยนะคะ โอเคขนาดที่ว่า ถ้าเล่มสองไม่มีโปรโมรชั่นจากร้านหนังสือ แม็กซ์ก็เต็มใจจะจ่ายราคาเต็มซื้อมาอ่านค่ะ

Fever ของโจน สวอน

เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในหนังสือชุด Phoenix Rising ซึ่งเป็นเรื่องราวของเหล่านักดับเพลิงกลุ่มนึงที่เข้าไปดับไฟไหม้ที่อาคารแห่งนึง แต่การกระทำที่กล้าหาญนั้นกลับทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างกับพวกเขา เปลี่ยนแปลงพวกเขาจนกลายเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ

สำหรับ ทีค ครีก (ชื่อน่าเกลียดมาก ตอนอ่านออกเสียงในใจก็สยองไป) ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด ตอนนี้เขากลายเป็นนักโทษในเรือนจำ ด้วยข้อหาวางเพลิง และฆาตกรรม คำอุทธรณ์ของเขาตกไป และนั่นหมายถึงเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในคุก ด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อ สำหรับทีค ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหนี

เขาใช้โอกาสที่ถูกส่งมาตรวจรักษาอาการป่วย (ที่แกล้งทำ) ในโรงพยาบาล ในขณะที่กำลังถูกอัลตราซาวน์โดยด็อกเตอร์อลิสสา ฟอสเตอร์ ทีคก็อาศัยโอกาสจับเธอเป็นตัวประกัน และหลบหนีออกมาพร้อมกับนักโทษอีกคน แต่การจับตัวอลิสสามาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาจงใจลักพาตัวเธอมา เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองกับ ลุค อดีตเพื่อนสนิท และพี่ชายของอดีตภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว ทีคหวังจะใช้อลิสสาแลกตัวกับลูกสาวของเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะหนีไปด้วยกันที่เม็กซิโก

แต่ความผิดพลาดเริ่มต้นเลยก็คือ อลิสสาไม่ใช่คนที่ทีคคิดว่าเป็น เขาเข้าใจผิด ในวันนั้นอลิสสาเข้าเวรทำงานแทนแฟนสาวของลุค เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนที่ทีคคิด เธอไม่มีความหมายอะไรกับลุคเลย แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่เปิดเผยความจริงข้อนี้ให้นักโทษหลบหนีคดีรับรู้หรอก

ในระหว่างการหลบหนีการตามล่า อลิสสาถูกใส่ความว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ช่วยให้ทีคหนี เพราะผู้คุมไม่ต้องพูดความจริงว่า เป็นความผิดของพวกเขา ในเวลาเดียวกันนักโทษอีกคนที่หนีไปด้วยกันก็เริ่มคุกคามเธอ และนั่นทำให้ทีคออกมาปกป้องเธอ เพราะแม้จะใช้ชีวิตหลายปีกับพวกเดนสังคม แต่เขาก็ยังคงรักษาความดีงามภายในเอาไว้ได้ เขาทนไม่ได้ที่เห็นผู้หญิง แม้จะเป็นคนที่เขาคิดว่าเป็นแฟนสาวของเพื่อนที่ทรยศ ถูกทำร้าย

การหลบหนีไปด้วยกันเริ่มทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น ในเวลาเดียวกันกลุ่มคนลึกลับก็ออกตามล่าทีค เพราะรู้แล้วว่า แผนการที่ทำให้ทีคเข้าไปอยู่ในคุกเพื่อยุติความพยายามสืบสวนความจริงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อหลายปีก่อนเริ่มไม่เป็นผล และเห็นความจำเป็นที่จะต้องกำจัดทีคให้พ้นทางอย่างจริง ๆ จังเสียที

ก่อนที่เราจะอ่านหนังสือเรื่องนี้ มีหลายเว็บไซด์ที่รีวิวเรื่องนี้ในทางลบ โดยยกประเด็นเรื่องการเหยียดหยามทางสีผิวขึ้นมา ซึ่งนางเอกของเรื่องเป็นลูกครึ่งเอเชีย-อเมริกัน แล้วคาแร็คเตอร์คนนึง (ซึ่งเป็นคนเลว) ได้กล่าวคำดูหมิ่นนางเอกอย่างรุนแรงถึงเชื้อชาติของเธอ นักวิจารณ์หลายคนไม่ชอบอย่างรุนแรง และเกลียดหนังสือเล่มนี้มาก ๆ

แต่สำหรับเรา บอกตามตรงค่ะว่า ไม่ค่อยเข้าใจปัญหาที่พวกเขาพูดถึงนัก ทั้งที่จริง ๆ ในฐานะคนที่มีเชื้อสายเอเชียเต็มร้อย เราน่าจะรู้สึกมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ระหว่างที่อ่านเราเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง คาแร็คเตอร์ที่เอ่ยคำเหยียดหยามก็เป็นคนเลว เป็นนักโทษก่อคดี แล้วจะให้คนแต่งเขียนว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษที่พูดเพราะ และไม่มีอคติต่อชนชาติอื่นเลยหรือยังไง ไม่เข้าใจว่า พวกนั้นต้องการให้คนแต่งเขียนถึงคาแร็คเตอร์นี้ออกมายังไง หรือต้องการให้ตัวละครทุกตัวในเรื่องเป็นคนดี มีความคิด ไม่มีความลำเอียง หรืออคติต่อเชื้อชาติเลยเหรอ แล้วนั่นมันจะเป็นนิยายชนิดไหนกันแน่

บางทีเราก็งงก็เสียงวิจารณ์จริ ๆ ค่ะ

เอาเป็นว่า เราเตือนก่อนแล้วกันว่า ในเรื่องมีการแสดงออกที่ดูถูกทางเชื้อชาติโดยตัวละครตัวนึง ซึ่งไม่ใช่พระเอก หรือคนที่ถูกจัดว่า เป็น "ฝ่ายดี" ในเรื่อง

เราชอบเรื่องนี้ เพราะเรารู้สึกว่า ปฏิกริยาระหว่างอลิสสา และทีคสมจริงสมจังมาก นางเอกไม่ได้หลงเสน่ห์นักโทษหนีคดีในเพียงวันสองวัน มีความพยายามหนี และขัดขืน ต่อสู้กันอยู่พอสมควร และเรื่องราวก็ทำให้อลิสสาเริ่มมองเห็นว่า มันน่าจะมีอะไรมากกว่าในเรื่องราวการรับผิดของทีค ทำให้เธอมองเห็นชายคนที่อยู่ภายในรูปลักษณ์ที่น่ากลัว (เพื่อเอาตัวรอดในคุก ทีคมีรอยสักที่แสดงความชื่นชมบูชาลัทธินาซี)

ส่วนที่อ่อนที่สุดในชุดก็คงจะเป็นประเด็นเรื่องพารานอมอล เราคิดว่า ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำที่จะต้องมีเรื่องส่วนนี้เข้ามาในเนื้อเรื่อง เพราะ "พลัง" ที่ทีคมี ก็ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรในเล่ม อ่านแล้วรู้สึกเหมือนถูกเติมเข้ามาซะอย่างนั้น และเมื่อเราอ่านบทสัมภาษณ์ของคนแต่ง เราก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นอย่างที่เราคิดค่ะ

เพราะโจน สวอนให้สัมภาษณ์ว่า เธอพยายามขายหนังสือเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธมาตลอด จนกระทั่งได้รับคำแนะนำจากเพื่อนนักเขียนคนนึง ที่บอกว่า การเขียนของโจนไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ แต่เป็นที่ตลาดต่างหาก ในยุคที่นิยมเรื่องแนวพารานอมอล ในขณะที่แนวโรแมนติคสืบสวนกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ โอกาสที่สำนักพิมพ์จะมาเสี่ยงกับนักเขียนหน้าใหม่ในแนวที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของตลาดจึงมีไม่มากนัก ดังนั้นโจนจึงตัดสินใจดัดแปลงเนื้อเรื่องบางส่วน เพิ่มเติมความเป็นพารานอมอลเข้าไปในเนื้อเรื่อง และก็จริงอย่างคำแนะนำ เพราะเธอขายหนังสือชุดนี้ได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เราก็รู้สึกนะคะว่า ส่วนที่เป็นพารานอมอลมันไม่ค่อยมีความจำเป็น หรือสำคัญกะเนื้อเรื่องเท่าไหร

บทสรุปปิดท้ายเรื่อง ง่ายไปนิดนึงนะคะ ทุกอย่างลงตัว และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ สำหรับสิ่งที่ทีคต้องเผชิญหน้ามาตลอด ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า มันแก้เร็ว และง่ายเกินไป แต่ก็พอเข้าใจนะคะ เพราะถ้าเขียนให้เป็นไปตามกระบวนการที่แท้จริง (ทางกฎหมาย) เรื่องมันคงน่าเบื่อมากกว่าน่าอ่านค่ะ

อีกประเด็นนึงที่เราไม่แน่ใจว่า เป็นข้อดีหรือข้อเสียนะคะ ก็คือตัวละครรอง เราไม่ได้หมายถึงคนที่จะเป็นพระเอกเล่มต่อไปในชุดด้วยค่ะ หากแต่เป็นพี่ชาย (หรือน้องชาย) ของอลิสสา ขอบอกว่า เท่ห์ได้ใจมาก สุดยอดที่สุดแล้ว อ่านไปเกือบลืมไปเลยว่า ใครเป็นพระเอก เพราะทั้งเรื่องทีคหนีแล้วก็หนี ในขณะที่คนซึ่งจัดการทุกอย่างกลับเป็นพี่ชายของนางเอก เรียกว่าออกโรงมาขโมยซีนมาก (สำหรับคนอ่านที่ชอบผู้ชายที่สมองของเขามากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกนะคะ เพราะเขาไม่ได้กล้ามเป็นมัด ๆ สูงเข้มแต่อย่างใด เพียงแค่ฉลาด เก่ง และรู้วิธีเล่นเกมการเมือง)

โดยรวมเป็นหนังสือที่เราไม่ผิดหวังเลยนะคะ อาจจะไม่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ แต่ก็ให้อภัยได้ เมื่อคิดว่า เป็นงานเล่มแรกของนักเขียนหน้าใหม่ ที่แน่ ๆ ก็คือ เราติดตามอ่านเล่มต่อไปในชุดของเธอแน่นอนค่ะ (แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของพี่ชายของอลิสสาคนที่เรากรี๊ดสลบมาก ๆ ก็ตาม)

คะแนนที่ 73




View all my reviews

Review: TAUT: The Ford Book


TAUT: The Ford Book
TAUT: The Ford Book by J.A. Huss

My rating: 3 of 5 stars



เราอ่านเรื่องนี้แบบไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ค่ะ หยิบคินเดลมาเปิดไปเปิดมา ดูว่า เรื่องไหนน่าสนใจอ่านบ้าง แล้วก็มาคลิกเปิดเล่มนี้แบบบังเอิญหน่อย ๆ อ่านไปบทสองบท แล้วก็อ่านต่อ

มันไม่ได้สนุกแบบวางไม่ลงนะคะ แต่พอถึงจุดที่เราคิดว่า "พอแล้ว เลิกอ่าน" ก็จะมีฉากบางอย่างทำให้เรารู้สึกว่า น่าสนใจ สุดท้ายก็เลยอ่านต่อไปเรื่อย ๆ จนจบ เราคงต้องบอกว่า ดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะสำหรับงานของนักเขียนที่เราไม่รู้จักเอาเสียเลย (และไม่ได้มีใครแนะนำให้อ่านด้วย)

สิ่งที่เราพูดถึงเกี่ยวกับเล่มนี้ ไม่ใช่เล่มนี้หรอกนะคะ แต่เป็นการที่เล่มนี้เป็นเล่มต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่คนแต่งเรียกว่า spin off กล่าวคือ เป็นเรื่องของตัวละครรองจากหนังสือชุด ซึ่งคนแต่งเขียนไปแล้วสามเล่ม (เป็นเรื่องของคาแร็คเตอร์คู่เดิมทั้งหมด) โดยพระเอกเล่มนี้เป็นตัวละครรอง

เราไม่ได้อ่านชุดสามเล่มนั้นหรอกนะคะ จึงไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านเล่มนี้ (เกี่ยวกับชุดสามเล่มนั้น) ก็คือ พระเอกเล่มนี้คือ คนที่นางเอกหนังสือชุดสามเล่มนั้นไม่เลือก เป็นคนที่ถูกทิ้ง เพราะฉากแรกในเล่มนี้ก็คือ เขามาถึงจุดที่ทนเห็นเพื่อนมีความสุขไม่ไหว เพราะคนที่เธอเลือกคือเพื่อนรักของเขา ทำให้เขาตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตของเพื่อนสนิท เพราะคิดว่า ถ้าอยู่ไป ก็คงจะต้องทำอะไรที่ตัวเองเสียใจลงไปแน่ ๆ

บอกตามตรงว่า เราอ่านเล่มนี้แล้ว ไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากอ่านชุดสามเล่มก่อนหน้าเลยค่ะ ออกจะไม่ชอบพระนางของชุดนั้นด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกดี ปกติเราอ่านหนังสือเรียงลำดับไปเรื่อย ๆ หลายครั้งที่อ่านต่อไปถึงเรื่องราวของคนที่ถูกทิ้ง (แล้วมามีเรื่องเป็นของตัวเอง) เราก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกนี้ แต่พออ่านสลับลำดับคราวนี้ เรากลับพบว่า ชีวิตคนที่ถูกทิ้งก็น่าสงสารไม่น้อย

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราสนใจเรื่องนี้ตอนต้นเรื่องค่ะ เราอยากรู้ว่า ฟอร์ด ชายที่ไม่ถูกเลือกจะเป็นยังไงต่อไป หลังจากออกจากบ้านของเพื่อนสนิท เขาก็ขับรถไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบังเอิญรถเสียละแวกใกล้กับบ้านเกิดที่เขาจากไปนานหลายปี เหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้พบกับคุณแม่ยังสาว กับลูกอ่อนแบเบาะ ที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในชีวิตไม่น้อยไปกว่าเขา และแม้จะมีนิสัยไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ฟอร์ดก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในชีวิตของเธอ

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แปลก ๆ ของคนสองคนที่ผิดหวังในความรัก

ฟอร์ดหลงรักแฟนของเพื่อนสนิท ส่วนแอชลีย์ก็ยังหลงรักพ่อของลูกที่เพิ่งคลอดแม้เขาจะทิ้งเธอไป เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ นะคะ แต่อย่างที่เราบอก พอมาถึงจุดที่เรารู้สึกว่า พอแล้ว หยุดอ่านเถอะ ก็จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องอ่านต่อ เป็นแบบนี้เกือบตลอด จนในที่สุดก็อ่านจบเรื่องจนได้

โดยรวมเป็นหนังสือที่อ่านได้นะคะ ไม่ได้ถึงกับทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า อยากไปหางานเขียนเรื่องอื่น ๆ ของคนแต่งคนนี้มาอ่าน หรืออยากจะวิ่งไปซื้อพรินต์บุ๊คของเล่มนี้มาเก็บไว้ แต่ก็มีพล็อตที่แปลก และน่าสนใจ

เรื่องราวของคนที่ล้มลงสองคน ที่พบว่า เมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเขาช่วยกันฉุดกันและกันขึ้นมายืน และการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว เราชอบที่เรื่องเล่าผ่านมุมมองของพระเอก แม้จะรู้สึกว่า คนแต่งเขียน "ความผิดปกติ" ของฟอร์ดได้ไม่สมจริงเท่าไหรนัก แต่ข้อดีของเล่มนี้ก็คือ คาแร็คเตอร์ของนางเอกไม่ได้ถูกสร้างให้ดูเหมือนคนแสนดี (ซึ่งเราเจอในหลายเล่มที่เรื่องเล่าผ่านมุมมองของพระเอก นางเอกจะกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ไปประมาณนั้น) และอาจจะเพราะว่า เรารู้ว่า "ความลับ" ของแอชลีย์คืออะไร เราจึงยอมรับการที่เธอยังดั้งด้นเดินทางไปเพื่อพบกับพ่อของลูกของเธอให้ได้ แม้ว่าเขาจะทิ้งเธอและลูกไปก็ตาม

เราว่าตอนจบสรุปเรื่องจบง่ายเกินเหตุ และอาจจะเพราะว่าเรื่องเล่าผ่านฟอร์ด เราเลยคิดว่า การที่แอชลีย์เลือกฟอร์ดเป็นสิ่งที่เร็วเกินไป เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

คะแนนที่ 63



View all my reviews

Monday, February 10, 2014

Review: Mine


Mine
Mine by Katy Evans

My rating: 4 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มที่สองในชุด และเล่าเรื่องราวของพระนางคู่เดิมจากเล่มแรก (Real) แต่ตอนจบของเรื่อง Real ไม่ได้เป็นไปในลักษณะ Cliffhanger นะคะ คือจบแบบเรื่องราวลงตัว ทำให้ไม่ได้ถึงกับทำให้เกิดความรู้สึกว่า จะต้องหยิบเล่มนี้มาอ่าน

แต่ทำไมจะไม่หยิบมาอ่านล่ะคะ ในเมื่อเราชอบเล่มแรกมากทีเดียว

เรื่องราวดำเนินต่อเนื่องมาจากเล่มแรก ดังนั้นเราคงต้องเตือนก่อนเลยว่า การอ่านรีวิวเล่มนี้ จะเป็นการสปอยล์เล่มแรกนะคะ

หลังจากความรักลงตัว จึงไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไปว่า บรู๊คจะตัดสินใจติดตามเดินทางไปกับเรมี่ในขณะที่เขาลงแข่งเพื่อชิงแชมป์ชกมวยใต้ดิน เพราะเมื่อรัก เธอก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เพื่อน หรือสังคมที่มีในซีแอตเติ้ล แต่ความไม่มั่นใจก็เริ่มกลับมา แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรมี่รักเธอมากเพียงใด แต่ช่วงเวลาที่จากกัน (ในเล่มแรก) บางอย่างเกิดขึ้น และมันทำให้บรู๊คตั้งคำถามตัวเอง (และโทษตัวเองไปพร้อมกันที่เกิดขึ้น)

ในแง่ของความน่าติดตาม เรื่องนี้ไม่เท่ากับเล่มแรกนะคะ แม้ว่าคาแร็คเตอร์จะค่อนข้างเหมือนเดิม (ไม่ได้โตขึ้น หรือเลวร้ายลง) แต่อาจเพราะความประทับใจที่เรามีให้กับตัวละครในเรื่องตอนอ่านเล่มแรก มันเริ่มกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย (ประมาณว่า ไม่ได้กรี๊ดสลบไปกับความมีเสน่ห์ของพระเอกอีกต่อไป) นอกจากนี้ เรารู้สึกว่า เล่มนี้พล็อตเรื่องช่วงต้นแทบจะไม่มีอะไรเลย ทำให้เวลาในเรื่องถูกใส่ไปกับความรู้สึกของบรู๊คจนมากเกินไป ขนาดทำให้เราเริ่มรู้สึกรำคาญเธอขึ้นมาเล็ก ๆ

แต่ช่วงกลางเรื่องเมื่อเริ่มมีประเด็นภายนอกเข้ามาเกี่ยว เรื่องก็เริ่มกลับมาสนุกอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ให้ความรู้สึกเท่ากับที่เรามีต่อเล่มแรก กระนั้นเราก็ยังมีความรู้สึกว่า เล่มนี้เป็นเหมือนบทส่งท้ายแบบยาว ๆ ของเรื่อง Real ซึ่งเราโอเคนะคะ เพราะทำให้เราได้เห็นชีวิตของพระนางต่อไปมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความน่าสนใจก็ไม่เท่ากับที่เรามีให้กับเล่มแรก

ดังนั้นขอใช้พื้นที่พูดถึงเรื่องชุดนี้ในภาพรวมแล้วกันค่ะ ไม่ได้ถึงกับเป็นรีวิวเล่มนี้โดยตรง แต่เราคิดว่า ถ้าใครที่อ่านเล่มแรกแล้วติดใจ ยังไงก็คงต้องอ่านเล่มนี้เป็นแน่

สิ่งที่เราไม่ได้เขียนถึงตอนรีวิวเล่มแรกก็คือ เหตุการณ์บังเอิญเกินเหตุ ที่น้องสาวของบรู๊คเป็นคู่นอนของคู่แข่งของเรมี่ (ก่อนบรู๊คจะได้เจอกับเรมี่เสียอีก) อะไรมันจะโลกกลมปานนั้น ซึ่งเมื่อคิดย้อนหลังเราก็รู้สึกนะคะว่า ทำให้เรื่องดูไม่สมจริง แต่ก็บอกตามตรงว่า ตอนที่อ่านน่ะ ไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว เราตามเรื่องราวไปแบบ ไม่สมจริงก็อ่านสนุกวะ คิดแบบนั้นจริง ๆ

เราไม่แน่ใจประเด็นเรื่องโรค Bipolar ของเรมี่ คือเราไม่มีญาติหรือคนใกล้ชิดเป็นโลกนี้นะคะ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่า ทางเลือกที่เรมี่เลือกถูกต้อง (การที่เขาไม่กินยา) แต่นี่เป็นหนังสือโรแมนซ์ ไม่ได้ออกมาสั่งสอนผู้คน ที่สำคัญเคตี้ เอแวนส์คนแต่งก็เขียนได้ดี ตรงที่เธอไม่ได้บอกว่า นี่เป็นทางเลือกที่ดีสุด เหมาะสุด มันก็แค่เป็นทางเลือกที่เรมี่เลือก และเขามีเงินพอที่จะควบคุมองค์ประกอบรอบตัวได้ (คือมีเงินมากพอที่จะจ้างคนมาดูแลเวลาเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องมาเดือดร้อน) เราก็เลยพอโอเคกับประเด็นนี้ไป

โดยรวมเรารู้นะคะว่า มีข้อบกพร่องในเรื่องชุดนี้ไม่น้อย แต่คงต้องบอกว่า เรื่องราวพาไป ตัวละครน่าสนใจ ไม่ถึงกับเป็นสูตรมากเกินเหตุ (เราชอบที่บรู๊คและเรมี่เรียนรู้ที่จะรู้จักกันก่อนที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างกัน) ทำให้เราชอบเรื่องนี้

สำหรับเล่มนี้เราคงแนะนำว่า คุณต้องอ่าน Real แล้วชอบนะคะ ถึงจะหยิบมาอ่านต่อ คือถ้าอ่านแล้วเฉย ๆ ก็ไม่แนะนำ เพราะเราคิดว่า ด้วยตัวของมันเอง ไม่มีน้ำหนักอะไรมากพอที่จะน่าสนใจได้ คุณต้องตกหลุมรักคาแร็คเตอร์มาก่อนแล้ว จึงจะคิดว่า เล่มนี้มีคุณค่ามากพอ

คะแนนที่ 80



View all my reviews