Wednesday, March 4, 2009

Crossfire // JoAnn Ross

วันนี้อัพบลอกช้ากว่าปกติค่ะ เพราะมีงานเลี้ยงรวมรุ่นเพื่อนสมัยมัธยม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นพอสมควร เพราะพวกเราไม่ได้เจอกันชนิดเยอะขนาดนี้มานานมากแล้ว และก็เช่นเดียวกับทุกอย่างที่เวลาทำให้การกลับมาพอกันอีกครั้งเป็นเรื่องน่า สนใจมาก

ดังนั้นจึงไม่ผิดปกติเลยที่แม็กซ์จะบรรจงแต่งตัวแต่งหน้าเสียเช้งกระเด๊ะ เพราะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าการได้พบเพื่อนเก่าแล้วคุณดูแย่กว่าเดิม ว่าไหมคะ

งานเลี้ยงจบลงด้วยดี แต่บางครั้งแม็กซ์รู้สึกเหมือนกันว่า มันเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน โดยเฉพาะกับเพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทกันนัก พวกเราจะพูดกันถึงเรื่องนอกกาย ราวกับพยายามเอาทุกอย่างในชีวิตมาอวดกัน ฉันทำงานที่นั่นที่นี่ และประสบความสำเร็จในชีวิตขนาดไหน

นั่นทำให้แม็กซ์ตั้งคำถามถึงความจำเป็นของงานแบบนี้เหมือนกัน เพราะกับเพื่อนที่สนิทกันอยู่แล้ว พวกเราพบกันเสมอ และสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่กับงานที่มีสเกลใหญ่อย่างนี้ (กับเพื่อนทั้งรุ่นที่เรียนจบโรงเรียนเดียวกัน) เรารู้สึกว่า มันจำเป็นด้วยเหรอ เพราะเมื่องานจบลง พวกเราก็ลืมมันไป อาจจะสะใจนิดหน่อยที่ตัวเองอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเืพื่อนคนอื่น ดีใจที่เห็นคู่แข่งในสมัยมัธยมมีชีวิตที่เรามองว่าแย่กว่าเรา

จบเรื่องบ่นนะคะ กลับมาเข้ารีวิวประจำกันดีกว่า

Crossfire ของโจแอน รอสส์

แม็กซ์ไม่ได้ตั้งความหวังมากมายอะไรกับการอ่านหนังสือเล่มนี้เลยนะคะ เพราะอ่านงานของโจแอนมาหลายเล่ม ไม่มีเล่มไหนโดดเด่นจนน่าจำจด

สำหรับหนังสือเล่มนี้ก็อาจจะเข้าข่ายเดียวกันก็ได้ แม้กซ์ไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้ไปสองเดือน เราจะยังจำเรื่องราวในเล่มนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยในระหว่างที่อ่านเล่มนี้ เราก็รู้สึกลุ้นไปกับเนื้อเรื่องตลอดเล่ม ซึ่งนี่ถือเป็นพัฒนาที่ดีขึ้นมากแล้วล่ะสำหรับโจแอน รอสส์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด High Risk ซึ่งแม็กซ์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันหมายความว่าอะไร เพราะมันไม่ใช่ชื่อบริษัท หรือหน่วยงานที่ตัวเอกสังกัดอยู่เลย แต่คิดว่าคงจะเป็นนิยายที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทที่ชื่อว่า ฟินิกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยชั้นหรูที่ทำงานคุ้มกันบุคคลผู้มีชื่อเสียง และงานอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ซึ่งบริษัทแห่งนี้ตัวเอกของหนังสือทั้งสองเล่มในชุดต่างทำงานให้ (แม้ว่าในเล่มแรก พระเอกของเราจะยังไม่ได้เข้าทำงานในบริษัทนี้หรอกนะ) แต่ก็นั่นแหละ เพราะเนื้อเรื่องของเล่มนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ.ฟินิกซ์สักนิดเดียว

เรื่องเปิดตัวได้อย่างน่าอ่าน เมื่อมีมือปืนออกไล่ล่าฆ่าคนอย่างไม่เลือกในเมืองซัมเมอร์เซ็ต ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนักศึกษาวิชาทหารชื่อดังของอเมริกา นายทหารระดับสูงสองคนถูกฆ่าตายภายในวันเดียว และนั่นดึงเอาเคท คาเวนนอร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ในฐานะเจ้าหน้าพิเศษแห่งเอฟบีไอ ในคดีฆาตกรรมที่สองที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวิชาทหารชื่อดังแห่งนั้น เคทก็ได้พบกับควินน์ แม็คเคด อดีตทหารหน่วยซีลที่ปลดประจำการ โดยปัจจุบันควินน์เป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง ในขณะเดียวกับที่ทำงานพาร์ทไทม์ให้กับบ.ฟินิกซ์ ไปพร้อมกับเป็นอาจารย์พิเศษในโรงเรียนดังกล่าว ควินน์ซึ่งยังเป็นนักแม่นปืนประจำหน่วยซีลอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมศพที่สอง ด้วย ลูกปืนวิ่งผ่านศีรษะของเขาไปเพียงนิดเดียว และปลิดชีพเพื่อนอาจารย์คนนึงในโรงเรียน และนั่นนำควินน์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อย่างไม่อาจเลี่ยงได้

แต่ควินน์และเคทไม่ใช่คนแปลกหน้าระหว่างกัน ควินน์เคยออกเดทกับเพื่อนร่วมห้องของเคทในสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย และเมื่อตอนที่เคทเพิ่งหย่าขาดจากสามีใหม่ ๆ และยังเจ็บปวดกับการเลิกร้างครั้งนั้น เคทก็ยังเผลอใจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งชั่วข้ามคืนกับควินน์อีก ความสัมพันธ์ที่เคทพยายามลืมว่ามันเกิดขึ้น แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ควินน์ถวิลหาอยู่เรื่อยมา

การที่ต้องมาทำงานร่วมกันทำให้ทั้งสองมีโอกาสที่จะได้รู้จักกันอย่างลึก ซึ้งมากขึ้น แม็กซ์ชอบพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวเอกค่ะ มันแตกต่างจากหนังสือหลายเรื่องของโจแอนที่ดูเร่งเร้ามากเกินไป เราพบว่าในเรื่องนี้จังหวะของความสัมพันธ์เป็นไปอย่างสอดคล้องกับเนื้อ เรื่อง และทำให้ดูน่าเชื่อมาก ๆ ว่าทั้งคู่มีใจให้กันอย่างแท้จริง

จุดอ่อนที่แม็กซ์ไม่ชอบงานเรื่อง Freefall ของโจแอน ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดก็คือ จังหวะการมีความสัมพันธ์ระหว่างพระนางดูไม่น่าเชื่อ และไม่ถูกที่ถูกเวลาสำหรับเรื่องแนวโรแมนติคสืบสวน แต่ในเล่มนี้โจแอนทำได้ดี และนั่นทำให้เรารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่าน แม้ว่าเรื่องราวในส่วนสืบสวนจะยังทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อเฉลยตัวคนร้ายออกมาแล้ว ดูจะกลายเป็นแอนตี้ไคลแม็คซ์ไปซะงั้น

อย่างที่บอกนะคะ แม็กซ์ไม่แน่ใจว่าจะจดจำเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่อาจะเป็นเพราะว่าเล่มนี้เ็ป็นเรื่องของโจแอน รอสส์ที่เราคิดว่าเธอมีพัฒนาการในทั้งส่วนของคาแร็คเตอร์ และจังหวะในการดำเนินเรื่องขึ้นอย่างชัดเจน เราจึงมองหนังสือเล่มนี้ด้วยสายตาที่อ่อนโยนพอควรเลยล่ะ

คะแนนที่ 63

No comments: