Thursday, June 27, 2013

Review: Blaze of Memory


Blaze of Memory
Blaze of Memory by Nalini Singh

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือเล่มที่เจ็ดในชุดไซ/ชาร์เลนจิ้งค์เล่มแรกที่เรื่องราวเปลี่ยนฉากจากตอนใต้ในรัฐคาลิฟอร์เนียไปนิวยอร์ค บอกเล่าเรื่องของกลุ่มคนที่เป็นปริศนามากที่สุดกลุ่มนึงในเรื่อง

นั่นเพราะในโลกของหนังสือเล่มนี้ คนอาจจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ชาวไซผู้ทรงพลังจิต ชาร์เลนจิ้งค์ผู้เต็มไปด้วยพละกำลัง และมนุษย์ธรรมดาที่ดูเหมือนจะตกเป็นเบื้ยล่างของทั้งสองกลุ่ม แต่ก็ยังมีกลุ่มเดอะ ฟอร์ก๊อตเท้น หรือผู้คนที่ถูกลืมแอบแฝงอยู่ในเหล่ามนุษย์ธรรมดานี่ด้วย

พวกฟอร์ก๊อตเท้นก็คือชาวไซที่ไม่เห็นด้วยเมื่อสภาผู้ปกครองลงความเห็นให้นำเอาวิธีการ "ความเงียบ" มาให้กับประชากร พวกเขาก่อกบฎ และหลบหนีออกไปจากไซเน็ต (ซึ่งเป็นเครือข่าวทางจิตที่ชาวไซต้องต่อเชื่อมอยู่มิฉะนั้นก็จะตาย) อย่างลับ ๆ พวกเขาก่อตั้งชาร์โดว์เน็ตขึ้น แต่งงานปะปนไปกับมนุษย์ธรรมดา หรือชาร์เลนจิ้งค์ทำให้สายเลือดชาวไซเจือจาง จนเกือบจะถูกลืม

แต่สภาผู้ปกครองชาวไซไม่เคยลืม และมองว่าเหล่าฟอร์ก๊อตเท้นคือ ศัตรูที่ต้องทำลาย ในเวลาหนึ่งร้อยปีนับจาก "ความเงียบ" ถูกนำมาใช้ ลูกหลานของกบฎกลุ่มแรกก็ยังโดนตามล่าเพื่อเอาชีวิต

จากเหตุการณ์ในเรื่อง Mine to Possess ทำให้คนอ่านได้รู้จักฟอร์ก๊อตเท้นเป็นครั้งแรก เมื่อเด็ก ๆ ของพวกเขาตกเป็นเป้าหมายการทดลองทางวิทยาศาสตร์จากชาวไซ และในเล่มนี้เราก็จะได้เห็นถึงความพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสระในความคิด สิ่งที่พวกเขายอมสูญเสียเมื่อที่จะได้มีความรู้สึก

และนี่เองก็คือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไชน์ ที่เปรียบเสมือนสภาผู้ปกครองสูงสุดของเหล่าฟอร์ก๊อตเท้น มูลนิธิไชน์อาจมีกรรมการบริหารซึ่งทำหน้าที่ตัดสินใจ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า อำนาจที่แท้จริงของการดำเนินงานทั้งหมดของไชน์อยู่ที่เทวราช ซานโตส ผู้อำนวยการมูลนิธิไชน์

เทวราช หรือเดฟ (เขียนชือภาษาอังกฤษว่า Devraj แต่หลังจากพิจารณาดูแล้วน่าจะชื่อเทวราชนี่แหละค่ะ) เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตและความอยู่รอดของเหล่าฟอร์ก๊อตเท้นทุกคน และหลังจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในเรื่อง MTP แล้ว เดฟก็ไม่อาจยอมให้คนของเขาต้องสูญเสียมากไปกว่านี้อีกได้

และนั่นจำเป็นที่เขาจะต้องเยือกเย็นจนแทบจะกลายเป็นคนไร้หัวใจ คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างไม่อาจมีความเมตตาให้กับศัตรูได้ มันอาจจะเป็นสงครามที่ไม่ได้ประกาศ แต่เดฟรู้ดีว่า พวกเขาไม่อาจประมาทได้ เพราะสภาผู้ปกครองชาวไซหมายมั่นที่จะกวาดล้างเหล่าฟอร์ก๊อตเทนให้สิ้นซาก

ดังนั้นเมื่อหญิงสาวลึกลับชาวไซนอนหมดสติอยู่ที่หน้าบ้านของเขา เดฟก็รู้ว่า มันต้องมีอะไรบางอย่างมากกว่าภาพที่เห็น โดยเฉพาะเมื่อเธอฟื้นคืนสติขึ้น และไม่อาจจำเรื่องราวในอดีตได้เลย

แม็กซ์ไม่คิดว่ามันจะเรียกว่าสปอยล์นะคะ เพราะตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวคนนี้ถูกเปิดเผยภายในห้าสิบหน้าแรก แต่ถ้าคุณอยากจะเดาเอาเองว่าเธอคือใคร ก็ได้เวลาหยุดอ่านรีวิวแล้วนะคะ

เธอคือเอแคทริน่า ซึ่งเป็นผู้ช่วยงานวิจัยของอชายา เอลีน นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องที่สุดของชาวไซ (และนางเอกเรื่อง Hostage to Pleasure) ผู้ซึ่งถูกเข้าใจมาตลอดว่าเสียชีวิตไปจากการกวาดล้างของสภาผู้ปกครองชาวไซ แต่แท้จริงแล้วเคทย่า ซึ่งเป็นชื่อที่เธอต้องการใช้ (เพราะเอแคทริน่าได้ตายไปจากการทรมานแล้ว) ถูกจับทรมานเพื่อรีดความจริงเกี่ยวกับแผนการที่เธอสมคบคิดกับอชายา และเธอได้ถูกเปลี่ยนจากหญิงสาวธรรมดากลายเป็นอาวุธ ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญก็คือ การลอบสังหาร

มันไม่ใช่ความผิดของเธอที่แคทย่ากลายเป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธของชาวไซที่ต้องการใช้เล่นงานเหล่าฟอร์ก๊อตเท้น แคทย่าไม่รู้ว่า คนที่ส่งเธอมาได้ซ่อนอะไรเอาไว้ภายใต้จิตใจที่ถูกทำลายของเธอบ้าง ไม่รู้ว่า คำสั่งให้เล่นงานเหล่าฟอร์ก๊อตเท้นมีอะไรบ้าง แต่เธอก็รู้ดีว่า พวกนั้นคงไม่ได้ปล่อยเธอออกมาจากที่คุมขังเพราะความใจดี

หน้าที่ความรับผิดชอบที่เดฟแบกรับเอาไว้ ก็ไม่อาจทำให้เขาทำได้ดั่งที่ใจต้องการ เดฟบอกกับตัวเองว่า เขาจะฆ่าเธอทันทีที่เธอแปรสภาพเป็นอาวุธตามที่ถูกวางโปรแกรมไว้ กระนั้นเดฟก็ไม่อาจปลิดชีวิตของหญิงสาวคนนี้ไ ได้ แม้จะแน่ใจว่าวัตถุประสงค์ที่เธอถูกส่งเข้ามาคงไม่ใช่เรื่องดี และนั่นทำให้เดฟเลือกที่จะเก็บเคทย่าไว้ใกล้ตัว เขาเชื่อว่าดูแลตัวเองจากเคทย่าได้ แต่สิ่งที่เดฟไม่ได้คิดก็คือ หัวใจของเขาที่ได้สูญเสียให้เธอ ความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้

อย่างที่บอกนะคะ แม็กซ์ไม่ได้รู้ว่า คาแร็คเตอร์ของเดฟที่ออกในเรื่อง MTP มีความน่าสนใจขนาดที่อยากอ่าน ยิ่งเคทย่าไม่ต้องพูดเลย เธอแทบจะไม่มีความสำคัญด้วยซ้ำ แต่ในเล่มนี้ ตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดตัวเดฟ ขอบอกว่า เท่ห์มาก ๆ และได้ใจแม็กซ์ไปเต็ม ๆ คาแร็คเตอร์พระเอกใจแข็งที่ต้องตัดสินใจในสิ่งที่ยาก ทำเอาหัวใจเราละลายค่ะ เพราะการที่ทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้คนที่รอคอยความหวังจากเขา เดฟต้องตัดสินใจในสิ่งที่ยาก และบางครั้งก็โหดเหี้ยม แต่ในสงครามเพื่อช่วยคนส่วนใหญ่ เขาก็อาจจะต้องสละบางคนไป โดยเฉพาะถ้าคนนั้นไม่ใช่คนที่เขาต้องคุ้มครอง และในเรื่องนี้เดฟก็ถูกทดสอบ เมื่อเขาพบว่าตัวเองมีใจให้กับนกต่อที่ถูกส่งมาโดยศัตรู เขาต้องเลือกระหว่างความรัก และความถูกต้อง ซึ่งเรื่องไม่ได้ไปถึงจุดนั้นหรอกนะคะ เพราะนลินีเขียนคาแร็คเตอร์เคทย่าได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

แม็กซ์ไม่ชอบเคทย่าตั้งแต่แรกเห็น ช่วงต้นเรื่องที่อ่าน เธอให้ความรู้สึกเป็นนกน้อยปีกหักผู้ซึ่งต้องได้รับการประคบประหงม เธอดูอาโนะเนะเกินไปสำหรับแม็กซ์ แต่เธอก็เติบโตและเข้มแข็งขึ้น ซึ่งนลินีก็เขียนได้น่าเชื่อชนิดที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของเธอเลยสักนิดเดียว กลายเป็นหญิงสาวที่แม็กซ์นับถือ และเชื่อได้อย่างสนิทใจว่า หญิงสาวคนนี้นี่แหละที่ละลายหัวใจของเดฟได้

เรื่องนี้เป็นเล่มที่เราเสียน้ำตาให้มากที่สุดในชุดค่ะ เรื่องไม่ได้เศร้านะคะ แต่แม็กซ์มักจะเสียน้ำตาให้กับความเป็นไปได้ ความรักระหว่างเดฟและเคทย่าน่าเชื่อ และในหลายครั้งเราแทบไม่เชื่อว่ามันจะจบลงด้วยดี แม้วิธีการแก้ปัญหาของนลินีจะดูง่ายเกินไป แต่ก็เป็นการโชว์ความสามารถของเธอเช่นกัน เพราะองค์ประกอบทุกอย่างก่อนที่จะมาถึงฉากนี้ ได้ถูกวางไว้อย่างชาญฉลาดในหลายเล่มก่อนหน้า ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า มันไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้ตอนจบดูสวยงาม แต่เป็นส่วนหนึ่งในพล็อตเรื่องที่ซับซ้อนแต่เข้าใจง่ายของเธอในหนังสือชุดนี้

ซึ่งนี่เองก็ต้องเป็นอีกครั้งที่แม็กซ์ต้องชมคนแต่งนะคะ เพราะเธอเก่งมาก ๆ ในโลกที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก แต่เธอกลับทำให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอย่างถ่องแท้ ในเวลานี้แม็กซ์คิดว่า เทคนิคการเล่าเรื่องของนลินี ซิงค์ถือเป็นอันดับหนึ่งไปแล้วล่ะค่ะ

สุดท้ายเราก็ขอพูดถึงความคิดของตัวเองเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวที่อาจเป็นไปได้ในเล่มนี้ ซึ่งแน่ล่ะว่าจะเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องหลายอย่างในเล่มนี้ ดังนั้นถ้าไม่ต้องการสปอยล์ก่อนอ่านก็ข้ามไปตอนท้ายที่เป็นคะแนนเลยนะคะ

ความคืบหน้าในส่วนของพล็อตที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นเรื่องหน่วยแอโรว์ (ซึ่งเป็นหน่วยที่จัดด์เคยทำงานให้) ซึ่งในเล่มนี้มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หมิงซึ่งเป็นสมาชิคสภาชาวไซที่เป็นผู้นำหน่วยแอโรว์ด้วยมีเหตุได้รับบาดเจ็บบางตาย ในตอนจบของเล่มนี้มีการพูดถึงชะตาชีวิตของหมิง และความเป็นไปของหน่วยแอโรว์ ซึ่งเวสิค (ซึ่งเป็นตัวละครที่ออกใน HTP) จะกลายเป็นตัวละครที่สำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เขาก็จะก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นที่สำคัญในเรื่องชุดนี้

และนั่นก็นำแม็กซ์ไปสู่เคเลบ ไม่รู้ว่าเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปไหมนะคะ แต่ทุกครั้งที่แม็กซ์อ่านฉากที่โกสต์มีบทบาท คาแร็คเตอร์โกสต์ให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่อ่านฉากที่เคเลบออกมาก แต่ประเด็นที่ติดใจเราอยู่ก็คงเป็นประเด็นเดิมที่ว่า เคเลบเป็นศิษย์ของเอ็นริโก้ (ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องจากเล่มแรก) มันคาใจเรามาก ๆ โอ้ยไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่า ถ้าเขาไม่ได้เป็นพระเอกในเล่มของตัวเอง แม็กซ์จะมีอาการยังไงบ้าง เพราะตอนนี้เรานอนฝันเป็นเขาไปแล้วล่ะค่ะ

เล่มหน้าจะเป็นเรื่องของแม็กซ์ ที่ไม่ใช่แม็กซ์คนเขียนบลอกนะคะ แต่เป็นตัวละครที่เคยออกมามีบทใน MTP ซึ่งแม็กซ์ละอายใจอย่างมากที่จำเขาไม่ได้ค่ะ แต่ดูจากบทที่ตัดมาให้อ่านแล้ว น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวไซ ผู้มีความสามารถในการอ่านความทรงจำของคนได้ ซึ่งทำให้ชาวไซเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาซึ่งก็น่าจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับแม็กซ์ซึ่งเป็นตำรวจ

สำหรับเล่มนี้คะแนนที่ 80



นั่นเป็นรีวิวที่เราเขียนเมื่อหลายปีก่อนค่ะ การกลับมาอ่านใหม่ไม่ได้ให้ประสบการณ์ที่เต็มตื้นเหมือนเดิมนะคะ เราพบว่า เนื้อเรื่องมีความเมโลดรามาเกินเหตุ แน่นอนว่า เรายังอ่านไปร้องไห้ไปเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้ร้องให้กับความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ระหว่างเดฟกับแคทย่าแล้ว อาจจะเพราะว่า เรารู้ตอนจบ และรู้ว่า เธอจะรอดยังไง แต่กลับเป็นการร้องให้กับจดหมายที่ขึ้นต้นแต่ละบทในเรื่อง ซึ่งเล่าเรื่องของบรรพบุรุษของเดฟในยุคสมัยที่มีการบังคับให้ชาวไซทุกอย่างต้องอยู่ในกระบวนการไซเลนซ์ อ่านไปก็สะอื้นไป นึกถึงชีวิตคนในสมัยนั้นไม่ถูกเลย ยิ่งตอนที่พูดถึงทางเลือกที่สามี (ของคนที่เขียนจดหมาย) เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความรู้สึกเพียงแค่วันเดียว แล้วกลายเป็นบ้า (เพราะเขาเป็น F Psy) ดีกว่าใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะอยู่ในไซเลนซ์

ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะเรารู้ทางออกของเรื่องก่อนแล้ว (เพราะเคยอ่านมาก่อน) มาเล่มนี้ อารมณ์ร่วมที่เรามีไปกับพระนางคู่หลักจึงถือว่าน้อยมาก ยิ่งเมื่อคิดว่า ทั้งเดฟ และเคทย่าค่อนข้างเป็นคนนอกในปมความขัดแย้งที่ดำเนินมาตลอดทั้งชุด พวกเขาไม่ใช่เชนจิ้งค์ และชาวไซ (แคทย่าอาจจะเป็น แต่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตัวตนของเธอโดนทำลายไปกับการโดนทรมานหมดแล้ว) พล็อตเรื่องของเล่มนี้จึงดูห่างไกลค่อนข้างมาก

ปัญหาของเล่มนี้สำหรับเรา (ตอนที่อ่านซ้ำ) ก็คือ เราไม่สนใจตัวเอกเท่าไหรค่ะ (ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่เราอธิบายไปแล้ว เรารู้ว่า ปัญหาของพวกเขาจะถูกคลี่คลายได้ยังไงในที่สุด) แต่เรื่องราวของคาแร็คเตอร์รอบตัวเขาก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเล่มนี้จัดด์กลับมามีบทเด่นอีกแล้ว เมื่อเขาได้พบกับเด็กชายที่มีความสามารถพิเศษแบบเดียวกับที่เขามี ความสามารถอันน่าหวาดกลัว

ในเล่มนี้เช่นกันได้กล่าวถึงทางเลือกของกลุ่มผู้ถูกลืม หรือชาวไซที่ปฏิเสธวิธีการไซเลนซ์เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แน่นอนว่าพวกเขาก็กำลังประสบปัญหาเดียวกับที่ชาวไซในอดีตกำลัเผชิญ พวกเขาเปิดรับอารมณ์ แต่ก็มีพลังอันร้ายกาจซ่อนอยู่ พลังที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้ ทำให้หลายคนเริ่มคิดถึงว่า วิธีการไซเลนซ์อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม การได้อ่านเล่มต่อ ๆ ไปจากเล่มนี้ เราก็พอรู้นะคะว่า ทำไมคนแต่งจึงต้องเขียนเล่มนี้ออกมาก่อน แม้จะดูเหมือนว่า คาแร็คเตอร์แทบจะไม่เกี่ยวพันกับพล็อตของชุดโดยรวมเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มนี้ น่าจะกลายเป็นประเด็นสำคัญมาก ๆ ต่อไปในอนาคต (เราเดาว่า น่าจะเป็นพล็อตของเล่มที่ออกมาหลังจาก Heart of Obsidian นั่นเลย)

ความน่าสนใจในเล่มนี้อีกอย่าง อยู่ที่หน่วยแอโรว์ นอกจาก Caressed by Ice แล้ว เล่มนี้เป็นเล่มที่เล่าถึงหน่วยแอโรว์มากที่สุด มันอาจจะไม่ได้ชัดเจน แต่ก็พอรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่มีส่วนสำคัญมาก ๆ กับพล็อตเรื่องโดยรวม

และแน่นอนว่า ได้แนะนำคาแร็คเตอร์ (จริง ๆ เขาออกมาหลายเล่มก่อนหน้าเล่มนี้นะคะ แต่ไม่เคยโดดเด่นมากพอให้เรามองเห็น) ที่อาจจะเป็นโกสต์ได้อีกคน นอกจากตัวเก็งสำคัญอย่างเคเลบ เวสิค เป็นหน่วยแอโรว์ความสามารถ Tk ที่ทรงพลัง ความใกล้ชิดที่เขามีต่อหมิง ผู้นำหน่วย และสมาชิกสภาชาวไซ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเข้าถึงข้อมูล ที่สำคัญเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกบฎ

ส่วนตัวเราไม่เชื่อนะคะ แต่ถือว่า เป็นตัวล่อหลอกคนอ่านที่ดี



คะแนนที่ 73



View all my reviews

No comments: