Sunday, March 22, 2009

A Vampire's Claim // Joey W. Hill

โจอี้ ดับเบิ้ลยู ฮิลล์เป็นนักเขียนนิยายแนวพารานอมอลอีโรติคโรแมนซ์ที่แม็กซ์ชอบมากที่สุด (อย่างน้อยก็ในเวลานี้) และก็เป็นโชคดีของแม็กซ์มาก ๆ ที่ปีนี้มีหนังสือใหม่ของเธอออกมาหลายเรื่อง

เราชอบงานของโจอี้ไม่ใช่เพราะว่ามันวาบหวาม (แม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น) แต่เป็นที่อารมณ์ในเรื่องของเธอมันท่วมท้นและรุนแรง แม้กระทั่งเรื่องนี้ที่แม็กซ์รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่อาจจะเบาที่สุดที่เธอเขียนมาให้กับเบิร์กเลย์แล้วนะคะ มันก็ยังมีช่วงเวลาที่แม็กซ์สัมผัสถึงเบาะบางของตัวละครได้

A Vampire's Claim ของโจอี้ ดับเบิ้ลยู ฮิลล์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มทีสามในชุดแวมไพร์ที่เริ่มต้นด้วยหนังสือคู่สองเล่ม (The Vampire Queen's Servant และ Mark of the Vampire Queen) แต่ในลำดับการเล่าเรื่องนี้ เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าสองเล่มแรกค่ะ เล่าเรื่องราวของตัวละครที่มีบทบาทใน MOVQ และเล่มนี้เล่าเหตุการณ์ย้อนไปตั้งแต่ต้นในออสเตรเลียยุคปีค.ศ. 1953

เดฟลินหนุ่มชาวออสซี่ที่เดินเข้าไปในบาร์ คาดหวังว่าจะเจอผู้หญิงสักคนที่จะช่วยให้ค่ำคืนอันยาวนานสั้นลงมาบ้าง หลังจากที่เขาสูญเสียภรรยาและลูกชายไปกับการฆาตกรรม เดฟก็กลายเป็นคนไร้รัง เขากลายไปเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อสู้กับญี่ปุ่นเพื่อปกป้องออสเตรเลีย เพราะความรุนแรงเป็นทางออกเดียวที่เขาค้นพบ จากนั้นเดฟก็ใช้ชีวิตร่อนเร่ รับจ้างทำงานอยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่าเอาท์แบ็ค (ซึ่งเป็นบริเวณตอนกลางของประเทสออสเตรเลียที่เป็นทะเลทราย และแห้งแล้ง) เดฟไม่ใช่คนที่มีความศิวิไลซ์นัก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยจะเชื่อตัวเองเหมือนกันที่หญิงสาวที่ดูมีชาติตระกูล และเป็นผู้ดีมาก ๆ อย่างเลดี้ดาเนียล่า เดินตรงเข้ามาหาเขา และอย่างไม่ปิดบังนัก บอกว่าต้องการเขา

ตามสไตล์เรื่องแนวอีโรติคโรแมนซ์นะคะที่ทั้งคู่จบลงกันบนเตียงอย่างรวดเร็ว แต่เดฟก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเลดี้แดนนี่ (หรือเลดี้ดีอย่างที่คนอื่นเรียก) ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอเป็นแวมไพร์ แต่นั่นไม่สำคัญเลย เพราะสิ่งที่เขาได้รับจากเธอมันคุ้มค่ากับเลือดที่เธอดื่มจากเขา

ในเช้าวันรุ่งขึ้น เดฟตื่นขึ้นมาตามลำพัง พร้อมกับจดหมายที่แดนนีทิ้งเอาไว้ ชักชวนให้เขาไปทำงานเป็นหัวหน้าคนงานที่สถานีเลี้ยงแกะของเธอ ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่จะเข้าไปพัวพันกับเธอมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเป็นแวมไพร์ที่ทำให้เดฟถอยหนี แต่เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่ภรรยาและลูกตายลง เดฟเริ่มรู้สึกผูกพันกับใครสักคน

และความผูกพันอันนี้ก็มากพอที่จะทำให้เดฟรีบบึ่งไปช่วยแดนนี่ เมื่อเขารู้ว่าแวมไพร์คู่ปรับวางแผนลอบทำร้ายเธออยู่ เดฟไปทันเวลาและช่วยชีวิตแดนนี่เอาไว้ได้ และดูเหมือนชีวิตของเขาจะเข้าไปพัวพันกับเธออย่างขาดกันไม่ได้

แม้ฉากเซ็กส์ในเรื่องจะเป็นแนว BDSM ตามแนวเรื่องชุดแวมไพร์ของโจอี้ แต่มันแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างจาค็อบและลิสซ่า (จากเรื่องคู่ Vampire Queen) เพราะแดนนี่ไม่ใช่แวมไพร์ในโลกยุคเก่าที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียม เธอเป็นแวมไพร์อายุน้อย แต่มีอิทธิพลสูงเนื่องจากชาติกำเนิด เธอเป็นเด็กที่เกิดจากแวมไพร์สองคน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของเธอเพิ่งตายลง ทำให้แดนนี่กลายเป็นทายาทอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในเอ้าท์แบ็ค อาณาจักรอันเป็นที่หมายปองของหลายคน

ในทางนึง หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองอย่างยิ่ง การแย่งอำนาจระหว่างแวมไพร์คนอื่น และแดนนี่ ผู้ซึ่งปฏิเสธอำนาจมาตลอด เธอเพียงแค่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบในเอ้าท์แบ็ค แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าแดนนี่ต้องการมีชีวิตรอด เธอก็ต้องเล่นการเมืองของแวมไพร์ให้เป็น และเดฟก็เป็นองค์ประกอบที่เธอไม่อาจขาดเขาได้ ในขณะเดียวกันแดนนี่ก็แข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดในสังคมแวมไพร์อันโหดเหี้ยม ได้ด้วยตัวเอง ฉากที่เธอกำจัดคู่ปรับซึ่งเป็นศัตรูเก่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแดนนี่ก็สามารถทำในสิ่งที่จำเป็นได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะรังเกียจทางเลือกที่เธอทำ แต่เธอรู้ว่าต้องทำ

ในทางนึงแดนนี่ยังเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ เธอเป็นแวมไพร์ที่อายุน้อย (แค่สองร้อยกว่าปี) และไม่ต้องการเล่นเกมแย่งอำนาจกับแวมไพร์ผู้ถวิลหามัน แดนนี่เคยเลือกที่จะหนีไปจากการเผชิญหน้า และพบว่ามันไม่ใช่ทางออก ครั้งนี้เธอกลับมาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต โดยไม่ลังเลว่าจะต้องเีสี่ยงชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังแสดงความไร้เดียงสาที่คิดว่า เธอเป็นเพียงคนเดียวที่จะแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้องได้ แม็กซ์ชอบความไม่สมบูรณ์แบบของคาแร็คเตอร์ค่ะ

แม็กซ์ชอบความสัมพันธ์ระหว่างแดนนี่ และเดฟ มันเป็นความรักชนิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการอธิบาย เราพบว่าทั้งสองคือส่วนที่ขาดระหว่างกัน เดฟในตัวตนก่อนที่เขาจะสูญเสียภรรยาและลูก คงไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นคนรับใช้ของเลดี้ดี แต่เดฟที่ผ่านความสูญเสีย จนแทบจะไม่แคร์อะไรในชีวิตแล้ว การได้ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ (ซึ่งเป็นตำแหน่งเสมือนคนสนิทที่สุดของแวมไพร์คนนั้น) ได้ดูแลแดนนี่ มันกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตที่เดฟกำลังต้องการ

ในแง่นึงความรักระหว่างแดนนี่และเดฟไม่ใช่เรื่องต้องห้ามมากเท่าที่ลิสซ่า และจาค็อบต้องเผชิญ (การที่แวมไพร์แคร์ความรู้สึกของคนรับใช้ของตัวเองมากเกินไป ถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ และต้องห้ามในสังคมแวมไพร์) นั่นเพราะแดนนี่เป็นแวมไพร์ที่อยู่ในซีกโลกที่ไม่ได้เป็นจุดสนใจ และฐานะของแดนนี่เองก็ไม่ใช่ราชินีแห่งแวมไพร์เหมือนอย่างลิสซ่า (ซึ่งมีความคาดหวังมากกว่า) และเพราะว่าเป็นเรื่องราวความรักระหว่างแวมไพร์และข้ารับใช้ของเธอ ตอนจบของเรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นไปแบบอนุรักษ์นิยมนะคะ ไม่มีการแต่งงานในโบสถ์ ไม่มีการแสดงความยินดีในความรักของทั้งสอง แต่มันเป็นฉากจบที่แม็กซ์พอใจ

เช่นเดียวกับงานเกื่อบทุกเรื่องของโจอี้ ที่ตัวละครรองมีความน่าสนใจมาก ๆ และดูจากข้อมูลในเว็บไซด์ของเธอแล้ว เธอก็ยังมีแผนที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครอีกหลายตัวที่มีบทในเล่ม นี้ ซึ่งเราชอบค่ะ

สนุกอย่างที่คาดค่ะ ในด้านอารมณ์อาจจะไม่ถึงกับทำให้แม็กซ์ร้องไห้ (เหมือนกับเล่มอื่น ๆ ของเธอที่เราเคยอ่านมา) แต่มันก็เป็นประสบการณ์การอ่านที่ประทับใจ และคุ้มค่า

คะแนนที่ 85

No comments: