หนังสือเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดองข้ามปี (เขียนตั้งแต่ปี 2005) ทั้งที่แม็กซ์ก็ตั้งใจจะอ่านมาตั้งแต่ออกวางขายเป็นปกอ่อนแล้วนะคะ แต่ไหงถึงได้เก็บมานานถึงขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้ โดยเฉพาะได้ยินมาจากหลายปากมากว่า เล่มสองในชุด (แต่ไม่ใช่เล่มนี้นะ) เป็นเรื่องที่สนุกมาก ๆ เลยล่ะ
ครั้งนี้ได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาอ่านก็เป็นเพราะคุณมิ้งจากบลอกนี้นะคะ ที่อ่านเรื่อง The Dream Thief จนแม็กซ์รู้สึกว่า ต้องเริ่มอ่านชุดนี้ได้แล้วล่ะ ขอบคุณมากนะคะ
ประเด็นก็คือ การที่คุณเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนึง ทั้งที่ใจอยากจะอ่านอีกเล่ม (ซึ่งแม็กซ์เป็นในกรณีนี้ เนื่องจากอยากอ่าน The Dream Thief มากกว่า แต่รู้สึกว่าจำเป็นต้องอ่าน The Smoke Thief ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดก่อน) มันจึงอาจเป็นการไม่ยุติธรรมนักในการอ่านหนังสือเล่มนั้น เพราะใจของคุณไม่ได้อยู่กับเล่มที่กำลังอ่านอย่างเต็มร้อย
ดังนั้นเตือนไว้ก่อนนะคะว่า รีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่เป็นมาจากใจที่เป็นกลางอย่างแท้จริงเท่าไหรนัก เพราะใจมันท่าจะลอยตามตัวละครรองในเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ
The Smoke Thief ของชาน่า เอบเบ
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด Drakon ที่แม้จะสะกดไม่เหมือนอย่างที่คุ้นเคยกัน แต่ก็เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์มังกรที่ปะปนอยู่ในโลกของเรามานาน ข่าวว่าหนังสือทั้งชุดจะมีทั้งหมดห้าเล่ม ซึ่งตอนนี้ออกมาแล้วสามเล่ม (เล่มสี่กำลังจะออก) แม็กซ์คิดว่า ชาน่าเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือช้ามากนะคะ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเล่มแรกในชุดออกขายตั้งแต่ปี 2005 นี่ก็สี่ปีแล้ว ยังออกไม่ครบเลย (แต่ถ้าพิจารณาจากมาตรฐานของนักเขียนในแนวเอพิค แฟนตาซีแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าช้าหรอกนะคะ เพราะบางชุดนั้น คนแต่งตายไปแล้วยังเขียนไม่จบก็มี)
ตั้งแต่เริ่มต้นฉากเปิดเรื่องก็เป็นปัญหาสำหรับแม็กซ์แล้ว เราค่อนข้างเข้าใจนะคะว่า เป็นการปูพื้นว่าเหล่ามนุษย์มังกรมาจากไหน แต่แม็กซ์ไม่รู้สึกเลยว่า มันเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องยังไง เพราะโฟกัสของมันอยู่ที่เหล่ามนุษย์มังกรที่คาร์พาเธียน (ใช่แล้วค่ะ ในชุดนี้หุบเขาคาร์พาเธียนเป็นที่อยู่ของมนุษย์มังกร ไม่ใช่แวมไพร์เหมือนอย่างที่คริสตีน ฟีแฮนเคยบอกเอาไว้) และถึงจะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมนุษย์มังกรจากสองเผ่านี้จะมารวมตัวกันได้ในเล่มต่อ ๆ มาในชุด แม็กซ์ก็ตั้งคำถามว่า มันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องเปิดเรื่องด้วยกลุ่มมังกรที่ไม่มีบทในเล่มนี้ด้วย ซ้ำ
เรื่องย้อนกลับมาโฟกัสที่ตัวเอก คริสตอฟ แลงค์ฟอร์ดเป็นทายาทของหัวหน้าเผ่ามนุษย์มังกร ในฐานะของอัลฟ่า (หรือผู้นำเผ่า) เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังนั้นแม้จะมีการคัดค้านจากสภาที่ปรึกษาเผ่า คิทก็ยังดึงดันที่จะนำเอาเพชรประจำเผ่าเป็นเหยื่อล่อจับโจรที่ได้รับฉายาว่า The Smoke Thief
จอมโจรควันออกอารวาดล่าเหยื่อในหมู่สังคมชั้นสูงในลอนดอนเป็นเวลาหลายปี แล้ว และจากหลักฐานที่รวบรวมได้ ดูเหมือนโจรร้ายคนนี้จะเป็นหนึ่งในสมาชิกมนุษย์มังกร (เพราะมนุษย์มังกรจะแปลงร่างเป็นได้ทั้งควัน และมังกร) ที่แอบหลบหนีออกไปจากเผ่า ซึ่งมีกฎห้ามสมาชิกทุกคนไปไหน ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอัลฟ่า และสภาราวกับประชาชนในประเทศเผด็จการ การถูกบังคับให้ทำตามระบอบ ตามกฎที่มาอยู่นาน แม้มันจะเป็นกฎที่มีไว้เพื่อรักษาความลับของเหล่ามนุษย์มังกรไม่ให้ล่วงรู้ ไปถึงหูมนุษย์ เพื่อความปลอดภัยของเผ่าโดยรวม ไม่เป็นที่ต้องการนักในหมู่สมาชิกหลายคน ดังนั้นจึงมีความพยายามหนีออกไป ซึ่งโทษของการหนีก็คือความตายโดยน้ำมือของอัลฟ่า
ข่าวคราวที่จอมโจรควันสร้างขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องความลับเกี่ยวกับ มนุษย์มังกรจะถูกเผยแพร่ออกไป และทางเดียวที่คิทคิดว่าจะล่อโจรรายนี้ออกมาได้ก็คือ นำเพชรประจำเผ่ามาเป็นเหยื่อล่อ และมันก็สำเร็จ คิทได้พบกับมนุษย์มังกรที่กำลังตามล่า เพียงแต่เธอไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่คิด (เพราะมนุษย์มังกรในยุคนี้ที่แปลงร่างได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้น กลุ่มผู้หญิงไม่มีใครแปลงร่างได้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว) และเธอยังเป็นบางคนจากอดีตที่คิทรู้จักอีก
รัว ฮอร์ธอร์นเป็นหนึ่งในมนุษย์มังกรผู้หลบหนีออกจากเผ่าสำเร็จ ด้วยการเสแสร้งการตายของตัวเอง และที่เธอทำเช่นนั้นก็เพราะว่า รัวพบว่าตนเองเป็นหญิงสาวคนแรกในรอบหลายรุ่นของมนุษย์มังกรที่สามารถแปลง ร่างเป็นได้ทั้งควัน และมังกรได้ และนั่นหมายความว่า เธอเป็นอัลฟ่าคนนึง และเธอจะต้องเป็นของคิท แม้ว่ารัวจะแอบรักคิทมาตั้งแต่เด็ก แต่การได้เขามาด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่ทางที่เธอต้องการ รัวจึงเลือกที่จะหนี และใ้ช้ชีวิตของตัวเองในลอนดอน
เหยื่อล่อถูกงับ แต่คนที่ขโมยเพชรไปไม่ใช่รัว หากแต่เป็นมือที่สาม ทว่าฐานะของรัวถูกเปิดเผยออก และเหล่ามนุษย์มังกรรู้แล้วว่า เธอคือคนที่หลบหนีไป แถมยังมีความสามารถในการแปลงร่างได้อีก
รัวจึงพยายามหาทางออกให้ตัวเองจากการที่ต้องกลับไปที่เผ่า และใช้ชีวิตราวกับถูกขัง เธอบอกว่า เธอสามารถส่งมอบตัวคนที่ขโมยเพชรตัวจริงได้ แต่เผ่าจะต้องปล่อยให้เธอมีอิสระ ดังนั้นถึงรัวและคิทจึงเริ่มต้นการค้นหาเพชร และผู้หลบหนีอีกคน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้น
แม็กซ์ไม่รู้ว่ามันเป็นด้านที่ดีของหนังสือเล่มนี้ไหมนะคะ หากเราจะบอกว่า ตัวละครเดียวที่จับใจเราได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาออกมามีบทบาท คือเด็กชายวัยสิบสองปี ที่ไม่ใช่ทั้งพระเอกและนางเอก และตลอดทั้งเรื่องที่ดำเนินกันไป พระเอกและนางเอกไม่อาจแย่งเอาความเด่นมาจากเซน เด็กชายวัยสิบสองคนนั้นได้เลย (และเซนนี่แหละที่จะเป็นพระเอกในเล่มสองที่เขาลือกันหนักหนาว่าสนุกมาก)
เซนเป็นเด็กข้างถนนที่รัวเก็บเอามาดูแล เด็กชายที่ยังมีความดิบจากประสบการณ์ที่เติบโตมา เด็กชายที่รักรัวอย่างสุดหัวใจ และทำหลายอย่าง (ที่อาจจะไม่น่าทำ) เพื่อเธอ เราประทับใจคาแร็คเตอร์ของเขามาก เพราะมันสมจริงในแง่ความเป็นเด็ก และความดิบที่เขามีมันผสมกันออกมาได้ลงตัวมาก กระทั่งการที่เขาแสดงออกว่ารักรัว (ไม่ใช่ในฐานะชู้สาวนะคะ) ก็เป็นการแสดงออกชนิดที่อดีตโจรข้างถนนอย่างเขาเท่านั้นที่คิดออกมาได้
นั่นเป็นความประทับใจในเรื่อง กลับมาส่วนที่ไม่น่าประทับใจแล้วกันค่ะ
เริ่มตั้งแต่ต้น แม็กซ์รู้สึกคิทไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าเผ่า เขาไม่มีความเป็นผู้นำเพียงพอ ไม่ฉลาดพอด้วย เพราะอ่านจนจบเรื่องแม็กซ์ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเอาเพชรประจำเผ่ามา เป็นเหยื่อล่อจนถูกขโมยไป ในเมื่อตลอดทั้งเรื่องก็ชัดเจนดีอยู่แล้วว่า ทั้งรัวและโจรอีกคนก็สามารถถูกล่อด้วยเพชรอันอื่น (ที่อาจจะไม่มีค่าเท่ากับเพชรประจำเผ่า) ได้ แล้วทำไมต้องเอาของสำคัญของเผ่าไปเสี่ยง มันไม่มีเหตุผล และสมควรที่จะถูกสภาที่ปรึกษาด่ามาก และอีกอย่างในฉากที่คิทพบกับรัวครั้งแรก (เมื่อเขารู้ว่าเธอคือโจรคนที่เขาตามหาอยู่) มันไม่จำเป็นต้องใช้เพชรด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่แว่บแรกคิทก็รู้ในทันทีว่ารัวคือใคร แม็กซ์เข้าใจว่า ฉากนี้ต้องการแสดงให้ความอ่านเห็นถึงอาการปิ๊งกันอย่างรุนแรงระหว่างพระเอก และนางเอกนะคะ แต่ในอีกด้านนึงมันเป็นการแสดงว่า ไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องใช้เหยื่อล่อ เพราะรัวยังไม่ทันลงมือก็ถูกพบตัวก่อนเลยด้วยซ้ำ
และแม็กซ์ไม่รู้ว่าอะไรที่เลวร้ายกว่ากันระหว่างการที่คิทขู่จะฆ่าเซน เพราะดันมาล่วงรู้ความลับการเป็นมังกรของเขาและรัว กับการที่รัวแสดงความเฉยเมยต่อความห่วงใยของเซน ให้ตายเถอะนะ เด็กชายคนนี้ดั้งด้นมาเมื่อช่วยเหลือเธอจากคิท (เพราะคิดว่ารัวโดนจับมา ซึ่งมันก็จริงในตอนแรก) แต่สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อเจอเซนก็คือ ไล่ให้เขากลับไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกอย่างที่รัวทำให้เซนเป็นเรื่องจอมปลอม ไม่มีความสมจริงในฐานะของคนที่ดูแลเซนมาเป็นเวลากว่าสองปี เพราะตลอดทั้งเรื่อง แม็กซ์แทบจะไม่เห็นเธอคิดถึงเขาเลย ทุกอย่าง ทุกการกระทำเธอแคร์คิท ซึ่งแม้จะเป็นพระเอกนะคะ แต่เขามาทีหลัง (แถมก็ไม่ได้กระทำต่อเธอดีนักหรอกนะ)
อีกประเด็นนึงที่เราคิดว่าทำให้เนื้อหาของเรื่องนี้อ่อนด้อยลงไปก็คือ การออกตามหาเพชร ซึ่งเราไม่ได้ความรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งคิทและรัวทำเหมือนเด็กเล่นซ่อนหา ไม่มีความพยายาม (อย่างจริงจัง) หรือความรู้สึกมีส่วนร่วม (อย่างจริงใจ) ในการตามหาเพชร และตัวผู้หลบหนีอีกคนเลย
แม็กซ์เข้าใจนะคะว่า เป็นโรแมนซ์ ที่จำเป็นต้องโฟกัสเรื่องราวไปที่ความรักและการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัว เอก แต่การเป็นโรแมนซ์ก็ไม่ใช่เป็นข้ออ้างที่จะทำให้ตัวละครละทิ้งความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้ แม็กซ์ไม่เชื่อว่า ความรักจะสำคัญกว่าภารกิจที่ตัวละครได้รับมอบหมาย เพราะในสายตาของตัวละคร พวกเขาไม่ได้มาอยู่ในหน้าหนังสือเพื่อความรัก (แม้มันจะเป็นวัตถุประสงค์ของโรแมนซ์) แต่พวกเขาเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เพราะความขัดแย้งที่เป็นประเด็นเกิดขึ้นใน เรื่อง ดังนั้นแม็กซ์จึงคาดหวังว่า ตัวละคร (แม้จะในนิยายโรแมนซ์) จะต้องทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้ได้ และแถมด้วยว่า หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้ถูกโฆษณาว่าเป็นโรแมนซ์ชัดเจน (ที่สันหนังสือเขียนว่า Novel) แม็กซ์ยิ่งคาดหวังความพยายามของตัวละครในการค้นหาเพชรให้มากกว่านี้ค่ะ
จับความผิดพลาดในเรื่องได้นิดหน่อย แต่แม็กซ์ไม่แน่ใจว่าเป็นความผิดพลาดที่ตั้งใจเอาไว้ หรือผิดจริง ๆ นั่นก็คืออายุของนางเอกในวันที่เธอแกล้งตาย ในข้อมูลแรกที่นำเสนอในเรื่องเหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์บอกว่าเธอตายในวัน เกิดครบรอบอายุสิบแปดปี แต่ส่วนที่เหลือของเรื่องกลับเป็นวันเกิดปีที่สิบเจ็ด (ที่คิดว่าอาจตั้งใจก็เพราะ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นางเอกไร้ความสำคัญต่อเผ่า ขนาดคนจำอายุของเธอไม่ได้)
ที่ยิ่งไปกว่าความไม่ชอบทั้งหมด แม็กซ์ไม่รู้สึกถึงความรักที่คิทและรัวมีต่อกันเลย เรารู้สึกว่า คิทต้องการเธอเพราะเห็นว่าเธอเป็นหญิงที่แปลงร่างได้ ในขณะที่รัวก็ยังติดภาพในวัยเด็ก ที่เคยคิดว่าคิท ซึ่งเป็นทายาทของหัวหน้าเผ่า เป็นเจ้าชายรูปงามที่จะทำให้เธอได้รับการยอมรับในสังคมมนุษย์มังกรได้ (รัวถูกกันเป็นคนนอกเพราะแม่ของเธอแต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา) เราไม่รู้สึกทั้งสองคนรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเท่าไหรนัก แต่ก็มีบางฉากที่เผยอีกด้านของทั้งคู่นะคะ แต่เราคิดว่าไม่มากพอ และไม่ต่อเนื่องด้วย วินาทีนึงคิทดูเป็นมนุษย์ที่เข้าใจรัวในสิ่งที่เธอต้องการ แต่จากนั้นเขาก็พลิกกลับมาเป็นหัวหน้าเผ่าผู้เย็นชาอีกรอบ ในขณะที่รัว แว่บนึงเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องการเป็นอิสระ แต่สักพักก็กลับมาเป็นหญิงสาวที่หลงรักภาพในอดีตอีกแล้ว
ยังมีอีกหลายประเด็นที่ขัดใจค่ะ แต่ชักจะรู้สึกว่าเขียนมายาวมากแล้ว (จะต้องไปเข้าประชุมแล้ว) ก็เลยสรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเซน เราคงไม่อ่านต่อเล่มสองแน่ ๆ
คะแนนที่ 47
No comments:
Post a Comment