Monday, December 15, 2014

Review: Before We Fall


Before We Fall
Before We Fall by Courtney Cole

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้ถือว่าพัฒนาขึ้นมาจากสองเล่มแรกในชุดนะคะ แต่คงต้องบอกว่า ด้วยระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราไม่คิดว่า เราจะติดตามอ่านงานของนักเขียนคนนี้ต่อแล้วล่ะค่ะ (ในแง่ที่ว่า ให้เราออกเงินซื้อหนังสือของเธอมาอ่านเอง) เพราะเราให้โอกาสอ่านครบสามครั้งแล้ว และมันก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่เราคิดว่า ดีพอ (หรือลงตัวสำหรับเราเอง) ถ้าใครอ่านงานของนักเขียนคนนี้แล้วมีเรื่องไหนแนะนำก็ช่วยบอกเข้ามาด้วยนะคะ เราเห็นว่า ยังมีงานของเธออีกหลายเล่ม และดูจากชื่อเสียงของเธอ เราคาดหวังมากกว่านี้น่ะค่ะ ดังนั้นจึงอาจจะเป็นได้ว่า เรายังไม่เจอเรื่องที่ "ใช่" ของเธอก็ได้

เรื่องนี้เล่าถึงดอมินิค ดาราหนังฮอลีวู้ดที่มีชื่อเสียง (ถ้าอ่านและจำไม่ผิด พระเอกน่าจะเคยถึงระดับได้รางวัลออสการ์แล้วด้วยนะ) ซึ่งตอนนี้กลับมาพักผ่อนที่บ้านของน้องชาย ซึ่งเป็นนักร้องเพลงร็อคชื่อดัง (คือประมาณว่า บ้านนี้ดังทั้งตระกูล น้องอีกคนก็เป็นนักร้อง) เลยทำให้เขาได้มีโอกาสได้เจอกับเจซีย์ สาวเสิร์ฟในงานที่แต่งกายวับ ๆ แวม ๆ ซึ่งทำให้เขามองว่า เธอก็คงเป็นผู้หญิงง่าย ๆ อีกคน

เรื่องค่อนข้างชัดเจนกับรสนิยมทางเพศที่ชอบ "มอง" ของดอมินิค การชอบมองแบบไม่เข้าไปมีส่วนร่วมของเขาบอกใบ้คนอ่านถึงอดีตอันมีปัญหาของเขา และนี่ก็ถือเป็นส่วนสำคัญของพล็อตเรื่อง เพราะหลังจากที่ดอม และเจซีย์ถูกจับด้วยข้อหามีกัญชาในครอบครอง (คือดอมขับรถไปส่งเจซีย์กลับบ้าน เพราะเพื่อนของเจซีย์ที่เดินทางมาด้วยกันถูกน้องชายของเขาพอไปกก เขาเลยต้องไปส่งเธอกลับบ้าน) กัญชาที่ทั้งเจซีย์ และดอมไม่ยอมรับว่าเป็นของตัวเอง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะผู้พิพาษาลงโทษพวกเขาทั้งคู่ให้ไปทำงานรับใช้สังคม

แน่ล่ะนั่นทำให้ทั้งคู่มีโอกาสใกล้ชิด และรู้จักกันมากขึ้น

เราไม่ค่อยชอบพระเอกช่วงต้น ๆ เรื่องนะคะ คือเราไม่ชอบตัวละครที่อ้างความทุกข์ของตัวเองในอดีตมาเป็นข้ออ้างในการมองคนอื่นในแง่ร้าย และภาพที่ดอมมองเจซีย์ตอนแรกไม่ดีเอาเสียเลย มันเหมือนเขาเหมาหมดว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องคาดหวังอะไรจากเขา (เราว่า หลงตัวเองมากไปไหม) นอกจากนี้การที่เขาทิ้งให้เจซีย์ต้องรับผิดชอบในคดีการมีกัญชาในครอบครองตามลำพัง เราว่า ไม่เป็นพระเอกเอาเลย เพราะเราคิดว่า ยังไงกัญชาก็ต้องเป็นของเขา หรือน้องชายของเขานั่นแหละ จนตอนท้ายมาเฉลยถึงได้รู้ว่า ผียัดมา (เป็นผีจริง ๆ นะคะ ไปอ่านดูกันเองแล้วกัน) ก็เลยถึงได้เข้าใจเขามากขึ้นหน่อย

เราว่าช่วงกลางเรื่อง เมื่อดอม และเจซีย์ได้รู้จักกันเป็นส่วนที่เรื่องไหลลื่นและอ่านสนุกขึ้น ถือว่าเป็นช่วงที่เราชอบเรื่องนี้ที่สุดนะคะ จนไปถึงตอนท้ายเรื่อง เมื่อมีการเปิดเผยถึงอดีตอันทุกข์ทนของดอม เราก็ออกอาการแบบว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาการชอบมองคนอื่นมีเซ็กส์ของเขาวะ เราโยงไม่เข้าน่ะค่ะ คือบอกตามตรงว่า คิดว่า ว่าคนแต่งอยากจะช็อคคนอ่าน ก็เลยเขียนให้ดอมมีอาการแบบนี้ แต่มันไม่ได้มีคำอธิบายมากพอ เราว่า บอกว่า เป็นรสนิยมทางเพศไปเลยจะดีกว่าไหม

โดยรวมเราว่า เล่มนี้โอเคนะคะ เป็นแนว New Adult ที่อ่านได้ แม้จะต้องทำใจกับเรื่องไม่ค่อยสมจริงบางอย่าง (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสถานะความเป็นดาราของดอม ที่อ่านยังไงก็ดูไม่น่าจะเป็นดาราดัง คือดาราดังไม่น่าจะใช้ชีวิตแบบดอมได้) แต่เพราะเป็นเล่มที่สามแล้วของนักเขียนคนนี้ที่เราอ่าน สำหรับเราก็เลยหมดเวลาให้กับนักเขียนคนนี้ไปแล้วน่ะค่ะ (ยกเว้นจะมีใครมาแนะนำเรื่องอื่น ๆ สนุก ๆ ของเธอให้เรานะคะ)



View all my reviews

Review: Midnight Vengeance


Midnight Vengeance
Midnight Vengeance by Lisa Marie Rice

My rating: 3 of 5 stars



เป็นหนังสือเล่มที่สี่ในชุด Midnight ของลิซา มารี ไรซ์ และสำหรับแฟนของหนังสือชุดนี้ก็ไม่น่าผิดหวังนะคะ เพราะเรื่องเป็นไปตามสูตรของชุดเลยก็ว่าได้ ลอเรน แดร์ ซึ่งใช้ชีวิตตลอดเวลาสองปีหลบซ่อนอยู่ในเงามืด หลบหนีการตามล่าของศัตรู แต่เพราะความเผลอในคืนวันนึง ในงานแสดงศิลปะที่ลอเรนเป็นผู้สร้างสรร (แต่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะกลัวจะเป็นที่สนใจเกินไป จึงออกแสดงในชื่อของคนอื่นแทน) เธอพลาดทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ และเธอก็รู้ว่า ถึงเวลาที่จะต้องหนีอีกครั้ง

แต่ก่อนที่จะหนี ลอเรนตัดสินใช้เวลาในค่ำคืนนั้นกับยาคโค หนึ่งในคนที่ทำงานให้กับบริษัท ASI ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาความปลอดภัย (ที่เจ้าของบริษัทเป็นสามีของเพื่อนคนนึงของลอเรน) เธอคิดว่า จะหนีไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ภายใต้ตัวตนใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่ยาคโคไม่ยอมให้เธอจากไปโดยง่าย เขาอ่านแผนการของเธอออก และสามารถทำให้ลอเรนยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวในอดีต ถึงชีวิตก่อนที่จะต้องหลบหนีได้ และแน่นอนว่า ตามสูตรของลิซา มารี ไรซ์ เขาเสนอตัวเองเป็นผู้คุ้มครองเธอ

หนังสือเรื่องนี้เป็นไปตามสูตรสำเร็จของนักเขียนคนนี้เลยนะคะ ในแง่หนึ่งก็ถือว่า อ่านง่ายสนุกพอควร คือถ้าไม่คาดหวังอะไรมาก ตัวละครประพฤติตามคาแร็คเตอร์ที่ถูกวางมา นางเอกอ่อนหวาน มีปัญหาถูกคุกคาม ต้องการคนช่วยเหลือ พระเอกร่างใหญ่ ใจดี และรักจริง พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อนางเอก ในแง่นี้ทั้งลอเรนและยาคโคก็ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ระหว่างที่อ่านเราบอกตามตรงว่า เรารู้สึกอยากได้มากกว่านี้ค่ะ เรานึกอยากให้ตัวละครมีจุดโดดเด่นเป็นของตัวเอง (คือต้องบอกว่า หลังจากอ่านเล่มห้าในชุด Midnight Promise เราเข้าใจตัวเองเลยว่า ต้องการอะไรที่มากกว่านี้ คือเราอยากได้ตัวละครที่น่าจดจำ มีจุดเด่น และแม้จะพล็อตเหมือนกัน คาแร็คเตอร์ของนางเอกในเรื่อง MP ทำให้เราชอบเล่มนั้นมากกว่าเล่มนี้เยอะเลย)

ดังนั้นเล่มนี้จึงเหมือนหนังสืออ่านฆ่าเวลา คือสนุกระหว่างที่อ่านนะคะ แต่ไม่ได้อยู่ในระดับของงานแบบที่ลิซา มารี ไรซ์สามารถเขียนได้ คือเราคาดหวังมากกว่านี้จากงานของเธอน่ะค่ะ



View all my reviews

Review: Midnight Promises


Midnight Promises
Midnight Promises by Lisa Marie Rice

My rating: 4 of 5 stars



ARC has been graciously provided by the author, which I thank her very much since I am a big fan.

I love the Midnight series. I think Midnight Man (the 1st book in the series) is the reason I totally buy into the ebook crown. I may not be an early ebook adopted if not for the greatness of Midnight Man. That book convinces me that ebook is the same (or much better than) as printed book.

Midnight Promises is the fifth (single title) book in the series. Both Metal and Felicity are the characters in the previous book (Midnight Vengeance) but the readers do not need to read that book except that if your read Midnight Vengeance, you would feel that you HAVE TO read this book.

The theme in this story still is in line with the whole series, the heroine in jeopardy and the hero to the rescue. Felicity Ward is a genius computer nerd who lived alone for all her life. With no relative, and no friend, it is very obvious that she is very lonely. She arrived at Portland Airport with a hope to connect with Lauren, a virtual friend whom she helps to get a new life but never meet before in person. But someone is waiting for her at the airport and try to abduct her. She escape but is hurt in the process. Lauren is the only one she can trust but when Felicity finds Lauren, she also find Metal aka Sean O'Brien and with him she finds her protector.

As mentioned the plot is nothing new but what make me really love this book is the characters especially Felicity. I totally believe in what Ms. Rice describe her to be. An intelligent woman with of-the-chart IQ who may not quite sophisticate about the world. A lot of books fail to convince me to believe the intelligent of a characters but not this one. The trick Felicity used to escape the bad guy at the airport are totally believable and very into her already built-in character that the author described. I may not know much about computer but I think I know enough (to survive) and I believe the story. And I love Felicity as a person. I like the combination of naive and cleverness.

As for the romance, it is Lisa Marie Rice signature. InstantLove. And since I expect it to happen, I am OK with it. Of course I already fall in love with (the character of) Felicity so I do not disappoint that Metal also fall for her. She is the type of person people can feel the love for.

The only "let down" thing I have with this book is the reason why the bad guy hunted Felicity. It may be the fault of the movie "The Peacemaker". I find that portable nuclear is the old concept. It is not exciting at all. And I am kind of think that it is already manufacturing by someone else already. So I do not find that it should be the big secret of the decade.

All in all, I love this story. It has everything I expected in a Lisa Marie Rice's story.



View all my reviews

Friday, December 12, 2014

Review: The Game and the Governess


The Game and the Governess
The Game and the Governess by Kate Noble

My rating: 3 of 5 stars



เป็นงานของเคท โนเบิ้ลเล่มแรกที่เราอ่าน และจะไม่ใช่เล่มสุดท้ายแน่นอน เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถึงกับโดนใจ ทำให้เราชอบมาก แต่การเขียนน่าสนใจ การเล่าเรื่องมีมิติ ตัวละครที่เป็นมากกว่าที่ตาเห็น เราชอบในสิ่งที่ได้อ่านไปค่ะ

เนด แอชบี้เชื่อมันในโชคของตัวเองเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดี จะมีสักกี่คนที่เป็นทายาทอันดับท้าย ๆ ของบรรดาศักดิ์ท่านเอิร์ล แต่ทุกคนตายหมด จนกระทั่งถึงเขา นั่นทำให้เขาถูกพาตัวออกจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ไร้ความเจริญ ไปสู่ความมั่งคั่งของบรรดาศักดิ์ ได้รับการเลี้ยงดู การศึกษาเป็นอย่างดี กระทั่งไปรบในสงครามที่หลายคนเสียชีวิต เนดก็รอดตายอย่างปาฎิหารย์ เขาเชื่อมั่นในโชคของตัวเองมากพอที่จะรับการท้าพนันของจอห์น อดีตเพื่อนสนิท อดีตผู้บังคับบัญชาสมัยที่ออกรบ แต่ตอนนี้ทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัว

การท้าที่พนันว่า ถ้าเนดสลับตัวตนกันกับจอห์น ไม่บอกให้ใครรู้ว่า เนดคือท่านเอิร์ล และจอห์นเป็นแค่เลขานุการ เนดจะทำให้หญิงสาวในชนบทอันห่างไกลตกหลุมรักเนดผู้เป็นแค่เลขาได้

พล็อตนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นครั้งแรก ไม่ได้มีอะไรใหม่ เราคิดว่า เคยดูในหนังไทยสมัยก่อนหลายครั้งนะคะ นั่นเป็นเหตุให้เราไม่ได้หยิบเล่มนี้มาอ่านสักที จนกระทั่งเราได้อ่านบทแรก ซึ่งเล่าถึงนางเอกของเรื่อง และมันทำให้เราติดพันอ่านต่อ

จุดเด่นของเรื่องนี้ก็คือ ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ตาเห็น

จากพล็อตเราคิดว่า จะเป็นเรื่องแนวโรแมนติกคอเมดี้ ซึ่งมันก็เป็น แต่มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย ในคาแร็คเตอร์เนด มันลึกซึ้ง หลายจุดทำให้เรานึกถึงอินส์วูดจากเรื่อง The Last Hellion แต่เราคิดว่า เนดมีความลึกมากกว่านั้น (ลึกขนาดตัวเนดเองก็ยังไม่รู้ว่า ตัวเองมี) เรื่องนี้ถ่ายทอดความโดดเดี่ยว การแสวงหาความรัก และการกลบเกลื่อนความรู้สึกทั้งปวงภายใต้เสียงหัวเราะ และการมองชีวิตด้านบวกที่มากเกินไป

ในแง่นึงเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องราวของเนด แต่ฟีบี้นางเอกของเรื่องก็มีความน่าสนใจ (แต่ปฏิเสธไม่ได้นะคะว่า เรารู้สึกว่า เธอเป็นตัวประกอบอยู่ไม่น้อย) ชีวิตของเธอตกต่ำจากลูกสาวของผู้ดีมีอันจะกิน กลายมาทำงานเป็นครูพี่เลี้ยง ส่วนหนึ่งก็เพราะการกระทำที่ไม่เอาใจใส่ของเนด ซึ่งเธอไม่รู้ว่า เขาคือชายคนนั้น (เนื่องจากการสลับตัวกัน) เธอเป็นหญิงสาวที่สมอง และเป็นเหตุเป็นผล เธอรู้ว่า ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเนด เพราะแค่การที่เขาเป็นเลขาของชายที่ทำลายชีวิตเธอก็มากพอแล้ว ที่เธอจะหลีกเลี่ยงเขา แต่ก็ยากที่จะทำได้ในเมื่อเขาก็ตื้อเธอเหลือเกิน

เรื่องนี้น่ารัก พร้อมกับมีความลึกในแง่ของคาแร็คเตอร์ ชอบค่ะ



View all my reviews

Review: The Officer and the Secret


The Officer and the Secret
The Officer and the Secret by Jeanette Murray

My rating: 1 of 5 stars



หนังสือบางเล่มได้หนึ่งดาว แต่เราสามารถเขียนรีวิวได้ยาวเป็นหน้า ๆ เพราะมีความเกลียดมากมายซ่อนอยู่ในหนึ่งดาวนั้น แต่สำหรับเล่มนี้เป็นหนึ่งดาว เพราะหลังจากอ่านจบไปสองสามเดือน เรากลับพบว่า แทบจะจำรายละเอียดของเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว และเราคิดว่า ถ้ามันไม่น่าสนใจขนาดเราจบรายละเอียดแทบจะไม่ได้ มันก็ไม่สมควรได้ดาวมากไปกว่านี้หรอกค่ะ

ปัญหาก็คือ เราไม่รู้ว่า จะเขียนรีวิวมันยังไงน่ะค่ะ

ดเวนย์ โรเบิร์ตสันเพิ่งกลับมายังอเมริกาหลังจากถูกส่งไปออกรบในตะวันออกกลางหลายเดือน เขากลับมาพร้อมกับความจริงที่ตัวเองรู้ดี แต่ไม่ยอมรับที่ว่า เขามีอาการ PTSD (อาการจิตหลอนของทหารผ่านศึก) และการไม่ยอมรับความจริงในส่วนนี้นั่นเอง คือปมของเรื่องเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการสานความสัมพันธ์ระหว่างเขา และเวโรนิก้า กิ๊บสัน

เรื่องนี้อ่านง่าย ๆ สบาย ๆ (และจบแล้วก็จบกัน คือลืมไปอย่างรวดเร็ว) เรื่องเล่าถึงคนสองคนที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง และกำลังมาถึงทางแยกของชีวิต ดเวนย์กับความพยายามที่จะเอาชนะ PTSD และการไปสู่การยอมรับความจริงว่า การไปพบจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่า เขาเป็นคนอ่อนแอ และเวโรนิก้าที่พยายามปรับตัวกับชีวิตแบบที่ไม่คุ้นเคย หลังจากที่ใช้เวลาเกือบตลอดชีวิตติดตามบิดามารดาผู้ทุ่มเทรับใช้พระเจ้า (ด้วยการออกเดินทางไปยังที่ห่างไกลเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่ละเลยและทอดทิ้งลูกแท้ ๆ ของตัวเอง)

เราอ่านสองเล่มแรกในชุดไปนะคะ และคิดว่า สนุกและน่าสนใจกว่าเล่มนี้



View all my reviews

Review: The Longest Night


The Longest Night
The Longest Night by Kara Braden

My rating: 2 of 5 stars



พล็อตเรื่องน่าสนใจ และแปลก เรื่องราวของคนสองคนที่มีชีวิตที่แตกต่างกัน

คนนึงเป็นทนายในนิวยอร์ค ชีวิตในสังคมเจริญทางวัตถุ แต่กำลังมาถึงจุดที่ทุกอย่างพังทลายลง อาการเจ็บป่วยที่เกิดทำให้ติดยาแก้ปวดจนเกือบจะทำลายชีวิต ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ และพี่ชายก็ได้แนะนำให้เดินทางไปจากสิ่งที่คุ้นเคย ออกจากนิวยอร์คไปอยู่ที่อื่นสักระยะ เพื่อพักฟื้นคืนแรง จะได้กลับมาเป็นคนเดิม

ส่วนอีกคนใช้ชีวิตตามลำพังในชนบทอันห่างไกลในอลาสก้า สถานที่ที่ไม่อาจเข้าถึงได้ หลังจากอาชีพทหารที่จบลงเมื่อถูกกองกำลังต่างชาติจับไปเป็นตัวประกัน และทรมานเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อถูกช่วยเหลือออกมาได้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ไม่อาจกลับคืนสู่สังคมปกติได้ ชีวิตจึงอยู่อย่างเงียบเหงา และแห้งแล้ง จนกระทั่งคนที่ช่วยเหลือเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือบ้าง ด้วยการส่งคนมาพักฟื้นเพื่อให้ดูแล

จริง ๆ พล็อตไม่แปลกอะไรเลยนะคะ ลองอ่านเผิน ๆ ก็จะคิดว่า ทนายในนิวยอร์คคือนางเอกที่ต้องการพักฟื้นทางร่างกาย มาเจอกับพระเอกที่อยู่ในที่ห่างไกล แต่เรื่องนี้ทนายจากนิวยอร์คคือพระเอกค่ะ และนายทหารผู้ถูกจับเป็นเชลยศึกจนบาดเจ็บทางจิตใจคือนางเอก

เราชอบประเด็นนะคะ และคิดว่า คนแต่งเขียนคาแร็คเตอร์สลับกันได้ดี เรื่องราวน่าเชื่อ และความสัมพันธ์ระหว่าง ซิซิลี และเอียนน่าสนใจ ปัญหาคือ เรื่องราวระหว่างพวกเขาเมื่อมันเริ่มต้นแล้วกลับเอื่อยเฉื่อยเกินไป ทำให้เป็นความน่าเบื่ออยู่ไม่น้อย นอกจากนี้เรื่องราวยังเป็นแนว contemporary แบบเพียว ๆ คือไม่มีเรื่องอื่นมาปน ทุกอย่างจริงเป็นการการเล่าความสัมพันธ์ และในอลาสกาก็มีแค่เอียนและซิซิลี น่าเสียดายว่า ทั้งคู่ไม่มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากพอสำหรับหนังสือทั้งเล่ม

แต่นี่เป็นงานเขียนเล่มแรกนะคะ ถ้าเราโชคดีพอจะได้เล่มอื่น ๆ ของนักเขียนคนนี้มา (อย่างไม่ต้องเสียเงิน) เราคิดว่า จะให้โอกาสอ่านงานของเธออีกครั้งค่ะ เพราะเราว่า เธอวางพล็อตได้น่าสนใจดี



View all my reviews

Review: Insidious


Insidious
Insidious by Aleatha Romig

My rating: 1 of 5 stars



คือถ้าเราให้คะแนนต่ำกว่าหนึ่งดาวได้ก็จะให้นะคะ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ไม่สนุก แต่นี่เป็นหนังสือไม่กี่เล่มในชีวิตที่เราอ่านจบแล้ว เราอยากจะกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เรา "ยังไม่ได้อ่าน" เล่มนี้ มันเป็นหนังสือที่รบกวนใจ และไร้สาระ และเราอยากจะใช้คำว่า น่ารังเกียจ (แรงไปไหม)

เราอ่านเล่มนี้เพราะเคยอ่านงานเขียนของนักเขียนคนนี้แล้วชอบ เรารู้นะคะว่า ไม่ได้กำลังอ่านเรื่องแนวโรแมนซ์ เราชอบการเขียนเรื่องมืด ๆ หักมุมของพล็อต ตัวละครที่มีสีเทาไปจนถึงดำ เรื่องราวที่รบกวนใจ คือเราเตรียมใจก่อนจะอ่านแล้วนะคะ แต่พอเราอ่านเรื่องนี้ เราพบว่า เราไม่เข้มแข็งพอ

ถ้าเทียบเรื่องนี้กับชุด Consequence เราคิดว่า ชุดนั้นมืดกว่ามาก แต่การเล่าเรื่อง รวมไปถึงตัวละครของชุดนั้นทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ ที่สำคัญคือ น่าติดตามอ่าน แต่เวลาที่เราอ่านเรื่องนี้ ความรู้สึกตรงกันข้ามมาก ขอบอกว่า เราเดาเรื่องได้มากกว่าครึ่งของจุดที่คนแต่งวางหลุมพรางเอาไว้ และไม่ใช่เพราะเราเก่งนะคะที่เดาได้ คือมันดูออกง่ายขนาดนั้น เราทนอ่านต่อ แม้เราจะรู้สึกว่า พล็อตเรื่องไม่น่าเชื่อ ไม่สมจริง เพราะเราอยากรู้ว่า "ทำไม" เราทนอ่านจนจบเลยนะคะ แต่พอได้คำตอบ เรากลับผงะ คือแบบ แค่เนี้ยนะ ช่างไร้สาระ ไร้เหตุผล แถมเรื่องยังมีบทสรุปที่แย่ที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้

โอเคมาถึงรีวิว เราขอบอกว่า จะเป็นรีวิวแบบสปอยล์แหลกลาน เพราะเรากำลังเข้าสู่โหมดของการบ่น ซึ่งเราคงบ่นได้ไม่เต็มที่ ถ้าไม่บอกทุกประเด็นที่อัดอันในใจ

เรื่องเล่าถึงวิคทอเรียที่เริ่มต้นจากสาวน้อยวัยสิบแปดปีที่แต่งงานกับสจ๊วต มหาเศรษฐีผู้สูงวัยกว่า หลังจากสิบปีแห่งการแต่งงาน สจ๊วตกำลังป่วยหนักใกล้ตาย และวิคทอเรียหลังจากลงทุนมากมาย ในที่สุดก็จะสมหวังเสียที เราไม่แปลกใจกับตัวละครที่ไม่ใช่คนดีเท่าไหรในเรื่องนะคะ เราไม่ได้มีปัญหากับความคิดของนางเอกที่แคร์สามีที่ป่วยหนัก เพราะเรื่องบ่งบอกชัดเจนถึงการกระทำของสจ๊วตที่ไม่อาจให้อภัยได้ เขามีรสนิยมทางเพศแบบแปลก และชอบเสนอภรรยาสาวอ่อนวัยให้กับ "เพื่อน" สิ่งที่วิคทอเรียไม่ต้องการ แต่ต้องยอมตาม เพราะสัญญาที่เธอลงนามเอาไว้ หากเธอปฏิเสธ หมายถึงเธอจะไม่ได้อะไรเลยกับการลงทุนแต่งงาน

ปัญหาของเราก็คือ เราไม่แน่ใจว่า "สัญญา" ในเรื่องมันถูกกฎหมายรึเปล่า มันเป็นไปได้ที่จะเซ็นต์อะไรแบบนั้น คนเราเขียนสัญญายังไงก็ได้ แต่ความชอบโดยกฎหมายเป็นอีกประเด็นนึง และจากข้อความในสัญญา (จากที่เรื่องอนุมานว่ามันเป็นยังไง) เราไม่เชื่อว่า สัญญานี้จะมีผลบังคับใช้ได้ ยิ่งในเรื่องต่อมามีความพยายามของสจ๊วตที่จะเปลี่ยนเจ้าของสัญญาจากตัวเองไปเป็นทราวิส (คนรับใช้สนิท) ยิ่งไม่น่าเชื่อ ไม่น่าทำได้

แค่ด้วยประเด็นนี้เราอ่านแบบรับไม่ได้แล้ว คือมันผิดตั้งแต่ความเป็นไปได้ และตัวละครทุกคนในเรื่องทำเหมือนมันมีผลบังคับใช้ได้จริง

แล้วยังตัวนางเอกอีก คือเนื้อเรื่องทำให้เราคิดไปเองว่า เธอจะต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์ จอมวางแผน แต่พออ่านไป เธอเหมือนเด็กน้อยโง่ ๆ ที่คิดว่า ตัวเองฉลาด และคนแต่งพยายามยัดเยียดให้คนอ่านคิดว่า เธอฉลาดไปด้วย เราคาดหวังว่า การที่เธอแต่งงานกับสจ๊วตจะมีอะไรมากกว่านี้ ว่า เธอรู้อยู่ว่า ตัวเองจะต้องเจอกับอะไร เรื่องมันก็ชัดเจนอยู่นะ แต่เรื่องก็เลือกที่จะสร้างความไร้เดียงสา หรือสร้างภาวะ "นางเอก" ก็ไม่รู้นะคะให้กับวิคทอเรีย ทำให้เธอ "ช็อค" ไปกับสิ่งที่เกิด เขียนแบบนั้นเพื่อให้การกระทำต่อมาของเธอดูดีนั้นเหรอ

กะอีกแค่เธอกล้าพอที่จะวางยาสจ๊วตจนป่วยหนัก มันไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรเลย เราเดาได้ตั้งแต่เรื่องบอกตอนแรกแล้วว่า เขาเป็นมะเร็ง ฮัลโหล คนอ่านไม่ได้โง่นะ ไม่ช็อคเลยสักนิดเดียว

ที่มากกว่านั้น การที่เธอยอมปล่อยตัวให้โบรดี้เพื่อหวังหลอกใช้เขา คือจะทำให้เราคิดว่า เธอ "ใจกล้า" และลึกลับ พอเอาเข้าจริง เธอก็โง่อีกนั้นแหละ เพราะเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายโดยหลอกใช้

แล้วก็นำมาถึงพล็อตที่เราคิดว่า น่ารังเกียจ

เราคิดว่า เรื่องอาจจะดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าสจ๊วตเอาวิคทอเรียไปเสนอให้ "เพื่อน" มีเซ็กส์ด้วย เพราะเขาชอบแบบนั้น เรายังว่าน่าเชื่อมากกว่านะ แต่นี่ก็ยังพยายามจะสร้างคำอธิบายให้เกิดขึ้น ด้วยการนำพล็อตว่า "เพื่อน" ของสจ๊วตเป็นผู้มีอิทธิพล และคนกลุ่มนี้ (ใครวะ) ต้องการวิคทอเรียมากกกกกกกก คือเราสงสัยว่า อวัยวะเพศของเจ้าหล่อนทำด้วยทองรึยังไง ทำไมเธอจึงเป็นที่ต้องการขนาดนั้น เราไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่มีค่าขนาดนั้น จะต้องลงทุนกันขนาดนั้น เรื่องเว่อร์มากไปอีก เมื่อตอนที่สจ๊วตตายแล้ว แต่บรรดา "เพื่อน" ก็ยังตามติด รอเข้าคิวจะมีเซ็กส์กับเธอต่อ คือมันทำเหมือนผู้หญิงสวยหายาก เมื่อคิดว่า "เพื่อน" พวกนี้คือคนที่มีอิทธิพล มีเงิน ทำอะไรก็ได้ คือเราเข้าใจนะ ถ้าพวกเขาอยากได้เธอครึ่งนึง แต่อยากได้ต่อ โดยต้องลงทุนยุ่งยากนี่นะ จะทำกันเหรอ หาผู้หญิงอื่นน่าจะง่ายกว่า

แล้วยังพล็อตเรื่องพ่อที่แท้จริงของวิคทอเรีย มีมาทำไม ไร้สาระแบบชั่วร้ายไป

บทสรุปตอนจบ อ่านไปนึกว่าเป็นรวมเรื่องขำขัน คือตั้งต้นมาซะว่ายากเย็น พอเอาเข้าจริงไม่เห็นมีอะไร มันเหมือนคนอ่านโดนบิวท์ว่า นี่จะเป็นสุดยอดคนร้าย จะมีประเด็นใหญ่มาก พอถึงเวลา แค่นางเอกไปคุยด้วย ทุกอย่างจบ ซะงั้น

เรื่องนี้เขียนเหมือนให้ดูว่า นางเอกเก่ง นางเอกกล้า นางเอกฉลาด แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า สาวเจ้าช่างเป็นเบี้ยในเกมของคนที่ยิ่งใหญ่กว่า เธอไม่มีอะไรเลย ไม่มีค่า ไม่มีราคาสักนิดเดียว ตอนจบที่ลงเอยด้วยการให้เธอแต่งงานกับทราวิส เพื่อ... จะเซอร์ไพร์สคนอ่านตอนประโยคสุดท้าย เพื่อให้ความหมายแบบนัย ๆ ว่า เธอก็วางยาทราวิสอีกคนให้คนอ่านช็อคใช่ไหม

สิ่งที่เราคิดก็คือ เธอช่างโง่จริง ๆ ฆ่าสามีตายไปคนนึงแล้วรอดมาได้ด้วยการวางยา จะฆ่าคนที่สองด้วยยาตัวเดิมอีกเนี่ยนะ คุณว่าโง่หรือฉลาดล่ะ เปลี่ยนวิธีบ้างก็ดีนะ เผื่อตำรวจจะได้ไม่สังเกตเห็น





View all my reviews

Thursday, December 11, 2014

Review: Blind Faith


Blind Faith
Blind Faith by Rebecca Zanetti

My rating: 2 of 5 stars



เราเริ่มต้นอ่านเรื่องในชุดนี้อย่างตื่นเต้น คือชอบเล่มแรกในชุดมาก ๆ จากนั้นก็เริ่มลดลงมาในเล่มนี้ แล้วก็มาถึงเล่มนี้ ซึ่งเป็นเล่มสามในชุดที่เรารู้สึกว่า ช่างไม่สนุกเอาเสียเลย เราไม่แน่ใจนะคะว่า เป็นเพราะตัวเล่มนี้เอง หรือความที่พล็อตเรื่องในสามเล่มมันเหมือนกันมาก แถมที่น่ารำคาญสำหรับเราก็คือ พล็อตที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เล่มหนึ่ง (และเป็นเหตุผลทำให้หนังสือแต่ละเล่มในชุดนี้ไม่อาจจะจบอย่างมีความสุขสนิทสำหรับตัวละครในเล่มนั้น ๆ ได้) มาในเล่มนี้ก็ลงเอยแบบเดิม ก็คือ ไม่มีทางออก ต้องไปอ่านต่อกันอีกในเล่มสี่ แถมพล็อตรวมของชุดก็ไม่มีความคืบหน้า อ่านไปก็เหมือนวนอยู่ในอ่างตรงนั้นแหละ

เราเบื่อขนาดว่า เราไม่อยากอ่านเล่มสี่ (Total Surrender) เลยนะคะ แม้เราจะรู้สึก ทุกอย่างจะลงเอยจบสิ้นกันที่เล่มนี้แหละ

เตือนก่อนแล้วกันว่า รีวิวต่อไปจะเป็นการสปอยล์พล็อตในสองเล่มแรกนะคะ

เนท ดีน พี่ชายคนที่สองของสี่พี่น้องตระกูลดีน ซึ่งตอนนี้ออกตามหาความจริงที่ว่า จอร์รี น้องชายคนเล็กอาจจะยังมีชีวิต และในขณะเดียวกันเวลาของพวกเขาก็เหลือน้อยลงทุกที เพราะชิปที่ฝังไว้ในร่างกายของพวกเขากำลังนับถอยหลัง รอวันระเบิดตัวเอง การค้นหาความจริงของเนท ทำให้เขากลับไปในชีวิตของออเดรย์อีกครั้ง หญิงสาวคนที่เขาไม่เคยลืม คนที่ทรยศเขาอย่างร้ายกาจ คนที่เลือกจะอยู่ข้างเดียวกับองค์กรที่ควบคุม และทำร้ายพวกเขามาโดยตลอด

พล็อตเรื่องอาจจะน่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องในชุดนี้มาก่อนนะคะ แต่สำหรับเราที่อ่านสามเล่มนี้ในเวลาเดียวกัน มันซ้ำซาก น่าเบื่อมาก ที่สำคัญน่ารำคาญแบบบรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลยค่ะ ปัญหาที่ทิ้งท้ายไว้ในสองเล่มแรก ก็ยังค้างคาอยู่อย่างนั้น ไม่มีการแก้ไข

ยิ่งมาเล่มนี้ที่เราไม่ชอบนางเอกเท่าไหร เราไม่ชอบคาแร็คเตอร์แนวแม่พระผู้เสียสละอย่างลับ ๆ อย่างที่ออเดรย์เป็น เพราะแน่นอนว่า ที่เนทเข้าใจว่า เธอทรยศเขา แท้จริงแล้ว เธอแอบช่วยเขาไว้ (อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องชุดบรีดของโลลา ลีย์ หรือ New Species อยู่ซะงั้น) แถมนางเอกยังมีแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ที่หลงคิดว่า ตัวเองเป็นพระเจ้า เอาลูกตัวเองมาเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง (เราบอกแล้วว่าเหมือนชุดบรีด) ที่สำคัญนางเอกก็ยังโง่และหลงตัวเองขนาดคิดว่า จะหลอกพวกคนร้ายได้สำเร็จ (ว่าเธอจงรักภักดีกับพวกเขา) ซึ่งท้ายสุดเป็นการเอาตัวเองไปเหยื่อให้คนร้ายใช้เพื่อข่มขู่พระเอกอีก

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตระกูลดีนนะคะ และนี่เป็นส่วนที่ดีที่สุดในเล่มนี้ แต่ก็นะคะ ไม่อยากว่าอะไรมาก เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่า ที่เราไม่ชอบเล่มนี้ก็เพราะเราอ่านเรื่องในชุดนี้ติดต่อกันมากเกินไป คือถ้าอ่านแล้วเว้นวรรคบ้าง เราอาจจะปราณีกับเล่มนี้มากกว่านี้



View all my reviews

Review: Wolf Hall


Wolf Hall
Wolf Hall by Hilary Mantel

My rating: 3 of 5 stars



Wolf Hall ของฮิลลารี แมนเทล

เป็นหนังสือที่ทำให้เราแปลกใจมาก เพราะเราไม่ชอบหนังสือที่ได้รางวัล และคำชื่นชมจากเหล่านักวิจารณ์มืออาชีพ (พวกที่วิจารณ์ตามหนังสือพิมพ์ชื่อดัง ๆ) เพราะเรารู้ตัวว่าเป็นคนพื้น ๆ ไม่ได้มีรสนิยมสูงส่ง สรุปคือ ชอบนิยายแนวตลาด หรือแนว Genre แบบโรแมนซ์ สืบสวน

นอกจากนี้แล้วเรายังเป็นคนยึดมั่นถือมั่น คือลองมีความเชื่อแบบใดแบบนึงแล้ว มักไม่ค่อยเปลี่ยน (ในแง่ของการตัดสินไปล่วงหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประวัติศาสตร์ว่า ใครเป็นคนผิด เป็นตัวร้าย เป็นคนฉลาด/โง่) เรารู้นะคะว่า ประวัติศาสตร์มีหลายด้าน แต่เราก็ห้ามตัวเองไม่ได้

เล่มนี้เล่าเรื่องในประวัติศาสตร์ยุคทิวดอร์ รัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 (ผู้มีเมียหกคน) ประวัติศาสตร์ที่เราอ่านมาหลายรอบจากหนังสือหลายเล่ม ทั้งที่เป็นนิยาย และแนวสารคดี เรามีความคิดปักหลักเชื่อว่า ใครเป็นยังไง เรียบร้อยแล้ว

แต่เล่มนี้ทำให้เราแปลกใจสุด ๆ เพราะมันทำให้เราทบทวนความเชื่อของตัวเอง ทำให้เราคิด และมองสิ่งที่ตัวเอง (ปักใจเชื่อ แม้จะไม่มีเหตุผล แต่ก็เป็นสิ่งที่เราเชื่อว่าจริง) ใหม่อีกครั้ง ที่สำคัญสิ่งที่เล่มนี้ทำได้ดีที่สุดก็คือ การเขียนอย่างเป็นกลาง ซึ่งยากมาก ๆ ในการเล่าเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์

ตัวเอกของเรื่องนี้ คือตัวร้ายในประวัติศาสตร์ หรือที่แย่ไปกว่านั้น คือคนที่ไม่มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เอาเสียเลย ท่ามกลางเรื่องราวมาก ๆ ในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ในเวลาที่พระองค์ต้องการเปลี่ยนราชินีจากพระนางแคธเทอรีน มาเป็นแอนน์ โบลีน เรื่องยุคนี้ถูกเขียนบ่อย และทำเป็นหนังก็บ่อยกว่า มีใครจดจำคาแร็คเตอร์ของโธมัส ครอมเวลล์ได้บ้างคะ

ก่อนหน้าเรื่องนี้เราจำเขาได้อย่างลางเลือนในแง่ที่ไม่ดีนัก

อย่างที่บอกค่ะ สิ่งที่คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ชนิดที่เราไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหน (ในแนวนิยาย) ก็คือ ความเป็นกลางในการเล่าเรื่อง หลายส่วนอาจจะทำให้คนอ่านเอนเอียงไปทางครอมเวลล์บ้างนะคะ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะนี่คือเรื่องราวที่เล่าจากมุมมองของเขา แต่คนแต่งไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนดีเลิศ หรือเลวร้าย เรื่องราวถูกถ่ายทอดแบบให้คนอ่านตัดสินใจเอาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคที่ไม่มีอะไรง่ายดายเป็นขาวและดำ

เราเป็นคนกลุ่มที่ชื่นชอบและอาจจะเรียกได้ว่าเทิดทูนโธมัส มอร์มาก ๆ นะคะ กับการที่เขายอมตายเพื่อความเชื่อ เล่มนี้ทำให้เราตั้งคำถามความคิดนั้น และนี่เป็นสิ่งที่แทบจะไม่เกิดขึ้นกับเรามาก่อน (กับเรื่องอื่น ๆ ที่นำเสนอด้านที่แตกต่างของโธมัส มอร์ เรามักจะโมโห และอ่านเลิกอ่าน หรืออ่านไปบ่นไป เพราะเราปักใจไปแล้ว) เล่มนี้เล่าเรื่องอย่างเป็นกลาง ไม่ได้มีใครเป็นคนดี หรือเลว

ที่สำคัญเล่มนี้ทำให้เรามองสังคมในยุคทิวดอร์ในช่วงพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ใหม่ ก่อนหน้าเราคิดว่า จุดเปลี่ยนของอังกฤษเกิดขึ้นในยุคของพระนางอลิซาเบ็ธที่ 1 เมื่ออังกฤษเปลี่ยนจากเกาะเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครสนใจ มาเป็นชาติผู้นำในยุโรป เราไม่ได้มองรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เป็นอะไรมากไปกว่าการที่ผู้นำเปลี่ยนแปลงความเชื่อทางศาสนาเพียงเพราะอยากมีรัชทายาท

เล่มนี้นำเสนอการขึ้นมามีบทบาทของชนชั้นกลาง การเสื่อมอำนาจของกลุ่มขุนนาง การต่อสู้เพื่อความเชื่อ การปลดแอกตัวเองจากศาสนาที่ครอบงำ เราเคยคิดว่า อังกฤษก้าวเข้าสู่ยุคเรเนซองค์ช้ากว่าชาติอื่น ๆ ในยุโรป เล่มนี้เปลี่ยนความคิดของเรา

หนังสือเล่มนี้อ่านยาก เราไม่ค่อยชินกับวิธีการเล่าเรื่องของคนแต่ง ทำให้ช่วงต้นเรื่องอ่านได้ช้ามาก ๆ แต่หลังจากอ่านไปสักระยะ จนเริ่มค้นกับวิธีการเล่าเรื่อง ก็ไปได้เรื่อย ๆ ค่ะ และคงต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งสนุก

สำหรับหนังสือที่เล่าเรื่องราวที่เรารู้ดีอยู่แล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป (เพราะเราอ่านประวัติศาสตร์ในยุคนั้นมาจนจำได้) เรื่องนี้กลับเป็นหนังสือที่สนุก และน่าติดตามมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราแนะนำเลยนะคะ สำหรับคนที่อยากอ่านอะไรที่มากกว่านิยาย แต่ยังให้ความสนุกแบบนิยายอยู่



View all my reviews

Review: Bring Up the Bodies


Bring Up the Bodies
Bring Up the Bodies by Hilary Mantel

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือเล่มที่สองในชุดไตรภาคที่เล่าเรื่องราวของโธมัส ครอมเวลล์ ชายผู้ไม่มีเชื้อสายขุนนาง แต่สามารถไต่เต้าจนกลายเป็นคนสนิทของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ผู้ซึ่งหน้าประวัติศาสตร์ไม่ค่อยปราณีกับเขาเท่าไหรนัก เขาถูกมองเป็น "คนร้าย" ที่ทำทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่าพระเจ้าเฮนรีต้องการอะไร ครอมเวลล์คือคนที่จัดหามาให้ ไม่ว่จะเป็นการหย่าร้างจากพระนางแคธเทอรีน ภรรยาคนแรก หรือผู้ที่จัดสรรข้อหาจนทำให้ภรรยาคนที่สอง พระนางแอนน์ โบลีนถูกประหาร

เล่มนี้เล่าเรื่องต่อเนื่องจากเล่มแรก หลังจากที่ทำทุกอย่างเพื่อให้สมพระประสงค์ จนหย่าขาดจากพระนางแคธเทอรีน และสมรสกับแอนน์ โบลีนได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่ที่เฮนรีต้องการออกจากความผูกมัด และใครล่ะจะเป็นคนจัดการ ก็เป็นหน้าที่ของโธมัส ครอมเวลล์อีก

เรื่องนี้อ่านง่ายกว่าเล่มแรก (Wolf Hall) เยอะมากเลยนะคะ ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะเราชินกับวิธีการเขียนของแมนเทลแล้ว หรือว่าเธอเขียนให้อ่านง่ายขึ้น และเมื่อคิดว่า เราสนุกไปกับเรื่อง Wolf Hall มากแล้ว เล่มนี้ยิ่งสนุกมากกว่า แบบเยอะมาก ๆ

ความชอบของเราเกือบเหมือนกับเล่มแรกเลยนะคะ นั่นคือ การเอาประวัติศาสตร์ที่เราคิดว่า เรารู้ดีอยู่แล้ว มาเล่าโดยไม่ทำให้เราเบื่อหน่าย แถมยังทำให้เราได้รับรู้เรื่องจากอีกมุมมองนึง เทคนิคการเล่าเรื่องแบบที่ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้กับคนอ่าน แต่ให้ข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง (ว่าใครเป็นคนดี คนเลว หรือคนผิดในเรื่องราวที่แสนซับซ้อน)

แต่ที่สำคัญที่สุด เล่มนี้เซอร์ไพร์สเราได้ เราคิดว่าเราเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องแล้วนะคะ แต่พอคนแต่งเผยไต๋ออกมา เราแบบอึ้ง คืออย่างที่บอกค่ะ คนแต่งไม่ได้ใช้วิธี "บอก" คนอ่าน ว่าโธมัส ครอมเวลล์เป็นคนยังไง แต่แสดงให้เห็น และเราคิดว่า เราเข้าใจตัวตนของเขาแล้วนะคะ แต่เอาเข้าใจ ได้ไม่ถึงครึ่งเลย ขอยกย่องคนเขียนมาก ๆ

นอกจากนี้เล่มนี้ยังมีความเป็นไตรภาคอย่างแท้จริง อาจจะไม่จำเป็นจะต้องอ่านเล่มแรกเพื่อจะได้เข้าใจเรื่องราวในเล่มนี้นะคะ แต่ขอบอกว่า คุณจะพลาดอะไรไปหลายอย่างมาก ๆ ถ้าไม่ได้อ่านเล่มแรก และความเก่งของคนแต่งก็คือ ทิ้งคำใบ้เอาไว้ จากนั้นก็เงียบหายไปไม่กล่าวถึง (จนเราคิดว่า เราคิดมากไปเอง) จนบู้ม มาถึงจุดที่เปิดเผยทุกอย่าง

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ แต่กลับมีหลายจุดที่เซอร์ไพร์ส จนหลายครั้งเรารู้สึกเหมือนอ่านเรื่องราวสืบสวนไปเลยล่ะค่ะ

ตอนนี้รอบทสรุปเล่มสุดท้ายในชุดอยู่ค่ะ แม้จะรู้แล้วนะคะว่า ชะตากรรมของครอมเวลล์จะจบลงเช่นไร แต่เชื่อฝีมือคนแต่งว่า จะสามารถเอาเรื่องที่เราคิด (เอาเอง) ว่ารู้ดีแล้ว มาทำให้สดใหม่ น่าสนใจได้แน่นอน



View all my reviews

Review: Rogue


Rogue
Rogue by Katy Evans

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้ไม่แน่ใจว่า ควรแแนะนำไหม เรารู้สึกว่า มันมีความขาด ๆ เกิน ๆ หลายอย่าง ส่วนตัวแล้วเราชอบนะคะ เพราะโทนเรื่องเข้าแนวที่เราชอบ พระเอกที่คลั่งไคล้ในตัวนางเอกอย่างรุนแรง ทำทุกอย่างเพื่อเธอ คาแร็คเตอร์พระเอกที่สีเทารุนแรง แต่การเล่าเรื่องมีปัญหามาก ๆ สไตล์การเขียนแปลก ๆ เหมือนหนังสือวัยรุ่น คือเล่าแบบขาด ๆ ให้คนอ่านไปเต็มคำในช่องว่างเอาเอง แถมพล็อตก็มีช่องโหว่เยอะ ถ้าให้สมองมองหาเหตุผล แทบจะไม่เจออะไรเลย (เช่นพระเอกแอบมองนางเอก และสนใจมาก ๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็บอกว่า ก่อนหน้านั้น พระเอกไม่ได้อยู่ในวงการ และไม่น่าจะอยู่ในสถานที่ที่ได้เจอกับนางเอกได้)

เรารู้สึกว่า คนแต่งอยากเล่าเรื่องแนวมาเฟียโรแมนซ์ แต่องค์ประกอบหลายอย่างดูไม่สมจริง และไม่น่าเชื่อ อดีตของพระเอกที่พยายามบอกใบ้ว่าดำมืดมาก แต่ไม่ยอมบอกว่า มันคืออะไร การกระทำของเขาหลายอย่างดูเหมือนจะทำให้คิดว่า จะต้องเลวร้าย แต่พออ่านไป ก็เหมือนว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร บอกตามตรงนะคะว่า อ่านไปรำคาญไปเล็ก ๆ

ซึ่งถ้าเทียบกับ Real แล้ว เราว่าเล่มนี้ด้อยกว่า จึงไม่อยากแนะนำให้ใครอ่าน แต่ก็ยังยืนยันว่า ส่วนตัวแล้ว เราโอเคกะเล่มนี้นะ คือไม่ได้ถึงกับชอบมาก (เหมือนตอนที่เรารู้สึกกับ Real) แต่ไม่ได้เลวร้ายซะขนาดเราจะเลิกอ่านงานของนักเขียนคนนี้



View all my reviews

Review: Ripped


Ripped
Ripped by Katy Evans

My rating: 3 of 5 stars



อ่านเพราะปก (ขอบอกว่า เห็นปุ๊บนึกถึงอดัม เลวีนมาก ๆ) และพล็อตที่เป็นแนวถนัดของเรา ซึ่งก็คือ รักเก่าหวนคืน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เราไม่ได้รู้สึกว่า คาแร็คเตอร์ของแพนดอรา นางเอกในเรื่อง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีบทบาทมาในเล่มก่อนหน้า (Real, Rogue) ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรสักหน่อย (คือเราอยากอ่านเรื่องของเพื่อน ๆ ของเรมี่มากกว่า) แต่เห็นพล็อตแล้ว เราออกอาการอยากมาก ขนาดว่า ยังอยู่ที่ฮ่องกง ยังนั่งรอจนเที่ยงคืน เพื่อที่จะได้คลิกซื้ออีบุ๊คได้

และเรื่องก็สนุกอ่านได้ติดหนึบมาก ๆ เรานั่งอ่านระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่อง จนขึ้นเครื่อง จนบินถึงเมืองไทย และอ่านต่อเมื่อนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน (แล้วก็อ่านต่อที่บ้าน ชนิดไม่ได้เปิดกระเป๋าเดินทางด้วยซ้ำ) เรื่องนี้บีบหัวใจมาก ๆ ออกแนว angst แบบต้องถอนหายใจเป็นพัก ๆ

คนทีชอบงานของเคตี้ เอแวนส์น่าจะชอบเรื่องนี้นะคะ เพราะธีมและโทนเรื่องเป็นแนวแบบที่เธอเขียนอยู่ เล่มนี้สนุกกว่า Rogue (ซึ่งเราคิดว่า เป็นเล่มที่มีปัญหาในแง่ของตัวละคร) แต่อาจจะไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนเรื่อง Real แต่สำหรับคนที่ไม่ถูกทางกับงานของนักเขียนคนนี้ เราก็ไม่คิดว่า เล่มนี้จะทำให้เปลี่ยนใจกลับมาชอบได้

เนื้อเรื่องง่าย ๆ และไม่ได้เหมือนกับที่คำโปรยปกหลังเขียนเอาไว้มากนัก แพนดอราอ่านเจอข่าวว่า แม็คเคนนา อดีตแฟนเก่า ซึ่งตอนนี้กลายเป็นร็อกเกอร์ชื่อดังได้มาเปิดการแสดงในเมืองที่เธออยู่ หญิงสาวที่ไม่เคยปลดปล่อยความเสียใจ ความโกรธที่เกิดจากการที่ถูกเขาทิ้งไปได้ ตัดสินใจซื้อบัตรคอนเสิร์ตพร้อมกับแผนการโง่ ๆ (อันนี้เราบอกเองค่ะ) เธอและเพื่อนสนิท (เมลานี นางเอกเรื่อง Rogue) จัดการแก้แค้นให้กับความโกรธของแพนดอราด้วยการขว้างปาสิ่งของขึ้นไปบนเวที จนสองสาวถูกรปภ.จับ

แต่ความจริงที่ว่า แพนดอราคือผู้หญิงจากอดีตของแม็คเคนนา กลายเป็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เพราะตอนนี้วงดนตรีของเคนนากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ (แนวเรียลิตี้) ผู้จัดการประจำวง จึงว่าจ้างให้แพนดอนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน เพื่อสร้างดราม่าให้กับภาพยนตร์ จะได้เรียกความสนใจจากแฟนเพลง และนั่นคือเหตุการณ์ที่ทำให้แพนดอรา และแม็คเคนนาได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง หลังจากเวลาหกปีที่เจ็บปวด

เรื่องนี้ใช้พล็อตของความเข้าใจผิดในระดับหนึ่งในการเล่าเรื่อง กับความจริงที่ว่า ทั้งแพนดอรา และแม็คเคนนาไม่ได้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ความจริงจึงมีสองด้าน ตั้งแต่เริ่มต้น คนอ่านจะเห็นได้ชัดถึงความผูกพัน ความรู้สึกที่ทั้งสองมีให้กัน (นี่เป็นที่มาของความ angst) เห็นชัดว่า แม้จะบอกว่า เกลียดกันแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็รักกันอย่างมากมาย ในแง่นึงเรื่องนี้ตัวละครเด็กมาก ๆ (แม้อายุในเรื่องจะยี่สิบกว่ากันทั้งคู่)

บอกตามตรงนะคะ เรารู้สึกว่า หลายอย่างไม่ค่อยสมจริง ความเป็นร็อคสตาร์ของแม็คเคนนาดูไม่น่าเชื่อเท่าไหรนัก (คือคิดว่า น่าจะมีแฟนตามรุมมากกว่านี้) หลายส่วนของพล็อต โดยเฉพาะเรื่องในอดีตดูบังเอิญเกินเหตุ (และเรารู้สึกว่า เล่าไปเล่ามาดูช่วงเวลาในเรื่องไม่สมจริง) แต่ทั้งหมดนั่นไม่สำคัญสำหรับเราเท่าไหร เพราะเจ้าอาการบีบหัวใจไปอ่านไป ถอนหายใจไปที่เกิดขึ้น มันกลบได้หมด นี่จึงเป็นหนังสือที่เราไม่แน่ใจว่า จะแนะนำให้อ่านไหม คือเหมือนว่าคลื่นจะจูนกับอารมณ์ของเราได้ลงตัว ทำให้เราจึงชอบเล่มนี้มาก ๆ แต่ไม่แน่ใจว่า กับคนอื่น จะคิดกันว่ายังไง (แต่ที่แน่ ๆ อ่านเล่มนี้แล้ว ทำให้เราเกิดแรงฮึดกลับไปอ่านเรื่องแนว New Adult ได้ต่ออีกหลายเล่ม)



View all my reviews

Thursday, December 4, 2014

Review: Sweet Revenge


Sweet Revenge
Sweet Revenge by Rebecca Zanetti

My rating: 3 of 5 stars



อ่านเล่มนี้ทันทีที่อ่าน Forgotten Sins จบ อย่างที่เขียนในรีวิวของเล่มนั้นเอาไว้ว่า ตอนจบของ FS มันไม่สนิท ค้างคาใจอย่างมาก เราจึงต้องหยิบเล่มนี้มาอ่านเพื่อหวังว่า จะทำให้มีความกระจ่าง หรือความหวังมากขึ้นมาหน่อย

เล่มนี้เป็นเรื่องของพี่ชายคนโต ผู้ที่เสียสละทุกอย่างเพื่อให้น้อง ๆ ทั้งสามคนมีชีวิตที่ปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ (ในสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญ) การที่เป็นเด็กทดลอง ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรม และถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมทางการทหารโดยรัฐบาล ถูกฝึกมาตั้งแต่เกิดโดยไม่มีความปราณีเพื่อให้เป็นเครื่องจักรสังหาร ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลง อันตรายที่คุกคามพี่น้องตระกูลดีนเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ พวกเขาถูกฝังชิปที่จะถูกตั้งเวลาให้ระเบิดด้วยตัวเองภายในเวลาไม่กี่เดือนทำให้แมท ดีนออกเดินทางตามหาหนึ่งในบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลับที่พวกเขาหนีมาได้ เบาะแสนำทางเขาไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ซึ่งแมทแฝงตัวด้วยการทำงานในบาร์แห่งเดียวในเมือง สิ่งที่เคยไม่ได้คาดคิดก็คือ เขาจะได้เจอกกับผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องไขว้เขว

เลนีย์ใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ และโดดเดี่ยว ในเมืองเล็ก ๆ ที่ตอนนี้กำลังถูกคุกคามโดยฆาตกรต่อเนื่อง การที่เธอเริ่มมีใจให้กับแมท คนงานที่ทำหน้าที่คุมบาร์ให้กับเธอเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง เพื่อนของเธอกลายเป็นเหยื่อการสังหาร แมทกลายเป็นคนที่คุ้มครอง สิ่งที่เลนีย์ไม่คิดก็คือ อดีตได้ไล่ตามเธอทัน

องค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เราชอบเรื่อง Forgotten Sins กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยชอบในเล่มนี้ค่ะ อาจจะดูแปลก ๆ นะคะ แต่พล็อตบางอย่างก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียว เรามีความรู้สึกว่า เล่มนี้ใช้ปริศนาเดียวกับเล่มแรกในชุด คือถ้าเราอ่านเล่มนี้ก่อน ก็อาจจะสนุกไปกับมันได้นะคะ แต่เราอ่านเจอไปแล้วในเล่มแรก การที่ต้องมาอ่านมันอีกในเล่มนี้ เลยกลายเป็นอะไรที่น่าเบื่อไม่น้อย ที่สำคัญสิ่งที่เราไม่ชอบเอาเสียเลยก็คือ การที่ในท้ายที่สุด เล่มนี้ไม่ได้ทำให้พล็อตรวมในชุดคืบหน้าไปแม้แต่น้อย ไม่มีข้อมูลใหม่ ไม่มีทางออกกับปัญหาที่พี่น้องตระกูลดีนต้องเผชิญหน้าอยู่ แถมเรายังมีความรู้สึกว่า ตัวร้ายในเรื่องช่างฉลาดมากกว่าพระเอกในเรื่องยิ่งนัก นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหรนักหรอกค่ะ



View all my reviews

Tuesday, December 2, 2014

Review: Forgotten Sins


Forgotten Sins
Forgotten Sins by Rebecca Zanetti

My rating: 4 of 5 stars



เป็นพล็อตเรื่องแบบที่เราชอบนะคะ เรื่องรักเก่าหวนคืน นอกจากนี้ส่วนประกอบอื่นของเรื่องโดยเฉพาะพล็อตเรื่องของพี่น้องตระกูลดีนก็น่าสนใจ ข้อเสียเดียวก็คือ เรื่องนี้มันไม่จบในตัวเอง คือเรื่องราวของพระนางในเล่มนี้จบนะคะ ลงเอยว่ารักกัน แต่ชะตากรรมของพวกเขา (รวมทั้งตัวละครอื่น ๆ ที่จะเป็นพระนางในเล่มถัด ๆ ไป ค้างคามาก)

หลังจากที่เจอกันและการแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างโจซี และเชนก็จบลงอย่างรวดเร็วพอกัน เชนเดินออกไปจากชีวิตของเธออย่างไม่มีคำร่ำลาเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งวันนึงที่โจซีได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ แจ้งว่า พบเชนได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย และตอนนี้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และเพราะเชนไม่มีใครในชีวิต โจซีเลือกที่จะเป็นคนดีและไปหาเขา รับตัวเขากลับมา พร้อมกับดูแล โดยเฉพาะเมื่อพบว่า เชนได้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป กล่าวคือ เขายังจดจำเรื่องราวบางอย่างได้ (เกี่ยวกับที่โจซีเป็นภรรยาของเขา) แต่เชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงระยะหลัง ๆ ไปเกือบหมด

แน่นอนว่า มีกลุ่มคนกำลังหมายปองเอาชีวิตของเชน และนั่นทำให้โจซีอยู่ในอันตรายด้วย

เราชอบเรื่องนี้ค่ะ ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะพล็อตที่เข้าแนว หรือเพราะปริศนาหลายอย่างในเรื่องน่าค้นหาดี เราอ่านเรื่องนี้อย่างไม่มีข้อมูลพอ ๆ กับตัวเอก โจซีซึ่งถูกเชนปิดบังความจริงว่า เขาเป็นใครกันแน่ และเชนเองที่ตอนนี้สูญเสียความทรงจำ ดังนั้นเราในฐานะคนอ่านจึงร่วมค้นหาความจริงไปกับตัวละคร และเรื่องราวที่เปิดเผยออกมาก็ช่างน่าสนใจมาก

เราหงุดหงิดส่วนเดียวก็คือ พล็อตใหญ่ที่ต่อเชื่อมหนังสือชุดนี้ไว้ด้วยกัน (หนังสือน่าจะมีสี่เล่มนะคะ) มันไม่จบ และแถมยังทิ้งผลลัพธ์ที่เราไม่ชอบเอาไว้กับตัวละครเอกของเล่มอีก นั่นก็คือ การที่พี่น้องตระกูลดีนเป็นเด็กหลอดแก้วที่เกิดจากการทดลองปรับเปลี่ยนพันธุกรรม และมีชิปฝังเอาไว้ที่จะทำให้พวกเขาระเบิดตัวเองภายในระยะเวลาอีกเพียงไม่นาน ซึ่งจนจบเรื่องก็ไม่มีบทสรุปเรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า ตอนจบไม่ใช่การจบแบบมีความสุขที่โรแมนซ์สมควรมีกัน เรารู้สึกว่า การเขียนแบบนี้เป็นการโปรโมตหนังสือเล่มต่อไปในชุดที่เอาเปรียบคนอ่าน (โรแมนซ์) ไปหน่อยน่ะค่ะ



View all my reviews

Review: One Night More


One Night More
One Night More by Mandy Baxter

My rating: 3 of 5 stars



สนุกกว่าที่คิด เพราะหลังจากอ่านไปบทนึง เราวางทิ้งไว้เลิกอ่าน เพราะคิดว่า เดาพล็อตได้ แต่พอกลับมาอ่านอีกครั้ง เรื่องกลับพลิกไม่ใช่อย่างที่เราคิด และนั่นทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจขึ้นมา

แต่ตามตรงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรมากนะคะ ฮาร์เปอร์นางเอกของเรื่องไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ขณะที่กำลังตามสัมภาษณ์นักการเมืองคนนึง เขากลับถูกลอบสังหาร ฮาร์เปอร์ดันเห็นฆาตกร และทำให้เธอกลายเป็นเป้าหมายไปด้วย และนั่นทำให้เธอถูกส่งไปอยู่ในความคุ้มครองของหน่วยยูเอสมาร์แชล และนำเธอกลับไปในวงโคจรของกาเลนอีกครั้งนึง

กาเลนซึ่งเพิ่งกลับมาจากภารกิจคุ้มครองนักการทูตในปารีสถูกมอบหมายให้มาดูแลความปลอดภัยของฮาร์เปอร์ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ทั้งคู่เคยเจอกันในวันก่อนหน้าที่กาเลนจะเดินทางไปปารีสเมื่อหนึ่งปีก่อน ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่กาเลนคิดว่า อาจจะเป็นอะไรได้มากยิ่งขึ้นถูกทำลายลง เพราะกาเลนเชื่อในคำหลอกลวงของชายอื่น (ที่แอบหมายปองฮาร์เปอร์) ทำให้เขาทิ้งเธอไปโดยไม่ร่ำลา

แน่นอนว่ากลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งสองต้องอธิบายให้กันและกันฟังอีกเยอะ

พล็อตค่อนข้างมาตรฐาน เรื่องราวอ่านได้เรื่อย ๆ ไม่ถึงกับน่าประทับใจ แต่ไม่แย่นะคะ อย่างน้อยก็มากพอที่จะทำให้เราคิดว่าจะให้โอกาสอ่านเล่มสองในชุดต่อ



View all my reviews