Sunday, March 22, 2009

First Comes Marriage // Mary Balogh

ใช้เวลาอ่านเรื่องนี้ไปสองวันเต็มเลยค่ะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งของหนังสือที่เขียนโดยแมรี่ บาล็อคธ์ที่คุณต้องใช้เวลาในการซึบซัมเรื่องราวที่เธอสร้างสรร ไม่ใช่ว่าเธอใช้ภาษายากหรอกนะคะ แต่เป็นจังหวะของเรื่องที่คุณไม่อาจเร่งให้มันเร็วขึ้นได้ และเช่นกันไม่ใช่เรื่องราวที่เธอเล่าจะน่าเบื่ออะไรเลยนะคะ เพียงแต่มันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่คุณดูแล้วจบในครั้งเดียว หนังสือของเธอเป็นความประณีตที่น่าดื่มด่ำ

และเช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องแรกในหนังสือชุดห้าเล่มที่ เล่าเรื่องราวของตระกูลฮัซเทเบิ้ล ที่ประกอบด้วยพี่สาวสามคน และน้องชาย กับญาติห่าง ๆ อีกหนึ่งคน เล่มนี้เป็นเรื่องราวของวาเนสซ่า พี่สาวคนรอง ที่ได้พบกับความรักในการแต่งงานชนิดที่เธอไม่เคยคาดหวัง

First Comes Marriage ของแมรี่ บาล็อคธ์

พี่น้องสามสาวและหนึ่งหนุ่มแห่งตระกูลฮัซเทเบิ้ลมีชีวิตที่เรียบง่ายใน ชนบท มาร์กาเร็ตพี่สาวคนโตในวัยยี่สิบห้าปีเป็นผู้ดูแลน้อง ๆ มานับจากการตายของผู้เป็นบิดา เมื่อตอนเธออายุได้เพียงสิบเจ็ดปี เม็คทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แม้ว่านั่นจะหมายความว่า เธอจะต้องเสียสละคนรักเมื่อจำใจต้องปฏิเสธคำขอแต่งงานจากเขาก็ตาม แต่เม็คก็ไม่เคยเสียใจ

วาเนสซ่า น้องสาวคนรองเป็นคนเดียวในครอบครัวที่แต่งงาน แต่ชีวิตคู่ของเธอก็ช่างสั้นนัก เพราะเพียงแค่ปีเดียวสามีของเธอก็เสียชีวิตลง แต่นั่นก็เป็นเรื่องทีคาดกันเอาไว้อยู่แล้ว เพราะเขาป่วยหนักมาตั้งแต่ก่อนการแต่งงาน แต่วาเนสซ่าก็ยังเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอต้องการทำให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของเขามีความสุขที่สุด การทำให้คนอื่นมีความสุข มีเสียงหัวเราะเป็นพรสวรรค์ของวาเนสซ่า สาวน้อยที่อาจจะเป็นคนที่สวยน้อยที่สุดในครอบครัว

แคธทารีน น้องสาวคนที่สามเป็นครูอยู่ในหมู่บ้าน เธอก็เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่สวยงาม ชายหนุ่มจากทั่วหมู่บ้านล้วนหมายปองเธอ แต่ก็ไม่มีใครที่เป็นคนพิเศษในชีวิตของเธอได้

และสตีเฟ่น น้องชายคนเล็ก ผู้ที่ถึงจะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน แต่เขาก็ยังถูกมองเป็นเด็ก กระนั้นสตีเฟ่นก็รู้หน้าที่ของตัวเอง เขารู้ว่าพี่สาวของเขาเสียสละชีวิตเพื่ออนาคตของเขามากเพียงใด ดังนั้นสตีเฟ่นจึงหวังที่จะทำเต็มที่ในการเรียน และการงาน เพื่ออนาคตเขาจะได้ตอบแทนบรรดาพี่สาวของเขาให้มากที่สุด

แต่โอกาสของสตีเฟ่นมาเร็วกว่านั้น และผู้นำสารน์ก็คือเอลเลียต วัลเลซ ไวส์เคาท์ลินเกต

ด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปี เอลเลียตจำเป็นต้องรับความรับผิดชอบรวดเร็วกว่าที่คาด เขาไม่คิดว่าผู้เป็นบิดาจะเสียชีวิตกระทันหัน และตนเองจะต้องกลายเป็นผู้ดูแลโจนาธาน เอิร์ลแห่งเมอร์ตัน แต่โจนาธานจะไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเสียชีวิตในวัยสิบหกปี และเอลเลียตซึ่งตามหาทายาทคนต่อไปก็พบว่า สตีเฟ่นซึ่งบัดนี้คือเอิร์ลแห่งเมอร์ตันก็มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น และนั่นยังทำให้เขาคงต้องรับผิดชอบภาระนี้ต่อไป

เอลเลียตคิดว่าทุกอย่างคงเป็นเรื่องง่าย เขาเดินทางมาหมู่บ้านหลังเขา แจ้งข่าวดีสุดสุดให้กับครอบครัวฮัซเทเบิ้ลทราบ จากนั้นก็พาตัวสตีเฟ่นไปเพื่อฝึกฝนให้เขาเป็นเอิร์ลผู้เหมาะสม เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับครอบครัวที่รักใครใยดีกันเช่นนี้ ครอบครัวที่พี่สาวทั้งสามไม่ยอมให้สตีเฟ่นไปกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เย็นชาอย่างเขา

โดยไม่มีทางเลือก เอลเลียตตกลงพาทั้งสี่ไปพร้อมกัน แม้เขาจะไม่แน่ใจว่า จะทำยังไงถึงจะให้สังคมลอนดอนยอมรับสี่พี่น้องหลังเขาครอบครัวนี้ กับสตีเฟ่นเขาพอจะรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่กับสามสาวที่แน่นอนว่าจะต้องออกสังคม เอลเลียตไม่มีทางเลือกมากนัก จำเป็นจะต้องมีใครสักคนที่มีฐานะทางสังคมสูงพอที่จะพาพวกเธอออกงาน เขาคาดหวังให้เป็นมารดาของเขา แต่ก็รู้ว่าเป็นภาระหนัก เนื่องจากน้องสาวคนเล็กของเขาก็จะออกงานในปีนี้เช่นกัน

แต่แล้วความคิดนึงก็แทรกเข้ามา ถ้าหากเอลเลียตซึ่งได้สัญญากับผู้เป็นปู่แล้วว่า จะแต่งงานก่อนอายุครบสามสิบปี เลือกที่จะแต่งงานกับมาร์กาเร็ตเล่า เธอซึ่งเป็นพี่สาวคนโต และจะดำรงฐานะไวส์เคาท์เตสลินเกต ก็จะพาน้อง ๆ ออกงานได้โดยไม่มีปัญหา ในขณะเดียวกันเขาก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ความรักไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะผู้ชายในตระกูลวัลเลซไม่เคยรักผู้หญิงที่พวกเขาแต่งงานด้วย

ทว่าก่อนที่เอลเลียตจะทำตามความคิด วาเนสซ่าซึ่งไม่ค่อยชอบหน้าเอลเลียตนัก เพราะไม่พอใจความหยิ่งทรนง และไร้อารมณ์ขันของเขา เสนอตัวเข้ามาแทน เธอรู้ว่า ถ้าเอลเลียตขอ เม็กก็คงตอบตกลงแต่งงานด้วยเป็นแน่ เพราะเม็กทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่เธอไม่ต้องการให้พี่สาวต้องเสียสละมากไปกว่านี้อีกแล้ว เม็กควรจะมีโอกาสที่จะมีความหวัง เพื่อรอคอยการกลับมาของชายผู้เป็นที่รัก ในขณะที่วาเนสซ่าเอง เคยรักมาแล้ว ดังนั้นถ้าเป็นเธอที่จะเข้าสู่การแต่งงานที่ปราศจากความรัก ก็น่าจะเหมาะมากกว่า

การแต่งงานที่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวปฏิเสธความรักจึงเกิดขึ้น และก็เหมือนโรแมนซ์ค่ะ ที่ความรักมันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นกว่าหนังสือเรื่องอื่นในพล็อตเดียวกันก็คือ แม็กซ์เชื่อในความรักที่เกิดขึ้น

วาเนสซ่าไม่ได้หลงไปกับภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้อ่อนระทวยไปกับความหล่อเหล่า หรือเป็นผู้ดีของเอลเลียต เธออ่านเขาออกตั้งแต่แรกเห็น ในครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่งานเลี้ยงในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเธอ เพียงแว่บแรก วาเนสซ่าก็อ่านเอลเลียตออกราวกับรู้จักเขามาทั้งชีวิต เธอรู้ว่า เขาไม่ได้ปลื้มไปกับงานเลี้ยงที่คนทั้งหมู่บ้านอุตส่าห์จัดขึ้น เขาเบื่อหน่าย และเหยียดหยามพวกเธอด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เธอไม่ "ตกหลุมรัก" เขาตั้งแต่แรกเห็น

และเธอก็ไม่ "ตกหลุมรัก" เขาเมื่อได้พบเขาเป็นครั้งสอง และสาม (และสี่ และห้า) เพราะเอลเลียตยังเป็นคนเย็นชาที่ไม่มีความสุขกับชีวิต เขาไม่รู้จักเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้ม สำหรับเขา ครอบครัวของเธอคือภาระหน้าที่

แต่เมื่อวาเนสซ่าตัดสินใจแต่งงานกับเขา เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสวยเหมือนพี่น้อง สิ่งเดียวที่เธอมอบให้กับการแต่งงานนี้ก็คือ เธอจะทำให้เอลเลียตมีความสุข และวาเนสซ่าก็เป็นคนที่นำความสุขมาให้กับคนรอบข้าง นั่นดูเหมือนจะเป็นข้อดีเดียวที่เธอมี

การแต่งงานทำให้ทั้งสองค้นพบว่า ทั้งคู่มีอะไรมากกว่านั้น เอลเลียตพบว่าตัวเองไม่อาจปฏิเสธความเป็นวาเนสซ่าได้ เธอเป็นผู้หญิงที่หัวเราะให้กับความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่นำความสว่างไสวมาให้กับคนรอบข้าง และเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบ (นั่นเพราะเขารู้จักเธอดียิ่งกว่าเปลือกนอก) ในขณะเดียวกันวาเนสซ่าก็ต้องการมากกว่าความสุขของเอลเลียต เธอต้องการความสุขของตัวเอง เธอต้องการความรัก แม้มันจะผิดสัญญาที่ให้กันไว้ตั้งแต่ต้น

ครึ่งเรื่องแรกของหนังสือเรื่องนี้ใช้เวลาไปกับการแนะนำตัวละครในชุดนะคะ แต่มันก็ไม่ได้น่ารำคาญ หรือเบื่อหน่ายอะไร เรื่องน่าเสียดายเดียวก็คือ แม็กซ์ชอบความสัมพันธ์ระหว่างวาเนสซ่า กับเอลเลียตมากจนอยากให้คนแต่งใช้เวลากับพวกเขามากกว่านี้ (แต่ในทางกลับกัน เราก็ชอบเรื่องราวของพี่น้องฮัซเทเบิ้ลไม่น้อยเช่นกัน) ครึ่งหลังเรื่องเป็นการปรับตัวเข้าหากันของคู่สามีภรรยาที่ไม่คาดหวังความ รัก แต่ความรักก็มาเยือนพวกเขา

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกมาก ๆ ไม่มีความรู้สึกว่าบังคับ หรือไม่สมจริงในพัฒนาการของความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่มีช่วงเวลาที่จู่ ๆ เอลเลียตก็โพร่งขึ้นมาว่า รักเธอ รักเธอ แบบทำลายจังหวะเรื่องนะคะ แต่เมื่อคุณอ่านไปถึงจุดนึง คำว่า "รัก" มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะการกระทำได้บ่งบอกทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว (และคำว่ารัก มันก็ตามมาเอง"

หนังสือเล่มนี้จบลง แบบไม่สนิทในประเด็นเรื่องของญาติห่าง ๆ ของตระกูลฮัซเทเบิ้ล คอนสแตนติน ฮัซเทเบิ้ลเป็นพี่ชายคนโตเอิร์ลคนเก่า แต่เขาไม่มีสิทธิได้บรรดาศักดิ์ เพราะดันเกิดก่อนที่พ่อและแม่จะแต่งงานกันได้สองวัน ทรัพย์สินและบรรดาศักดิ์ที่เป็นของสตีเฟ่น แท้จริงแล้วควรจะเป็นของเขา แต่คอนก็สูญเสียมันไปทั้งหมด

แม็กซ์เคยบอกไหมคะ ว่าชอบตัวละครแบบนี้แหละ ข่าวร้ายก็คือ เรื่องของคอนจะยังไม่ออกขายจนกว่าจะปีหน้า แถมยังออกเป็นปกแข็งอีกต่างหาก

วกกลับมาที่คะแนนเรื่องนี้ค่ะ อยู่ที่ 83

No comments: