Tuesday, February 11, 2014

Review: Eternal Beast


Eternal Beast
Eternal Beast by Laura Wright

My rating: 5 of 5 stars



นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่เรารอคอยอ่านค่ะ ดังนั้นจึงเป็นโชคดีของเราอย่างมากที่ได้เล่มนี้มาในช่วงเวลาที่อาการเบื่อหนังสือของเรากำลังกำเริบ เพราะหลังจากอ่านเล่มนี้จบไป ความอยากอ่านหนังสือก็กลับมาเลยล่ะค่ะ เราอ่านเล่มนี้ด้วยความรวดเร็ว และจบลงอย่างประทับใจ แม้จะต้องบอกว่า มีอะไรหลายอย่างที่ดูไม่ค่อยลงตัว แต่ความชอบเกือบทั้งหมดที่เรามีต่อเล่มนี้ก็คือ คาแร็คเตอร์ของพระเอกและนางเอก

Eternal Beast ของลอรา ไรท์

เรื่องนี้เป็นเล่มที่สี่ในชุด Mark of the Vampire และคงต้องบอกว่า ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีในการอ่านเรื่องชุดนี้ค่ะ เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้า รวมทั้งความสัมพันธ์ของทั้งพระเอกและนางเอกที่รู้จักกัน มีปฏิกริยาต่อกันมาก่อนจะเริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทำให้คนที่ไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้ามาก่อนเลย คงจะออกอาการงง หรือถ้าไม่งง ก็อาจจะไม่เข้าใจความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์และดิลลอน ซึ่งมันซับซ้อนมาก

แบ็คกราวด์ของเรื่องชุดนี้ เราขอลอกที่เราเขียนก่อนหน้าแล้วกันนะคะ

คอนเซ็ปต์ของเรื่องชุดนี้ แวมไพร์ไม่เหมือนตำนานที่เราคุ้นเคย มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง และสภาแวมไพร์มีนโยบายกีดกันทางเชื้อชาติ ไม่ต้องการให้มีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ นั่นคือ แวมไพร์ที่เป็นลูกผสมกับมนุษย์ หรือแวมไพร์ที่ถูกเปลี่ยนจากมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์สายพันธุ์แท้ทั้งคู่ จะถูกกดลงเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกเรียกว่า อิมเพียว (แปลง่าย ๆ ก็คือ สายเลือดไม่บริสุทธิ์) ที่นอกจากจะไม่มีสิทธิแล้วก็ฝ่ายชายยังถูกจับตอนเพื่อไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศ จะได้ไม่มีลูกหลานสืบสายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ต่อไป

และเกรย์ โดโนฮิว พระเอกของเล่มนี้ก็คือ ก็คือลูกผสมระหว่างแวมไพร์สายพันธุ์ที่ไม่บริสุทธิ์นี้ แต่เขาถูกเลี้ยงดูโดยคิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ การตามล่าทำให้เกิดไฟไหม้ และบิดาของเสียชีวิตลง เกรย์เสียสติไปกับความหวาดกลัว ก่อนที่จะได้พระเอกเล่มแรกในชุดช่วยจนกลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง

ถ้าจะเรียกว่าเขาปกติได้นะ นั่นเพราะเกรย์ต้องปรับตัวกับการมีชีวิตอีกครั้ง และกับความจริงที่ว่า เขาเป็นแวมไพร์ ทำให้จากคนไข้โรคจิต เกรย์กลายเป็นเพลย์บอยที่มั่วไปทั่ว แต่แล้วเขาก็ตกเป็นเหยื่อของสภาแวมไพร์ ที่ไล่จับแวมไพร์สายเลือดผสม แต่ก่อนที่จะถูกจับตอน เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากแวมไพร์สาวที่เขาแอบปิ๊งมานานอย่างดิลลอน

ทั้งหมดที่เล่าไปเกิดขึ้นในเรื่องสั้น Eternal Blood ที่ออกขายเป็นอีบุ๊คอย่างเดียว และนี่เป็นปัญหาใหญ่ของคนที่อ่านเล่มนี้ค่ะ เราบอกเลยนะคะว่า ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะยากในการทำความเข้าใจ หรือติดตามเรื่องราวต่อเนื่องต่อไปได้ (กระทั่งสำหรับคนที่อ่านสามเล่มแรกในชุด ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องสั้น ก็ลำบากค่ะ)

จากเหตุการณ์ในเรื่อง Eternal Blood เกรย์มีจุดมุ่งหมายในชีวิต เขากลายเป็นผู้นำในการต่อต้าน ความพยายามของเหล่าอิมเพียวในการเรียกร้องสิทธิให้เท่าเทียมกับแวมไพร์สายพันธุ์บริสุทธิ์ เขาได้พบความจริงว่า บิดาของเขาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เคยเป็นผู้นำการต่อสู้เช่นกัน จนกระทั่งถูกสภาแวมไพร์จับได้ และถูกจับตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ เกรย์ที่รอดมาได้ เพราะดิลลอนเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ก็เห็นการกระทำอันโหดร้ายนั้นต่อหน้าต่อตา นั่นทำให้เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อีกต่อไป

แต่การกระทำของเขาก็นำมาซึ่งอันตรายใหญ่หลวง ความไม่พอใจในกลุ่มอิมเพียวที่ปะทุขึ้น ทำให้สภาแวมไพร์เร่งรีบในการตามหาผู้นำการต่อต้าน และถ้านั่นไม่ยุ่งยากมากพอ เกรย์ก็ยังเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งมีชีวิตต้องห้ามอีกชนิดนึงในบัญชีรายชื่อของสภาแวมไพร์ที่ปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่ใช่สายพันธุ์บริสุทธิ์

เหตุการณ์ในเล่มสามในชุด Eternal Captive ทำให้ความจริงปรากฎออกแล้วว่า มีแวมไพร์อีกกลุ่มนึงที่พิเศษเหนือแวมไพร์ธรรมดา พวกเขาเป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ แต่มีบางอย่างกลายพันธุ์ ทำให้พวกเขาสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของลัทธิที่นิยามความบริสุทธิ์ทางสายเลือด เด็กที่แสดงลักษณะกลายพันธุ์เหล่านี้จะถูกฆ่าตั้งแต่เกิด ทว่าหนึ่งในสมาชิกสภาแวมไพร์ได้เก็บเด็กเหล่านั้นมาเลี้ยงดู ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่เพราะต้องการใช้งาน และเอาไว้เป็นหนูทดลองในการพัฒนาสายพันธุ์แวมไพร์ ซึ่งเมื่อความจริงปรากฎว่า บุคคลที่พวกเขาเรียกว่าเป็น "พ่อ" ไม่ได้รักใครพวกเขาอย่างที่เข้าใจ แวมไพร์พันธุ์ใหม่กลุ่มนี้จึงประกาศอิสรภาพ และแยกตัวเองออกมา กลายเป็นพันธมิตรแบบห่าง ๆ กับพี่น้องตระกูลโรมัน (พระเอกสามเล่มแรก) แวมไพร์ที่มองเห็นความจริงเกี่ยวกับการกดขี่ของสภาแวมไพร์ (และแยกตัวออกมาจากสังคมแวมไพร์เช่นกัน)

บอกแล้วไงคะว่า ถ้าไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า จะงงมาก ขนาดเราเล่าเองยังรู้สึกว่า เรื่องมันเยอะจังเลย ทั้งหมดนั่นเป็นแบ็คกราวด์เรื่องเองนะคะ ยังไม่ได้เข้าเรื่องในเล่มนี้ด้วยซ้ำ

นางเอกของเรื่อง ดิลลอนซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์ที่ออกมาตั้งแต่เล่มแรก (เป็นเพื่อนของอเล็กซานเดอร์ พระเอกเล่มแรก และถูกขอให้มาคุ้มครองนางเอกเล่มแรก) หลังจากที่ถูกวุฒิสมาชิกซึ่งเธอทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดสั่งให้คนรุมทำร้าย ทำให้เธอไม่อาจคุ้มครองด้านที่เป็นสัตว์ป่าของตัวเองได้ และทำให้ความจริงเปิดเผยออกมาว่า แท้จริงแล้วดิลลอนก็เป็นหนึ่งในแวมไพร์สายพันธุ์พิเศษ แต่เธอหลบหนีจากการ "เลี้ยงดู" ของคนที่เหล่าพี่ ๆ ของเธอคิดว่าเป็นพ่อ ออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเธอเอาไว้เพื่อความอยู่รอด เพราะสภาแวมไพร์จะฆ่าทุกคนที่แตกต่าง ทว่าการถูกทำร้ายทำให้ดิลลอนไม่อาจควบคุมด้านสัตว์ป่าของเธอได้ และไม่อาจกลายร่างกลับมาเป็นแวมไพร์ตามเดิม ทางแก้เดียวที่หญิงสาวคิดออกก็คือ การฆ่าคนที่ออกคำสั่งให้เธอกลายเป็นแบบนี้ แต่การตามล่าวุฒิสมาชิก็ไม่เป็นผล เพราะเกรย์ได้ฆ่าชายคนนั้นเสียแล้ว เมื่อหมดบุคคลที่เป็นเป้าหมาย ดิลลอนก็คิดว่า ตัวเองหมดโอกาสที่จะกลับมาเป็นแวมไพร์ปกติอีกครั้ง

แต่แล้วการปรากฎตัวของเกรย์ (ซึ่งเขาวิ่งมาหาทุกครั้งที่ดิลลอนเรียก) สัมผัสของเขาทำให้เธอรู้สึกอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่ทำให้เธอเริ่มที่จะบังคับการกลายร่างของตัวเองได้ และนั่นทำให้ดิลลอนตัดสินใจว่า เกรย์คือทางออกเดียวของการกลับเป็นปกติ ซึ่งถ้านั่นหมายถึง การทำตามคำสั่งทุกอย่างของเกรย์ก็ตาม

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า (โดยเฉพาะเรื่อง Eternal Blood) อาจจะไม่เข้าใจไดนามิคของความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์และดิลลอน และอาจจะงงไปกับท่าทีของเกรย์ นั่นก็เพราะว่า เขาเจ็บเพราะดิลลอนมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งคู่อาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาว แต่ก็มีอะไรบางอย่างระหว่างกันเสมอ ในขณะที่เกรย์เปิดใจพร้อมจะอ้าแขนรับดิลลอน แต่เธอกลับวิ่งหนีทุกครั้งที่ความสัมพันธ์พัฒนาไปอีกขั้นนึง ดิลลอนไม่เคยอยู่เคียงข้างเกรย์ ทำให้ในเล่มนี้ เขาเริ่มจะตัดใจ และเลิกหวังกับความสัมพันธ์ในอนาคตกับเธอ

ส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องก็คือปฏิกริยาทางเคมีระหว่างเกรย์และดิลลอน ไม่ใช่เซ็กส์นะคะ กว่าฉากเซ็กส์เป็นเต็ม ๆ จะโผล่เข้ามาในเรื่องก็เกินครึ่งเล่มไปแล้ว แต่ในระหว่างทาง บทสนทนา การมองตา การจับต้องระหว่างกัน ร้อนแรงมาก ๆ อ่านไปก็ต้องพักหายใจไปเป็นระยะ ๆ เรียกว่าหน้ากระดาษแทบไหม้เลยล่ะ

ในส่วนของพล็อต แม็กซ์ชอบประเด็นของเกรย์ค่ะ ในเรื่องการเป็นผู้นำฝ่ายต่อต้าน ชอบคาแร็คเตอร์แนวเป็นผู้นำแบบนี้มานานแล้ว และเกรย์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ก็ต้องยอมรับว่า (สปอยล์) ตอนจบง่ายเกินเหตุ จนรู้สึกว่าเกรย์ไม่ได้โชว์ฝีมือ หรือความเป็นผู้นำเลย

นี่เป็นอีกเล่มนึงที่นางเอกวิ่งหนีความรัก กลัวความผูกพัน เพราะอดีตอันเจ็บปวด ดิลลอนมีทัศนคติที่ไม่ยึดมั่นในอะไร เธอบอกเสมอว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอ ก็คือตัวเธอเอง ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจแรงผลักดันที่เกรย์มีในการต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มอิมเพียว แต่ (สปอยล์) ในท้ายที่สุดเธอก็ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับเขา ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่เธอมองว่าสำคัญที่สุด เหนือกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ ก็คือ เกรย์ และถ้านี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เธอก็จะต้องช่วยเขาทุกวิถีทาง เรากรี๊ดมากตอนที่ดิลลอนได้ข้อสรุปนี้

ไม่รู้ว่า เป็นเพราะพล็อตโฟกัสที่คาแร็คเตอร์เป็นหลักรึเปล่านะคะ เราเลยรู้สึกว่า ส่วนของพล็อตค่อนข้างหลวม มีหลายประเด็นที่คลี่คลายง่ายเกินเหตุ ตรรกะบางอย่างในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่สมจริง แต่ก็นะ สำหรับเรา ส่วนเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบ เราตกหลุมรักคาแร็คเตอร์ (ที่ไม่สมบูรณ์แบบ) อย่างเกรย์และดิลลอนไปแล้ว ก็เลยทำให้ส่วนที่เหลือดูไม่สำคัญเอาเสียเลย (แปลว่า แม้จะไม่ดีพร้อม แต่เราไม่สนใจ ชอบพระเอกนางเอกซะอย่าง)

เล่มนี้เปิดประเด็นอีกหลายเรื่องเพิ่มเติม หลายส่วนที่เรารู้สึกว่า ขัดกับตรรกะที่วางมาในเล่มแรก ๆ แต่ก็นะ ไม่ได้เป็นปัญหาอีกนั่นแหละ

สรุปว่าคาแร็คเตอร์เป็นไฮไลท์ของเรื่อง

มีหลายช่วงนะคะที่ คนแต่งใช้เวลาไปกับคาแร็คเตอร์ในเล่มก่อนหน้า เปลืองไปกับเรื่องราวที่ดูเหมือนว่า จะไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักในเรื่อง แต่เราก็มองว่าไม่ใช่ปัญหาอีกนั่นแหละ กลับชอบด้วยซ้ำ ได้เห็นพระเอกนางเอกเล่มก่อน ๆ ออกมามีบทบาท ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า เรากลายเป็นสาวกของหนังสือชุดนี้ไปแล้วแหละ (นึกถึงเรื่องชุด DH หรือ BDB ที่ทำแบบเดียวกัน แล้วเราก็ไม่บ่นสักนิดเดียว)

อยากแนะนำให้อ่านเรื่องชุดนี้ค่ะ เพราะถ้าไม่ได้อ่านเรื่องชุดนี้มาเลย คงไม่สนุกกับการเริ่มต้นอ่านที่เล่มนี้เป็นแน่ และเราอยากให้อ่านเล่มนี้กันค่ะ

ลอรา ไรท์ยิ่งเป็นนักเขียนที่ยิ่งเขียน เราก็ยิ่งชอบ หลังจากที่ชอบเล่มสาม (Eternal Captive) มากที่สุด ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาชอบเล่มนี้ ซึ่งเป็นเล่มที่สี่ และเล่มล่าสุดที่ออกขายมากกว่าแล้วล่ะค่ะ

คะแนนที่ 87




View all my reviews

No comments: