Wednesday, March 4, 2009

Gorgeous As Sin // Susan Johnson

ยอมรับตามตรงเลยนะคะว่า แม็กซ์ไม่ได้คาดหวังผลจากการอ่านหนังสือเรื่องนี้ว่า จะออกมาเป็นยังงี้ มันผิดไปจากที่คาดทุกอย่างเลยค่ะ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นรีวิว ขอแม็กซ์ท้าวความย้อนอดีตกันสักหน่อยแล้วกัน

สมัยที่แม็กซ์เริ่มต้นอ่านโรแมนซ์ใหม่ ๆ เพื่อนคนนึงของเราซึ่งเรานับถือให้เป็นผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องโร แมนซ์ (เขาอ่านโรแมนซ์ทุกเรื่องที่แม็กซ์รู้จัก และยังแนะนำเรื่องที่เราไม่รู้จักอีกเป็นร้อย ๆ เล่ม) บอกกับเราว่า แม็กซ์ไม่น่าจะชอบงานของซูซาน จอห์นสันนะ ซึ่งถือว่าแปลกมาก เพราะเขาเองก็อ่านงานของซูซานอยู่

แต่เราก็เชื่อเขานะคะ ดังนั้นจึงแทบจะไม่เคยซื้องานของซูซานมาอ่านเลย จนกระทั่งระยะหลังในช่วงสามสี่ปีที่ผ่าน ที่เราเริ่มรู้สึกว่า น่าจะลองอ่านงานของเขาได้แล้วนะ เพราะซูซานก็เป็นนักเขียนดัง และมีหลายคนชอบงานของเขามาก แม็กซ์จึงไปซื้องานเก่าของเธอเรื่องนึง เรื่องที่หลายคนยกให้เป็นหนังสือในดวงใจ

และแม็กซ์ไม่ชอบมันค่ะ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่น่าจะดีได้ แต่แม็กซ์รู้สึกว่า พระเอกเสเพลเกินกว่าที่จะจริงใจรักนางเอกเพียงคนเดียวในตอนจบเรื่องได้ นางเอกมักเริ่มต้นที่เป็นสาวน้อยไร้เดียงสา แม้ว่าคาแร็คเตอร์ของเธอจะพัฒนาไปพอสมควรในเรื่อง แต่เรากลับรู้สึกว่า เธอไม่ถึงกับมีเสน่ห์มากพอจะรั้งตัวหนุ่มเสเพลอย่างพระเอกของเราได้

ดังนั้นแม็กซ์จึงหยุดอ่านงานของซูซาน จอห์นสันไป จนกระทั่งไปเจอชื่อของหนังสือเรื่องนี้ในเน็ต

มีคนถามแม็กซ์ในบลอกว่า เราใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกซื้อหนังสือ ซึ่งแม็กซ์ตอบว่า มันหลากหลายและขึ้นอยู่กับอารมณ์อย่างแท้จริง และครั้งนี้ก็เช่นกัน สิ่งแรกที่ดึงดูดแม็กซ์ไปที่หนังสือเรื่องนี้ก็คือ ชื่อเรื่อง เราคิดว่าหนังสือเรื่องนี้มีชื่อเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก

และนั่นมากพอที่จะทำให้แม็กซ์ซื้อหนังสือเรื่องเมื่อเห็นมันในร้าน หนังสือได้ แม้ว่าเราจะบอกกับตัวเองว่า อย่าไปคาดหวังอะไรมากจากมัน โดยเฉพาะเมื่อยิ่งดูจากเนื้อเรื่องแล้ว มันเป็นพล็อตเดิม ๆ ที่ซูซาน จอห์นสันชอบใช้ เรื่องราวของขุนนางหนุ่มผู้ร่ำรวย เสเพล และได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ จนกระทั่งเขาได้พบกับผู้หญิงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

Gorgeous As Sin ของซูซาน จอห์นสัน

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด Bruton Street Bookstore (ซึ่งเห็นบอกกันว่าจะมีทั้งหมดสี่เล่ม) เช่นเดียวกับงานทุกเล่มของซูซาน จอห์นสัน พระเอกของเรา ฟิทซ์ มังค์ตัน เป็นขุนนางชั้นสูง โดยเป็นถึงดยุคแห่งโกรฟแลนด์ และนอกจากจะเป็นชายเสเพลผู้ร่ำรวย เขายังประสบความสำเร็จในธุรกิจ และหนึ่งในโครงการที่ฟิทซ์สนใจทำก็คือ การพัฒนาที่ดิน แต่ปัญหาก็คือ ร้านหนังสือเล็ก ๆ ของโรสลินด์ เซ็นต์วินเซ็นต์

โรสลินด์เป็นแม่หม้ายของสามีผู้ไร้ความรับผิดชอบ เธอมีความสุขกับร้านหนังสือที่ซึ่งเธอใช้เป็นสถานที่ในการพบปะกับผู้คน และมีชีวิตอย่างที่เธอต้องการ นั่นก็คืออิสระที่ผู้หญิงในยุควิคทอเรียตอนปลายเริ่มจะมีกัน ดังนั้นเธอจึงไม่สบอารมณ์อย่างมากที่อยู่ ๆ ดยุคผู้เอาแต่ใจ ก็จะใช้เงินฟาดหัว แล้วสั่งให้เธอย้ายออกไปจากร้านหนังสือที่เป็นเสมือนบ้านของเธออีก

ซึ่งโรสลินด์ก็กล้าพอที่จะบอกกับฟิทซ์เช่นนั้นเมื่อเขาเดินทางมาที่ร้าน หนังสือของเธอเพื่อเจรจาขอซื้อร้าน และนั่นทำให้ฟิทซ์ที่ไม่เคยไม่ได้อะไรที่ตัวเองต้องการโกรธมาก เขาถึงกับสั่งให้ลูกน้องทำทุกอย่างเพื่อให้โรสลินด์ย้ายออกไป ถึงแม้มันจะไม่ค่อยถูกกฎหมายนัก

แต่การที่ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ลบเลือนอีกฝ่ายออกไปจากใจได้ อย่างไม่เต็มใจ ฟิทซ์ถูกดึงดูดโดยแม่หม้ายปากร้ายคนนี้ อย่างไม่ต้องการ โรสลินด์ก็ไม่อาจปฏิเสธฟิทซ์ได้ แม้ว่าเมื่อค่ำคืนจบลง ทั้งคู่จะกลายเป็นศัตรูที่ต้องต่อกรกันอีกครั้ง

แม็กซ์ชอบเรื่องนี้นะคะ ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะบอกตามตรงนะคะว่า คาแร็คเตอร์ของฟิทซ์นั้นเป็นผู้ชายชนิดที่แม็กซ์เกลียดที่สุดในหนังสือโร แมนซ์ เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ และคิดถึงตัวเอง พฤติกรรมหลายอย่างของเขาก็ไม่เ็ป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักอ่านโรแมนซ์ และมันไม่ใช่แค่เรื่องทำร้ายจิตใจนางเอก (สปอยล์) เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นในเวลาช่วงเดียวกับที่อยู่กับนางเอกแล้ว บอกตามตรงนะคะ หลังจากฉากนั้นผ่านไป แม็กซ์ถามตัวเองเลยล่ะว่า ยังชอบเรื่องนี้อยู่ไหม

คำตอบที่น่าแปลกใจก็คือ เรายังชอบค่ะ ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เรื่องนี้เวิร์ค

เพราะบางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องชอบพระเอก (หรือกระทั่งนางเอก) ในการอ่านหนังสือให้สนุกได้

หนังสือเรื่องนี้สอบผ่านสำหรับแม็กซ์ เพราะความสอดรับกันของทั้งพระเอกและนางเอก อย่างที่บอกค่ะฟิทซ์ไม่ใช่คนที่มีพฤติกรรมเป็นพระเอกนิยายโรแมนซ์ในสายตาของ เรา แต่ในขณะเดียวกัน โรสลินด์ก็รู้จักเขาดี อย่างที่เขาเป็น และเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอคือคนที่เหมาะกับเขามากที่สุด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เราเชื่อค่ะว่า สองคนนี้จะไปกันรอด เราเชื่อว่า โรสลินด์จะทำให้ฟิทซ์กลายเป็นสามีที่ดีที่สุด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่นิยายหลายเล่มไม่อาจทำได้

เราเชื่อว่า แม้ทั้งฟิทซ์และโรสลินด์จะไม่ใช่คาแร็คเตอร์ที่น่าจดจำ แต่พวกเขาทั้งสองมีเรื่องราวความรัก (ถ้าคุณจะเรียกว่าอย่างนั้นนะ) ที่น่าเชื่อ นั่นเพราะโรสลินด์รู้จักฟิทซ์ดีที่สุด เธอรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง และมีข้อเสียยังไงซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เธอเลือกที่จะยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น

แต่นั่นคือสำหรับแม็กซ์ เราไม่แน่ใจว่า หนังสือเล่มนี้จะเวิร์คสำหรับคนอื่นไหม เพราะประเด็นที่ล่อแหลมมีเยอะเหลือเกิน คุณเคยอ่านหนังสือที่พระเอกเรียกนางเอกด้วยคำที่ขึ้นต้องด้วย B (ซึ่งตามด้วยพยัญชนะอีกสี่ตัว) และ C (ที่ตามด้วยพยัญชนะอีกสามตัว) เราเกลียดพระเอกที่ใช้คำแบบนี้เรียกนางเอก แต่ฟิทซ์ทำ และเขาทำจนกระทั่งท้ายเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้เรา (อาจจะเรียกว่า) ให้อภัยเขาได้ ก็คือ ฟิทซ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากคนที่เขาเป็น แต่ในท้ายทีสุดแม็กซ์ก็เชื่อว่า เขาจะหยุดตัวเองลงที่โรสลินด์ และซื่อสัตย์ต่อเธอตลอดไป นั่นเพราะโรสลินด์คือผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขา และเขาก็รักเธอในแบบของเขาเอง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ความรักเสียสละอันยิ่งใหญ่ แต่ก็คือรัก ชนิดที่คนอย่างเขาทำได้มากที่สุด

ถ้าใครคาดหวังว่าจะอ่านเจอพระเอกที่สำนึกผิด แล้วคุกเข่าลงไปขอโทษนางเอกคงผิดหวังนะคะ เพราะดยุคของเราไม่เคยขอโทษใคร เขาไม่โทษตัวเองด้วยซ้ำที่เป็นต้นเหตุให้โรสลินด์ติดคุก (เพราะการวางแผนของเขาและลูกน้องในการเอาชนะเธอ) แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละที่แม็กซ์โอเคมาก ๆ กับมัน

ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าเรื่องนี้เวิร์ค ก็คงเป็นคาแร็คเตอร์ของโรสลินด์ เธอคู่ควรกับฟิทซ์อย่างแท้จริง แน่ละเธออาจจะไม่ใช่นางเอกที่เพียบพร้อม แต่เธอมีความมุ่งมั่นไม่น้อยไปกว่าฟิทซ์ในการเอาชนะในการต่อสู้กับเขา และเธอก็เป็นผู้หญิงที่รักศักดิ์ศรีตัวเองพอที่จะไม่แคร์ฟิทซ์ (มากจนเกินไป)

อาจเพราะเรื่องนี้เขียนในช่วงตอนปลายศตวรรษที่ 19 ก็ว่าได้ค่ะ เลยทำให้แม็กซ์สามารถยอมรับด้านที่เลวร้ายของตัวละครได้ดีกว่า เราไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอพระเอกที่เป็นสุภาพบุรุษหรือคนดีทุกกระเบียดนิ้ว และเราก็ไม่ได้พบกับเขาในเล่มนี้

มันจึงไม่มีความผิดหวัง

ดีเกินคาดมาก ๆ ค่ะ คะแนนที่ 73

No comments: