กลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพแล้วนะคะ มีเรื่องน่าตื่นเต้นนิดหน่อยเกิดขึ้นตอนอยู่บนเครื่องบิน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราหรอกนะคะ
แม็กซ์มีโอกาสอาศัยอยู่ในหลายประเทศเป็นระยะเวลานานมากกว่าแค่การท่องเที่ยว ธรรมดา แต่บอกเลยนะคะว่าไม่มีประเทศไหนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า อยากอยู่ในประเทศนั้นมากไปกว่าประเทศไทย แต่สิงคโปร์อาจจะเป็นประเทศเดียวที่ถ้าเราไม่มีความผูกพันเรื่องครอบครัว เราอาจจะตัดสินใจอยู่ที่นั่น แม็กซ์เคยทำงานในสิงคโปร์เกือบหนึ่งปี และเคยเดินทางไปที่นั่นไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือธุรกิจหลายครั้ง เราชอบประเทศนี้ โดยเฉพาะร้านหนังสือ แต่มันก็ไม่ใช่ร้านหนังสือหรอกนะคะที่ทำให้เราคิดว่าประเทศนี้น่าอยู่ มันเป็นภาพรวมมากกว่า เพราะที่นั่นแม็กซ์จะไม่ใช่พลเมืองชั้นสอง (เหมือนที่เราจะเป็นหากอยู่ในประเทศทางตะวันตก) ในขณะเดียวกันสิงคโปร์ก็มีความเป็นตะวันตกมากพอที่จะดึงดูดใจ คนที่ชอบสังคมลักษณะเมืองอย่างเรา
อ่านดูก็น่าจะรู้นะคะว่าเราชอบสิงคโปร์มากแค่ไหน (และก็เข้าใจนะคะหากหลายคนจะบอกว่า สิงคโปร์เป็นเมืองที่ไม่มีอะไรน่าท่องเที่ยวเลย ซึ่งมันก็จริง เพราะแม็กซ์ไม่เคยไปเที่ยวสิงคโปร์ ทุกครั้งที่ไปก็มักจะเป็นเรื่องงาน หรือไม่ก็ซื้อของเท่านั้นเอง)
การเดินทางครั้งนี้เป็นหนี้บุญคุณบริษัทบัตรเครดิตค่ะ (หรือก็ต้องบอกว่าตัวเรานั่นแหละที่ใช้เงินจนสะสมแต้มจนแลกตั๋วเครื่องบิน ได้) และด้วยความงกไม่อยากจ่ายค่าโรงแรม ประกอบกับวันหยุดวันลาก็ใช้หมดแล้ว (ไปกับทริปที่จะไปอเมริกาช่วงเมษายน และกรกฎาคมนี้) แม็กซ์จึงตัดสินใจเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งเราไม่แนะนำให้ใครทำตามนะคะ ยกเว้นว่าคุณจะมั่นใจพอว่าตัวเองต้องการไปทำอะไรที่นั่น เพราะคุณจะเสียเวลาแม้แต่หนึ่งนาทีไม่ได้เลย
แม็กซ์โดยสารเครื่องบินสายการบินไทยที่มีตารางออกบินเวลา 8 โมงเช้า แต่เมื่อเหลือบดูนาฬิกาเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เครื่องก็ยังจอดอยู่ที่สนามบิน และนั่นเป็นเหตุผลที่แม็กซ์ไปถึงสิงคโปร์ช้ากว่ากำหนดเกือบสิบห้านาที เที่ยวบินขาไปไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหรอกค่ะ ยกเว้นว่าเขาไม่ยอมเข็นรถน้ำมาเสิร์ฟ ได้แต่ยกแก้วน้ำเปล่ากับน้ำส้มออกมาให้เลือกดื่มกัน ซึ่งก็โอเคนะคะ (แต่เรายังอยากกินน้ำอัดลมอยู่บ้าน แต่ด้วยความง่วงก็เลยขี้เกียจขอจากแอร์โดยตรง)
เมื่อไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง แม็กซ์ก็เจอคำถามว่า พักอยู่ที่ไหนระหว่างที่อยู่ในสิงคโปร์ เราก็งงไปชั่วครู่ เพราะในอดีตถึงจะเคยมาสิงคโปร์ชนิดเช้าเย็นกลับแล้ว แต่เป็นเรื่องงาน ดังนั้นแม็กซ์จะลงที่อยู่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่สิงคโปร์เป็นที่อยู่ แต่คราวนี้มาเรื่องส่วนตัว แถมยังต้องร่อนเร่ไปหลายที่อีก เราก็เลยเขียนไม่ถูก แต่ทางตม.สิงคโปร์ก็ยังคาดคั้น สุดท้ายแม็กซ์ก็เลยตอบชื่อช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่เราจะไปกับเขา ก็เลยถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามนิดนึง (ว่าฟุ้งเฟ้อไปไหม แต่อย่างที่แม็กซ์เคยบอกนะคะ เราได้ตั๋วมาฟรีน่ะค่ะ)
พอหลุดจากตม.มาแล้ว แม็กซ์ก็ออกจากสนามบินโดยอาศัยรถไฟฟ้าหรือที่เรียกกันว่า SMRT เพราะเป็นการเข้าเมืองที่ราคาถูกที่สุด ด้วยราคาเพียง 1.80 เหรียญ แม็กซ์ก็เดินทางไปยังสถานีที่ชื่อว่า City Hall ซึ่งเป็นทางออกที่ใกล้ที่สุดกับร้านหนังสือจุดแรกที่เราจะแวะไป
ร้านหนังสือที่แม็กซ์ไปเยี่ยมไม่ได้อยู่ตรงสถานีหรอกนะคะ ต้องมีการเดินนิดหน่อย แต่สำหรับนักเดินทางที่ต้องประหยัดทุกอย่าง (เพื่อหาเงินมาซื้อหนังสือ) มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จุดหมายปลายทางมีชื่อว่า Bras Basah Complex ซึ่งแม็กซ์ขอบอก (ตามความเห็นของตัวเอง) ว่าเป็นแหล่งขายหนังสือที่ถูกที่สุดในสิงคโปร์แล้ว ที่นั่นหนังสือมีสภาพไม่ค่อยดีหรอกนะคะ แต่จะถูกมาก และแถมถ้าตาดีก็อาจจะเจอหนังสือที่คุณคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีวันได้เจอ และแม็กซ์ก็เจอค่ะ
แม็กซ์เลือกแวะร้านหนังสือไล่ตามระดับราคาค่ะ โดยจะเริ่มจากร้านที่ขายถูกที่สุดก่อน ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ชั้นล่างสุดของคอมเพล็กซ์แห่งนี้ แม็กซ์ไม่เคยจำชื่อร้่านนะคะ รู้แต่ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง ร้านนี้จะขายหนังสือในราคาถูกมาก (ประมาณหนึ่งเหรียญ) แต่สภาพก็สมราคานะคะ ข้อดีคือ คุณจะได้พบกับหนังสือเก่า ๆ หายากหลายเล่ม ครั้งนี้เราไม่ได้เจออะไรสำหรับตัวเองหรอกค่ะ แต่มีหลายเล่มทีเดียวล่ะ ที่เราคิดว่าเพื่อนหลายคนของเราอาจจะกำลังมองหาอยู่
หลังจากแวะร้านนี้เสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปที่ชั้นสามแวะที่ร้าน Knowledge Book ซึ่งร้านนี้เดินยากนิดนึง เพราะมีร้าน Knowledge book อยู่ทั้งหมดสามร้านในชั้นเดียวกัน เรายังไม่ถึงกับสนิทกับคนขายขนาดจะถามว่า ทั้งสามร้านนี้เกี่ยวข้องกันยังไง แต่หนึ่งในสามร้านนั้นมีหนังสือโรแมนซ์ที่เยอะใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญคนขายเป็นมิตรมาก แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่ค่อยโรแมนซ์เฟรนลี่เท่าไหรก็ตาม (เป็นผู้ชายค่ะ)
หนังสือของร้านนี้จะแพงขึ้นมาหน่อยนึง (ประมาณหนึ่งถึงห้าเหรียญ) แต่ถ้าเลือกจ่ายเงินกับคนขายหนุ่ม (มีสองคนค่ะ คนหนุ่มซึ่งดูท่าว่าจะเป็นเจ้าของร้าน กับคนแก่กว่าที่ท่าทางจะเป็นเพื่อนมาช่วยกันขาย) ก็อาจจะมีการลดราคาพิเศษให้บ้าง แล้วแต่รอยยิ้มที่มอบให้คนขายนะคะ และที่ร้านนี้แหละค่ะที่แม็กซ์ได้เจอหนังสือหายากโคตร ๆ เล่มนึง ซึ่งก็คือเรื่อง Love Come to me ของลิซ่า เคลย์แพส (ในราคาสองเหรียญ) ตอนแรกก็ซื้ออยู่ไม่กี่เล่มหรอกนะคะ (ราคาเบ็ดเสร็จยี่สิบหกเหรียญ) แต่พอเดินออกจากร้าน สายตาเหลือบไปเห็นกองหนังสือแนวฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นเก่ามากที่ขายในราคาเล่มละหนึ่งเหรียญ เราก็เลยตัดสินใจคุ้ย และพบว่ามีงานของซาร่า วู้ดซึ่งเป็นนักเขียนเพรสเซ่นไม่กี่คนที่แม็กซ์ติดตามอ่าน อยู่เยอะเหมือนกัน ก็เลยกลับเข้าไปในร้านอีกรอบ ยิ้มอาย ๆ ให้คนขาย (เผื่อเขาจะลดราคาให้อีกรอบ) แม็กซ์เอาเป้ไปหนึ่งใบ กับถุงพลาสติกใบขนาดกลางที่พับเอาไว้ในเป้ ตอนนี้ของเต็มเป้าแล้วค่ะ แต่ยังไม่กล้าเอาถุงพลาสติกออกมากางน่ะ (ยังอายชาวบ้านอยู่บ้าง)
เสร็จจากร้าน Knowlege Book แล้ว แม็กซ์ก็เดินไปดูหนังสือที่อีกร้านนึง ซึ่งชื่อว่า Knowledge book เช่นกัน แต่ร้านนี้หนังสือเก่ากว่าและน้อยกว่าค่ะ แต่แม็กซ์ก็ยังได้ของอยู่ดีแหละ
เรียบร้อยจากชั้นสาม แม็กซ์ก็ลงบันไดไปชั้นสองเพื่อแวะร้าน Pro Saint Book ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่แม็กซ์ใช้บริการกันมานาน คำทักทายแรกจากเจ้าของร้านซึ่งเป็นลุงกะป้าสองสามีภรรยาทำให้แม็กซ์ปลื้มใจ มาก ๆ ก็คือ "ปีนี้ หนูแวะมาสิงคโปร์"
นั่นก็เพราะว่าเมื่อปีก่อนแม็กซ์ไม่ได้แวะไปที่ร้านนี้เลย แต่เขายังจำเราได้ ปลื้มมากเลยค่ะ แถมตอนที่เข้าไปมีลูกค้ากำลังนั่งคุยกับลุงและป้าอยู่ แม็กซ์จึงเสนอหน้าสวมรอยเข้าไปคุยกับเขาอย่างหนิดหนมอีกต่างหาก ด้วยความที่คอโรแมนซ์เหมือนกัน เราเลยเสียเวลาที่ร้านนี้ไปเยอะพอควรเลย (เพราะมัวแต่เม้าส์)
ทำให้มีเวลาแวะไปที่ร้านอื่นน้อยลงค่ะ เราใช้เวลาที่ Bras Basah Complex สี่ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าที่ตั้งใจไปชั่วโมงนึง ขากลับก็เดินกลับไปที่สถานี City Hall อีกครั้ง แต่ก่อนจะลงรถไฟฟ้า แม็กซ์แวะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่แถวสถานีนั้นเพื่อซื้ออาหารโปรดของเรา (ซึ่งคิดว่าหลายคนน่าจะเดาได้ว่าเป็นอะไรนะคะ) ส่งผลให้น้ำหนักของของที่แบกหนักขึ้นไปอีก
จากสถานี City Hall แม็กซ์มุ่งหน้าเข้าเมืองไปอีก ลงที่สถานที Orchard เพื่อเดินต่อไปยังถนนสก๊อต และแวะที่ Far East Plaza ซึ่งเป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมาบุญครองที่มีร้านค้า หลากหลายอย่าง ร้านที่แม็กซ์แวะไปก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากร้านหนังสือ ซึ่งแม็กซ์ขอยืนยันว่าเป็นร้านที่ดีที่สุดในสิงคโปร์แล้วล่ะ
ร้านที่มีชื่อว่า Sunny Bookshop ที่เป็นสวรรค์ของคนรักหนังสือ แม็กซ์ยังจำได้ตอนครั้งแรกที่เราเจอร้านนี้ เราอายุสิบหก และไม่เคยเจอร้านไหนที่ขายหนังสือภาษาอังกฤษเยอะขนาดนี้
ขออธิบายลักษณะของร้านมือสองในสิงคโปร์ให้ฟังกันหน่อยแล้วกันนะคะ ที่นั่นไม่มีร้านหนังสือเช่า แม็กซ์ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับกฎหมายรึเปล่านะคะ เพราะการเช่าหนังสือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในหลายประเทศ เพราะมันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในรูปแบบนึง แต่ร้านมือสองที่สิงคโปร์จะขายหนังสือมือหนึ่งและมือสอง โดยมีการกำหนดราคารับซื้อคืนเอาไว้ ถ้าคุณเอาหนังสือมาขายคืนภายในกำหนด คุณก็จะได้เครดิตตามเงินที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งคุณสามารถเอามาใช้ในการซื้อหนังสือในครั้งต่อไปได้
ร้านซันนี่เป็นสวรรค์ของแม็กซ์นะคะ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นสะสมหนังสือภาษาอังกฤษ หรือตามหางานของนักเขียนบางคนเป็นพิเศษ แม็กซ์แนะนำร้านนี้เลยนะคะ เพราะว่ามีเกือบทุกอย่าง คนขายมีความรู้เรื่องหนังสือดีมาก ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นพิเศษ ขอให้คนขายแนะนำก็ได้นะคะ แม็กซ์เคยใช้วิธีนี้หลายครั้ง และทำให้เราค้นพบนักเขียนดี ๆ เยอะมาก
แต่คราวนี้แม็กซ์ไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะตอนนี้แม็กซ์ไม่ได้อยู่ในภาวะที่ตามเก็บงานของนักเขียนคนไหน เป็นพิเศษแล้ว เราก็เลยแค่เดินดู แล้วพูดคุยกับคนขายเพื่อทบทวนอดีตกันเท่านั้น (และนี่เป็นอีกที่นึงที่ยังจำเราได้)
เสร็จจากที่นี่แม็กซ์ก็มุ่งหน้าไปยังร้านสุดท้ายในลิสต์ที่ตั้งใจไป นั่นก็คือร้านหนังสือบอร์เดอร์ ซึ่งเป็นร้านในเครือหนังสือจากอเมริกา ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ สถานี Orchard ค่ะ เพียงแค่ข้ามถนนไปหน่อยก็เจอแล้ว ร้านบอร์เดอร์แห่งนี้ราคาแพงค่ะ เพราะเป็นหนังสือใหม่ และเมื่อคิดว่าราคาหนังสือใหม่ในสิงคโปร์แพงกว่าเมืองไทยมาก ลองเทียบกันดูนะคะ เรื่อง Men of the otherworld ขายเมืองไทยราคาเล่มละ 755 บาท แถมได้ลดอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ร้านบอร์เดอร์ขายในราคา 40.99 เหรียญสิงคโปร์ (หรือประมาณเกือบพันบาทค่ะ)
ข้อดีของร้านนี้ก็คือ จะมีหนังสือใหม่ ๆ ออกขาย และแม็กซ์ก็เจอกับเล่มที่ตามหาหลายเล่ม แต่ไม่ได้เอามาทุกเล่มหรอกค่ะ เพราะราคาแพงกว่าเมืองไทย แถมบางเล่มเรายังสั่งซื้อที่ร้านคิโนะในเมืองไทยเอาไว้แล้ว ก็เลยตัดใจไม่เอามา (แต่ไม่รู้ว่าเมืองไทยเมื่อไหรจะมานะคะ)
เสร็จสิ้นจากร้านนี้ก็ได้เวลาหกโมงเย็นพอดี เราจึงมุ่งหน้ากลับไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อขึ้นรถต่อกลับไปยังสนามบิน
คล้าย ๆ กับขามานะคะที่ไม่ค่อยยุ่งยากอะไร แต่ขณะกำลังนั่งรอขึ้นเครื่อง สายตาเราก็เหลือบไปเห็นดาราฮอลีวู้ดดัง แต่ไม่ใช่ดาราดังในยุคนี้หรอกนะคะ เธอคือ Lauren Bacall (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เพื่อนหลายคนของแม็กซ์ไม่รู้จักเธอ) แม็กซ์เกิดอาการ star-struck ไปพักใหญ่ อยากจะเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยนะคะ แต่ก็เกรงใจ เพราะคิดว่าเธอคงไม่ต้องการให้คนเข้าไปรบกวน
การได้เจอกับลอเรนไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่แม็กซ์เกริ่นไว้ตอนเริ่มบลอก หรอกนคะ แต่เป็นตอนที่เครื่องบินลงต่างหากที่เรื่องน่าตื่นเต้นนี้เกิดขึ้น เมื่อผู้โดยสาวผู้หญิงที่นั่งข้างหน้าแม็กซ์เกิดเป็นลมล้มสลบลงมา แต่ก็กลายเป็นฝรั่งสองคนที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลยที่เป็นคนช่วย เหลือ ในขณะที่ผู้ชายซึ่งเดินทางมาพร้อมกับเธอ (แม็กซ์ไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน) ยืนมองเฉย ๆ แม็กซ์รับหน้าที่วิ่งไปตามแอร์โฮสเตส
ไม่รู้นะคะว่า สุดท้ายแล้วเธอคนนั้นเป็นยังไงบ้าง เพราะมีคนเข้าไปช่วย แล้วเอาเครื่องช่วยหายใจเข้าไป แต่แม็กซ์ถูกขอให้ออกจากเครื่องบิน
โดยรวมการเดินทางเป็นไปอย่างสวัสดิภาพค่ะ มีตอนกลับนี่แหละที่เจอปัญหางี่เง่ากับสนามบิน เพราะรถเข็นหายไปหมดสนามบินค่ะ โชคดีที่เราไม่ได้แบกกระเป๋าใหญ่โตอะไร ก็เลยลากกันออกมาได้ ในขณะที่เดินไปที่ลานจอดรถ เราก็ได้พบกับรถเข็นจอดทิ้งเต็มไปหมด ในขณะที่พนักงานยืนถือว.กันเฉย ๆ เต็มสนามบิน ไม่มีใครคิดจะมาเก็บรถเข็นกันแม้แต่คนเดียว
กลับมาบ้านก็นอนไปจนถึงเที่ยงวันเลยค่ะ
สำหรับแฟนหนังสือ ถ้าอ่านภาษาอังกฤษกันนะคะ แนะนำให้ลองไปสิงคโปร์เพื่อซื้อหนังสือกันดูบ้างนะคะ เพราะสำหรับเรา แม้จะเหนื่อย แต่ก็เป็นความสุขอย่างนึงในชีวิต
No comments:
Post a Comment