Saturday, February 7, 2009

จับอีกแล้วจ้า

ด้วยสันดานยุ่งเรื่องชาวบ้านก็ชักนำให้แม็กซ์ ไปเปิดอ่านคำนำในหนังสือของสนพ.หนึ่งที่แม็กซ์ไม่เคยคิดที่จะซื้อเขามาอ่าน หรอก (แต่เพราะยุ่งเรื่องชาวบ้านไง ไม่ซื้อก็ยังขอไปเปิดเขามาอ่านอีก) ทำให้เกิดแรงบันดาลใจประหลาดอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา

แม็กซ์คิดว่าคนที่อ่านบลอกส่วนใหญ่คนรู้จัก แม็กซ์เป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ด้วยแรงบันดาลใจของคำนำหนังสือที่ได้อ่านทำให้แม็กซ์เกิดอาการคันอยาก เล่าบ้าง

เรื่องอะไรน่ะเหรอ

ก็เรื่องส่วนตัวของแม็กซ์ไง

แม็กซ์ไม่เข้าใจนะว่า ประวัติการศึกษาหรือประวัติการทำงานมันเกี่ยวอะไรกับคุณภาพของหนังสือ หรือในกรณีนี้คุณภาพของบลอกที่แม็กซ์เขียน แต่ไหน ๆ แล้วก็ทนอ่านกันหน่อยแล้วกัน

แม็กซ์เข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 16 ปี (ไม่ได้เลียนแบบนะคะ แต่เอ็นทรานซ์ติดตอนม.4) ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ และที่เข้าบัญชีไม่ใช่เพราะว่าเข้าหมอหรือวิศวะไม่ได้หรอกนะ แม็กซ์ไม่เลือกต่างหาก และเพราะเป็นการประจานความเก่งให้ชาวบ้านรู้กันทั่ว แม็กซ์สอบตรงติดหมอ ม.มหิดลด้วยนะ แต่ไม่ไปสอบสัมภาษณ์ และด้วยวัย 19 ปี (เหมือนเขาอีกแล้ว) ก็เรียนจบ แถมพกมาด้วยเหรียญทอง 3 เหรียญ (ในฐานะที่หนึ่งของคณะประจำชั้นปีที่ 1 3) และทุนภูมิพล ซึ่งคนที่จบธรรมศาสตร์ก็คงพอจะรู้ว่าแปลว่าอะไรนะคะ ดังนั้นคงไม่ต้องบอกว่าได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นด้วยวัยยี่สิบปี แม็กซ์ก็สอบเข้าเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจของธรรมศาสตร์ได้ แต่ด้วยหลักสูตรต้องเรียนสามปี ทำให้อายุเยอะไปสักหน่อยก่อนที่จะจบปริญญาโท ด้วยวัยยี่สิบสามปี แม็กซ์ไม่ได้เกียรตินิยม แต่นั่นก็เพียงเพราะว่าไม่มีเกียรตินิยมแจกแก่นักศึกษาปริญญาโท แต่ขอบอกสั้น ๆ เพื่อยืนยันความเก่งว่า แม็กซ์เรียนตลอดสามปีได้เกรดแค่ตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น และมันไม่ใช่ บี ซี ดี หรือ เอฟ

แต่ยังไม่ทันจะจบปริญญาโทที่เมืองไทยดีเลย แม็กซ์ก็สอบได้ทุนรัฐบาลไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แม็กซ์เลือกมหาวิทยาลัยที่อาจารย์บอกว่า ดีที่สุดสำหรับสาขาที่ไปเรียน นั่นก็คือ UNC ที่ Chapel Hill แม็กซ์ใช้เวลาปีครึ่งจบปริญญาโทสองใบ พร้อมด้วยติดประกาศเกียรติคุณเรียนดีของคณะบดี หรือที่เรียกกันว่า Deans List แม็กซ์ได้ทุนฝึกงานจาก SEC หรือ เทียบได้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของเมืองไทย ก็เลยอยู่ต่ออีกปีกว่า ก่อนจะกลับมาเมืองไทยทำงานใช้ทุน จากนั้นก็มาเรียนต่อปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกใบ คราวนี้อาจเพราะอายุเยอะก็เลยไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ก็เข้าแถวรับปริญญาเป็นอันดับหนึ่งในห้าของคณะ

อ้อแล้วแม็กซ์บอกรึยังว่าแม็กซ์เป็น CPA ของทั้งเมืองไทย และอเมริกา (ที่รัฐนอร์ท คาโรไลน่า) รวมทั้งเป็น CFA ของรัฐแม็ทซาชูเซ็ท

พูดเรื่องตัวเองมาตั้งเยอะ คำถามก็คือ

คุณเชื่อแม็กซ์ได้แค่ไหนว่าสิ่งที่แม็กซ์เขียนมาซะยืดยาวนี่เป็นความจริง เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันได้สักอย่าง

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ไอ้ประวัตินี่มันสำคัญยังไง มันบ่งบอกถึงนิสัยใจคอของแม็กซ์หรือไง มันบ่งบอกความเป็นคนขวางโลกหรือใจแคบของแม็กซ์ไหม หรือมันเป็นเครื่องรับประกันว่า คุณอ่านบลอกของแม็กซ์แล้วจะทำให้ดวงตาเบิกกว้างเห็นธรรมในชั่วอึดใจ

มันไม่ได้บอกอะไรเลย นอกจากความเป็นคนหลงตัวเอง การที่คุณเรียนเก่ง เข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี แน่ละแสดงความเก่งของคุณ แต่ในอีกทางนึงก็เป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะที่ต่ำของคุณด้วยเมื่อเปรียบเทียบ กับเพื่อนร่วมชั้นด้วยเช่นกัน สำหรับบางคน เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยอาจทำให้ช่องว่างระหว่างวัยนี้หายไปได้ แต่สำหรับบางคน มันไม่เคยหายไป และที่สำคัญคุณเสียเวลาที่มีค่าที่ควรจะได้สนุกกับเพื่อนในม. 6 เพื่อแลกกับการเรียนจบที่เร็วขึ้น และนั่นก็หมายถึงต้องทำงานเร็วขึ้นอีก

มันไม่สนุกหรอกนะ

สิ่งที่แม็กซ์อยากจะบอกก็คือ คุณสมบัติส่วนตัวอาจเป็นของนอกกาย เป็นเครื่องประดับที่สวยหรู แต่มันไม่ได้บอกคุณถึงความเป็นคนข้างในได้เลย ฉากหน้าอาจะดูเก่ง ดูดี แต่ไม่ได้หมายความเขาจะเป็นคนดี หรือกระทั่งเก่ง

การเขียนประวัติตัวเองให้คนอื่นชื่นชมทำได้ง่ายค่ะ แต่การพิสูจน์ด้วยการกระทำยากกว่า

No comments: