Wednesday, March 4, 2009

Kisses Like a Devil // Diane Whiteside

ไดแอน ไวท์ไซด์เป็นหนึ่งในนักเขียนอีบุ๊คที่แม็กซ์ติดตามงานของเธอเรื่อยมาหลังจาก ที่เธอเซ็นต์สัญญากับสนพ.ในนิวยอร์ค (เบิร์คเลย์ และเคนซิงตัน) หนังสือเรื่อง The Irish Devil ถือเป็นหนังสือที่เปิดโลกให้แม็กซ์เล่มนึงเลยที่เดียว (กับฉากรักที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก)

นอกจากงานแนวเวสเทิร์นแล้ว ไดแอนยังเขียนเรื่องแนวพารานอมอลในชุด The Texas Vampire อีกด้วย (ซึ่งเรา็อ่านไปแล้วทุกเล่มในชุด) แม็กซ์บอกไม่ถูกนะคะว่าเราชอบแนวไหนของเธอมากกว่ากัน แต่โดยรวมแล้ว เธอถือว่าเป็นนักเขียนที่แม็กซ์พลาดอ่านไม่ได้

แต่กระนั้นแม็กซ์ก็รู้สึกอยู่เสมอว่า งานในระยะหลังของเธอนั้น มีคุณภาพที่ไม่อาจเทียบเคียงงานในระยะแรกไม่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวหรอกนะคะว่า ฉากเซ็กส์ในเรื่องของเธอมันอ่อนด้อยลงไป แต่มันเป็นความรู้สึก "ดิบ" ที่ขาดหายไปจากในเรื่อง เราคงจะพูดประเด็นนี้ต่อไปนะคะ

Kisses Like A Devil ของไดแอน ไวท์ไซด์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มห้าในชุด Devil แต่เป็นเล่มแรกในเจเนเรชั่นที่สองของตระกูลโดโนแวน (ซึ่งเล่มแรกในชุดเรื่อง The Irish Devil เป็นเรื่องของวิลเลี่ยม โดโนแวนซึ่งเป็นพ่อของพระเอกเล่มนี้) ซึ่งหลังจากเล่มนี้ เท่าที่สอบถามคนแต่งพบว่า เธอจะย้อนกลับไปเขียนเรื่องของโลเวลล์และพอร์เชียที่ทิ้งค้างเอาไว้จากเล่ม สี่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้าเนื้อหาในเรื่องนี้

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่างไปจากเล่มอื่น ๆในชุดก็คือ เรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นในตะวันตกของสหรัฐอเมริกาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดในประเทศยุโรปเล็ก ๆ ที่สมมุติขึ้น (ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นการเลียนแบบแคว้นเล็ก ๆ ในเยอรมันก่อนที่จะทำการรวบประเทศสำเร็จในศตวรรษที่สิบเก้า)

เมเรดิธ ดันแคนเป็นเด็กสาวที่เติบโตขึ้นในประเทศ Eisengau (ออกเสียงไม่ถูก ใครที่เรียนภาษาเยอรมันบอกมาด้วยก็ดีค่ะ) ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่แถบออสเตรีย และเยอรมันในปัจจุบัน (แต่สมัยนั้นยังไม่มีเยอรมันนะคะ มีแต่ปรัสเซีย) ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตอาวุธ ซึ่งเมเรดิธเองเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และในขณะเดียวกันก็ทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายพลผู้เลื่องชื่อด้านการ ผลิตอาวุธไปในเวลาเดียวกัน

งานที่เธอทำเปิดโอกาสให้เมเรดิธสามารถขโมยแบบแปลนอาวุธมหาประลัยออกมาได้ เมเรดิธคิดที่จะใช้แผนการนั้นเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยการปฏิวัติที่เธอแอบ เป็นส่วนหนึ่ง เพราะในประเทศแห่งนี้ ประชาชนได้ถูกแบ่งออกเป็นชนชั้นต่าง ๆ และเหล่าคนงานก็ถูกกดขี่ข่มเหงโดยไม่ได้รับความยุติธรรม เมเรดิธซึ่งเป็นสาวที่มีหัวคิดก้าวหน้า ทนรับความแตกต่างพวกนี้ไม่ได้ เธอจึงเข้าร่วมพรรคแรงงานเพื่อต่อสู่อย่างลับ ๆ

แต่การเข้าแทรกแซงของรัสเซียต่อสมาชิกพรรคทำให้เธอเริ่มไม่แน่ใจใน อุดมการณ์ของพวกเขา ดังนั้นแทนที่จะส่งมอบแบบแปลนตามแผนที่วางกัน เธอตัดสินใจเก็บมันไว้กับตัวเอง

ในขณะเดียวกัน ครอบครัวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชั้นสูงก็ได้กดดันให้เมเรดิธแต่งงานกับ นายพลคนที่เธอเป็นเลขาให้ โดยไม่สนใจเลยว่านายพลคนนั้นมีชื่อเสียในเรื่องการทำร้ายภรรยาคนก่อน พ่อเลี้ยงและแม่ของเธอไม่สนใจถึงความเป็นอยู่ของเมเรดิธแม้แต่นั้น ขอเพียงใช้เธอเป็นบันไดในการก้าวขึ้นสู่สังคมชั้นสูงเท่านั้น

นั่นทำให้เมเรดิธไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ชนิดที่ไม่มีทางที่นายพลคนนั้นจะสนใจเธออีก เมเรดิธเลือกไบรอัน โดโนแวน หนุ่มอเมริกันที่เดินทางมายังประเทศของเธอเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประมูล ซื้ออาวุธที่เมเรดิธขโมยแปลนการสร้างมา

ทั้งสองหนุ่มสาวมีโอกาสได้พบกันก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อไบรอันช่วยเหลือเมเรดิธจากตำรวจ เมื่อครั้งที่เธอออกไปช่วยพรรคหาเสียงเรื่องสิทธิของคนงาน และมันไม่ใช่เรื่องลำบากเลยที่เมเรดิธจากมอบตัวให้ไบรอัน แต่ยิ่งทั้งคู่ผูกพันกันมากเท่าไหร ทั้งสองก็พบว่าอุดมการณ์ของทั้งคู่อาจจะทำให้ทั้งสองแยกออกจากกันตลอดกาล

ไบรอันโดโนแวน เป็นลูกชายคนที่สองของวิลเลี่ยม โดโนแวนซึ่งเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นของโลก พ่อของเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งในด้านการเงิน และการเมือง ไบรอันเองก็เป็นเพื่อนสนิทกับเท็ดดี้ รูสเวลส์ ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และเป็นเท็ดดี้นี่เองที่ขอร้องให้ไบรอันไปที่ Eisengau เพื่อดูพัฒนาการของอาวุธสมัยใหม่ อาวุธที่อเมริกาเกรงกลัวว่ารัสเซียจะได้ไปครอบครอง และเปิดศึกเพื่อชิงอลาสก้า ที่รัสเซียเป็นคนขายให้อเมริกาเองกลับมา (เพราะหลังจากขายไปแล้ว มีการขุดพบน้ำมันในอลาสก้า ทำให้รัสเซียรู้สึกเสียหน้ามากที่ขายไปในราคาถูก)

ในฐานะของชายโสดที่มีพร้อมทุกอย่าง ไบรอันไม่เคยคิดการแต่งงาน เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงคนไหนเอาชนะใจของเขาได้ จนกระทั่งได้พบกับหญิงสาวที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ หญิงสาวที่ปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับเขา เพราะไม่เชื่อในสิทธิของสตรี ไม่ต้องการเป็นเครื่องมือให้พ่อของเขาใช้ในการผลิตอาวุธจากความลับที่เธอ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้อยู่

แม็กซ์ไม่ใช่คนที่ชอบพล็อตเรื่องแนวตะวันตกเท่าไหรนะคะ ดังนั้นเมื่อเจอว่าไดแอนเปลี่ยนฉากมาใช้ประเทศในยุโรปเป็นสถานที่ดำเนิน เรื่อง เราจึงรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติ และอุดมการณ์ เราก็ยิ่งชอบมาก ปัญหาก็คือ ตลอดทั้งเรื่องคนแต่งไม่เคยทำให้เราเชื่อในความมีอุดมการณ์ของเมเรดิธได้เลย

เธอดูเหมือนหญิงสาวที่ปากก็ร้องตะโกนเรื่องปฏิวัติ แต่ไม่มีสติปัญญา, ความมุ่งมั่น, หรือองค์ประกอบอะไรเพียงพอที่จะเป็นนักปฏิวัติ เราดูเธอพูดและคิดเรื่องปฏิวัติเหมือนเด็กกำลังเล่นขายของ เมเรดิธเป็นความน่าอับอายของตัวละครแนวนักปฏิวัติ สิ่งที่เธอทำเพื่อความเชื่อของเธอก็คือ การขโมยแผนการสร้างอาวุธ โดยมีจุดมุ่งหมายว่าจะใช้มันเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องเงินจากผู้นำของ ประเทศ หวังให้เขาจ่ายค่าไถ่เพื่อให้ได้แปลนอันนี้กลับไป

คิดว่าไงกันบ้างคะ เกี่ยวกับแผนการของเธอ

ทั้งที่ในเรื่องก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิด ขึ้น แม็กซ์ไม่เข้าใจว่า ทำไมบรรดาพรรคแรงงานที่รวมตัวกันถึงไม่ทุ่มเททุกอย่างไปที่การเลือกตั้งนั้น หากจะบอกว่า มันเป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม มีการโกงโดยฝ่ายผู้ปกครอง แล้วทำไมตอนจบเรื่องถึงได้แก้ปัญหาเรื่องอุดมการณ์ของเมเรดิธด้วยผลการเลือก ตั้งเล่า นี่จึงแสดงว่าการเลือกตั้งมีความหมายเพียงพอในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

แล้วยังกลุ่มคนที่เมเรดิธรวมตัวด้วยเพื่อร่วมกันในการต่อสู่เพื่อการ เปลี่ยนแปลงอีกล่ะ แม็กซ์เข้าใจนะคะว่า คนแต่งต้องการแสดงให้เห็นความหมดหวังของเมเรดิธว่า คนพวกนี้เปลี่ยนไปเข้ากับพวกรัสเซีย (ด้วยความโง่คิดว่ารัสเซียจะช่วยพวกเขาได้) แต่มันกลับกลายเป็นการเน้นย้ำความเบาปัญญาของเมเรดิธ ที่คบหากับคนที่ไร้อุดมการณ์และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมาได้หลายปี โดยที่ดูไม่ออกเลยว่าคนพวกนั้นล้วนเห็นแก่ตัว

กระทั่งคนที่เมเรดิธอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิท ก็ดูจะแปรพักตร์ง่ายดายเหลือเกิน และด้วยเหตุผลที่งี่เง่ามาก (ไปหลงผู้ชายที่เป็นสายลับรัสเซีย) นี่มันเป็นการบ่งชี้สติปัญญาของนางเอกของเราชนิดที่แม็กซ์ไม่เชื่อแม้แต่ วินาทีเดียวว่าเธอมีความจริงใจในอุดมการณ์ของตัวเอง

แล้วยังเรื่องที่เธอแสดงออกอย่างตลอดเวลาว่าไม่เชื่อใจพ่อของไบรอัน ทั้งที่เจ้าหล่อนก็ไม่เคยได้พบกับวิลเลี่ยมมาก่อน แค่เธอรู้ว่าวิลเลี่ยมเป็นเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล คุณเธอก็สรุปเอาเองว่า วิลเลี่ยมจะต้องบังคับให้เธอคายความลับเกี่ยวกับอาวุธที่ตนเองรู้ คนที่แม็กซ์เกลียดที่สุดก็คนที่คิดยังงี้ ทำไมคนร่ำรวยต้องเป็นคนเลวเสมอนั้นเหรอ เมเรดิธเอาข้อสรุปนั้นมาจากอะไร ทั้งที่ใจเธอก็ยอมรับว่ารักไบรอัน ทำไมเธอไม่คิดว่า คนที่เป็นพ่อของเขา และเลี้ยงดูผู้ชายคนที่เธอรักได้ น่าจะมีความดีในตัวบ้าง และไบรอันก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับพ่อของเขาในทางที่เลวร้าย แค่บอกว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต สร้างตัวเองมาจากศูนย์ จนกลายเป็นคนที่มีอิทธิพล

เมเรดิธสรุปทุกอย่างจากปัญญาที่อ่อนด้อย โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน ว่าวิลเลี่ยมเป็นคนเลว ในขณะเดียวกันเธอก็หลอกตัวเองเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เป็นมารดาของเธอเอง ตลอดทั้งเรื่องคนอ่าน และเมเรดิธได้พบกับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวอย่างทุเรศของคนเป็นแม่ของเธอ แต่กระทั่งในตอนท้ายเรื่อง (หลังจากที่แม่ของเธอเอาเธอไปขายให้กับนายพลที่แก่ราวกับพ่อ) เมเรดิธก็ยังโต้เถียงกับไบรอันว่า แม่ของเธอจะต้องปกป้องเธอจากศัตรู โดยเจ้าหล่อนปฏิเสธความคุ้มครองของไบรอัน

แม็กซ์เกลียดอีนางเอกคนนี้มากเลย (อ่านแล้วได้ความรู้สึกเกลียดของแม็กซ์ไหมเนี่ย)

ในด้านตรงข้ามกับเมเรดิธ ไบรอันเป็นตัวละครที่ราบเรียบ แม็กซ์ไม่คิดว่านั่นเป็นความตั้งใจของคนแต่งหรอกนะคะ ความผิดพลาดข้อแรกของเธอก็คือ การสร้างให้ไบรอันเป็นลูกชายของวิลเลี่ยม โดโนแวน แถมในเรื่องก็ยังดึงเอาวิลเลี่ยมเข้ามามีส่วนในแผนการของไบรอันอีก วิลเลี่ยมเป็นตัวละครชนิดที่ออกมาแล้วขโมยซีนกันซึ่งหน้า (เตือนให้นึกถึงมาร์ควิสแห่งโรธการ์มาก) ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพ่อแล้ว ไบรอันยังไม่ได้ขี้เท้าของเขาเลย

นั่นไม่ใช่ความผิดของไบรอัน เพราะจากภูมิหลังของเขา ไบรอันไม่มีทางที่จะโดดเด่นขึ้นมาได้ เขาเป็นลูกชายของชายผู้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นไม่ว่าคนแต่งจะบรรยายความสำเร็จที่ไบรอันสร้างขึ้นมาให้ตัวเองมาก เพียงใด มันก็ไม่อาจเทียบเท่ากับสิ่งที่วิลเลี่ยมสร้างขึ้นมาได้

แต่นั่นก็ยังสอบผ่านสำหรับเรานะคะ แม็กซ์ไม่ได้คาดหวังให้ไบรอันโดดเด่นเกินหน้าวิลเลี่ยม (มันอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) แต่การที่เขาโง่พอที่จะมาเลือกยัยโง่กว่าอย่างเมเรดิธ มันเป็นสิ่งที่เราคิดแล้วก็สงสารเขานะ ในขณะเดียวกันก็สงสารวิลเลี่ยมที่มีลูกชายโง่ปานนี้

เรื่องแปลกคืออะไรรู้ไหมคะ แม้ว่าแม็กซ์จะผิดหวังกับเล่มนี้มาก เรากลับรู้สึกอยากอ่านเรื่องราวของลูกชายที่เหลืออีกสามคนของวิลเลี่ยม โดยเฉพาะสเปนเซอร์ที่ออกมามีบทไม่เยอะค่ะ แต่ให้ความรู้สึกว่าเค้าอาจจะเป็นคนที่คล้ายกับวิลเลี่ยมมากที่สุดก็เป็นได้

สำหรับเล่มนี้ พูดตรง ๆ นะคะว่าเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ผลมันก็ยังแย่กว่าที่คาดอีกน่ะ คะแนนที่ 43

No comments: