Sunday, October 6, 2013

Review: That Thing Called Love


That Thing Called Love
That Thing Called Love by Susan Andersen

My rating: 3 of 5 stars





เราอ่านเล่มนี้จบไปพักใหญ่แล้วล่ะค่ะ แต่เรื่องไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากพอที่จะเขียนถึง (คงมีคำถามต่อว่า แล้วเขียนทำไม คำตอบก็เหมือนเดิมค่ะ ถ้าไม่เขียน อีกหน่อยก็คงจะลืม แล้วจะกลายเป็นการอ่านที่เสียเวลาในชีวิตไป) ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ๆ นะคะ เพราะเราชอบงานเขียนของซูซาน แอนเดอร์เซนมาก เคยมีอยู่ช่วงนึงที่เราถึงกับรอคอยงานเล่มใหม่ของเธอแบบใจจดจ่อ แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต

เราไม่แน่ใจนะคะว่า ปัญหามาจากการที่เธอพยายามจะเขียนเรื่องรักในเมืองเล็กตามสมัยนิยม ซึ่งสำหรับเราแล้ว ไม่ใช่แนวถนัดของเธอ เราชอบเรื่องแนวโรแมนติกสืบสวนของเธอมากกว่า ทำให้พออ่านเรื่องนี้ ก็เลยรู้สึกว่า เรื่องราบเรียบ และคาแร็คเตอร์ก็ไม่ได้โดดเด่นพอที่จะทำให้หนังสือทั้งเล่มมีความน่าสนใจได้

That Thing Called Love ของซูซาน แอนเดอร์เซน

เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุดเรเซอร์ เบย์ ซึ่งเป็นชื่อเมืองเล็ก ๆ ในแถบอเมริกาตะวันตกเฉียงเหนือ (แถวรัฐวอชิงตัน) เรื่องราวของคนในเมือง ชีวิตของพวกเขา

เล่มแรกเป็นเรื่องของนักถ่ายภาพผู้ประสบความสำเร็จ เจค แบรดชอว์ผู้ใช้ชีวิตหลายปีห่างเหินจากออสติน ลูกชาย เขาทอดทิ้งเด็กน้อยไปหลังจากที่มารดา และภรรยาของเขาเสียชีวิต เจคไล่ตามความฝัน เริ่มต้นจากการเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นก็เริ่มต้นอาชีพการเป็นช่างภาพ เจคประสบความสำเร็จในวิชาชีพ แต่ล้มเหลวในฐานะของความเป็นพ่อ แต่เมื่อตาและยายของออสตินเสียชีวิตไป เด็กชายก็เหลือแค่เขาเพียงคนเดียว เมื่อได้ข่าว (ซึ่งก็หลังจากนั้นหลายเดือน) เจคตัดสินใจเดินทางกลับมาบ้านเกิด และพบหน้ากับลูกชายเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่เคยเห็นกันเลยสิบกว่าปี

แต่ออสตินไม่ต้องการเขา ตอนนี้เด็กชายใช้ชีวิตกับเจนนี ซาลาซาร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงแรมที่ตาและยายของออสตินเป็นเจ้าของ เจนนีซึ่งดูแลออสตินมาตั้งแต่เด็ก ๆ สนิทสนมกับเด็กชายคนนี้ยิ่งนัก และเมื่อพ่อที่ห่างเหินเดินกลับเข้ามาในชีวิต เจนนีไม่ไว้ใจ และไม่ต้องการให้ออสตินต้องเจ็บปวดอีก หากเจคไม่คิดที่จะทำหน้าที่ของพ่ออย่างจริงจัง

ความสัมพันธ์ระหว่างเจคและเจนนีจึงเริ่มต้นอย่างไม่ค่อยสวยงามนัก หญิงสาวหวาดระแวง และโกรธเมื่อเจคแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า จะพาออสตินไปอยู่ที่นิวยอร์คกับเขา แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิในตัวเด็กชาย แต่เธอก็รักเขาเหมือนลูกของตัวเอง เจนนีจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไปรอด ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้แน่ใจว่า เจคพร้อมแล้วที่จะรับบทบาทของบิดา ไม่คิดจะเดินออกไปจากชีวิตของออสตินอีกรอบ

โดยรวมแล้วเรื่องนี้เขียนได้ค่อนข้างดีนะคะ และถ้าคนแต่งเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ซูซาน แอนเดอร์เซน เราอาจจะให้คะแนนมากกว่านี้ แต่เพราะเรามีความคาดหวังในงานของเขียนซูซานมากกว่าคนอื่น ทำให้มาตรฐานที่เราใช้วัดงานเขียนของเธอจึงสูงตามไปด้วย ว่าไปแล้วเรื่องนี้มีครบทุกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกที่ห่างเหินกันไปนาน เราชอบเหตุผลที่คนแต่งใช้อธิบายการที่เจคตัดสินใจทิ้งออสตินไปตั้งแต่เขายังเด็ก ๆ เราชอบ (สปอยล์) การที่มีมุมมองสองด้านเกี่ยวกับตาและยายของออสติน ที่ด้านนึงพวกเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ช่วยเหลือเจนนีในยามที่เธอต้องการคนดูแล แต่อีกด้านก็คือคนที่โกรธแค้นเจคที่ทำให้ลูกสาวของเขาตาย (เพราะทำให้เธอท้อง จนไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย) เลยทำให้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อกีดกันเจคออกจากชีวิตของลูกชายเขา จริงอยู่มันไม่อาจแก้ตัวแทนการกระทำของเจคได้ทั้งหมด แต่เรื่องก็ทำให้พอเข้าใจได้ สำหรับเด็กหนุ่มที่มีความฝัน การที่ต้องถูกผูกติดกับเด็กทารก มันเป็นอนาคตที่เจคมองไม่เห็น และต้องการหาทางออก ซึ่งเมื่อเขาได้รับข้อเสนอจากพ่อแม่ของภรรยาที่เสียชีวิตไปว่าจะดูแลลูกชายให้ เขาจึงตะครุบมันไว้ มันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว และในระหว่างเรื่อง เจคต้องชดใช้กับมัน แต่ก็เข้าใจได้

เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างเจค และพี่ชายคนละแม่ของเขา (คิดว่า น่าจะเป็นว่าที่พระเอกเล่มต่อไป) เราชอบการเขียนความสัมพันธ์ของผู้ชายของซูซาน ดูแล้วสมจริงดี (เรามองในมุมมองของผู้หญิงที่ไม่มีพี่น้องผู้ชายนะคะ สมจริงอย่างที่เราคิด แต่ไม่รู้ว่า สมจริงในความเป็นจริงไหม)

ข้อด้อยในเรื่องที่เรารู้สึกก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอก ที่เราว่าเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ไปหน่อย แต่มันก็เข้ากับเนื้อเรื่องดีนะคะ เพียงแต่ไม่โดนใจของเราเท่านั้นเอง (และเมื่อเทียบกับเรื่องรักในเมืองเล็กของนอรา โรเบิร์ตส์ที่เราเพิ่งอ่านจบ มันก็เห็นได้ชัดเจน) เราไม่รู้สึกถึงความต่อเชื่อม ความโหยหา ความรักที่พระนางมีให้กัน อาจจะไม่ถึงขนาดว่า ทั้งคู่เป็นคนแปลกหน้า แต่เราไม่อาจสัมผัสได้ถึงความปรารถนา (ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์) อย่างชัดเจน

เราคงอยากเห็นซูซาน แอนเดอร์เซนกลับมาเขียนเรื่องแนวโรแมนติคสืบสวนอีกน่ะค่ะ

คะแนนที่ 67




View all my reviews

No comments: