Tuesday, February 10, 2009

The Art of Seduction // Kathleen O'Neal

ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านเรื่องนี้มันผสมกันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันผสมกันยังไงก็ไม่เข้ากันสักที เริ่มแรกก็คงเป็นความรู้สึกอยากอ่าน เพราะพล็อตเรื่องเด็ดมาก

เมื่อเมสันศิลปินตกยากได้รับการตอบปฏิเสธจากคณะกรรมการไม่ให้เธอนำผลงานเข้า ร่วมแสดงในงานเทศกาลศิลปะ เธอก็เหมือนเจอทางตัน เพราะหลังจากให้เวลากว่าห้าปีในปารีส หลังจากเดินทางมาถึงที่นี่จากบ้านเกิดในอเมริกาของเธอ เมสันก็ยังไม่พบกับความสำเร็จที่คาดหวัง และขณะยืนดูแม่น้ำอย่างเหนื่อยหน่าย หญิงสาวอีกคนก็กระโดดลงไปในแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย เธอก็รีบกระโดดลงตามไปเพื่อช่วยชีวิตหญิงผู้นั้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการหลอกลวงอันยิ่งใหญ่

The Art of Seduction ของแคธเทอลีน โอนีลพูดถึงทฤษฎีที่หลายคนเชื่อ นั่นก็คือ ศิลปินจะไม่ได้รับประโยชน์จากงานของตนเอง เพราะพวกเขาจะต้องตายเสียก่อนที่ผลงานของตัวเองจะดัง และเมื่อเมสันซึ่งถูกน้ำพัดออกห่างไปจากปารีส กลับมาถึงเมืองแห่งนี้ เธอก็พบว่า ตัวเอง หรือตัวตนที่ถูกเข้าใจว่าตายไปแล้วของเธอกลายเป็นศิลปินดัง ที่ผู้คนให้ความสนใจชนิดที่เธอเองไม่เคยได้รับมาก่อนในยามที่ทุกคนเชื่อว่า เธอมีชีวิตอยู่

เมสันเล่นละครเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความโด่งดังนั้น โดยการปลอมตัวเป็นน้องสาวของตนเองเพื่อขายงานที่มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน และเธอก็ได้พบกับริชาร์ด บุรุษหนุ่มผู้ลึกลับคนที่หลงใหลงานศิลปะของเธอ มากยิ่งกว่าตัวเธอเอง

ช่วงเริ่มต้นของเรื่องนี้น่าอ่านและน่าติดตามมาก ดัวยพล็อตเรื่องที่สร้างสรรน่าสนใจ ก่อนจะถึงช่วงอันแสนน่าเบื่อ เมื่อริชาร์ดที่หลงใหลงานศิลปะของเมสันพาตัวเข้ามาสนิทชิดเชื้อกับน้องสาว ของศิลปินที่เขาชื่นชอบ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งสองคือคนคนเดียวกัน เรื่องราวช่วงนี้น่าเบื่อมาก จนแม็กซ์กำลังจะเลิกอ่านไปแล้ว เรื่องก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เมื่อเมสันรู้ข่าวว่าแท้จริงแล้วริชาร์ดเป็นนักสืบที่เชี่ยวชาญในการตาม จับอาชญากรรมเกี่ยวกับศิลปะ และการที่เธอปลอมแปลงการตายของตัวเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในอาชญากรรมนั้น ความหวาดระแวงเริ่มแทรกซึมเข้ามาในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และนี่ทำให้เรื่องราวกลับมาสนุกอีกรอบ

แล้วก็กลับน่าเบื่ออีกเมื่อทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ เรื่องราวที่ตามมาก็คือการพร่ำบอกรักอันน่าเบื่อ และแน่ละแม็กซ์ก็กำลังจะเลิกอ่าน ตอนที่มันกลับมาสนุกอีกรอบ

คงพอเข้าใจความรู้สึกของแม็กซ์นะคะ ว่ามันปั่นป่วนแค่ไหนกับหนังสือเรื่องนี้ จะเลิกอ่านก็เลิกไม่ได้ เพราะดันสนุกขึ้นมา แต่ก็สนุกได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง

สุดท้ายก็คงให้คะแนนในระดับปานกลาง เพราะความสนุกมันวิ่งขึ้นวิ่งลงเหมือนคลื่น จุดครึ่งกลางก็เลยอยู่ตรงกลางพอดี

No comments: