Friday, February 13, 2009

Entangled // Kathleen Dante

นี่เป็นชื่อหนังสือจริงนะคะ ไม่ได้คิดขึ้นเอง แปลมาจากภาษาอังกฤษคำว่า "Entangled" ซึ่งเป็นหนังสือเล่มยาวเรื่องแรกของเคธลีน ดังเต้

เราใช้เวลาอ่านเรื่องนี้นานนนนมาก ไม่ใช่เพราะไม่สนุกแต่เพราะชีวิตยุ่งมาก ในที่สุดก็อ่านจบจนได้เมื่อกลับมาเมืองไทย

หนังสือที่เป็นแนวอีโรติกโรแมนซ์ (มิตรรักแฟนบอร์ดทั้งหลายคนสังเกตว่า ระยะหลังนี่แม็กซ์มันอ่านแนวโป๊นี่บ่อยจัง แม็กซ์ก็คิดเหมือนกัน ว่าพักนี้อารมณ์มันหื่นพิกล)

ชอบคำจำกัดความของคุณดีดีที่ว่า "Porn with a romance plot" ในการจำกัดความหมายของหนังสือแนวอีโรติกโรแมนซ์

เรื่องนี้แม็กซ์ชอบแม้ว่าพล็อตจะอ่อน ซึ่งขัดต่อหลักการของตัวเองมาก แต่บางครั้งคุณก็ไม่มีเหตุผลในสิ่งที่ชอบจริงไหม

เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกที่ยอมรับการมีอยู่จริงของเวทมนตร์ และด้วยเหตุผลที่หนังสือเรื่องนี้เป็นอีโรติกโรแมนซ์ทำให้ไม่มีการบรรยายโลก ให้เราเห็นความเป็นไปมากนัก ไม่มีการพูดถึงเบื้องหลังของเรื่อง คนอ่านมีความรู้สึกเหมือนเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แต่พบว่าฉายไปแล้วครึ่ง เรื่อง

จอห์น แอตแลนติส (ชอบนามสกุลพระเอกจัง) เป็นอเด็ป ซึ่งเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษทางเวทมนตร์ แต่อเด็ปทำอะไรได้บ้างนั้นในเรื่องไม่มีการพูดถึงอย่างชัดเจน ส่วนนางเอกเคียร่าเป็นฮีลเลอร์ที่มีความสามารถในการรักษาพยาบาล (ไม่เข้าใจว่าทำไมนางเอกต้องเป็นนางพยาบาลทุกที)

พระเอกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยที่ถูกนางเอกจ้างให้มาสืบหา คนทรยศเอาความลับในบริษัทที่เธอเป็นเจ้าของไปขาย แต่เพราะเธอไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงการสอบสวนของพระเอก ทั้งสองจึงต้องเสแสร้งเล่นละครเป็นคู่รักกัน

ในด้านหนึ่งเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงเรื่องภรรยาของโร้กของเบเวอร์ลี่ บาร์ตันมาก (ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังสือในดวงใจของแม็กซ์เลย) แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ร้อนแรงกว่ามาก ความลงตัวอาจจะไม่เท่า แต่เมื่อคิดว่านี่เป็นงานเรื่องยาวเล่มแรกของดังเต้ แม็กซ์ก็ถือว่าสอบผ่าน

สรุปสั้น ๆ ว่าชอบแล้วกัน แต่ไม่แนะนำให้ใครอ่าน เพราะแม็กซ์ว่าเราชอบเรื่องนี้เพราะมันโดนใจแม็กซ์ในบางอย่าง (ที่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าเพราะอะไร) แต่กะคนอื่นนี่ ไม่แน่

กลับมาพูดเรื่องหนุ่มญี่ปุ่นที่เจอ อันที่จริงไม่ได้หล่ออะไรมากหรอก หน้าตาก็ญี่ปุ่นที่เห็นได้ทั่วไป อายุมากหน่อยตามสเป๊กของแม็กซ์ คนอื่นอาจเห็นเป็นข้อเสีย แต่แม็กซ์นึกถึงจอร์จ คลูนี่ย์ แต่เหตุผลที่ปิ๊งก็เป็นที่เก่งนี่แหละ

ทำให้การประชุมอันแสนน่าเบื่อมีสีสันขึ้นมาบ้าง

ส่วนญี่ปุ่นเหรอ ไม่มีอะไรมาพูดถึงเลย เพราะไปงวดนี้เห็นแค่ทิวทัศน์จากหน้าต่างโรงแรมนี่เอง ส่วนหน้าต่างห้องประชุมก็ไม่ได้เห็นด้วยซ้ำ เพราะตำแหน่งมันเล็กอ่ะ ไม่ได้นั่งด้านติดหน้าต่าง ต้องมานั่งด้านติดกะกำแพงแทน

ที่สำคัญแบ็ตโทรศัพท์ก็ด้นมาหมดอีก ที่แสบกว่าคือลืมเอาที่ชาร์ตไป ทำให้ใบ้กิน โน้ตบุ๊คก็ดันไม่หิ้วติดตัวไปทำให้ขาดการติดต่อกะโลกภายนอก จะให้ไปเล่นอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ค่าเบื้ยเลี้ยงก็น้อยนิด เสียดายเงินค่ะ

อยู่โตเกียวก็เลยเหมือนอยู่ต่างจังหวัดในประเทศไทย

No comments: