Sunday, June 22, 2014

Review: Swallowing Darkness


Swallowing Darkness
Swallowing Darkness by Laurell K. Hamilton

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือชุดเมเรดิธ เจนทรี้ไม่ใช่โรแมนซ์ ดังนั้นโปรดอย่าเข้าใจผิด นี่เป็นอีกครั้งนึงที่เราเขียนหนังสือที่เป็นส่วนน้อยของ Mostly Romance แต่บอกตามตรงนะคะว่า หนึ่งในเหตุผลที่เราชอบเรื่องนี้มาก ๆ ก็คือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างนางเอก และบรรดาผู้ชายของเธอ

เรายังจำได้เมื่อประมาณเก้าปีก่อน เราเพิ่งจะสอบเสร็จ และอยู่ในในอาการที่เครียดมาก (เพราะมันเป็นการสอบครั้งแรก ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย และเราก็กลัวที่จะผิดพลาดมาก ๆ) เราเดินไปในร้านหนังสือแห่งนึงในศูนย์การค้าใกล้กับบ้านที่พัก สายตาเราเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ เรารู้จักชื่อนักเขียน ลอเรล เค. แฮมิลตันเป็นนักเขียนที่ดังพอที่จะเคยได้ยินชื่อ แม้จะไม่เคยอ่านผลงานของเธอเลย

เรารู้ว่างานของเธอไม่ใช่โรแมนซ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้ลังเลกับการหยิบหนังสือของเธอขึ้นมาอ่านก็คือ คำร่ำลือที่ว่า ในหนังสือของเธอ นางเอกไม่เคยตัดสินใจได้ในเรื่องผู้ชายของตัวเอง หนังสือชุดอนิต้า เบลกซึ่งเป็นหนังสือชุดที่ดังยิ่งกว่า และถูกเขียนออกมาก่อน สร้างความช้ำใจให้กับเพื่อนของเราหลายคน และพวกเขาก็บ่นให้ฟัง ถึงความลังเลของนางเอกในการเลือกผู้ชายของเธอ ในเล่มนึงเธอเลือกผู้ชายคนนึง ก่อนที่จะเปลี่ยนใจในเล่มต่อมา เราได้ยินได้ฟังแล้วก็อึ้ง ๆไป (ตอนนั้นอินโนเซ็นต์มากค่ะ) เพราะกระทั่งในเวลาที่เราไม่ได้อ่านเรื่องแนวโรแมนซ์ เราก็ไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมั่วไปได้ขนาดนั้น

เราหยิบหนังสือเรื่อง Kiss of Shadow ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกในชุดขึ้นมาดู จากนั้นก็วางลง กลับบ้าน แล้วก็กลับมาที่ร้านอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น หยิบขึ้นมาดู แล้วก็วางลงอีกครั้ง มันเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ค่ะที่เราตัดสินใจซื้อเรื่องนี้กลับมา บอกกับตัวเองว่า เราอยากอ่านอะไรที่แตกต่าง ที่ไม่ใช่โรแมนซ์ ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นหนังสือหลักที่เราอ่านไปเสียแล้ว

เราเริ่มต้นอ่านตอนห้าทุ่มในคืนวันที่ซื้อมา และอ่านจบตอนตีสอง

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความรักของเรากับงานเขียนของลอเรล เค. แฮมิลตัน และหนังสือชุดเมอร์รี่ เจนทรี้

เราไม่ได้บอกว่า เธอเขียนเรื่องดีเลิศ ไร้ที่ติ คำบ่นของเพื่อน ๆ ที่ได้จากการอ่านงานของเธอก็เป็นเช่นนั้น ตัวละครของเธอลังเลและสับสนใจชีวิต บางครั้งก็ทำอะไรที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารียนรู้ก็คือ โลกที่เธอสร้าง คาแร็คเตอร์ที่เธอทำให้มีชีวิต มันจับใจจนไม่อาจมองข้ามได้ เรารักพวกเขาทั้งที่มีข้อเสียเต็มตัว เรารักพวกเขาในแบบที่พวกเขาเป็น

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่เจ็ดในชุดเมเรดิธ เจนทรี้ เรื่องราวการค้นหาความรัก และตอนจบอย่างมีความสุขของเจ้าหญิงแห่งภูติองค์สุดท้ายที่เกิดในอเมริกา

ก่อนจะเขียนอะไรมากไปกว่านี้ คงต้องบอกว่า วันนี้บลอกอาจจะไม่ได้ออกมาในลักษณะของการรีวิวร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ แต่เป็นการเขียนถึงความคิดและความรู้สึกที่เรามาต่อหนังสือชุดนี้มากกว่า และแน่นอนว่า สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องในชุด เราไม่คิดว่า คุณจะเข้าใจสิ่งที่เราเขียนมากนักหรอก และเป็นสปอยล์สำหรับคุณด้วยค่ะ

เช่นเดียวกันกับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องนี้ หรือยังอ่านไม่ถึง สิ่งที่จะเขียนต่อไปจะเป็นการสปอยล์เรื่องราวในชุดนี้อย่างรุนแรง เตือนแล้วนะคะ

ตั้งแต่หน้าแรกของหนังสือเล่มนี้ก็บอกใบ้แนวคิดของหนังสือชุดนี้ได้เป็นอย่างดี คนเรามักจดจำเทพนิยายที่ตอนจบว่า ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข แต่แทบจะไม่มีใครเลยคิดว่า หนทางการไปสู่ตอนจบอย่างมีความสุขนั้น ตัวละครในเทพนิยายแต่ละคนก็ล้วนปางตาย ไม่ว่าจะเป็นสโนวไวท์ที่ถูกลอบฆ่าถึงสี่ครั้ง เจ้าชายในเรื่องราพันเซลก็ถูกทำร้ายจนตาบอด หรือเจ้าหญิงนิทราก็ต้องหลับใหลนานกว่าพันปี

และในเทพนิยายเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ตอนจบของเมเรดิธ นิคเอสซัส ทายาทอันดับสามในบัลลังค์แห่งภูติอันซีลี่ยังมาไม่ถึง และนั่นหมายความว่า เธอจะต้องผ่านความทุกข์ทรมาน

แต่อะไรเล่าจะเจ็บปวดเท่ากับการสูญเสียชายผู้เป็นที่รัก ฟรอสต์ หนึ่งในองครักษ์ข้างกาย และคู่รัก ชายผู้เป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ ต้องเสียสละตัวเองไปให้กับการกลับมาของเวทมนตร์ ฟรอสต์กลายเป็นม้าตามตำนาน และมันอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสามร้อยปี ก่อนที่เขาจะกลับคืนสติ และจดจำอดีตของตัวเองได้

เวลาสามร้อยปีที่เมอร์รี่ไม่มี นั่นเพราะแม้เธอจะสืบทอดเชื้อสายของผู้ปกครองบัลลังค์แห่งภูติ แต่เมอร์รี่กลับไม่ได้เป็นอมตะ เธออาจมีชีวิตยาวนานเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่ยาวพอที่จะรอคอยการกลับมาของชายอันเป็นที่รักได้

เมอร์รี่ตืนขึ้นในโรงพยาบาล หลังจากที่ถูกทานาอิส กษัตริย์แห่งภูติซีลี่ ผู้เป็นลุงลักพาตัวไป เธอถูกข่มขืนแต่รู้ว่า ไม่อาจใช้วิธีแก้แค้นตามแบบแห่งภูติได้ เธอไม่อาจส่งดอยล์ หัวหน้าองครักษ์ และชายอีกคนที่กุมหัวใจของเธอเอาไว้ออกไปลอบสังหารเ เพราะมันจะหมายความถึงสงครามระหว่างภูติแห่งอันซีลี่ และซีลี่ และนั่นคือสิ่งต้องห้าม อเมริกาคือประเทศสุดท้ายในโลกที่เปิดพรมแดนให้กับภูติพักอาศัย หลังจากพวกเขาถูกขับไล่ออกจากยุโรป ข้อแลกเปลี่ยนสองข้อก็คือ จะต้องไม่มีสงครามระหว่างภูติด้วยกันอีก และภูติจะต้องเลิกทำตัวเป็นเทพเจ้าที่ต้องการการเคารพบูชาจากมนุษย์

เมอร์รี่ยอมให้มีสงครามไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้วิธีการของมนุษย์ในการจัดการ เธอแจ้งความจับทานาอิส แต่ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เมอร์รี่ก็ถูกลอบโจมตีอีกครั้ง และคราวนี้มาจากคนที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ผลของมันทำให้ดอยล์เจ็บหนักปางตาย และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เมอร์รี่อาจต้องเสียชายที่เธอรักไปอีกคน

คนที่เคยอ่านงานในชุดนี้มาก่อนน่าจะเคยชินกับสไตล์การเขียนของลอเรลดีนะคะ เราไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพล็อตเรื่องด้านหลังปกได้เลย เพราะตัวละครจะนำทางคุณไปสู่การผจญภัยที่พวกเขาต้องการ เราอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนคนตาบอดคลำทาง เพราะเราไม่รู้ว่า ทิศทางเรื่องจะนำไปสู่จุดไหน ปกติไม่ชอบอ่านหนังสือที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยนะคะ แต่สำหรับเรื่องชุดนี้ มันคือข้อยกเว้น เราร่วมเดินทางไปกับเมอร์รี่ กับการขึ้นสู่อำนาจของเธอ เพียงเพื่อจะพบว่า เมื่อปราศจากคนที่รัก อำนาจก็คือความเย็นชาที่ไร้ความรู้สึก

หลังจากที่ออกทะเลไปหลายต่อหลายเล่ม หนังสือเล่มนี้ปิดประเด็นคาใจคนอ่านไปได้เกือบหมด และนี่เองคงเป็นที่มาของข่าวลือที่ว่า มันน่าจะเป็นเล่มสุดท้ายในชุด เราเห็นด้วยค่ะ เพราะหากหนังสือชุดนี้จะจบลงที่เล่มนี้ ก็ไม่มีปัญหาเลย ตอนจบอาจจะไม่ได้เหมือนกับเทพนิยายที่ตัวละครได้ทุกอย่างที่ใฝ่ฝัน แต่มันก็คือตอนจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของเทพนิยายเรื่องนี้

ว่าไปแล้ว มันเป็นบทสรุปเกี่ยวกับเจ้าชายในฝันของเมอร์รี่ที่ดีเกินกว่าที่เราคิดว่า คนแต่งจะมอบให้คนอ่านด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าว่า สำหรับคนอื่นคิดยังไงนะคะ แต่เราชอบวิธีจบแบบนี้ของเธอมาก แม้ว่าในแง่นึงมันเป็นการหาทางออกแบบง่ายเกินไป เพราะมันเอาใจแฟนหนังสือทุกคน (ไม่ว่าคุณจะเชียร์ใครก็ตามให้เป็นพระเอกของเมอร์รี่) แต่เราชอบค่ะ

เราพยายามคิดถึงเหตุผลว่า อะไรทำให้หนังสือชุดนี้โดดเด่นมาก ๆ สำหรับเรา อะไรที่ทำให้มันอยู่เหนือหนังสือแนว Urban Fantasy เล่มอื่น คำตอบที่เราได้ก็คือ เพราะการเล่าเรื่องผ่านเมอร์รี่มีความโดดเด่น อย่างที่บอกนะคะ พล็อตเรื่องของหนังสือชุดนี้ไม่มีหลักแหล่งแก่นสารเป็นเรื่องราว หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนคนแต่งเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ต้องการจะสื่อประเด็นอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเป็นหนังสือเล่มอื่นที่เขียนแบบนี้ ก็จะผิดหวังมาก แต่กับหนังสือชุดนี้ เราไม่รู้สึกเช่นนั้น เราชอบ "เสียง" ของเมอร์รี่ ชอบการมองโลกผ่านสายตาของเธอ

ที่สำคัญเราชอบพัฒนาการของเมอร์รี่ เราเคยบอกนะคะว่า ประเด็นที่ทำให้แม็กซ์ชอบเรื่องนี้มากก็คือ เรื่องการเมือง และการขึ้นสู่อำนาจ นอกจากโรแมนซ์แล้ว นี่เป็นหนังสืออีกแนวที่ชอบที่สุด และหนังสือชุดนี้ผสมผสานทั้งสองส่วนเข้าไว้ด้วยกัน เราเริ่มต้นอ่านตั้งแต่เมอร์รี่ตัดสินใจที่จะละทิ้งทุกอย่าง และหนีมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ เพราะเธอรู้ดีว่า หากเธอยังอยู่ในอาณาจักรภูติ เธอจะต้องตาย เมอร์รี่หนีเพื่อรักษาชีวิต แต่เมื่อมันไม่พอ เธอถูกดึงตัวกลับเข้าสู่เกมการแย่งอำนาจในอาณาจักรอีกครั้ง เธอจึงจำเป็นต้องสู้ ความหวังก็คือ หากเธอสามารถตั้งท้องได้ก่อน บัลลังค์แห่งอาณาจักรภูติอันซีลี่ก็จะเป็นของเธอ และนั่นหมายความถึงชีวิตอันสงบสุขเสียที

แต่เทพนิยายเล่มนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ เช่นนั้น เมอร์รี่ตั้งท้องในที่สุด แต่นั่นไม่อาจเปลี่ยนความคิดของคนที่เกลียดเธอได้ เพราะความไม่เป็นอมตะของเมอร์รี่ ทำให้เธอถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ หลายคนมองว่า เธอจะนำรอยด่างมาสู่อาณาจักรแห่งภูติ ไม่สำคัญเลยว่า เทพเจ้าหนุนหลังเธอ ไม่สำคัญเลยว่า เธอคือผู้มีสิทธิในบัลลังค์ เมอร์รี่จะตกเป็นเป้าของการลอบสังหารเสมอ

และนี่เองก็เปลี่ยนเธออีกครั้ง เมอร์รี่ผู้เคยคิดว่า การไปให้ถึงอำนาจคือทางรอด เธอตัดสินใจครั้งสำคัญ เธอเลือกคนที่เธอรัก และมีหน้าที่ต้องปกป้องก่อน เธอเลือกที่จะลี้ภัยอีกครั้ง

ตอนจบของหนังสือเล่มนี้ ก็เหมือนการเดินย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น หลังจากผจญภัย และลงทุนลงแรง เจ็บปวดไปครั้งไม่ถ้วน เมอร์รี่กลับมาที่จุดเดิมในชีวิต เธอเดินทิ้งออกมาจากบัลลังค์ เพื่อแลกกับชีวิตของชายที่เธอรัก อย่างที่บอกนะคะว่านี่ไม่ใช่โรแมนซ์ แต่หัวใจของคนที่รักหนังสือแนวโรแมนซ์อย่างเรา ก็ค่อนข้างกรี๊ดสลบไปกับฉากนี้

หนังสือเล่มนี้อาจจะมีตอนจบเหมือนดั่งเทพนิยาย ที่ประเด็นความขัดแย้งทุกอย่างที่เปิดในเล่มก่อนหน้าจบลง ศัตรูคนสำคัญของเมอร์รี่ถูกกำจัด ในที่สุดเธอก็ได้อยู่อย่างมีความสุขกับบรรดาผู้ชายที่เธอเลือก แต่มันไม่ใช่เล่มสุดท้ายในชุด แม็กซ์บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าเราควรจะรู้สึกอย่างไร

เพราะลอเรลไม่ใช่นักเขียนที่คาดการณ์ได้ เราไม่แน่ใจว่า การเขียนต่อของเธอจะหมายถึงตอนจบที่เธอจะฝากตัวละครตัวไหนออกไปจากชุดหรือไม่ (เราคงทนไม่ได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฟรอสต์หรือดอยล์อีก) แต่ในขณะเดียวกันเราก็ดีใจที่เรื่องราวในโลกของเมอร์รี่ยังไม่จบ ยังมีอะไรให้เราอ่านต่อ

สำหรับเล่มนี้ คะแนนที่ 83



View all my reviews

No comments: