Saturday, September 27, 2014

Review: Proving Paul's Promise


Proving Paul's Promise
Proving Paul's Promise by Tammy Falkner

My rating: 3 of 5 stars



เรารอคอยที่จะอ่านเรื่องระหว่างพอล และฟรายเดย์มานานตั้งแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สองคนนี้จะถูกจับให้มาคู่กัน พอลซึ่งคิดว่า ฟรายเดย์เป็นเลสเบี้ยน พยายามห้ามความคิดในเชิงชู้สาวกับเธอมาตลอดหลายปี แต่เมื่อความจริงเปิดเผยออก ก็ไม่มีอะไรห้ามพอลได้อยู่

เราผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีฉากตอนที่พอลรู้ความจริงว่า ฟรายเดย์ไม่ได้เป็นเลสเบี้ยน ขอบอกว่า เราตั้งหน้าตั้งตาอยากอ่านฉากนี้มาก เพราะนี่เป็นความลับที่น้องชายทุกคนของพอลรู้ แต่พี่ชายใหญ่กลับไม่เคยรู้เลยสักนิด แน่นอนว่า การที่พอลและฟรายเดย์ทำงานด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปี แต่เขากลับไม่สังเกตเห็น เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่น่าเชื่อเมื่อคิดว่า ทั้งคู่เมียงมองและมีความรู้สึกให้กันมานานแล้ว พอลควรจะรู้ และฟรายเดย์ไม่น่าจะปกปิดได้ แต่ก็เหมือนกับหนังสือหลายเล่มของแทมมี ฟอร์คเนอร์ที่พล็อตดูเหลือเชื่อ แต่เรากลับให้อภัย เพราะเราชอบความรู้สึกตอนที่อ่าน

อีกจุดนึงที่เราชอบในเล่มนี้ก็คือ ไม่มีตัวละครสุดขั้ว เคลลี่ อดีตแฟนเก่าของพอล และแม่ของลูกของเขา ซึ่งยังคงมีใจให้กับเขาอยู่ ไม่ได้ถูกเขียนออกมาเป็นนังมารร้าย เธอมีใจให้กับพอล แต่ไม่อาจยอมรับน้องชายสี่คนของเขาได้ (เธอปฏิเสธเขาเมื่อรู้ว่า พอลเลือกที่จะดูแลน้อง ๆ แทนที่จะแยกไปใช้ชีวิตตามลำพังกับเธอ) การตัดสินใจที่เธอเสียใจ และยังต้องการเขาคืนมา เธอจึงทำหลายอย่างเพื่อเรียกความสนใจ เข้าข่ายนางอิจฉา แต่ท้ายที่สุดเมื่อพบว่าไม่มีทางได้เขาคืน เธอก็ยอมรับความจริง และดำรงความสัมพันธ์กับพอลเพื่อลูกที่มีด้วยกันต่อ

เราค่อนข้างงุนงงกับพล็อต ที่เริ่มต้นเรื่องด้วยการให้ฟรายเดย์อาสาเป็นแม่อุ้มบุญให้กับเพื่อนเกย์ของเธอ พอเข้าใจนะคะว่า เรื่องจะสื่อถึงลูกที่ฟรายเดย์ยกให้กับคนอื่น ทำให้เธอตื่นขึ้นเผชิญกับความเจ็บปวด เพื่อที่จะเริ่มต้นเยียวยารักษาหัวใจที่บอบช้ำ แต่เรารู้สึกว่า การที่เธอท้องแล้วต้องยกลูกในท้องให้เพื่อนเกย์ไปอีก มันน่าจะเป็นบาดแผลในใจมากกว่าเก่า การที่คนแต่งเลือกที่จะให้สิ่งนี้ไม่ใช่ประเด็น ขนาดแสดงให้เห็นตอนท้ายเรื่องว่า ฟรายเดย์โอเคกับมัน ไม่สมจริง แต่ก็นะคะ ในหลายเรื่อง (รวมทั้งเรื่องนี้) มีหลายอย่างที่ไม่สมจริงในพล็อตของคนแต่งผู้นี้ แต่ที่ผ่านมาเราก็ให้อภัยได้ตลอด เพียงแต่ประเด็นนี้รบกวนจิตใจของเราพอสมควร





View all my reviews

Review: Maybe Matt's Miracle


Maybe Matt's Miracle
Maybe Matt's Miracle by Tammy Falkner

My rating: 3 of 5 stars



บอกก่อนเลยว่า เราชอบเรื่องแนว New Adult ของ Tammy Falkner เราชอบเพราะเมื่อเราอ่านงานเขียนของเธอ เราจะรู้สึกดีกับเพื่อนมนุษย์ เรื่องราวยังคงใช้พล็อตกดดัน บีบคั้น ตัวเอกที่มีอดีตอันเลวร้ายอันเป็นสูตรของเรื่องแนว NA กันอยู่ แต่เราชอบวิธีการที่ตัวละครรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่เกิด ไม่จำเป็นว่า อดีตอันเลวร้ายจะต้องทำให้พวกเขากลายเป็นเก็บกด ทนทุกข์ หรือใช้ความรุนแรงในการแสดงออก

แมท รีด พี่ชายคนรองในห้าหนุ่มตระกูลรีดคือเหตุผลทั้งหมดของเรื่องชุด ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อแมทป่วยเป็นมะเร็ง (นั่นทำให้โลแกนต้องพักการเรียน จนนำไปสู่เหตุการณ์ในเล่มแรกของชุด) บัดนี้เขาหายดีแล้ว และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเขาได้พบกับสกายลาร์ มอร์แกน ทนายสาวจบใหม่ที่ควรจะเริ่มต้นใช้ชีวิตอิสระจากครอบครัว แต่เธอกลับถูกดึงเข้าไปเป็นผู้ดูแลลูก ๆ ของพี่สาวต่างมารดา 3 คน เมื่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตลง แมทซึ่งรู้จักกับพี่สาวต่างแม่ของสกายลาร์ตอนที่รักษาตัวโรคมะเร็งด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูแลครอบครัวเล็ก ๆ นี้

เรายอมรับเลยนะคะว่า ไม่คิดว่า คนแต่งจะเขียนออกมาแนวนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เรานึกว่า เรื่องของแมทจะออกแนวเครียดกว่าเล่มอื่น ๆ ในชุด แต่เล่มนี้ก็ยังคงรักษาสไตล์การเล่าเรื่องของแทมมี ฟอร์คเนอร์ไว้ได้ครบถ้วน เรื่องที่ใช้พล็อตเครียด แต่เขียนให้เบา และแม้จะดูดีเกินกว่าความจริง แต่เราให้อภัยได้ เพราะความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้น

เรามองเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยสายตาที่ดีขึ้น มองคนในแง่บวกมากขึ้น ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือชุดนี้ค่ะ ดังนั้นแม้จะไม่สมจริงในหลายเรื่อง เราให้อภัยกับความรู้สึกแบบ feel good ที่เกิดขึ้น




View all my reviews

Friday, September 26, 2014

Review: Dark Slayer


Dark Slayer
Dark Slayer by Christine Feehan

My rating: 4 of 5 stars



แล้วก็มาถึงเล่มที่ยี่สิบในชุด ซึ่งบอกตามตรงว่า เป็นเล่มทีเรารอคอยมาในระดับนึงเลยทีเดียว แต่ก่อนที่เราจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ก็คงต้องขอเตือนเรื่องสปอยล์ก่อนนะคะ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องชุดนี้ (โดยเฉพาะตั้งแต่เรื่อง Dark Demon เป็นต้นมา) เพราะจะเป็นการสปอยล์ประเด็นหลักของเรื่องเลยล่ะ

เตือนแล้วนะคะ

ไอวอรี มารินอฟ เป็นนักล่า เธอไม่ใช่สาวน้อยชาวคาร์พาเธียนที่เติบโตมาอย่างถูกปกป้องดูแล มันอาจจะจริงในวัยเยาว์ที่เธอมีพี่ชายห้าคน และเพื่อนสนิทของพี่ชายตระกูลเดอลาครูซอีกห้าคนคอยเป็นพี่ชายใหญ่ แต่เหตุการณ์เลวร้ายได้เกิดขึ้นกับเธอ เมื่อหญิงสาวออกจากบ้านเพื่อไปศึกษาเรียนรู้เวทมนตร์กับพ่อมดซาเวียร์ และเธอก็ถูกทรยศ

ไอวอรีถูกทำร้ายปางตาย ร่างของเธอถูกตัดเป็นชิ้น ๆ แต่แวมไพร์ที่ทำร้ายเธอไม่ได้เผาหัวใจของเธอ นั่นทำให้ไอวอรีรอดตายมาได้ แต่ไม่ใช่โดยปราศจากบาดแผล หญิงสาวใช้เวลาอยู่ใต้ดินหลายร้อยปี รวบรวมชิ้นส่วนร่างกายต่อกลับมา เมื่อเริ่มมีสติ เธอกลับไปบ้านเพียงเพื่อจะพบว่า พี่ชายที่รักทั้งห้าของเธอได้แปรพักตร์กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ไอวอรีเจ็บปวดอย่างมาก เพราะพวกเขาได้ร่วมมือกับกลุ่มคนที่ทำร้ายเธอ แถมที่เจ็บแสบไปกว่านั้น พี่ชายของเธอร่วมมือกับซาเวียร์เพื่อหวังทำลายล้างคาร์พาเธียน

ด้วยประสบการณ์อันเลวร้าย ไอวอรีไม่คิดที่จะกลับไปหาพวกคาร์พาเธียน แม้เธอจะถือเป็นหน้าที่ในการปกป้องชาวคาร์พาเธียนด้วยการออกล่าแวมไพร์ต่อไป เพราะเธอก็ถือว่า คนกลุ่มนั้นก็ทรยศเธอเช่นกัน ผู้นำชาวคาร์พาเธียนส่งเธอไปเรียนเวทมนตร์ไม่ใช่เพราะสนับสนุน แต่เพราะต้องการหย่าศึกระหว่างลูกชายของตัวเอง กับพี่ชายของเธอ (เพราะลูกชายผู้นำต้องการไอวอรี ทั้งที่เธอไม่ใช่คู่แท้ของเขา) ชีวิตของเธอจึงเป็นชีวิตที่เงียบเหงา ไอวอรีอยู่กับฝูงหมาป่าที่เป็นเพื่อนรัก จนกระทั่งวันนึง เธอได้เจอกับคนที่ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะมีโอกาสได้พบ

ชายคนที่เป็นคู่แท้คนเดียวของเธอ

สำหรับชาวคาร์พาเธียน มีเพียงหนึ่งคนในโลกเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อพวกเขา สำหรับสตรีชาวคาร์พาเธียนมันยังไม่ถึงกับเลวร้าย หากเธอหาชายคนนั้นไม่เจอ เพราะพวกเธอไม่ได้สูญเสียอารมณ์ หรือความรู้สึก แต่กระนั้นเมื่อไอวอรีได้เจอกับ "ชายคนนั้น" เธอก็รู้สึกผูกพันในทันที แม้ว่าจะไม่เหมาะสมทั้งเวลา และโอกาส

ที่สำคัญชายคนนั้นคือราซแวน หลานชายของซาเวียร์ พ่อมดตัวร้าย และตลอดเวลา (ในเล่มก่อนหน้า) ราซแวนถูกมองว่า เป็นหนึ่งในคนชั่วร้ายที่วางแผนทำลายชาวคาร์พาเธียน ความจริงเพิ่งเปิดเผยว่า แท้จริงแล้วราชแวนเองก็เป็นเพียงเบี้ยตัวนึงของซาเวียร์เช่นกัน การกระทำอันเลวร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้น ซึ่งคนอื่นเห็นว่าเป็นฝีมือของเขานั้น แท้จริงแล้วเป็นร่างของราซแวน แต่ถูกควบคุมโดยซาเวียร์ ตัวราซแวนเองไม่อาจบังคับตัวเองได้

ในที่สุดหลังจากถูกคุมขังเป็นเวลานานหลายร้อยปี ราซแวนก็หลบหนีออกมาได้สำเร็จ แต่เขาไม่หวังจะให้ใครเข้าใจความจริง เขาต้องการเพียงแต่จะตายเพื่อไปสู่อิสระที่ใฝ่ฝันมานาน แต่เมื่อไอวอรีได้พบกับเขา แม้ชายหนุ่มจะปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่ร่างกายที่อ่อนแอไม่มีทางเลือก เมื่อไอวอรีพาเขากลับไปที่บ้านใต้ดินของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็ดูแลจนเขาอาการดีขึ้น

ชายและหญิงที่เป็นส่วนนอกของสังคมชาวคาร์พาเธียนสองคนได้พบกัน และเข้าใจกันอย่างที่สุด ที่สำคัญคู่นี้เหมาะสมกันแบบสุดยอด และนี่คือเหตุผลที่เราชอบเล่มนี้มาก ๆ

ไอวอรีเป็นหญิงเก่งและแกร่ง ซึ่งในเรื่องก็เห็นว่าเก่งจริง เราชอบตรงที่คนแต่งสื่อออกมาได้ดีมาก โดยไม่ทำให้ไอวอรีดูเก่งเกินหน้าราซแวน ซึ่งคาแร็คเตอร์ในเรื่อง เขาไม่ใช่นักล่า ไม่ใช่นักรบ ตลอดชีวิตเขาถูกจับเป็นเชลย ถูกใช้ และทรมานสารพัด แต่ราซแวนไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่า (สปอยล์) เราจะมีปัญหาตรงที่ว่า ทำไมตั้งหลายร้อยปี เขาไม่คิดจะหนีให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที ถูกจับมาตลอดชีวิตแบบนั้น

ราซแวนเป็นพระเอกแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในหนังสือชุดนี้ ตัวละครเอกฝ่ายชายส่วนใหญ่ในชุดนี้จะเป็นนักรบ เป็นคาร์พาเธียนผู้เก่งกาจ ออกล่าแวมไพร์ เป็นชายเหนือชาย ซึ่งมันก็มีข้อดีของมันนะคะ แต่หลังจากอ่านเรื่องชุดนี้มาหลายสิบเล่ม มันก็เริ่มน่าเบื่อ นั่นทำให้ราซแวนที่แตกต่างโดดเด่นอย่างมาก ความเก่งของคนแต่งก็คือ เธอสามารถเขียนคาแร็คเตอร์แบบนี้ให้ดูไม่อ่อนแอเลย แต่เขายอมรับความจริง และเผชิญหน้ากับความจริงอย่างที่มันเป็น โดยไม่ได้เติมแต่งให้สวยงามหรือดูดี

ช่วงต้นเรื่อง ราซแวนซึ่งตลอดชีวิตเป็นนักโทษ เขาไม่ใช่นักสู้ เขายอมให้ไอวอรีเดินนำ ฉากที่เขาเดินตามหลังเธอก้าวนึงตอนที่ไปพบกับชาวคาร์พาเธียนคนอื่น ๆ ได้ใจเรามาก ๆ เพราะมันแสดงความเป็นตัวตนของเขาได้เด่นชัด ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เป็นคนที่รู้จักข้อจำกัดของตัวเอง และไม่ขื่นขมกับมัน

และเราก็รักไอวอรีเพราะเธอมองเห็นคุณค่าของราซแวน เธอเห็นเขาอย่างที่เขาเป็น และรักเขาอย่างที่เขาเป็น เธอเป็นนางเอกของคริสตีนที่เราชอบมาก ๆ เราชอบเธอที่โกรธคนที่ไม่ยอมเข้าใจว่าราซแวนไม่ใช่คนร้าย โมโหที่คนยังสงสัยในเกียรติของเขา

บอกตามตรงนะคะว่า อ่านเรื่องชุดนี้มาเกือบครบชุด เล่มนี้เป็นเรื่องแรกที่เรารู้สึกถึง "ความรัก" ระหว่างพระเอกนางเอกได้อย่างเด่นชัดที่สุด เล่มอื่นมันเป็นเหมือนฟ้าลิขิตเพราะทั้งสองเป็น "คู่แท้" ความรักไม่ได้มีส่วน การเป็นคู่แท้เป็นยิ่งกว่าความรัก เราเข้าใจแนวคิดนะคะ แต่ยอมรับว่า หลังจากเจอแนวนี้มาหลาย ๆ เล่ม ก็อดคิดถึงความหวานของโรแมนซ์ที่เกิดจากคาแร็คเตอร์รู้สึกต่อกันไม่ได้ ซึ่งในเล่มนี้เป็นส่วนผสมของทั้งสองอย่าง

ราซแวนแม้จะรู้ว่า ไอวอรีคือคู่แท้ของเขา แต่ก็มีปมว่า ตัวเองไม่เหมาะสม ไม่อยากเป็นภาระให้เธอ หรือดึงเธอให้ต่ำลง เขาจึงไม่ได้ออกอาการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ (แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดูดำดูดีหรอกนะ) แต่เมื่อรู้จักเธอมากขึ้น ราซแวนก็ประจักษ์กะตัวเองว่า แม้ตัวเองจะไม่เหมาะ จะด้อยกว่า แต่เขาไม่อาจปล่อยเธอให้เดินจากไปได้

ชอบเรื่องนี้มาก ๆ ค่ะ และทำให้เราคิดออกในที่สุดว่า ทำไมเราถึงได้ชอบเรื่องนี้ เราลองนึกถึงหนังสือในชุดนี้ที่เราชอบมากกว่าเล่มอื่น ๆ (Dark Challenge, และ Dark Legend) นางเอกจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่อ่อนประสาต่อโลก หากแต่เป็นชาวคาร์พาเธียนที่มีชีวิตอยู่หลายร้อยปี อย่างไอวอรีในเล่มนี้ นับอายุดูแล้ว แก่กว่าราซแวนเป็นร้อยปีเลยล่ะ

คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: Dark Curse


Dark Curse
Dark Curse by Christine Feehan

My rating: 2 of 5 stars



เล่มที่สิบเก้าแล้วล่ะค่ะ เรื่องราวของนิโคลัส เดอลาครูซ ซึ่งเดินทางมาจากอเมริกาใต้เพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้กับมิาอิล ผู้นำของชาวคาร์พาเธียนทราบถึงแผนการกบฎที่ร่วมมือกันระหว่างแวมไพร์ และพี่น้องตระกูลแมรินอฟ แต่ในระหว่างการเดินทางเขาได้พบกับลารา คัลลาดิน หญิงสาวผู้มีอดีตอันลึกลับ

ชีวิตในช่วงเกือบสิบปีแรกของลาราเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอถูกผู้เป็นบิดาซึ่งรับใช้พ่อมดชั่วร้ายดื่มเลือดและทรมาน ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เป็นป้า (จริง ๆ แล้วเป็นย่า เพราะเป็นน้องสาวของปู่) ช่วยเหลือจนหนีออกไปได้สำเร็จ ลาราใช้ชีวิตที่เหลือค้นหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของเธอเอง และร่องรอยก็นำเธอกลับมาที่เทือกเขาคาร์พาเธียน ในถ้ำน้ำแข็งที่เตือนให้เธอนึกถึงอดีตอันเลวร้าย

เช่นเดียวกับทุกเรื่องนะคะ เมื่อนิโคลัสได้พบกับลารา เขาก็รู้ว่า เธอคือคู่แท้ของเขา และเช่นเดียวกับคาร์พาเธียนทั้งหลาย เขาแสดงความเป็นเจ้าของเธอ ความต้องการที่คุ้มครองเธอจากอันตรายกลับกลายเป็นการทำร้ายลาราอย่างสาหัส สำหรับผู้หญิงที่ถูกกักขังมาตลอดวัยเยาว์ "ความห่วงใย" ของนิโคลัสคือการทำร้ายชนิดที่เธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ

ลาราเลือกที่จะตายแทนที่จะใช้ชีวิตเป็นนักโทษของนิโคลัส

และนั่นทำให้ชายหนุ่มคิดได้ ซึ่งสำหรับเรา นี่คือจุดเปลี่ยนของหนังสือเล่มนี้สำหรับเราค่ะ เพราะก่อนหน้านั้น นิโคลัสก็เหมือนกับชายชาวคาร์พาเธียนในเล่มอื่น ๆ อัลฟาเกินทน แต่เมื่อเขาได้มองเห็นอดีตของลาราที่ถูกบุพการีทำทารุณ เขาก็รู้ถึง ความรักอิสระของเธอ และเข้าใจเธอมากขึ้น

ในเล่มนี้ได้พาคนอ่านเข้าไปในแผนการชั่วร้ายของคนร้ายมากขึ้น และได้พบกับความจริงที่ปิดบังมาคนอ่านมาโดยตลอดหลายเล่ม นอกจากนี้ยังได้เริ่มต้นอธิบายเหตุผลที่ทำให้ชาวคาร์พาเธียนแทบจะไม่มีลูกสาว หรือการตั้งท้องกลายเป็นเรื่องยากลำบาก จนทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาลดน้อยลงจนเกือบสูญพันธุ์

ในแง่ของพล็อตเราว่า เล่มนี้น่าสนใจค่ะ น่าติดตามอ่าน แต่ก็คงต้องบอกว่า คาแร็คเตอร์ยังไม่ถึงกับได้ใจเท่าไหรนัก

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: Dark Demon


Dark Demon
Dark Demon by Christine Feehan

My rating: 2 of 5 stars



คริสตีน ฟีแฮนอาจจะไม่ใช่นักเขียนคนที่ริเริ่มเรื่องราวแนวแวมไพร์โรแมนซ์ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงกันค่ะว่า เธอคือคนที่ทำให้แวมไพร์โรแมนซ์กลายเป็นแนวนิยายขายดีจนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้าที่เรื่อง Dark Prince ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดออกวางขายในปี 1999 มีหนังสือหลายเล่มที่จับเอาแวมไพร์มาเป็นพระเอก ไม่ใช่ตัวร้ายอย่างที่คนทั่วไปคุ้นเคยกัน เราสามารถบอกชื่อนักเขียนที่เขียนเรื่องแนวนี้ก่อนหน้าคริสตีนได้หลายคนเลยค่ะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราอยากจะพูดถึงในวันนี้

สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ หนังสือชุดคาร์พาเธียนของคริสตีน ฟีแฮนได้เปลี่ยนโฉมหนังสือหนังสือโรแมนซ์ เธออาจจะไม่ใช่คนแรกที่เขียน แต่เธอคือคนที่ทำให้หนังสือแนวนี้ติดตลาด และโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ เธอคือคนที่นำเรื่องแนวแวมไพร์โรแมนซ์ไปสู่ตลาดโดยรวม

หลังจากการมาถึงของคริสตีน ฟีแฮน เรื่องราวแนวแวมไพร์โรแมนซ์เกิดขึ้นมากมาย อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำสำหรับนักอ่านบางคน นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แน่นอนว่า อาจจะมีหนังสือชุดที่ตามมาสนุกกว่า วางพล็อตเรื่องรัดกุมกว่า หรือเล่าเรื่องได้ดีกว่า แต่หนังสือชุดคาร์พาเธียนคือต้นแบบที่ต้องยอมรับ

เราเริ่มอ่านคริสตีน ฟีแฮนตั้งแต่ต้นค่ะ บอกตามตรงว่า เราไม่ได้รู้สึกว่า งานของเธอพิเศษอะไรมากมาย (เราชอบชุด Wings in the Night ของแม็กกี เชนมากกว่า) แต่ก็ถือว่าอยู่ในยุคการเกิดใหม่ของแวมไพร์โรแมนซ์ เรามองเห็นความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักวิชาการโรแมนซ์ (มีจริง ๆ นะคะ) ได้พูดถึงหนังสือชุดนี้ของคริสตีนเอาไว้ว่า เป็นการเกิดใหม่ของพระเอกแนวอัลฟ่า ซึ่งยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การเขียนพระเอกที่อัลฟามาก ๆ เป็นไปได้ยาก เพราะสภาพสังคมเริ่มไม่ยอมรับอีกต่อไปแล้ว แต่ยังมีความต้องการอ่านพระเอกแนวนี้อยู่

ดังนั้นแวมไพร์จึงเป็นทางออก เพราะพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ มีสังคมและความเชื่อที่แยกต่างหาก การใช้แนวความคิดของ Fated Mate เป็นอะไรที่ใหม่มากในยุคนั้น ก็พระเอกของเราทนทุกข์ทรมานมาหลายร้อยปี รอคอยหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ "ใช่" คนคนเดียวที่จะนำอารมณ์ ความรู้สึก และสีสันกลับมาในชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง ทำให้เมื่อได้เจอพวกเธอ เหล่าคาร์พาเธียนจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอมาครอบครอง มันเป็นยิ่งกว่าความรัก หากแต่เป็นความอยู่รอดของจิตวิญญาณ

ต้องยอมรับนะคะว่า ในตอนนั้นไม่มีใครคิดเรื่องแนวนี้ได้ (หรือคิดได้ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับคริสตีน ฟีแฮน)

เรายอมรับค่ะว่า จุดที่ทำให้เราไม่อาจเข้าถึงหนังสือชุดนี้ได้เท่าเทียมกับแฟนดายฮาร์ดชุดนี้คนอื่น ๆ ก็คือ ความเป็นอัลฟาอย่างสุดขั้วของพระเอก นั่นคือปราการที่กั้นขวางเราเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความเราไม่อ่านนะคะ อย่างที่บอก เราอ่านตั้งแต่หนังสือออกมาครั้งแรก และตามอ่านมาตลอด แถมยังมีหลายเล่มในชุดที่เป็นเล่มโปรดของเรา แต่หลังจากอ่านชุดนี้มาหลายปี (ตั้งแต่ปี 1999 - 2005) เราก็หยุดอ่านลงที่เล่มที่ 15 Dark Secret

เพราะความเป็นอัลฟาที่เกินเหตุ เราชอบพระเอกอัลฟาค่ะ แต่ในเล่มนั้น (Dark Secret) สำหรับเราแล้วมันเกินกว่าที่จะยอมรับได้ เราจึงหยุดชะงักการอ่านชุดนี้ไปหกปีค่ะ

การกลับมาอ่านอีกครั้ง คงต้องบอกว่า ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังสือชุดนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เราไม่เคยถึงกับกรี๊ดเรื่องชุดนี้เป็นพิเศษ (แต่เรายกย่องที่คนแต่งนะคะ คอนเซ็ปต์หลายอย่างที่ใช้กันอยู่ในเรื่องแนวแวมไพร์ โรแมนซ์ ก็มาจากรากฐานของหนังสือชุดนี้แหละ) แต่อ่านคราวนี้เรารู้สึกว่า ความอัลฟาของพระเอกลดลงไปนะคะ ยังอัลฟาอยู่ แต่อยู่ในขอบเขตที่เรารับได้ ไม่เหมือนเรื่อง Dark Secret ที่ทำเอาเราขยาดชุดนี้ไปหลายปี

หนังสือเล่มที่สิบหกในชุดคาร์พาเธียน ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจนะคะว่า จำเป็นต้องอ่านเรียงกันมาไหม แต่คิดว่าน่าจะอ่านได้รู้เรื่องค่ะ เล่มนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง Dark Destiny และ Dark Secret มากเป็นพิเศษ เพราะพระเอกเป็นพี่ชายของพระเอกเรื่อง Dark Destiny และนางเอกเป็นป้าของนางเอกเรื่อง Dark Secret แต่ไม่จำเป็นต้องอ่านสองเล่มนั่นหรอกนะคะ

นาทัลยา หญิงสาวลึกลับซึ่งออกเดินทางล่าแวมไพร์เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหลายไปเรื่อย ๆ ชีวิตของเธอโดดเดี่ยว หลังจากที่ราซแวน พี่ชายฝาแฝดเสียชีวิตไป ก่อนตายแม้เขาจะอยู่ห่างออกไป แต่ก็ส่งเสียงเตือนนาทัลยาให้ระวัง "นักล่า" ชาวคาร์พาเธียน (ซึ่งเป็นแวมไพร์ดี แต่แวมไพร์เป็นคาร์พาเธียนที่หันเข้าสู่ความชั่ว) ทำให้เมื่อเธอได้เจอกับวิเคียนอฟ ขณะกำลังต่อสู้กับแวมไพร์ หญิงสาวจึงไม่ไว้ใจเขา กระนั้นสถานการณ์ก็บังคับให้ทั้งสองต้องช่วยเหลือกันเพื่อเอาตัวรอด

วิเคียนอฟ ซึ่งเป็นชาวคาร์พาเธียนเก่าแก่ และต่อสู้เพื่อกำจัดแวมไพร์มาเป็นเวลานาน เมื่อได้เจอกับนาทัลยา เขาก็รู้ในทันทีว่า เธอคือคู่ชีวิตของเขา หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขารอคอยมานานแสนนาน แต่นาทัลยาไม่ใช่คนธรรมดา เธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูลคาร์พาเธียนที่เก่าแก่ ตระกูลดรากอนซีกเกอร์ เรียนนอน ย่าของเธอถูกพ่อมดชั่วร้ายจับตัวไป และด้วยวิธีการบางอย่างทำให้เรียนนอนตั้งท้องลูกของเขา นาทัลยาจึงเป็นส่วนผสมที่หาได้ยาก เป็นชาวคาร์พาเธียนในขณะเดียวกันก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้

ทั้งสองถูกเสียงเรียกบางอย่างดึงดูดพวกเขาเข้าไปภายในหุบเขาคาร์พาเธียน ที่ซึ่งนาทัลยาได้ค้นพบความลับในอดีต และความจริงอันน่าหวาดกลัว รวมทั้งเผชิญหน้ากับแผนร้ายของเหล่าแวมไพร์ที่จ้องจะทำลายเหล่าคาร์พาเธียน

ข้อเสียนึงของหนังสือชุดคาร์พาเธียนก็คือ การไม่มีพล็อตเรื่องใหญ่ที่ดำเนินไปในแต่ละเล่ม ถ้าอ่านหนังสือช่วงเล่มต้น ๆ ในชุดนี้ก็จะเข้าใจสิ่งที่เราพูดถึงนะคะ ในเรื่องมีเพียงตัวร้าย ซึ่งก็พ่ายแพ้พระเอกไปตามระเบียบ จากนั้นเรื่องก็จบลง ขึ้นเล่มใหม่ก็ตัวร้ายใหม่ ไม่มีอะไรให้น่าติดตามระหว่างเล่ม

แต่เล่มนี้เรามองเห็นพล็อตใหญ่ที่ดำเนินผ่านหลายเล่ม ดังนั้นตอนจบของเล่มนี้ ปริศนาหลายอย่างก็ยังค้างคาใจอยู่ ไม่ถึงกับทำให้หงุดหงิดนะคะ แต่ทำให้น่าติดตาม ซึ่งก็ได้ผลค่ะ เพราะเราซึ่งไม่ได้อะไรกะเล่มนี้เท่าไหรนัก ยังตัดสินใจอ่านเล่มต่อไปเลยค่ะ เพราะคิดว่า น่าสนใจดี

พระเอกของเล่มนี้ออกแนวอัลฟาตามสไตล์เรื่องชุดนี้ แต่อาจจะเป็นนาทัลยาเป็นนางเอกที่เก่ง เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา แต่เป็นนักล่าคนนึง และใช้ชีวิตมาเป็นเวลานาน ทำให้เธอค่อนข้างรับมือกับด้านที่แข็งกร้าวของวิเคียนอฟได้เป็นอย่างดี ทำให้เรื่องนี้ไม่สร้างความน่ารำคาญ (พระเอก) ให้กับเราเท่าไหร

คะแนนที่ 60





View all my reviews

Review: Murder Game


Murder Game
Murder Game by Christine Feehan

My rating: 3 of 5 stars



เป็นอีกเรื่องที่อ่านจบไปพักใหญ่ ๆ แล้วล่ะค่ะ แต่แตกต่างตรงที่เราค่อนข้างชอบเรื่องนี้นะคะ เพียงแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราละเลยการเขียนบลอกไปมาก (รู้ตัวค่ะ) ก็เลยไม่ได้เขียนถึงสักที พอดีวันนี้มีเวลามากหน่อย ก็เลยไล่เขียนย้อนหลังเล่มที่น่าสนใจน่ะค่ะ

คริสตีน ฟีแฮนเขียนหนังสือออกมาหลายชุดนะคะ ชุดที่เราติดตามอ่านมากที่สุด (และอัพเดทที่สุด) ก็คงจะเป็นชุดพี่น้องตระกูลเดรค ที่ตอนนี้ต่อเนื่องมาเป็นชุด Sea Haven ไปแล้ว ล่าสุดก็เพิ่งไล่อ่านชุดคาร์พาเธียนจนเกือบจะถึงเล่มล่าสุดแล้ว ก็เลยเหลือชุดโกสต์วอร์คเกอร์นี่ล่ะค่ะที่ค้างไว้เยอะหน่อย ทั้งที่จริง ๆ เล่มนี้ก็เป็นเรื่องราวของตัวละครที่เราคิดว่า น่าสนใจมากที่สุดคนนึงเลยด้วยซ้ำ แต่กลับวางทิ้งไว้แบบนั้น (แม้เพื่อนหลายคนจะบอกว่า เล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มที่สนุกมาก ๆ ด้วย)


เรื่องนี้เป็นเล่มที่เจ็ดในชุด Ghostwalker เรื่องราวของกลุ่มคนที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมจนมีความสามารถพิเศษเหนือ มนุษย์ ทั้งแข็งแรงกว่า เร็วกว่า อีกทั้งยังมีพลังจิตซึ่งทำในหลายสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

เคเดน มองตากิวได้รับคำสั่งให้จัดการกับนักฆ่าที่เอาชีวิตของมนุษย์มาเล่นเป็นเกมส์การแข่งขัน แต่ในการที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาต้องการความช่วยเหลือจากแทนซี มีโดวส์ หญิงสาวผู้มีสัมผัสพิเศษที่เมื่อสามารถเข้าถึงจิตใจของฆาตกรโหดได้ และเดิมพันในความสำเร็จของเคเดนสูงยิ่งนัก เพราะผู้ต้องสงสัยก็คือ ใครคนใดคนหนึ่งในสมาชิกของโกสต์วอร์คเกอร์ ความเสี่ยงที่ถ้าหากคาเดนไม่อาจจัดการปัญหานี้ได้ ทีมโกสต์วอร์คเกอร์ทั้งหมดก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งได้

เราไม่แนะนำให้เริ่มต้นอ่านเรื่องชุดนี้ที่เล่มนี้นะคะ เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนอ่านจะติดตามพล็อตได้ทันมากขนาดไหน เราเองซึ่งอ่านไล่เรียงกันมา แต่ต่างกรรมต่างเวลากัน เมื่อหยิบเล่มนี้มาอ่าน ก็ยังงงไปบ้างเล็กน้อย เพราะจำเรื่องราวก่อนหน้าไม่ค่อยได้ เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล่มนี้ที่อ้างถึงเรื่องราวในเล่มก่อนหน้า

เรื่องนี้เป็นไปตามสูตรของหนังสือของคริสตีน ฟีแฮนทุกอย่าง พระเอกที่เย็นชาและมองตัวเองในแง่ร้าย นางเอกที่เกิดมาเพื่อเขา (หรือในกรณีนี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้เป็นคู่ของเขา) การพบหน้ากันครั้งแรกที่พระเอกก็รู้ตัวในทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้คือ "ของเขา" และออกอาการอย่างเต็มที่

แม้จะเป็นสูตรตามที่ว่า เรื่องนี้ก็อ่านได้สนุกค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะเราชอบพล็อตการสืบหาตัวคนร้าย และเราชอบคาแร็คเตอร์ของทั้งเคเดน และแทนซี แม้จะต้องสารภาพตามตรงว่า เบื่อบทรักที่ยืดยาวและเต็มเนื้อเรื่องไปหมด (ใช่ค่ะ เรากำลังสงสัยว่า ตัวเองมาถึงวัยที่เบื่อฉากรักซะแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่า ตัวเองจะเขียนแบบนี้ แต่นี่เป็นความรู้สึกตอนที่เราอ่านเรื่องนี้จริง ๆ) ทำให้หลายครั้งเรารู้สึกว่า มันขัดจังหวะความลึกซึ้งในความรู้สึกที่เคเดน และแทนซีมีให้กัน แทนที่จะพูดคุยทำความรู้จักกัน กลับกลายเป็นบทรักที่ยืดเยื้อยาวนานแทน เซ็กส์ไม่ได้แทนคำพูดได้ทั้งหมดหรอกนะคะ

พล็อตเรื่องหลายส่วนมีความสับสน จุดนี้เราไม่แน่ใจว่า เราเองสับสนเองเพราะจำเรื่องในเล่มก่อนหน้าได้ไม่ครบ หรือว่า คนเขียนเปลี่ยนทิศทางของเรื่อง บางส่วนเรารู้สึกว่า ไม่มีเหตุผลเลย เช่นเรื่องพ่อแม่ที่รับแทนซีมาอุปการะ ซึ่งในเรื่องเป็นคนดีนะคะ และห่วงใยลูกสาว แต่มีหลายจุดที่ไร้เดียงสาเกินเหตุ (สปอยล์) เช่นเชื่อหมอที่รักษาอาการของแทนซีเกินเหตุ ถ้าพ่อแม่ห่วงใยลูกขนาดนี้ และเป็นคนดีอย่างที่เรื่องตั้งธงไว้ พวกเขาน่าจะหาความเห็นที่สองจากหมอคนอื่น หรือทำอะไรมากกว่านี้ในการดูแลแทนซี แต่นี่กลับไว้ใจดร.วิทนีย์ ตัวร้ายเต็มที่

สรุปแล้วเล่มนี้ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่สนุกของคริสตีน ฟีแฮนนะคะ ปัญหาคือ เราตั้งความหวังไว้กับเล่มนี้มากกว่านี้สิคะ เพราะเพื่อนหลายคนบอกมาว่า เล่มนี้สนุกที่สุดในชุด แต่จบเรื่องนี้ไป เรายังชอบเรื่อง Deadly Game มากกว่าค่ะ

คะแนนที่ 70





View all my reviews

Review: Safe Harbor


Safe Harbor
Safe Harbor by Christine Feehan

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ค้างข้ามปี เพราะว่าออกขายตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเมื่อปีก่อน แต่เล่มนี้มีเหตุผลเป็นพิเศษที่ต้องดองเค็มค้างปีค่ะ

และไม่ได้เป็นเพราะว่าอาการเบื่อเจ๊คริสตีน ฟีแฮนหรอกนะคะ โอเคเรายอมรับนะว่าเบื่ออาเจ้เต็มทนกะชุดคาร์พาเธียนที่ดูจะไม่ไปถึงไหน (เราอ่านค้างไว้ตั้งแต่ Dark Secret ที่พออ่านจบอยากจะเอาขวานไปจามหัวพระเอก ก็เลยคิดว่าหยุดกันไว้ก่อนดีกว่า ก่อนที่ความรุนแรงมันจะทวีมากไปกว่านี้ ล่าสุดก็ค้างมาสามสี่เล่มแล้วล่ะ) แต่หนังสือชุดพี่น้องตระกูลเดรคนี่ถือว่าเป็นชุดที่ยังอ่านได้ (และน่าอ่าน) สำหรับเราอยู่

เราชอบเรื่อง Ocean of Fire (เล่มสามในชุด) มาก หลายคนคงพอเคยได้ยินเราพูดถึง แม้จะผิดหวัง (มาก) จากเล่มสี่เรื่อง Dangerous Tides แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สาเหตุที่เราไม่ยอมอ่านเล่มห้า หรือเรื่อง Safe Harbor เล่มนี้

เหตุผลสำคัญมาจากเพื่อนที่รู้ใจเรามากส่งคำเตือนมาตั้งแต่ปีก่อนช่วงหนังสือออกใหม่ ๆ บอกเราว่า "เธออย่าเพิ่งอ่านเล่มนี้นะ"

เราก็ถามกลับว่า "ไม่หนุกเหรอ"

เธอก็ตอบกลับมา "เปล่า แต่คิดว่าถ้านู๋เราอ่าน จะต้องเกิดอาการเหมือนที่พี่เป็นกับจอห์น เมดิน่า ตอนที่ได้อ่าน Kill and Tell"

นั่นเป็นคำเตือนที่ชะงัก ได้ผลเด็ดขาด ทำให้เราวางแล้วเอาเล่มนี้ไปซ่อนให้พ้นหูพ้นตาไปเลย สำหรับคนที่ไม่เข้าใจความหมาย (ซึ่งไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะมันก็เป็นกึ่งโค้ดลับระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว) เราก็ขออธิบายนิดนึงนะคะ

จอห์น เมดิน่าเป็นตัวละครของลินดา โฮเวิร์ดที่ออกมามีบทบาทครั้งแรกในฐานะตัวละครรองในเรื่อง Kill and tell แต่ใน K&T ที่เขาออก ก็ออกมาชนิดขโมยซีน ชนิดทำเอาคนอ่านเกิดอาการอยากรู้เรื่องของเขา อยากอ่านเรื่องของเขาอย่างรุนแรง และลินดาก็ไม่ยอมเขียนเรื่องของเขาทันทีจนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา ระหว่างนั้นเพื่อนคนนี้ของเราน่าสงสารมาก เกิดอาการทุรนทุรายอยากอ่าน ซึ่งเราก็โชคดีไม่ได้เป็นด้วยหรอกนะคะ เพราะตอนที่ K&T ออกขาย เรายังไม่ได้อ่านโรแมนซ์ กว่าจะมาอ่าน K&T เรื่องของจอห์น เมดิน่าก็ออกขายแล้ว (และด้วยความเห็นส่วนตัว สนุกสู้ K&T ไม่ได้ด้วยซ้ำ) ก็เลยไม่เกิดอาการ แต่เข้าใจเลยล่ะว่า อาการคลั่งตัวละครรองเป็นยังไง

ดังนั้นจึงต้องขอขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มาก ๆ ค่ะ เพราะถ้าไม่ห้าม อาการที่เราเป็นอยู่ตอนนี้คงจะเกิดตั้งแต่เมื่อปีก่อน และเวลาหนึ่งปีที่รอคอยด้วยความอยากอ่านคงจะทุกข์ทรมานไม่น้อย

แต่ก็เหมือนรู้ว่าได้เวลา เพราะเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา แทนที่จะตื่นนอนด้วยความงุนงง ความคิดแรกของเราก็คือ Safe harbor มันได้เวลาที่ต้องอ่านแล้วล่ะ เพราะเล่มต่อไปในชุด (หรือเล่มหก) ก็จะเป็นเรื่องราวของตัวละครรองคนนี้ คนที่เรารอคอยและอยากอ่าน

ดังนั้นบลอกวันนี้แม้จะเป็นการรีวิวเรื่อง Safe Harbor แต่โปรดทำใจว่า โฟกัสของเราไม่ได้อยู่ที่พระเอกหรือนางเอก แต่อยู่ที่อิเลีย พราเคนสกี้ ตัวละครรองที่ทำเอาเราตอนนี้ใจคอไม่อยู่กะเนื้อกะตัว

คนที่อ่านหนังสือชุดพี่น้องตระกูลเดรคมาก็คงพอจะรู้ว่า พระเอกและนางเอกของเล่มนี้เป็นคู่ที่ปรากฎชัดตั้งแต่เล่มแรกที่พวกเขาออกมามีบทบาทกัน (ใน Magic in the wind ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุด) โจนาส แฮริ่งตันหลงรักฮันนาห์ เดรคตั้งแต่เจอเธอครั้งแรกในสนามเด็กเล่น จุดเริ่มต้นไม่ใช่ความรักอย่างหนุ่มสาว แต่เขาห่วงใยเธอ ดูแลเธอเหมือนพี่ชายคนโต เมื่อเขาโตขึ้น โจนาสก็รู้ว่า ชีวิตของเขามีแต่ฮันนาห์เพียงคนเดียวเท่านั้น

ส่วนฮันนาห์ เธอก็รักโจนาสมานาน เรื่องมันคงไม่มีพล็อตอะไรถ้าสองคนนี้พูดกันให้มากขึ้น ทั้งคู่ก็คงแต่งงานกันไปก่อนเล่มหนึ่งด้วยซ้ำ แต่แนะล่ะ เพื่อเพิ่มเนื้อหาให้หนังสือ ทั้งโจนาสและฮันนาห์ก็ดูจะไม่ถูกกันนัก เถียงกันตลอด ด้วยนิสัยที่ออกอัลฟ่าชอบออกคำสั่งของโจนาสที่กะเกณฑ์ให้ฮันนาห์ทำตามความต้องการของเขา และหนึ่งในนั้นคือการห้ามไม่ให้ฮันนาห์ทำอาชีพนางแบบอีกต่อไป เขาไม่ชอบให้เธอโชว์เนื้อหนังให้ชายอื่นชื่นชม ไม่ชอบให้เธออยู่ท่ามกลางฝูงชน เพราะเขารู้ว่าเธอไม่สบายใจที่จะทำอย่างนั้น (แต่เธอก็ทำเพื่ออาชีพ)

เรายอมรับนะคะว่า เล่มนี้ทำให้ตัวเองเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับโจนาสได้ เพราะตลอดสี่เล่มในชุด เราไม่ชอบวิธีการที่เขาปฏิบัติต่อฮันนาห์มากนัก เขาออกคำสั่ง และคาดหวังให้เธอทำตาม แต่ในเล่มนี้เมื่อเรื่องของทั้งสองคนกลายเป็นตัวเอก เราก็เข้าใจเขา และเห็นด้วยว่า ฮันนาห์จำเป็นต้องมีคนออกคำสั่ง

ฮันนาห์เป็นนางแบบดังระดับโลก และเราขอบอกว่านางแบบเป็นอาชีพที่ไร้สมองที่สุดที่เราคิดออก โปรดอ่านให้ชัดเจนว่า เราไม่ได้พูดว่า นางแบบเป็นคนไร้สมองนะคะ นางแบบฉลาดมีตัวอย่างให้เห็นเยอะ เพียงแต่เราไม่รู้สึกว่า อาชีพนางแบบจำเป็นต้องใช้สมองเท่าไหรนัก ไม่ต้องท่องบทหรือเล่นละครอย่างนักแสดง ไม่ต้องเสียงดีเหมือนนักร้อง

และในกรณีของฮันนาห์ เธอก็ไปไกลกว่านั้นอีก เธอเป็นหนึ่งในนางเอกที่เราจัดประเภทให้อยู่ในจำพวก "โง่เกินกว่าจะควรมีชีวิตอยู่" เพราะด้วยความเป็นคนดัง เธอถูกพวกโรคจิตและอยากดังตามตื้อตลอด โจนาสเตือนเธอถึงอันตรายของคนพวกนั้น ฮันนาห์ผู้ชาญฉลาด (ประชดคร้าบ) ทำไงรู้ไหมคะ

มีชายโรคจิตคลั่งไคล้ตัวเธออย่างหนัก ถึงขั้นเขียนจม.ขู่ ฮันนาห์ตอบสนองหลังจากโจนาสเตือนให้อยู่ห่างชายคนนั้น ด้วยการไปพบเขาทุกครั้งที่มีงานเดินแบบ ให้รูปของเธอพร้อมลายเซ็นต์ทุกครั้ง

มีบาทหลวงคลั่งลัทธิคิดจะให้ฮันนาห์เป็นตัวอย่างในการประจานถึงความโสมมของวงการนางแบบ ฮันนาห์คนเก่ง (หลังจากได้รับคำเตือนของโจนาส) เดินทางไปพบเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุยกันด้วยเหตุผล

แต่ฮันนาห์มีข้อดีนะคะ (อันนี้ไม่ได้ประชด) และมันเป็นข้อดีมากพอที่เราให้อภัยกับ "ความโง่" ของหล่อนได้ นั่นก็คือ เธอรู้ตัวว่าตัวเองโง่ และยอมรับออกมากับพระเอก เมื่อเหตุการณ์มันรุนแรงเลยเถิดจนตัวเองถูกทำร้าย นางเอกชนิดนี้หาได้ยากมาก และควรเก็บรักษาไว้ให้เป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ และนั่นทำให้เราชอบเธอ

นอกจากนี้แล้วคริสตีนก็ยังอธิบายนิสัยชอบออกคำสั่งของโจนาสได้ดี เขาสั่งให้ฮันนาห์เลิกเป็นนางแบบ ไม่ใช่เพราะเพื่อตัวเขาเอง (ซึ่งไม่ชอบอาชีพของเธอ) แต่เพราะเขารู้จักฮันนาห์ดีที่สุด เขารู้ว่าเธอไม่สบายใจในการอยู่ท่ามกลางฝูงชน และทำอาชีพนางแบบเพราะแรงกดดันของพี่น้องซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (น้องสาวคนนึงของฮันนาห์เป็นนักร้องเพลงร็อคชื่อดัง พี่สาวคนนึงเป็นนักเขียน อีกคนเป็นหมอ) ทำให้เธอต้องพยายามประสบความสำเร็จบ้าง และเนื่องจากทุกคนบอกฮันนาห์ว่าเธอสวยมากเพียงใด เธอจึงยึดเอาอาชีพนางแบบเป็นหนทาง แม้ใจจริงแล้วเธอจะไม่ชอบมันเลย และเธอจะมีความสุขมากกว่าหากจะได้ทำหน้าที่แม่บ้าน

นางเอกไม่จำเป็นต้องมีแรงทะเยอทะยานเสมอไปหรอกนะคะ เราชอบฮันนาห์แม้จะไม่ชอบนิสัยของเธอ เธอดูถูกตัวเอง คิดว่าตัวเองไร้ค่า คิดว่าไม่สวยทั้งที่ทุกคนในเรื่องก็บอกว่าสวย แต่เรายังชอบเธอเพราะฮันนาห์รู้ว่าตัวเองคิดผิด แต่ไม่อาจห้ามความคิดตัวเองได้ การรู้จักตัวเองเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชม

เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยความเข้าใจว่าโจนาสและฮันนาห์รักกันอย่างมาก แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ลงเอยกันสักที เพราะอาชีพของฮันนาห์ที่โจนาสไม่ชอบ และความเข้าใจผิดของฮันนาห์ที่คิดว่าโจนาสไม่รักเธอ แต่แล้วการปฏิบัติงานลับของโจนาส (ซึ่งปัจจุบันเป็นนายอำเภอในเมืองทีสาวตระกูลเดรคอาศัยอยู่) ที่เจ้านายเก่าเรียกไปทำ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ฮันนาห์ซึ่งอยู่ไกลหลายร้อยไมล์ใช้พลังจิตของเธอในการช่วยชีวิตเขา (เราบอกรึยังว่าพี่น้องตระกูลเดรคล้วนมีพลังจิตพิเศษ) แต่เมื่อเขาพักรักษาตัวอยู่ ฮันนาห์ก็ต้องเดินทางไปเดินแบบที่นิวยอร์คตามลำพัง ซึ่งงานนี้จะเป็นงานสุดท้ายของเธอ (เธอตัดสินใจออกจากวงการ) แต่ในขณะที่เธออยู่ในงานเดินแบบที่ถ่ายทอดสด คนร้ายก็บุกเข้าไปทำร้ายเธอจนปางตาย

โจนาสซึ่งเห็นเหตุการณ์ผ่านหน้าจอทีวีรีบรุดไปที่เกิดเหตุ และพาตัวฮันนาห์กลับมาพันฟื้นที่บ้านเกิด และพยายามสืบหาคนร้าย พล็อตเรื่องนี้มีแค่นี้ล่ะค่ะ ส่วนใหญ่เป็นการทำความเข้าใจฮันนาห์และโจนาส (และเราคิดว่าคริสตีนทำได้ดี เพราะเราไม่ชอบสองคนนี้ตั้งแต่ต้น แต่ในเล่มนี้ก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นคนอย่างที่พวกเขาเป็น)

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตระกูลเดรคก็น่าสนใจในอีกรูปแบบนึง พี่น้องผู้หญิงเจ็ดคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เมื่ออยู่รวมกันพวกเธอทำได้ทุกอย่าง เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันอย่างมาก แต่กระนั้นเราก็ยังรู้สึกว่ามันมากเกินไปสักหน่อยในฉากที่บรรดาพี่น้องของฮันนาห์เขียนจม.ถึงเธอ มันเรียกน้ำตาเกินไป แต่ก็นั่นแหละนะคะ เรา (ซึ่งไม่มีพี่น้อง) ชอบความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องแนวนอร่า โรเบิร์ตเขียนในชุดดรีมมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าพี่น้องตระกูลเดรคจะเลวร้ายอะไรนะคะ

โดยรวมเล่มนี้สนุกใช้ได้ค่ะ อันที่จริงดีเหนือความคาดคิดไว้เยอะค่ะ คะแนนที่ 70 (ไม่นับความคลั่งตัวละครรอง ที่ขโมยทุกซีนที่เขาออก)



โอเคค่ะส่วนรีวิวจบไปแล้วนะคะ เราต้องใช้ความพยายามมากที่จะไม่นอกเรื่องพูดถึงอิเลีย แต่ถ้าจะไม่พูด ไอ้ความคลั่งส่วนตัวมันก็ไม่ได้ระบายออกมา ดังนั้นขอเตือน (อีกแล้ว) ว่าต่อไปจะเป็นการพูดของคนที่อยู่ในอารมณ์กรี๊ดสลบ อยากอ่านเรื่องของเขามาก ๆ

มันไม่ได้มีสาระอะไรหรอกนะคะ แค่เป็นการบอกเหตุผลที่ทำไมเราถึงหันมากรี๊ดตัวละครตัวนี้มากอย่างนี้

อิเลีย พราเคนสกี้เป็นตัวละครที่ออกมาครั้งแรกในชุดพี่น้องตระกูลเดรคในเรื่อง Ocean of Fire (หนังสือในชุดที่เราชอบมากที่สุดตอนนี้) เขาเป็นความลึกลับ เป็นนักฆ่ามือหนึ่ง เป็นคนที่ทำงานที่ไม่มีใครอยากทำ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้กับมาเฟียใหญ่ชาวรัสเซีย แต่การกระทำหลายอย่างของเขาบ่งบอกว่ามันต้องมีมากกว่านั้น

ในเรื่อง OOF เขาเกือบจะขโมยซีนไปจากซาช่าพระเอก โชคดีของซาช่าที่อิเลียออกมามีบทไม่มากนัก (ไม่อย่างนั้นคงสำเร็จไปแล้วล่ะ) เขาปรากฏกายในฐานะอดีตสายลับ ปัจจุบันนักฆ่าที่อยู่ภายใต้คำสั่งฆ่าของรัฐบาลรัสเซีย และแม้แต่ซาช่าคนที่โตมากับเขา ก็ยังไม่รู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ และที่ช็อคคนอ่านใน OOF ก็คือ อิเลียเป็นหนึ่งในคนที่มีพลังจิต (ซึ่งในเรื่องไม่ใช่จะมีกันทุกคน) และที่สำคัญพลังของเขามีมากพอกับเหล่าพี่น้องตระกูลเดรคเลยทีเดียว

เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจนสำหรับคนที่อ่าน OOF ว่า อิเลียน่าจะเป็นพระเอกในเล่มหก เพราะเขาสนใจ และปิ๊งกันอย่างรุนแรงกับโจลีย์ เดรคน้องสาวคนที่หก เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่ควบคุมความระห่ำของโจลีย์ได้อยู่ ในตอนจบเล่ม OOF อิเลียช่วยชีวิตซาช่าเอาไว้ เพื่อแลกกับความสัญญาของพี่น้องตระกูลเดรคว่าจะต้องติดหนี้บุญคุณเขา ซึ่งเขาก็ได้ใช้คำสัญญานั้นใน Safe Harbor โดยแลกกับการที่ให้บอกชื่อของผู้ชายที่โจลีย์มีภาพวามหวามอยู่ด้วยกัน เพื่อที่เขาจะได้ตามฆ่าผู้ชายได้ถูกคน

เราอาจจะโรคจิตนะ แต่ฉากนั้นทำเอาหัวใจอ่อนระทวยไปเลย นี่มันสเป็คพระเอกของเราชัด ๆ

และใน SH อิเลียก็ขโมยทุกซีนที่เขาออกมามีบทบาท และเล่มนี้เขาออกเยอะด้วย (ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อนที่รักที่รู้จักเราดีว่า จะกรี๊ดสลบขนาดไหนกะผู้ชายคนนี้) แถมตอนท้ายเรื่องก็แสดงอาการเหมือนที่ซุปเปอร์แมนทำใน Crazy Sweet (สำหรับคนที่จำไม่ได้ เล่มนั้นคริสเตียนที่ไม่ใช่พระเอก กลับเป็นคนที่ออกตามล่าและฆ่าผู้ร้ายตายหมดคนเดียว)

ตอนนี้เราเลยมีอาการอิเลียฟีเวอร์อยู่นะคะ ข่าวดีก็คือ คงจะเป็นไม่นาน เพราะเรื่องของเขากำลังจะออกขายเดือนหน้านี้แล้วล่ะ





View all my reviews

Review: Turbulent Sea


Turbulent Sea
Turbulent Sea by Christine Feehan

My rating: 5 of 5 stars



คนที่ติดตามอ่านบลอกของเรามาสักระยะนึงก็คงพอรู้ถึงความ "อยากอ่าน" จนเข้าขั้นคลั่งที่มีต่อหนังสือเรื่องนี้

แต่ทุกคนก็คงจะเข้าใจดีถึงความเป็นดาบสองคมของความคาดหวัง ถ้าคุณตั้งความหวังไว้มาก คุณก็จะยิ่งผิดหวังมากตามตัวไปเท่านั้น และสำหรับเรื่องนี้ เราก็ขอบอกเลยว่า หวังมากจริง ๆ

แต่คราวนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่หนังสือมันดีเกินกว่าความคาดหวังเสียอีก

หนังสือเล่มที่หกในชุดพี่น้องตระกูลเดรค เรื่องราวของน้องสาวคนที่หก โจลี่ย์ เดรค นักร้องเพลงร็อคชื่อดังก้อง แต่ไม่ใช่โจลี่ย์หรอกนะคะที่ทำเอาสติแตกกระเจิง เราไม่เคยสติแตกเพราะนางเอกอยู่แล้ว

เป็นอิเลีย พราเคนสกี้ต่างหากที่ทำให้เราเกิดอาการนี้ขึ้นมาได้ อิเลีย หนุ่มรัสเซียนผู้ลึกลับ เขาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้กับมาเฟียใหญ่ชาวรัสเซียนเช่นกัน แต่คนที่พบเห็นเขา รับรู้ได้ในทันทีว่าเขาเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ลิ่วล้อ

อิเลียพบกับโจลี่ย์ เดรคในเรื่อง Ocean of Fire (เล่มสามในชุด) และตั้งแต่วินาทีนั้น ทุกคน (ทั้งตัวละครในเรื่อง และคนอ่าน) ก็รู้ว่า ทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน แต่สำหรับโจลี่ย์แล้ว การยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อเธอยังคิดว่าอิเลียเป็นนักฆ่าที่มือเปื้อนเลือด เป็นหนึ่งใน "คนชั่ว"

แต่ก็แน่ล่ะ สำหรับนิยายโรแมนซ์ พระเอกที่เป็นคนเลวจริง ๆ ก็คงจะไม่อาจเป็นพระเอกได้ และก็เช่นกัน อย่างที่บอกใบ้ก่อนหน้ามาแล้วหลายเล่ม อิเลียไม่ใช่แค่ "นักฆ่า" เขาเป็นมากกว่านั้น แต่ขอชมคนแต่งเลยนะคะ เพราะการแปรสภาพอิเลียจากตัวละครที่ดู "เกือบเลว" มาเป็นพระเอก เธอไม่ได้ทำให้ความเป็นเขาสูญเสียไปเลย

อิเลียยังเป็นผู้ชายที่เยือกเย็น เหี้ยมโหด และน่ากลัวคนเดิมที่เราอ่านในเล่มก่อนหน้า เขาจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเพื่อเอาตัวรอดในเกมส์ที่เขากำลังเล่นอยู่ แต่โจลี่ย์ทำให้คนอ่านเห็นเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และอย่างคำพูดที่เขาพูดกับโจลี่ย์ เขาก็เป็นได้อย่างที่เขาเป็น เพราะอดีตหล่อหล่อมเขามาเช่นนั้น

"I live the way I have to in order to survive every minute of every day. Do I do abhorrent things? Yes. Do they bother me? No, not anymore. The lines blurred a long time ago. You are the only thing real in my life-the only thing for absolute certai. You. If you don't save me, I'm lost..."

อย่างที่บอกค่ะ เราคาดหวังกับเรื่องนี้มาก เพราะคาแร็คเตอร์ของอิเลียที่ออกทำให้อยากรู้จัก และอ่านเรื่องของเขามากขึ้น และแม้ว่าในเล่มนี้จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดถึงวัยเด็ก แต่มันก็แสดงความเป็นเขาออกมาครบถ้วน เป็นครั้งแรกที่คนอ่านได้เข้าไปเห็นความคิดของเขา และสำหรับเราแล้ว มันเป็นส่วนที่ดีที่สุดในเรื่อง

เพื่อนของเราล้วนรู้ดีว่า เราไม่ชอบตัวละครที่สมบูรณ์แบบ เราชอบคนที่มีข้อบกพร่อง มีอดีต และเคยทำเรื่องเลวร้าย และเช่นกันแม้คริสตีนจะไม่ได้บรรยายการกระทำของอิเลียออกมาเป็นภาพชัดเจน เราก็รับรู้ถึงด้านมืดที่เขาต้องเผชิญ และที่สำคัญที่สุด คริสตีนทำให้เชื่อว่า โจลี่ย์คือคนที่ดึงอิเลียออกมาจากความเลวร้ายนั้นได้

โจลี่ย์เป็นนางเอกที่คู่ควร เราพูดไปแล้วว่าไม่เคยกรี๊ดกับนางเอกเล่มไหน แต่รู้อะไรไหมคะ การที่จะตัดสินว่า หนังสือเล่มไหนมีคุณค่ามากน้อย ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินมาตลอดก็คือนางเอก เพราะถ้าโจลี่ย์ไม่คู่ควรกับอิเลียแล้ว ไม่ว่าคริสตีนจะเขียนคาแร็คเตอร์ของเขาได้ดีแค่ไหน มันก็จะกลายเป็นความผิดหวัง แต่เราไม่รู้สึกถึงความผิดหวังในเล่มนี้แม้แต่น้อย

รีวิวคราวนี้เราพูดถึงตัวละครเป็นหลัก เพราะสำหรับเราแล้ว เล่มนี้คือตัวละครที่ทำให้จิตใจของเราจดจ้อง พล็อตเรื่องเป็นส่วนรอง แต่แทบไม่มีความสำคัญเลย เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะอยากอ่านเรื่องของอิเลียและโจลี่ย์ และนั่นก็คือสิ่งที่เราได้

ขอวกกลับมาที่พล็อตหน่อยแล้วกัน เพราะคนที่ไม่เคยอ่านชุดนี้เลย ก็คงคิดว่า เราเพี้ยนไปแล้ว พล็อตเรื่องก็ง่าย ๆ ค่ะ แต่ไม่แน่ใจนะคะว่าถ้าคุณไม่เคยอ่านเรื่องในชุดพี่น้องตระกูลเดรคมาก่อนเลย จะงงไหม เพราะมีหลายส่วนในเรื่องที่กล่าวถึงอดีต ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อิเลียและโจลี่ย์พบกันเป็นครั้งแรก ตัวละครที่ตามติดมาจากเล่มก่อนหน้าที่กลายเป็นตัวละครหลักในเล่มนี้

โจลีย์นักร้องเพลงร็อคชื่อดังที่กำลังออกทัวร์คอนเสิร์ตไปร่วมงานปาร์ตี้หลังคอนเสิร์ตที่จัดโดยเซอร์ไก นิกิติน ซึ่งเป็นเจ้านายของผู้ชายที่รบกวนการนอนหลับของเธอมาหลายคืน เธอหลอกตัวเองว่ามีเรื่องต้องไปพูดคุยกับสมาชิกในวง จึงต้องไปร่วมงานปาร์ตี้ แม้ความจริงเธอต้องการเพียงได้พบกับอิเลีย พราเคนสกี้ เธอรู้ว่าเขาไม่เหมาะสม เขาเป็นเลวร้ายที่เธอควรจะหนีห่าง แต่นับจากวันที่ได้พบกันครั้งแรกเมื่อปีก่อน เธอก็ไม่อาจสลัดเขาออกไปจากใจได้

แต่การไปงานปาร์ตี้ทำให้โจลี่ย์บังเอิญไปพบเห็นเรื่องสำคัญเข้า เธอพบกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าที่มาร่วมงาน ซึ่งต่อมาเด็กคนนั้นหายตัวไป และนั่นกลายเป็นปมสำคัญที่ทำให้เธอถูกตามปองร้าย และแน่ล่ะตามประสาหนังสือโรแมนซ์ก็เป็นหน้าที่ของอิเลียที่ขี่ม้าขาวมาคอยคุ้มครองนางเอก

พล็อตเรื่องง่าย ๆ ไม่ต้องคิดมาก หลายจุดไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ (อย่างอิเลียเป็นบอดี้การ์ดในนิกิติน แต่อยู่ ๆ ก็ย้ายมาทำงานให้โจลี่ย์โดยให้เหตุผลที่ดูเชื่อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ) แต่มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะไข้อิเลียทำให้สมองส่วนเหตุผลบกพร่องไปชั่วขณะค่ะ

จุดที่เราชอบเล่มนี้มากที่สุด นั่นเพราะไม่มีสักครั้งเลยที่อิเลียคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับโจลี่ย์ ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีเด่นนักหรอกนะคะ แต่เพราะเขารู้ว่า โจลี่ย์เป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่เขาจะได้พบกับความสุข และเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าเอาไว้ และเมื่อดูคำพูดทีเขาพูดกับเธอ มันก็บอกถึงความรู้สึกของเขาได้ครบถ้วนทีเดียว

"I can only give you who I am, whatever that is, Joley, but I can promise you'll never regret it. I'll never betray you. I'll always put you and your needs before my own"

หลังจากอ่านหนังสือของคริสตีน ฟีแฮนมามากกว่ายี่สิบเล่ม เบื่อหน่ายไปกับแวมไพร์คาร์พาเธียนจนเลิกอ่านไปเมื่อสี่ห้าเล่มก่อน อดทนกับการอ่านหนังสือชุดพี่น้องตระกูลเดรคมาหลายเล่ม (และมีแค่เล่มเดียวที่เรารู้สึกว่ามันดีจริง ๆ) ในที่สุดเราก็เจอกับหนังสือของเธอ ที่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว

คะแนนที่ 97




View all my reviews

Review: Trapped at the Altar


Trapped at the Altar
Trapped at the Altar by Jane Feather

My rating: 2 of 5 stars



ขึ้นเรื่องน่าอ่านมาก ทำให้เรานึกถึง The Silver Rose (ของคนแต่งคนเดียวกัน) เรื่องที่พระนางต้องแต่งงานเพื่อรวมอำนาจของตระกูล นางเอกมีคนรัก (ที่มีความสัมพันธ์กันแล้วด้วย) อยู่แล้ว เราชอบนะคะที่พระเอกนางเอกเติบโตและเป็นเพื่อนรักกันแต่เด็ก สิ่งที่แตกต่างก็คือ ในขณะที่เขามีใจให้เธอ นางเอกกลับไม่เคยเห็นเขาในสายตา และหลงคิดว่า ตัวเองตกหลุมรักคนอื่นอยู่

ครึ่งเล่มแรกอ่านสนุกเพลิดเพลินมาก เราชอบเมื่อนางเอกเริ่มมองพระเอกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เริ่มเห็นว่า เขานี่แหละคือ คนที่เหมาะสม คือคนที่ควรคู่ และเคียงข้าง มันเป็นการตกหลุมรัก แต่ไม่ได้ฉาบฉาย ชั่วคราว นอกจากนี้พล็อตที่ทั้งคู่ถูกกำหนดให้ต้องเดินทางไปลอนดอน เมื่อเล่นเกมส์การเมือง เพื่อนำอำนาจกลับมาสู่ตระกูลในราชสำนักของพระเจ้าชาร์ลที่สอง เราคาดหวังว่าเรื่องจะเป็นการผสมผสานระหว่างโรแมนซ์ (ที่ slow burn ประมาณว่า พระนางมีอุดมการณ์ร่วมกัน จึงเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น -- ถ้าใครดูซีรีย์เรื่อง The American จะเป็นแนวนั้นน่ะค่ะ) กับการเมืองที่ต้องเล่นเกมส์หนูจับแมว นางเอกต้องเข้ากับฝ่ายที่ส่งเสริมคาธอลิค ในขณะที่พระเอกอ้างตัวเป็นผู้สนับสนุนโปรแตสแตน เพื่อไม่ว่าขั้วอำนาจใดชนะ ครอบครัวพวกเขาจะต้องมีที่อยู่ และเจริญก้าวหน้า

แต่ครึ่งหลังกลายเป็นโรแมนซ์ดาษดื่น เป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง เรื่องไปมุ่งเน้นเรื่องความรัก ไม่ได้เสียหายนะคะที่จะเน้นความรัก เพราะยังไงนี่คือโรแมนซ์ แต่เราคาดหวังมากกว่านี้จากเล่มนี้ค่ะ หวังให้เป็นเรื่องแนวแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ขึ้นเรื่องเอาไว้ แต่ไปไม่ถึง กลายเป็นหนังสือที่จบแบบความรักลงตัว ที่เหลือช่างหัวมัน



View all my reviews

Review: Crave


Crave
Crave by Monica Murphy

My rating: 1 of 5 stars



เรื่องค่อนข้างสั้นทำให้ไม่สามารถพัฒนาพล็อตไปได้เยอะมาก แต่นั่นไม่ใช่คำอธิบายของการใช้พล็อตมาตรฐานทุกอย่างที่มี พระเอกเป็นเศรษฐีพันล้าน อยู่ในก้วนเศรษฐีพันล้านที่สาบานกันว่า จะไม่แต่งงาน แน่นอนว่า พวกเขาจะพบรักคนต่อคน อาร์เชอร์เป็นคนแรกที่ถูกพิสูจน์ กับน้องสาวของเพื่อนรัก

เรื่องอ่านได้ ไม่แย่ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น หรือแตกต่างจากหนังสืออีกสองพันเล่มข้างนอกนั่น



View all my reviews

Review: The Unwanted Wife


The Unwanted Wife
The Unwanted Wife by Natasha Anders

My rating: 3 of 5 stars



เราเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญ อ่านพล็อตแล้วตัดสินใจซื้อมาอ่านเลย ทั้งที่ไม่รู้จักคนแต่งด้วยซ้ำ และถือเป็นโชคดีมาก ๆ นะคะ เพราะเราได้เจอนักเขียนที่น่าติดตามมากอีกหนึ่งคน

โดยเฉพาะเมื่อเธอเขียนเรื่องในแนวฮาร์ลิควิน เพรสเซนส์ ซึ่งข้อติของเราคือ มันสั้นไป พร้อมกับนางเอกที่ประพฤติตัวเป็นพรมเช็ดเท้า ยอมให้พระเอกกระทืบ ๆ เรื่องนี้มีพล็อตคล้ายคลึงกันนะคะ พระเอกกระทำต่อนางเอกอย่างแย่มาก เขาแต่งงานกับเธอเพราะต้องการไร่ไวน์ เนื่องจากพ่อของเธอเป็นเจ้าของ และเขาต้องการไร่ซึ่งเคยเป็นสมบัติของบิดากลับคืนมาสู่ครอบครัว เมื่อข้อเสนอคือ แต่งงานและสร้างทายาท เขาก็เลือกที่จะทำ โดยไม่สนใจว่า จะมีผลกระทบต่อใครยังไง

ความแตกต่างระหว่างเธเรซา และอเลสซานโดรก็คือ เธอไม่ได้แต่งงานกับเขาเพราะถูกสั่ง แต่เพราะเธอคิดว่า เขาตกหลุมเธอ และเธอก็รักเขา ทว่าหลังจากคืนวันแต่งงานคืนแรก เธอก็พบว่า ตัวเองคิดผิด และหลังจากสองปีในนรกที่เรียกว่าการแต่งงาน เธอก็พร้อมที่จะจบมัน แต่เมื่อเธอคิดว่า ทุกอย่างสิ้นสุด ไม่เหลือเยื่อใย อเลสซานโดรกลับนึกถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เราชอบอารมณ์เรื่อง ชอบคาแร็คเตอร์ที่ได้ดั่งใจ (นางเอกที่ไม่ยอมคืนดี หรือให้อภัยง่าย ๆ) พล็อตเรื่องอาจจะง่าย ๆ ตามสูตรของเรื่องแนวเพรสเซน แต่เราได้ในสิ่งที่เราต้องการตอนที่อ่าน เรื่องบีบหัวใจที่อ่านแบบไม่ต้องคิดมาก



View all my reviews

Review: A Husband's Regret


A Husband's Regret
A Husband's Regret by Natasha Anders

My rating: 3 of 5 stars



นาทีนี้เรายกให้นาตาชา แอนเดอร์สเป็นเจ้าแม่เรื่องแนวยุงชุม (หลายคนอ่านจะเรียกว่าเรื่องแนวลินน์ แกรมห์) นะคะ เรื่องราวที่นางเอกที่เป็นคนธรรมดา ๆ แต่ได้พบและแต่งงานกับพระเอกที่เป็นเศรษฐี แต่เมื่อเธอตั้งท้อง เขากลับขับไล่เธอไปจากชีวิต

เรื่องนี้เป็นเล่มที่สองของเธอที่อีก ถือว่าได้ทุกอย่างที่คาดหวัง คืออ่านแล้วบีบหัวใจรุนแรง ถอนหายใจเป็นพัก ๆ

ข้อดีของหนังสือของเธอก็คือ นางเอกไม่เป็นพรมเช็ดเท้า ไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำคนเดียว และเมื่อเผชิญหน้ากับพระเอก ไม่ได้ยอมคืนดีง่าย ๆ เพียงแค่คำขอโทษไม่กี่คำ นี่เป็นส่วนที่เราชอบมาก ๆ เลยค่ะ

เราชอบที่เรื่องไม่ได้อธิบายว่า การกระทำของพระเอกเป็นสิ่งที่ถูก หรือเกิดจากความเข้าใจผิด โดยเฉพาะประเด็น ที่เขาตาฝาดเห็นนางเอกในเหตุการณ์รถคว่ำ แล้วเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า นางเอกทิ้งเขาไว้ให้ตายในรถ จนนำไปสู่การที่เขาสั่งให้ตัดขาดนางเอกจากความช่วยเหลือทุกอย่าง ซึ่งนำไปสู่การที่เธอต้องลำบากมาก ๆ ทั้งที่เป็นเมียเศรษฐี เรื่องไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย นอกจากนางเอกบอกพระเอกว่า เขามั่ว

ชอบอารมณ์ในเรื่องค่ะ อย่างที่บอกไป อ่านแล้วปวดหัวใจในหลาย ๆ ฉาก





View all my reviews

Review: Misunderstandings


Misunderstandings
Misunderstandings by Tiffany King

My rating: 1 of 5 stars



ถ้าคุณคิดจะอ่านเรื่องแนว New Adult เราแนะนำว่า อย่าเริ่มต้นที่เล่มนี้นะคะ เราคิดว่า เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณโบกมือลาจากการอ่านเรื่องแนวนี้ไปเลย (และเราโชคดีมากที่ไม่ได้เริ่มต้นที่เล่มนี้)

เรื่องให้อารมณ์แนว YA พอควร เล่าตัดสลับเหตุการณ์ในปัจจุบัน แล้วย้อนไปในอดีต สมัยมหาวิทยาลัยเริ่มตั้งแต่บริตนี และจัสตินพบกัน เขาเป็นหนุ่มเสน่ห์ที่จีบสาวไปทั่ว เธอเป็นเด็กเรียนเคร่งขรึม มันไม่ใช่รักแรกพบ แต่การที่เพื่อนเขา และเพื่อนเธอเป็นแฟนกัน ทำให้ทั้งคู่เข้าไปอยู่ในวงโคจรเดียวกัน

เราไม่ชอบนางเอกค่ะ สั้น ๆ ง่าย ๆ อย่างนั้น เราพบว่าเธอตัดสิน และพบว่า ทุกคนไม่ได้มาตรฐานที่เธอตั้งไว้ เราคิดว่า เธอเป็นคาแร็คเตอร์ที่ทำให้นักศึกษาที่ตั้งใจเรียนเสียชื่อ (คือเหมือนคนแต่งใช้สูตรว่า คนที่สนใจเรียน และได้คะแนนดี ๆ จะต้องมีนิสัยแบบนี้ เป็นคนที่มองคนอื่นแบบดูแคลน และในแง่ร้าย) เราชอบนะคะที่เรื่องไม่ได้เขียนให้มันเป็นรักแรกพบระหว่างบริตนี และจัสติน แต่เราไม่ชอบทัศนคติที่เธอมีต่อเขา ราวกับเธอสูงส่งกว่าเขา

ตลอดทั้งเรื่องเรามีปัญหากับบริตนี เธอตัดสินคน คิดไปเอง การที่เธอไม่มั่นใจในตัวจัสตินเป็นสาเหตุสำคับที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและจัสตินไปไม่รอด การที่เธอเก็บความลับ เรื่องเธอแท้งลูก แล้วปล่อยให้เขาคิดว่า เธอทำแท้งเอง ที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด (ตามชื่อเรื่อง) เราโทษว่าเป็นความผิดของเธอนะคะ มันเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าเพียงแต่บริตนีไว้ใจจัสติน

เป็นเรื่องแนว NA ที่ให้ความรู้สึกแบบ YA มาก ๆ และนี่คือข้อเสีย เพราะเมื่อคุณอ่านเรื่องของตัวละครที่สมควรเป็นผู้ใหญ่ (หรือใกล้จะเป็นผู้ใหญ่) แต่พวกเขาทำตัวเหมือนเด็กมัธยม สู้เราอ่านเรื่องแนว YA ไปเลยไม่ดีกว่ารึคะ



View all my reviews

Review: Come to Me Quietly


Come to Me Quietly
Come to Me Quietly by A.L. Jackson

My rating: 2 of 5 stars



คาดหวังไว้เยอะว่า อ่านเรื่องนี้แล้วจะได้ร้องไห้แบบน้ำตาไหลพราก ๆ เพราะเคยอ่านงานของนักเขียนคนนี้มาก่อน (Take this Regret) แล้ว ร้องไห้เกือบทุกซีน ผลคือน้ำตาไม่หยดสักแมะเลยค่ะ

เรื่องนี้ใช้พล็อตมาตรฐาน New Adult พระเอกผู้มีอดีตอันทุกข์ทน ผู้เป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของนางเอก กลับมาในชีวิตของเธออีกครั้ง ในเรื่องนี้จาเร็ดถูกชวนมาพักอาศัยที่อพาท์เมนต์ที่เพื่อนสนิทพักอยู่กับน้องสาว (ซึ่งก็คือนางเอก) หลังจากที่เขาออกจากคุก (เยาวชน) เรื่องไม่ได้เปิดเผยว่า อะไรทำให้เขากลายเป็นคนอย่างที่เป็นในปัจจุบัน คนอ่านรู้ว่า "บางอย่าง" เกิดขึ้น และมันทำลายชีวิตของจาเร็ด และครอบครัวของเขา เหตุการณ์ที่ทำให้เขาโทษตัวเองมาจนถึงปัจจุบัน

ตามแนว NA แอลลีทำให้จาเร็ดเริ่มก้าวพ้นจากอดีต แต่เพราะเธอคือน้องสาวของเพื่อนสนิท ทำให้ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นต้องถูกปิดเป็นความลับ

ไม่มีอะไรใหม่ หรือสร้างสรร แต่นั่นไม่ใช่ข้อเสียหรอกค่ะ เราไม่ได้คาดหวังตอนหยิบมาอ่านอยู่แล้ว สิ่งที่เราผิดหวังก็คือ เรื่องนี้ไม่ลึกซึ้งทางอารมณ์เอาเสียเลย อ่านแล้วไม่ร้องไห้น่ะค่ะ แถมความลับในอดีต เกี่ยวกับสิ่งที่จาเร็ดกระทำ ที่เขาขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุจนทำให้แม่เสียชีวิต มันธรรมดาไปหน่อย ไม่ใช่ว่า การที่แม่ของเขาตายเป็นเรื่องเล็กนะคะ แต่เห็นได้ชัดว่า (สำหรับคนอ่านอย่างเรา) ว่ามันคืออุบัติเหตุ ไม่ใช่ความตั้งใจ เราคิดว่า เรื่องจะน่าเชื่อมากกว่านี้กับการที่จาเร็ตลงโทษตัวเองซะขนาดนี้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาจงใจทำ (เพียงแต่อาจจะไม่ได้คิดว่า จะมีผลร้ายแรงปานนี้) น่าจะทำให้เรื่องน่าเชื่อมากกว่านี้

เล่มนี้มีเล่มสองที่ใช้ตัวละครเดิมเล่าเรื่องต่อนะคะ เล่มนี้เหมือนเป็นแค่ครึ่งแรกที่จาเร็ตเริ่มก้าวพ้นอดีต และยอมรับว่า เขาสมควรได้รับอะไรดี ๆ บ้าง เข้าใจว่า เล่มต่อไปจะเป็นการกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตของเขา



View all my reviews

Review: Only Pleasure


Only Pleasure
Only Pleasure by Lora Leigh

My rating: 1 of 5 stars



เรื่องนี้เขียนรีวิวยากนะคะ คือเรารู้ว่า ทำไมเราจึงไม่ชอบเล่มนี้ เรารู้มาก่อนที่จะเริ่มอ่านด้วยซ้ำ อันที่จริงเรารู้มาตั้งแต่ซื้อหนังสือชุดนี้มาอ่านด้วยซ้ำ

แต่เราก็ซื้อมาอ่านอยู่ได้ ทั้งที่รู้ว่า เราไม่ชอบพล็อตเรื่องแบบนี้ ยอมรับเหตุผลของพล็อตเรื่องไม่ได้ แต่ห้ามตัวเองไม่ให้ซื้อไม่ได้

อ่านไปคงงงกับสิ่งที่เราเขียนเหมือนกันนะคะ เราก็งงกับตัวเองเช่นกัน เพราะเรารู้สึกแบบนี้กับทุกเล่มในชุดนี้ที่อ่าน (คะแนนประมาณ 1 - 2 ดาว) แต่ก็ซื้อ และอ่านอยู่ได้ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนเวลาเราเจอคนทะเลาะกัน เราไม่ชอบ บางครั้งก็กลัว แต่อดอยากจะรู้เรื่องเขา (ว่าเกิดอะไรขึ้น) ด้วยไม่ได้สักที จะต้องไปแอบยืนห่าง ๆ พยายามเงียหูฟังว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าให้เข้าไปใกล้ ๆ เพื่อฟังชัด ๆ ก็ไม่กล้าหรอกค่ะ

เรื่องชุดนี้เป็นพล็อตแนวเซ็กส์คลับ (ที่เราไม่ชอบ) ของกลุ่มชายหนุ่มที่มีรสนิยมทางเพศที่ชอบให้ผู้ชายคนอื่นมามีอะไรกับผู้หญิงพร้อม ๆ กับเขา ประมาณว่าจะสุขสุดสุดถ้าฝ่ายหญิงถูกรุมทึ้ง (ซึ่งเป็นพล็อตที่เราไม่ชอบ)

ไม่อยากเขียนอะไรมากมาย เพราะไม่มีอะไรในเรื่องที่เราชอบ แต่ก็เช่นเดิม รู้นะคะก่อนเริ่มอ่านด้วยซ้ำ แต่ก็ดันหยิบมาอ่าน

สรุปว่า เป็นความผิดของเราเอง ประเด็นก็คือ ถ้าคุณยอมรับพล็อตเรื่องที่เราเอ่ยถึงไปได้ ก็น่าจะโอเคกับเรื่องนี้ เพราะสอบผ่านความฮ็อตตามแนวอีโรติกโรแมนซ์



View all my reviews

Review: Mine to Take


Mine to Take
Mine to Take by Cynthia Eden

My rating: 2 of 5 stars



เราชอบงานเขียนแนวโรแมนติกสืบสวนของซินเธีย เอเดนนะคะ ทำให้เมื่อพบว่า เธอกลับมาเขียนเรื่องแนวนี้อีกครั้ง จึงดีใจมาก ๆ และรีบซื้อเรื่องนี้มาทันที ซึ่งนั่นอาจจะเป็นปัญหาก็ได้ เพราะต้องใช้ความพยายามหลายครั้งมากกว่ากว่าเราจะอ่านเรื่องนี้จบ ไม่ใช่เพราะเรื่องมันแย่มาก แต่เพราะเราคิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้ เราคิดว่า เป็นเพราะภาวะของเราในขณะนั้นทำให้ไม่อาจ "เข้าถึง" เนื้อเรื่องได้ แต่หลังจากหยุดอ่านไปสองครั้ง เราไม่คิดว่า เป็นความผิดของเราค่ะ

สกาย ซัลลิแวนกำลังถูกใครบางคนติดตามปองร้าย หลังจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้อาชีพนักบัลเล่ย์ของเธอจบสิ้นลง สกายย้ายไปเมืองใหม่ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเปิดสตูดิโอสอนบัลเล่ย์ แต่คนร้ายกลับยังตามมา แถมไม่มีใครเชื่อว่า เธออยู่ในอันตรายจริง ๆ ทางออกเดียวที่เหลือก็คือ การขอความช่วยเหลือจากชายในอดีต เทรซ เวสตัน มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย (ที่ไม่ใช่ยามนะคะ) ชื่อดัง

เทรซเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของสกาย ทั้งคู่พบกันในครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งเทรซปกป้องเธอจากอันตราย สกายคิดว่า เขาคือชายคนที่ใช่ คิดว่าเขาเองก็รักเธอเช่นกัน แต่เทรซทิ้งเธอไป ชีวิตของเธอไม่เหลืออะไรอีก นอกจากการเต้น และตอนนี้เธอก็ไม่เหลือมันด้วยซ้ำ กระนั้นเมื่อไม่มีทางเลือก สกายตัดสินใจบากหน้าไปขอให้เทรซช่วย ผลลัพธ์มันมากกว่านั้น

เทรซรอคอยมายาวนานเพื่อให้สกายกลับมาในชีวิต เขาทิ้งเธอไป ก็เพื่อให้ความฝันการเป็นนักเต้นของเธอเป็นจริง เขาเฝ้ารอ คอยโอกาสที่จะกลับเข้าไปในชีวิตของเธอ ดังนั้นเมื่อสกายเป็นฝ่ายมาหา เขาทำทุกอย่างเพื่อรั้งตัวเธอไว้

เราพยายามคิดว่า อะไรที่ทำให้เราไม่ถึงกับชอบเรื่องนี้มากมาย (อยู่ในข่ายอ่านได้ แต่เราคาดหวังมากกว่านี้จากคนแต่ง) แต่ก็นึกไม่ออกนะคะ เพราะพล็อตเป็นแนวเรื่องแบบที่เราชอบอยู่ คาแร็คเตอร์ก็ถือว่าโอเค แต่เมื่อมารวมกัน กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ลงตัว

เรื่องนี้มีเล่มสองที่ดำเนินเรื่องโดยตัวละครเดียวกัน ไม่รู้นะคะว่า ต้องอ่านเล่มนั้นด้วยถึงจะได้เนื้อเรื่องแบบสมบูรณ์ (เราเคยเป็นแบบนี้ตอนอ่าน After Dark ของ Jayne Castle ที่อ่านเล่มแรกไม่สนุก แต่พอมาอ่านคู่กับเล่มสอง ทุกอย่างลงตัวมากขึ้น กลายเป็นสนุกมาก)



View all my reviews

Review: Play


Play
Play by Kylie Scott

My rating: 2 of 5 stars



เหตุเป็นเพราะเรื่อง Lick (เล่มแรกของชุด) เป็นส่วนหนึ่งที่ชักนำเราเข้าไปอ่านเรื่องแนว New Adult (นั่นคือเขียนได้สนุกมากพอจะทำให้เราเริ่มเห็นว่า แนวนี้ก็มีอะไรดี) เราจึงผิดหวังกับเรื่องนี้เล็กน้อย

โดยตัวเรื่องของมันเอง ไม่ได้ถึงกับเลวร้าย (ถ้าเราอยู่ในโหมดโหดน้อยกว่านี้ น่าจะได้ 3 ดาว) แต่เราคาดหวังไว้สูงน่ะค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องมัล คาแร็คเตอร์ที่เราคิดว่า น่าสนใจ ตอนที่เราได้เจอกับเขาใน Lick

เรื่องดูไม่มีที่มาที่ไป พฤติกรรมของมัลเหมือนเด็กมาก ๆ เราอ่านแล้วให้อารมณ์เหมือนเรื่องของเด็กมัธยมปลาย (ชาวอเมริกันด้วยนะคะ นั่นคือ น่ารำคาญมาก) มัลที่เราเจอในเล่มนี้แตกต่างจากคนที่เราเจอใน Lick มาก เห็นได้ชัดว่า มีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้พฤติกรรมของมัลดูสุดโต่ง เขาเล่นมากเกินไป ดื่มมากเกินไป หลายอย่างดูไม่มีคำอธิบาย ปัญหาก็คือ เมื่อเรื่องอธิบายว่า อะไรคือเหตุผล นั่นคือการที่แม่ของมัลป่วยหนักใกล้เสียชีวิต เราไม่รู้สึกว่า มันคือคำอธิบายน่ะค่ะ

พฤติกรรมประหลาด ๆ และเหมือนเด็กของมัล ทำให้เราต่อไม่ติดกับพล็อตเรื่อง เมื่อเขาตัดสินใจเข้าไปใกล้ชิดกับแอนน์ สร้างเรื่องการหมั้นจอมปลอม ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเธอ รบกวนชีวิตของเธอ (จนเกิดเป็นความรัก) เรื่องมันไร้ที่มาที่ไป ทำให้ถึงเราจะชอบความสัมพันธ์ระหว่างมัลและแอนน์ เราไม่อาจเพลิดเพลินกับการอ่านได้ บอกตามตรงค่ะ มันดูไม่น่าเชื่อ

เราเสียดายเรื่องนี้มาก ๆ นะคะ เราอยากจะชอบเรื่องนี้มาก ๆ แต่ทำไม่ได้ อย่างที่เกริ่นไป เรื่องนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่เราคาดหวังมากกว่านี้จากคนแต่ง



View all my reviews

Review: Reclaiming the Sand


Reclaiming the Sand
Reclaiming the Sand by A. Meredith Walters

My rating: 3 of 5 stars



เลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะเมียงมองงานเขียนของนักเขียนคนนี้มาพักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นพล็อตแล้วรู้สึกแปลกดี

เรื่องราวของนางเอกที่แกล้งพระเอกซึ่งเป็นโรค Asperger (แบบเดียวกับลอร์ดเอียน) มาตลอดสมัยเรียนมัธยม ไม่ได้แกล้งธรรมดา แต่เข้าข่ายทรมาน แบบที่เด็กอเมริกันเท่านั้นที่ทำได้ เวลาผ่านไปหกปี ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้ง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อารมณ์ของเรื่องแรงมาก อ่านแล้วไม่ชอบนางเอกรุนแรงช่วงแรก ๆ คนแต่งทำได้ดีตรงที่ไม่ได้พยายามทำให้คนอ่านชอบ เธอแสดงด้านที่เลวร้ายของแอลลี่ออกมาอย่างค่อนข้างดิบ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเชื่อว่า เธอกำลังเปลี่ยนแปลง และเติบโตขึ้น เมื่ออ่านจนจบเราเชื่อว่า แอลลี่กลายเป็นคนที่ดีขึ้น

เราชอบเรื่องที่ตัวละครมีความบกพร่อง (ทางจิต) เห็นได้จากการที่เรากรี๊ดกับลอร์ดเอียน หรือดอน (ใน The Rosie Project) ดังนั้นเราตั้งหน้าตั้งตาเตรียมใจจะชอบฟรินน์ แต่พออ่านจริง ค่อนข้างเฉยนะคะ อันที่จริงเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกกลัวเล็ก ๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่แสดงออกในเรื่องนี้หรอกค่ะ (คือพระเอกไม่ได้มีความรุนแรงอะไร) แต่ความเหมือนที่เรามองเห็นระฟว่างฟรินน์ (พระเอกในเรื่อง) กับอดัม แลนซ่า (มือปืนที่ฆ่าคนไป 26 จากเหตุบุกยิงที่โรงเรียนแซนดี้ ฮุค) มันค่อนข้างน่ากลัว

ที่สำคัญเราไม่รู้ว่า อะไรคือเหตุผลที่ฟรินน์หลงรักแอลลี่ คือคนแต่งไม่ได้ปราณีกับตัวตนของแอลลี่มากนัก และเธอในฐานะคนเล่าเรื่องก็ไม่ได้มองตัวเองดีแต่อย่างใด เราอ่านแล้วเลยสงสัยตลอดว่า เขาเห็นอะไรในตัวเธอ ทำให้ประเด็นนี้อ่อนที่สุดสำหรับเรา

โดยรวมเราชอบทิศทางของเรื่อง และการนำเสนอตัวละคร เราเชื่อในการเติบโตของนางเอก และทำให้เราเชื่อว่า เธอเปลี่ยนจาก mean girl มาเป็นคนที่เรานับถือได้

เป็นเรื่องทีอ่านแล้วพอใจ (ร้องไห้เยอะมาก ๆ) และคงอ่านงานของนักเขียนคนนี้ต่อ แต่คงไม่ลงทุนซื้อพรินต์บุ๊คเล่มนี้มาเก็บค่ะ



View all my reviews

Review: The Duchess of Love


The Duchess of Love
The Duchess of Love by Sally MacKenzie

My rating: 1 of 5 stars



แซลลี แม็คเคนซีเป็นนักเขียนที่มีผลงานออกมาหลายเล่มแล้ว แต่นี่เป็นงานเล่มแรกของเธอที่เราได้มีโอกาสอ่านค่ะ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดนะคะ (คือมีเพื่อนพูดถึงงานเขียนของเธอมาระยะนึงแล้ว ซึ่งเมื่อได้อ่านจบก็เห็นตามที่เพื่อนบอกเอาไว้ค่ะ)

เหตุผลหลักที่เลือกเอาเล่มนี้มาอ่านก่อนเล่มอื่นง่ายมากเลยค่ะ เพราะนี่เป็นเล่มแรกในหนังสือชุดใหม่ล่าสุดของเธอ หนังสือเล่มก่อนหน้าเป็นชุดเดียวกัน ซึ่งเราเห็นก็ท้อเล็กน้อยที่จะเริ่มต้นอ่านตั้งแต่เล่มแรก เลยคิดว่า ลองอ่านเล่มนี้ดูดีกว่า แต่ก่อนที่จะไปรีวิวเล่มที่เป็นชื่อบลอก เราขอรีวิวเรื่องเปิดชุด ซึ่งเล่าเรื่องราวของคู่พ่อแม่ก่อนนะคะ เรื่องนี้ออกขายเป็นอีบุ๊คแยกต่างหาก แต่สำหรับคนที่ซื้อฉบับพรินต์บุ๊ค เรื่องนี้อยู่ท้ายเล่มนี้ด้วยค่ะ

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเปิดชุด (ไม่อยากเรียกว่าเล่มแรกค่ะ เพราะ Lord Ned ถูกนับว่าเป็นเล่มแรก ดังนั้นเอาเป็นลำดับ 0.5 แล้วกันนะคะ) เรื่องราวของดัชเชสนักจับคู่มือหนึ่งแห่งวงสังคมในยุครีเจนซี เล่มนี้เป็นเรื่องราวของตัวดัชเชสเองสมัยที่ยังเป็นเพียงลูกสาวของนักเทศน์ในชนบท เรื่องราวของการพบรักกับดยุคหนุ่มของเธอ

วีนัส คอลิงส์วู้ด บุตรสาวคนเล็กในครอบครัว เธอแตกต่างจากพ่อแม่และพี่สาวสุดสวย วีนัสไม่ได้สนใจเรื่องวิชาการ เธอเป็นนักจับคู่มือหนึ่งในหมู่บ้าน แต่ที่คาใจวีนัสมากที่สุดก็คือ เธอยังไม่อาจหาชายหนุ่มที่เหมาะสมให้กับพี่สาวคนสวยของเธอได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่าดยุคแห่งเกรย์คริฟซึ่งเป็นขุนนางในละแวกนั้นกำลังจะกลับมาเยี่ยมบ้านชนบท วีนัสก็วางแผนในใจทันที เพราะคิดว่าดยุคคนนี้นี่แหละจะต้องเหมาะสมกับพี่สาวของตัวเองเป็นแน่

และเมื่อได้พบกับแอนดรูว์ ญาติของดยุคโดยบังเอิญ (และเปลือยเปล่า เพราะวีนัสกำลังว่ายน้ำ และแอนดรูว์คิดว่าเธอพลัดตกลงไปในน้ำก็เลยกระโจนลงไปช่วย) วีนัสก็ขอให้เขาช่วยกันเป็นพ่อสื่ออีกคน

สิ่งที่วีนัสไม่รู้ก็คือ ก่อนหน้านั้นแอนดรูว์ซึ่งกลายเป็นดยุคตั้งแต่อายุยังน้อยเกิดความคิดแผลง ๆ ด้วยการสลับตัวกับญาติ แกล้งเล่นละครเป็นญาติซะเอง และเมื่อได้เจอกับวีนัส เขาก็ตะลึงเกินกว่าจะคิดพูดความจริง

เล่มนี้เป็นเรื่องสั้น ๆ แนะนำคาแร็คเตอร์ของพ่อและแม่ของเหล่าพระเอกในเล่มต่อ ๆ มา เรื่องราวในเล่มนี้ไม่ถึงกับน่าประทับใจอะไรเป็นพิเศษ แต่อาจจะเป็นเพราะเราอ่านเรื่อง Lord Ned ก่อนเล่มนี้ ก็เลยชอบคาแร็คเตอร์ของทั้งวีนัส และแอนดรูว์มาตั้งแต่เล่มนั้น พอมาได้เห็นการพบรักของทั้งคู่ในเล่มนี้ก็เลยอ่านได้ ไม่รู้สึกว่า มันเร่งรัดเกินไปกับความรักที่เกิดขึ้นของทั้งสอง (เพราะในเล่มลอร์ดเน็ดเนี่ย คู่นี้ยังรักกันไม่เสื่อมคลาย แล้วก็หากว่ากันตามจริงน่าสนใจกว่าคู่ลูกชายซะอีก)



View all my reviews

Review: Bedding Lord Ned


Bedding Lord Ned
Bedding Lord Ned by Sally MacKenzie

My rating: 2 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุด The Duchess of Love ซึ่งเป็นชื่อเรียกวีนัส วาเลนไทน์ ดัชเชสแห่งเกรย์คริฟ ผู้ซึ่งเป็นนักจับคู่ฝีมือฉกาจ ปัญหาก็คือวีนัสไม่อาจจับคู่ให้กับลูกชายทั้งสามคนของเธอได้สำเร็จราบรื่นเลยสักคน

แต่ในปีนี้วีนัสกำลังวางแผนสำคัญ ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด วาเลนไทน์ บุตรชายคนรองซึ่งเป็นหม้าย หลังจากภรรยาเสียชีวิตในการคลอดบุตรพร้อมแล้วที่จะหาภรรยา แม้ว่าเน็ดจะบอกตัวเองและทุกคน (ที่ฟัง) ว่า ครั้งนี้เขาไม่ได้ต้องการมองหาความรัก เพราะเขายังเจ็บปวดไม่หายหลังจากภรรยาที่รักเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เขาไม่อยากเอาหัวใจไปเสี่ยงอีก คราวนี้เขาต้องการเลือกที่ความเหมาะสม หญิงสาวสักคนในวงสังคมเพื่อผลิตทายาท

ในเวลาเดียวกัน เอลินอร์ โบว์แมนก็หมดความอดทนที่จะรอคอยเน็ด หลังจากแอบรักเขามาตลอดชีวิต และหลีกทางให้เขาได้มีความรัก แต่งงานกับเพื่อนสนิทของเธอเอง แอลลีเป็นเพื่อนที่ดีของครอบครัววาเลนไทน์ คอยแอบมองเน็ดอยู่ห่าง ๆ ระหว่างที่เขาตามจีบ และแต่งงานกับเพื่อนสนิท แอบฝันว่า สักวันเขาจะหันมามองเธอบ้างหลังจากที่ภรรยาตายไป แต่มันไม่เคยเกิดขึ้น และแอลลีอยากมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ซึ่งเมื่อไม่อาจสมหวังในความรัก แอลลีก็ขอใครสักคนที่เหมาะสม

ซึ่งวีนัสก็ได้จัดหาคนที่เหมาะสมให้พวกเขาทั้งสองคนแล้ว ในระหว่างงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของวีนัส และลูกชายทั้งสาม (เข้าใจว่า ทั้งหมดเกิดวันเดียวกันคือวันวาเลนไทน์ --- ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อมาก ๆ ) นอกจากเน็ดและแอลลีแล้ว วีนัสก็ยังมีอีกหลายคู่ที่วางแผนเอาไว้ในใจ โดยมีผู้ช่วยสำคัญก็คือ เซอร์เรจจินัล เจ้าแมวน้อยที่มีนิสัยชอบขโมยของจากแขก และสิ่งที่เร็จจี้ชอบมากที่สุด (ในการขโมย) ก็คือ กางเกงในสีแดงของแอลลี ซึ่งมันชอบเอาไปทิ้งไว้ในห้องของเน็ด

เราไม่ชอบพล็อตตั้งต้นค่ะ ไม่ชอบเรื่องราวแอบรักแบบไม่มีความหวัง เราไม่เชื่อว่า พระเอกซึ่งโตมากับนางเอก แล้วเลือกที่จะแต่งงานกับเด็กหญิงอีกคน (ภรรยาของเน็ดก็เป็นเด็กที่โตขึ้นมากับพวกเขาเช่นกัน) รักเธออย่างสุดหัวใจ เสียใจกับการตายของเธอ จู่ ๆ จะมองเห็นแอลลีที่รอคอย ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องพยายามบอกว่า ภรรยาของเน็ดไม่เหมาะสมกับเขา ไม่ใช่คนที่เขาน่าเลือกแต่งงานมาตั้งแต่ต้น (ประมาณว่า ทุกคนเชียร์แอลลี แต่เน็ดมองไม่เห็นเธอ กลับไปชอบคนที่เขาเลือกจะแต่งงานด้วยในที่สุดมากกว่า) แต่เรื่องความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่ความเหมาะสม เราจึงไม่เห็นว่า เมื่อเน็ดไม่เห็นแอลลีทั้ง ๆ ที่โตมาด้วยกัน (จะบอกว่ามองข้ามก็ยากนะคะ เพราะดันไปเลือกเด็กอีกคนที่โตมาด้วยกันแทน) แล้วจะมามองเห็นเธอในวันนี้

เราไม่ชอบที่นางเอกแอบรักข้างเดียว ดูเหมือนเธอปล่อยชีวิตให้ว่างเปล่า ไม่คิดจะทำอะไรกะมัน แอลลีไม่คิดจะแข่งขัน เมื่อเน็ดเลือกเพื่อนสนิทเป็นภรรยา และไม่คิดจะหาคนอื่นเข้ามาในชีวิตเมื่อเน็ดเกินเอื้อม สิ่งเดียวที่แอลลีทำก็คือรอ และแม้ว่าตอนเปิดเรื่องนี้ เธอจะบอกว่า จะไม่รอแล้ว แต่พฤติกรรมตลอดเล่ม เธอก็ยังรออยู่นั่นเอง

ถ้าไม่มองแบ็คกราวด์ของความสัมพันธ์ของทั้งสอง เราชอบเนื้อเรื่องค่ะ เราคิดว่า เราคงชอบเล่มนี้มากกว่านี้ หากเน็ดและแอลลีไม่รู้จักกันมาก่อน เราคงจะยอมรับเหตุผลของเนื้อเรื่องได้มากกว่านี้ เพราะถ้ารู้จักกันมานานขนาดนี้ เน็ดยังไม่รักเธอ แล้วทำไมเวลาที่อยู่ด้วยกันแค่สองสามวันถึงได้หันมารักล่ะ ในเมื่อแอลลี่ก็เป็นคนคนเดิมนั่นแหละ เรื่องพยายามบอกว่า แอลลีเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เน็ดแต่งงาน ไม่กล้าบ้าบิ่นเหมือนสมัยเด็ก แต่มันก็เท่ากับว่า แม้ตอนที่เธอเป็นตัวเอง เน็ดก็ยังเลือกคนอื่นใช่ไหมล่ะ

ในเล่มนี้เรากลับไปชอบเรื่องราวของเหล่าตัวละครรอง แต่ละคู่ที่วีนัสจัดคู่ให้เสร็จสรรพ แผนการที่วางไว้ทำให้ดูเหมือนวีนัสพาคนเหล่านั้นมาจับคู่ให้กับเน็ด และแอลลี แต่จริงๆ แล้ว วีนัสมีแผนการเฉพาะสำหรับคนเหล่านั้น ซึ่งเวลาอ่านถึงคู่รอง ๆ พวกนี้แล้วกลับรู้สึกว่า น่าสนใจกว่าคู่หลักด้วยซ้ำ

พูดถึงเรื่องนี้ต้องพูดถึงน้องแมวค่ะ เซอร์เร็จจี้น่ารักดีค่ะ ฉลาดเกินแมวจนไม่น่าเชื่อ แต่ก็นะ เรื่องนี้ให้อภัยกันได้ ไม่มีปัญหา

คะแนนที่ 60



View all my reviews

Review: When He Was Bad


When He Was Bad
When He Was Bad by Shelly Laurenston

My rating: 4 of 5 stars



คำพูดที่ควรใช้พูดต่อชื่อเรื่องนี้ก็คือ When he was bad, the book is really really good.

และนี่เป็นคำชมที่สูงมากนะที่เราให้กับหนังสือรวมเรื่องสั้น เพราะปกติไม่ค่อยชอบหรอกนะคะ เท่าที่นึกออก อ่านโรแมนซ์มาเป็นสิบปี ชอบเรื่องสั้นจริง ๆ มาก ๆ แค่สามเรื่อง แต่สองเรื่องในเล่มนี้ถือว่าอยู่ในระดับดี และดีมาก อาจเพราะเรื่องสั้นในเล่มนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว (ปกติเรื่องสั้นจะหนาประมาณร้อยหน้า แต่ในเล่มนี้แต่ละเรื่องยาวประมาณร้อยห้าสิบหน้า)ก็ได้ เราไม่รู้เหมือนกัน

แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งก็คือ เรื่องสั้นสองเรื่องที่อยู่ในเล่มนี้ ถึงจะเป็นแนวพารานอมอลทั้งคู่ แต่ก็มีสไตล์การเขียนและการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกันสุดขั้ว

เรามาว่ากันทีละเรื่องค่ะ

Miss Congeniality ของแชลลี่ ลอว์เรนตัน

ขอบอกไว้เลยนะคะว่า ตอนนี้แชลลี่ ลอว์เรนตันกลายเป็นนักเขียนโปรดของเราไปแล้ว หลังที่เขียน The Beast in him ได้น่ารักโคตร ๆ เล่มนี้ก็ตามรอยเดิม ไม่ใช่ว่าพล็อตเหมือนเดิมนะคะ แต่เป็นที่ความน่ารักของการดำเนินเรื่องยังมีอย่างครบถ้วน

มีหนังสือไม่กี่เล่มหรอกนะคะที่ทำให้เราอ่านไปยิ้มไปได้ตลอดเวลา

ไอรีน คอนริดจ์ และ นีล แวน โฮลซ์รู้จักกันมากว่าเจ็ดปี นับตั้งแต่ตอนที่เขาอายุยี่สิบปี และเป็นซีเนียร์ในรั้วมหาวิทยาลัยและได้เจอสาวสวยที่ถูกใจอย่างจังเข้า แวน (ชื่อที่พระเอกเราบอกให้คนอื่นใช้) ก็ตามประกบตามจีบไอรีนที่เขาคิดว่าเป็นน้องใหม่เฟรชชี่วัยสิบแปดทันที ก่อนที่จะได้รู้ความจริงว่า สาวไอรีนของเราไม่ใช่นักศึกษา หากแต่เป็นศาตราจารย์ที่ได้รับเชิญให้มาสอนในมหาวิทยาลัยของเขา

ใช่แล้ว ไอรีนเป็นเด็กอัจฉริยะ เธอจบปริญญาเอกสามใบ ไม่ต้องนับปริญญาโท เธอเก่งกาจเหนือคน และรู้ดีถึงความชาญฉลาดของตัวเอง และเหนือกว่านั้น เธอรู้จักข้อด้อยตัวเองด้วย เธอรู้ว่า ไม่ใช่คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีนักหรอก อันที่จริงเธอมีเพื่อนสนิทแค่คนเดียว เธอเป็นอาจารย์ที่ร้ายกาจ และคงเป็นคู่รักที่ไม่ดีนัก เธอไม่เห็นว่าการแลกเปลี่ยนของเหลวระหว่างชายหญิงมันน่าจะพิศมัยตรงไหน (ดังนั้นไอรีนจึงไม่คิดที่จะมีคู่รัก)

และเพราะเธอรู้จักตัวเองดี เธอจึงไม่เคยเชื่อเลยว่าแวนจะจีบเธอจริงจัง

ส่วนแวนก็ไม่ได้คิดที่จะจริงจังกับไอรีน เขาเป็นเสือผู้หญิง (ควรจะเรียกว่าหมาผู้หญิง เพราะแวนเป็นมนุษย์หมาป่า) เป็นลูกชายของอัลฟ่า และกำลังจะเป็นอัลฟ่า ผู้หญิงควรจะวิ่งไล่จับเขาสิ แต่ไอรีนกลับไม่สน จนกระทั่งคืนวันนึง เมื่อไอรีนข้ามเขตพรมแดนเข้าไปในเขตของสิงโตและไฮยีน่า (พวกกลายร่าง) และแวนเข้าไปช่วยชีวิตเธอ (ความจริงคือ ไอรีนช่วยตัวเองเกือบเสร็จแล้วล่ะ แวนถึงโผล่ไปถึง) ทางเดียวที่เขาจะหยุดยั้งคำสั่งฆ่าไอรีน เนื่องจากเธอรู้ความจริงเกี่ยวกับพวกกลายร่าง ก็คือรับเธอเข้ามาเป็นคู่ชีวิต

ซึ่งแวนก็บอกตัวเองว่า โอเค ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากเลย เพราะเขาไม่เคยเชื่อในเรื่องคู่ชีวิตอยู่แล้วนี่ เขาเพียงแต่ต้องการปกป้องไอรีนเท่านั้นเอง

แต่ในหนังสือโรแมนซ์ คนอ่านก็คงรู้ว่า ไม่มีอะไรง่ายหรอกนะ

ก่อนอื่นคงต้องพูดว่า พล็อตเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นและถูกใจเราก็คือ การเขียน การวางตัวละคร การใช้คำพูด (หรือพูดให้ถูก ก็คือองค์ประกอบทุกอย่างในเรื่อง) มันสุดยอด ทั้งลงตัว ไม่ขาด ไม่เกิน และน่ารักมาก ๆๆๆๆ

ไอรีนไม่ใช่นางเอกที่น่ารัก แต่เธอเหมาะกับแวนที่สุด นิสัยประหลาด ๆ ความเพี้ยนของไอรีนพอเหมาะพอดีกับแวน มันทำให้เราเชื่อในความรักของทั้งคู่

คะแนน (เฉพาะเรื่องนี้) ที่ 83

Wicked Ways ของซินเธีย เอเดน

ในขณะที่เรื่องของแชลลี่เบาโหยง (ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะคะ) เน้นที่เสียงหัวเราะ บทสนทนา และตัวละคร ในเรื่องนี้ของซินเธีย เอเดนเป็นแนวพารานอมอลที่เราคุ้นเคยกันดี พระเอกที่เป็นอดีตเอฟบีไอ และเป็นเพื่อนบ้านของนางเอก ได้ช่วยชีวิตนางเอกไว้จากคู่เดทที่บังเอิญเป็นแวมไพร์ และพยายามฆ่านางเอก และเราบอกรึยังว่าพระเอกของเราเป็นมนุษย์หมาป่า

เช่นกัน พล็อตเรื่องนี้ไม่มีอะไรใหม่ให้ค้นหา แต่ก็เช่นเดียวกันกับเรื่องแรก การเขียนของซินเธียทำให้พล็อตเรื่องที่ดูเก่าเก็บอันนี้น่าสนใจขึ้นมาได้

ในแง่นึง เราคิดว่าเล่มนี้ดีกว่า Hotter after Midnight ซึ่งเป็นนิยายเล่มแรกของซินเธียเสียอีก (ซึ่งเล่มนั้นพล็อตเรื่องก็คล้าย ๆ กับเรื่องสั้นเรื่องนี้แหละ) และมันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของเธอ (หรืออาจจะหมายความว่า เธอเขียนเรื่องสั้นได้ดีกว่าเรื่องยาวก็ได้)

อย่างที่บอกค่ะเรื่องนี้บรรยากาศในเรื่องแตกต่างไปจาก Miss congeniality โดยสิ้นเชิง ผู้ร้ายในเรื่องทั้งโหด และเป็นภัยต่อนางเอก ในขณะที่พระเอกก็อัลฟ่าสุดสุด ประเภทรู้ว่านางเอกเป็นคู่ ก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปเลย

โดยรวมถือว่าดีนะคะ เพราะเมื่อคิดว่า เราชอบ Miss Congeniality มากขนาดนี้ แต่ยังไม่คิดว่าเรื่องนี้ด้อยกว่ามากนัก

คะแนน (ของเรื่องนี้) ที่ 80




View all my reviews

Review: Howl For It


Howl For It
Howl For It by Shelly Laurenston

My rating: 4 of 5 stars



เล่มนี้ได้รับการลัดคิวอย่างด่วนเพื่อมาอ่านเลยค่ะ หลังจากได้ตัวเล่มจากร้านหนังสือแล้ว ก็เริ่มต้นอ่านทันที เพราะเป็นเรื่องราวของคาแร็คเตอร์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่อ่านเรื่อง Big Bad Beast เรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อแม่ของนางเอกในเล่มนั้นค่ะ ซึ่งคนที่อ่านไปแล้วก็จะรู้ถึงความ "พิเศษ" ของผู้เป็นพ่อดีนะคะ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยากอ่านเรื่องราวความรักของคู่พ่อแม่ อยากเห็นว่าพวกเขาจะ "จีบ" กันยังไง

อย่างไรก็ตามเล่มนี้เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นค่ะ นอกจากเรื่องของเชลลี ลอว์เรนสตันซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เราอยากอ่านแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องของซินเธีย เอเดน ซึ่งก็เป็นนักเขียนที่เราชอบมาก ๆ อีกคนนึง นั่นจึงทำให้ความคาดหวังในเล่มนี้ค่อนข้างสูงพอควร ซึ่งค่อนข้างแปลกเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านเรื่องสั้น ๆ อย่างเรา

Like a Wolf with a Bone ของเชลลี ลอว์เรนสตัน

เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุด Pride ค่ะ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเรื่องราวในชุดย้อนไปไกลประมาณสามสิบปีก่อน โดยเป็นเรื่องของคู่รุ่นพ่อแม่ของนางเอกเรื่อง Big Bad Beast

เอ็กกี เรย์ สมิธที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากกองทัพให้พักร้อนโดยด่วน เพราะเขาเริ่มทำให้เพื่อนร่วมทีมไม่สบายใจ (ซึ่งเอ็กกี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหรว่า เขาทำให้ใครไม่สบายใจได้ยังไง ในเมื่อเขาก็ไม่ชอบยุ่งกะใคร แค่ชอบในงานที่ตัวเองได้รับคำสั่งให้ทำ ก็คือการฆ่า) ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับไปบ้านเกิด แต่พอไปถึงก็โดนเหล่าพี่น้องลากไปที่อีกเมืองนึง เพราะบรรดาพี่น้องของเขาแต่งงานกับสาว ๆ ของตระกูเลวิสซึ่งแต่ละคู่ก็สร้างปัญหาปวดหัวด้วยการเถียงกันตลอดเวลา

เอ็กกี้ไม่เข้าใจเสน่ห์ของสาวตระกูลเลวิสว่ามีอะไรดี แต่ละคนล้วนพูดมาก ขี้บ่น จนกระทั่งเขาได้พบกับดาร์ลา เมย์ เลวิส น้องสาวคนเล็กของตระกูล แค่เพียงแว่บแรก เอ็กกี้ก็หลงใหลเธอเข้าอย่างจัง ดังนั้นเมื่อดูเหมือนว่า ดาร์ลาตกเป็นเป้าหมายการตามปองร้ายของมนุษย์ที่ส่งทีมนักฆ่าออกมาล่าตัวเธอ เอ็กกี้ก็แสดงฝีมือเข้าปกป้อง พร้อมทั้งพาตัวดาร์ลาไปยังที่ปลอดภัยที่สุด

บ้านของเขาเอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว (ประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่าหน้าของหนังสือไซด์เทรด) ซึ่งความยาวกำลังพอดีกับเนื้อเรื่องค่ะ เพราะตามสไตล์ของคนแต่งคนนี้ พล็อตไม่สำคัญเลยนะคะ ทุกอย่างอยู่ที่คาแร็คเตอร์ และการจับคู่เอ็กกี้ กับดาร์ลาก็เหมาะเจาะลงตัวมาก

ไม่เคยคิดนะคะว่า จะอ่านหนังสือที่มีพระเอกชื่อแสนจะไม่โรแมนติกแบบเอ็กกี้ได้ (ซึ่งเรื่องนี้ดาร์ลาก็เปรยเอาไว้ในเรื่อง ว่าผู้ชายของเธอนั้นดีทุกอย่างยกเว้นมีชื่อว่าเอ็กกี้) แต่เรื่องนี้กระทั่งชื่อก็ไม่ทำให้เราถอยค่ะ หมาป่าผู้รักความสันโดดอย่างเอ็กกี้เมื่อเจอความรัก เขาก็จัดการกับมันในแบบของเขาเอง เราชอบที่คนแต่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา เพียงแต่เขารวมเอาดาร์ลาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

ชอบมาก ๆ กับฉากตอนที่ (สปอยล์เล็กน้อย) ดาร์ลาเอารถของเอ็กกี้ไปขับ แล้วโดนชนมาพังยับ เขาไม่พูดอะไรสักคำ ไม่สนใจด้วยซ้ำ (ซึ่งแตกต่างจากคาแร็คเตอร์อื่น ๆ ในเรื่องชุดนี้พอควร) เพราะตัวตนของเขาไม่เหมือนกับคนอื่น สิ่งเดียวที่เขาห่วงก็คือดาร์ลา

งานเขียนของแชลลีเขียนรีวิวยากค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี การบรรยายงานเขียนของเธอทำได้ยาก ต้องลองอ่านเอาเองแล้วจะรู้นะคะ คือถ้าชอบก็คือชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็คงจะไม่มีวันชอบ เราเป็นพวกที่ชอบค่ะ เราชอบมุมมองของเธอ แตกต่างจากนักเขียนคนอื่น เธอเป็นคนที่เขียนเรื่องแนวตลกร้ายได้ดีมากที่สุดคนนึง

คะแนนที่ 83

Wed or Dead ของซินเธีย เอเดน

ซินเธีย เอเดนค่อนข้างโชคดี แต่ในขณะเดียวกันก็โชคร้าย นะคะที่ได้จับคู่ออกเรื่องสั้นในหนังสือเล่มเดียวกับเชลลี ลอว์เรนสตันมาหลายเรื่องแล้ว ที่โชคดีเพราะมีแฟนงานเขียนของเชลลีมากพอจะช่วยกันซื้อหนังสือจนติดอันดับหนังสือขายดี แต่ในขณะเดียวกันสไตล์การเขียนของซินเธียก็แตกต่างจากเชลลีมากมาย

สำหรับเราไม่มีปัญหากับสไตล์การเขียนที่แตกต่างนะคะ ไม่ได้คิดจะเอาไปเปรียบเทียบ เพราะคิดว่า นักเขียนแบบเชลลี ลอว์เรนสตันมีแค่หนึ่งเดียว ซินเธีย เอเดนเป็นนักเขียนแนวพารานอมอลทั่ว ๆ ไป ที่เขียนเรื่องค่อนข้างตามสูตรพอสมควร แต่เราชอบวิธีการเล่าเรื่อง และคาแร็คเตอร์ของเธอ จนทำให้ซินเธียเองก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่เราชอบมากคนนึง

ถ้าเปรียบเทียบเล่มนี้กับเรื่องสั้นเรื่อง ๆ ที่เะอเขียน (โดยเฉพาะที่รวมเล่มขายกะเชลลี) เราชอบเรื่องนี้อาจจะน้อยที่สุดนะคะ ทั้งที่เรื่องนี้ยาวกว่าเรื่องอื่น ๆ และเราเป็นคนชอบเรื่องขนาดยาวมากกว่านั้น

ส่วนหนึ่งเพราะเรารู้สึกว่า เรื่องนี้เริ่มต้นที่กลางเรื่อง เราไม่รู้จักคาแร็คเตอร์ดีพอที่จะเข้าใจแรงจูงใจของพวกเขา เลยทำให้เราไม่ผูกพันกับตัวละคร และไม่มีส่วนร่วมไปกับเนื้อเรื่อง

เรื่องเล่าถึงเคย์ลา นักล่าที่แฝงตัวเข้าไปสนิทสนมกับเกจ ไรเดอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าของฝูงหมาป่าที่เพิ่งเข้ายึดครองลาสเวกัส เคย์ลาได้รับคำสั่งให้ทำทุกอย่างเพื่อใกล้ชิดกับเกจ และนั่นหมายความว่า เธอจะต้องยอมเข้าพิธีแต่งงานกับเขาด้วย

คืนวันแต่งงานยังไม่ทันจะสิ้นสุดลงด้วยซ้ำ เคย์ลาได้รับคำสั่งให้ลงมือสังหารเกจ คำสั่งที่เธอไม่อาจทำได้ แต่ในขณะเดียวกัน

ขณะที่เคย์ลาไม่อาจลงมือได้ เจ้านายของเธอก็ส่งทีมตามเข้ามาจัดการเกจ ซึ่งแทนที่จะหนีไปตามลำพัง เขากลับพาตัวเคย์ลาไปด้วย เพราะเกจได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเคย์ลามาตั้งแต่ต้น และแม้รู้ว่าเคย์ลาจะทรยศเขาในที่สุด แต่มันก็ไม่สำคัญ เขายังคงต้องการเธอเป็นคู่

เรื่องนี้มันเริ่มต้นแบบขาดช่วงน่ะค่ะ เหมือนเดินเข้าไปดูหนังแล้วฉายไปแล้วครึ่งเรื่อง เราไม่เห็นตอนที่เกจ และเคย์ลาพบกัน ไม่เห็นความสัมพันธ์ในส่วนนั้น มันเลยทำให้เรายากที่จะเชื่อในความรู้สึกที่ทั้งคู่มีให้ต่อกัน เลยดูเหมือนทุกอย่างเป็นการ "กำหนด" จากคนแต่ง ให้เคย์ลาเลือกเกจ แทนที่จะเป็นทีมของเธอที่อยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิต ทำให้เกจเลือกเคย์ลา แม้จะหมายถึงนำอันตรายมาสู่ฝูงที่เขาเป็นผู้ดูแล

ความเชื่อในความผูกพันของพระเอกนางเอกเป็นเหตุผลใหญ่ที่เราไม่อาจเข้าถึง หรือซึ้งไปกับเรื่องราวได้ เราไม่รู้สึกว่า การเสียสละของเกจ หรือเคย์ลาเป็นสิ่งที่สูงส่ง ดังนั้นแม้ว่าเนื้อเรื่องต่อมาจากนั้นจะถือว่า สนุกและน่าติดตาม (เหมือนหนังแอ็คชั่นในระดับนึง) เราก็ไม่อาจเข้าไปในเนื้อเรื่องได้

เราคิดว่า ถ้าเรื่องนี้เขียนเป็นหนังสือเต็มเล่มอาจจะดีกว่านี้ ทำให้คนอ่านได้เห็นความผูกพัน เห็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างเกจ และเคย์ลา อาจจะทำให้เราเข้าใจแรงจูงใจในการกระทำของพวกเขามากกว่านี้ได้

คะแนนที่ 63

สรุปว่า ถ้าเป็นแฟนงานเขียนของเชลลี ลอว์เรนสตัน ก็คุ้มค่าที่จะซื้อมาอ่านนะคะ เราอ่านเรื่องสั้นของเธอจบไป ตอนนี้อยากกลับไปอ่าน Big Bad Beast อีกรอบแล้วล่ะค่ะ อยากเปรียบเทียบว่า เอ็กกี้ในวัยกลางคนเหมือนหรือแตกต่างจากตอนเป็นหนุ่มยังไงบ้าง (เท่าที่จำได้ไม่เปลี่ยนนะคะ ยังชอบคุ้ยถังขยะเหมือนเดิม)




View all my reviews

Review: Midnight's Master


Midnight's Master
Midnight's Master by Cynthia Eden

My rating: 5 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุดมิดไนท์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของเหล่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติในเมืองแอตแลนต้า และที่สำคัญเล่มนี้เป็นเรื่องราวของตัวละครที่เราแสนจะรอคอยมานาน เรียกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาโผล่ออกมาในเล่มแรก (Hotter After Midnight) ก็ขโมยซีนเกินหน้าพระเอกไปแล้วล่ะ (สำหรับเรานะคะ คนอื่นไม่รู้เหมือนกัน) และนี่แหละคือเหตุผลใหญ่ที่เราชอบเรื่องนี้มาก ๆ เพราะคุ้มค่ากับการรอคอยอย่างยิ่ง ทั้งที่ตั้งความหวังไว้เยอะ แต่ซินเธียไม่ทำให้เราผิดหวังเลยสักนิดเดียว

โฮลี่ สตรอมเป็นนักข่าวสาวที่มีอนาคตไกล แต่การที่เธอเข้าไปพัวพันกับโลกที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเธอไม่เคยคาดคิดว่าจะมีอยู่จริง เริ่มทำให้โฮลี่สงสัยและอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแห่งนั้น จนถึงกับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย สายข่าวสองคนของเธอเสียชีวิตลงอย่างโหดร้าย และนั่นกระตุ้นให้โฮลี่ต้องค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น

และคนคนเดียวที่เธอรู้ว่าจะช่วยเธอได้ก็คือ ชายผู้ซึ่งเธอรู้ตัวดีว่า ไม่ควรเข้าใกล้ นั่นเพราะไนออล แล็ปเพนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นเดม่อนที่มีพลังในระดับสิบ (ซึ่งเป็นระดับสูงสุด) ว่ากันว่า เขาเป็นเดม่อนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เกิดในศตวรรษนี้ โฮลี่รับรู้ถึงความมีเสน่ห์อย่างร้ายแรงของไนออล เมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้จากฆาตกรต่อเนื่อง (เหตุการณ์ใน Midnight Sins ซึ่งเป็นเล่มสองของชุด) แต่ในเหตุการณ์นั้นเองโฮลี่ก็ได้รับรู้ถึงพลังที่ไนออลมี มันยิ่งใหญ่ขนาดที่สามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัสร่างของเหยื่อด้วยซ้ำ

ดังนั้นโฮลี่จึงรู้ดีว่า การเข้าใกล้ไนออลคือการเล่นกับไฟ แต่เธอไม่มีทางเลือก เพื่อความยุติธรรมให้กับเหยื่อสองรายซึ่งเป็นคนที่เธอรู้จัก โฮลี่ขอให้เขาช่่วยในการสืบหาคนร้าย และนั่นทำให้ทั้งสองต้องเล่นละครเป็นคู่รักกัน

สิ่งที่โฮลี่ไม่รู้ก็คือ ไนออลไม่ได้ช่วยเธอเพราะต้องการค้นหาความจริง ในฐานะเดม่อนผู้ทรงพลังที่สุดในเมือง มันเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้วในการตามหาคนร้ายที่ออกไล่ล่าฆ่าเดม่อนในเมือง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำตามลำพังได้ ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับโฮลี่ด้วยซ้ำ แต่เขายินยอมตามสิ่งที่เธอต้องการ เพราะเขาจำเ็ป็นต้องปกป้องเธอ เพราะเขารู้ว่า เขาไม่อาจทนได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ และทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อความปลอดภัยของหญิงสาวที่แม้ปากของเขาจะบอกว่าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และไม่ควรเข้าใกล้ แต่ไนออลก็ไม่อาจทำตามสิ่งที่สมองสั่งการเขาได้

และนี่คือสิ่งที่ชอบมาก ๆ ในเรื่อง เพราะคนอ่านรู้อย่างที่ไม่ต้องบอกเลยถึงความรู้สึกที่ไนออลมีให้กับโฮลี่ มันชัดเจนขนาดนั้น

ในแง่นึงเราคิดเปรียบเทียบพระเอกกับคาแร็คเตอร์ที่เป็นที่นิยมของนิยายไทย ซึ่งก็คือ เจ้าพ่อมาเฟีย ชายที่ทำหลายสิ่งที่สังคมไม่อาจยอมรับว่าถูกต้องดีงาม แต่สำหรับคนอ่านนิยายรักแล้ว นี่เป็นพระเอกในดวงใจของใครหลายคน สำหรับเราไม่อาจทำใจยอมรับพระเอกมาเฟียได้ แต่ในโลกที่เป็นแนวพารานอมอลที่มันเหนือจริงเสียจนเรารู้สึกไม่มีปัญหาอะไรไปกับมัน

พระเอกในเรื่องนี้เป็นเดม่อนที่ทรงพลังและทุกคนหวาดกลัว คนที่กล้ามากหน่อยก็จะเอ่ยปากเตือนนางเอกให้คิดให้ดีดีที่พาตัวเองเข้ามาพัวพันกับชายที่อันตรายเช่นเขา เพราะไนออลเป็นนักฆ่า และไม่ใช่ฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือคน เขาเป็นเดม่อนที่ทุกคนหวาดกลัว ชีวิตในโลกปีศาจ (หรือเดม่อน) เป็นเรื่องของพละกำลัง และความรุนแรง ไนออลไม่อาจแสดงด้านที่อ่อนแอ หรือปราณีออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่มือบริสุทธิ์ มันเปื้อนเลือด และจิตวิญญาณของเขาก็ไม่ได้สดใสไปด้วยความดี แต่นี่คือลักษณะของตัวเอกชนิดที่ชอบมาก ๆ และเพราะคาแร็คเตอร์ที่เป็นด้านสีเทาของไนออล ซึ่งคนแต่งเก่งมาก ๆ ในการยังคงลักษณะความเป็นเขาเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขายังมีความเป็นพระเอกครบถ้วน และีนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังสือเล่มนี้

นั่นก็เพราะเมื่อรัก ไนออลทำทุกอย่างเพื่อโฮลี่ เขาปกป้องเธอทุกวิถีทาง และฉากที่ทำให้เขายอมรับความรู้สึกของตัวเองเกิดขึ้นเมื่อ เขามองเห็นเธอในโทรทัศน์ (โฮลี่เป็นนักข่าวโทรทัศน์) ในสภาพฟกช้ำดำเขียวอันเนื่องมาจากมีคนพยายามลอบฆ่าเธอ ก่อนหน้านั้นนีออลอาจจะพยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง แต่จากจุดนั้นเขาก็ยอมรับเธอเข้ามาในการคุ้มครองดูแล และยอมรับกับตัวเองว่า ไม่อาจเสียเธอไปได้

และใครล่ะจะไม่หลงรักชายที่พูดว่า เขาไม่อาจรักนางเอกได้ เพราะหากเขารัก และสูญเสียเธอไป โลกใบนี้ก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เพราะนีออลจะทำลายล้างมันให้สมกับความเสียใจที่สูญเสียของรัก

ในขณะเดียวกันคาแร็คเตอร์ของโฮลี่ก็เข้มแข็งพอที่คู่ควรกับชายผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดอย่างไนออล โฮลี่ไม่ใช่นางเอกตาใสมองโลกด้วยแว่นสีกุหลาบ เธอรู้จักตัวตนอันแท้จริงของไนออล รู้ถึงความเหี้ยมโหด และพลังที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่เธอก็ยังรักเขาอย่างที่เขาเป็น รักเขาด้วยดวงตาที่มองเห็นความจริงทั้งหมด และยังเลือกที่จะรักเขา และความรักของโฮลี่นี่เองที่ทำให้ไนออลต้องการเป็นคนที่ดีขึ้น ฉากที่เราชอบมาก ๆ ก็คงเป็นตอนจบเรื่อง (สปอยล์) เมื่อไนออลฆ่าผู้ร้ายตาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงความรู้สึกว่าโฮลี่จะคิดยังไงกับการที่เขาเป็นผู้ลงมือฆ่า แต่สำหรับโฮลี่แล้ว เธอเข้าใจว่า คนบางคนก็สมควรตาย และนั่นทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับไนออล

อาจมีบางคนรู้สึกนะคะว่า พระเอกมันเก่งเกินไปจนทำให้พล็อตเรื่องดูไม่น่าสนใจ (ก็แหมเก่งขนาดที่ผู้ร้ายไม่น่าจะมีปัญญาทำร้ายอะไรได้) ซึ่งเราก็เห็นจริงด้วย แต่สิ่งที่เราให้ความสนใจอย่างมากก็คือคาแร็คเตอร์ของไนออลเอง เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา การเป็นเดม่อนที่มีพลังในระดับสิบ ไนออลเป็นเสมือนตำนาน และสิ่งเดียวที่จะหยุดเขาได้ก็คือ ตัวเขาเอง และในเรื่องนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า ด้วยความรักที่เขามีต่อนางเอก มันทำให้เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้น (และโลกของเราก็ปลอดภัยอีกครั้งนึง)

สุดท้ายอยากจะบอกว่า ชอบเรื่องนี้มาก ๆ ชอบจริง ๆ ชอบจัง ๆ โดยเฉพาะพระเอกได้ใจเราไปหมดแล้ว

คะแนนที่ 87



View all my reviews

Review: Midnight Sins


Midnight Sins
Midnight Sins by Cynthia Eden

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือขนาดยาวเล่มที่สองซินเธีย และเราขอบอกว่า ถูกใจเรามาก และทำให้ตอนนี้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักเขียนใหม่ที่เราจับตามองมากที่สุดคนนึงแห่งปีนี้เลยค่ะ

เืรื่องนี้เป็นเล่มที่สองในชุด ต่อเนื่องกับ Hotter after midnight ที่เล่าเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเดินปะปนกับเรา เราไม่คิดว่า คุณจำเป็นต้องอ่านเล่มแรกก่อนที่จะอ่านเล่มนี้หรอกนะคะ เพราะอย่างเราเนี่ยอ่านเล่มแรกจบไปแล้ว และเกือบจะลืมไปแล้วด้วย ยังหยิบเรื่องนี้มาอ่านได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

เช่นเดียวกับเล่มแรก เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม คราวนี้เหยื่อคือชายหนุ่มหน้าตาดี แข็งแรง และถูกมัด เขาตายโดยไม่มีบาดแผล และส่อว่าคนที่ฆ่าเขาคือผู้หญิงที่เขาพาเข้ามาในโรงแรมม่านรูด จากการค้นในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบกระเป๋าถือที่ภายในมีบัตรประชาชนระบุชื่อ คาร่า มาโลน

ดังนั้นทอดด์ บรู๊คส์ และคอลินคู่หูจึงไปที่บ้านของหญิงผู้นั้นเพื่อสอบถามความเกี่ยวข้อง และเพียงแว่บแรกที่ได้พบกัน ทอดด์ก็เจอผู้หญิงในฝัน อันที่จริงคาร่าเป็นหญิงในฝันของชายทุกคน นั่นเพราะเธอคือซัสคิวบัส (หรือปีศาจทางเซ็กส์ ที่ได้พลังงานจากกิจกรรมทางเพศ) และเช่นเดียวกัน เพียงแว่บแรก คอลิน คู่หูของทอดด์ และพระเอกเล่มแรกในชุด ก็รู้ว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ส่วนเธอก็รู้ว่าคอลินเองก็ไม่ใช่คนปกติเช่นกัน

มีเพียงทอดด์เท่านั้นที่อยู่ในความมืด เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และมักถูกกันอยู่วงนอกทุกครั้งที่การสอบสวนเริ่มนำไปยังทิศทางที่พิลึก เขารู้สึกถึงความผิดปกตินี้ และไม่ชอบมันมากนัก โดยเฉพาะเขารู้แล้วว่า คู่หูของเขาก็มีบางอย่างที่แปลกเอามาก ๆ ดังนั้นในการฆาตกรรมครั้งนี้ ทอดด์ปฏิเสธที่จะถูกกันออกไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเริ่มชัดเจนเอามาก ๆ ว่า คาร่า เป็นเป้าหมายของฆาตกรโหดคนนี้ด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับเล่มแรกที่เราติว่า พล็อตเรื่องมันเป็นสูตรมากไปหน่อย เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นไปตามสูตรนะคะ ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องความคิดสร้างสรรอะไรนัก แต่เพราะความโดดเด่นของตัวพระนางในเรื่องทำให้เราให้อภัยความพื้น ๆ ในส่วนของพล็อตไปได้เลย

โดยเฉพาะทอดด์ที่เรารู้สึกเฉยกะเขามาก ตอนที่เขาเป็นตัวละครรองในเล่มแรก (เราถูกใจตัวนีออลซึ่งจะเป็นพระเอกในเล่มสามในชุดมากกว่า) ก่อนที่จะเริ่มอ่านเล่มนี้ เราก็ไม่ได้ตื่นเต้นอยากอ่านอะไรนัก แต่ทอดด์ (ซึ่งเป็นชื่อชนิดที่เราเกลียดมากเสียด้วย) ทำให้เราผิดคาด เพราะเขาดีเกินกว่าที่คิด ยิ่งเมื่อเขาปักใจแล้วว่า เขารักคาร่า เขาก็ทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื่อมั่นในตัวเธออย่างเต็มที่ และยอมเสี่ยงแม้จะทำให้หน้าที่การงานของตัวเองอยู่ในอันตราย

เรายิ่งชอบเขามากขึ้นกับการที่เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนเดียวในเรื่องที่เต็มไปด้วยบุคคลที่มีความพิเศษเหนือมนุษย์ ทอดด์ไม่ได้ดูด้อยไปกับความเป็นคนธรรมดาของเขาเลย แม้ในตอนสุดท้ายของเรื่องที่เผชิญหน้ากับผู้ร้าย ก็เป็นทอดด์คนธรรมดาคนนี้นี่แหละที่ล้มคนร้ายลงได้

คาร่าเป็นตัวละครที่มีบทนิดหน่อยในเล่มแรก (คุณต้องช่างสังเกตและมีความจำดีพอสมควรถึงจะนึกถึงเธอออก เราลืมเธอไปแล้วแหละ จนกระทั่งมาสะดุดใจกับฉากนึง จนไปหยิบเล่มแรกมาเปิดอ่านอีกรอบ ถึงได้เจอตัวเธอ) ปกติเราไม่ชอบตัวละครทีเ่ป็นซัสคิวบัสมากนัก (มักรู้สึกว่าทำให้นางเอกดูปล่อยตัวมากเกินไปหน่อย) แต่คาร่าเป็นซัสคิวบัสแบบพิเศษ เพราะเธอไม่ชอบการมีความสัมพันธ์ชนิดฉาบฉวย เธอต้องการใครสักคนที่รักเธอ และยกให้เธอเป็นหนึ่งในดวงใจ เราเชื่อว่าเธอเจอผู้ชายคนนั้นในตัวทอดด์

โดยรวมสนุกดีค่ะ เราชอบ คะแนนที่ 73



View all my reviews

Review: Hotter After Midnight


Hotter After Midnight
Hotter After Midnight by Cynthia Eden

My rating: 3 of 5 stars



โดยรวมแล้วเล่มนี้ถือว่าเป็นแนวพารานอมอลที่ใช้ได้ และยิ่งถ้าคิดว่า นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของซินเธีย เราบอกพูดได้เลยว่า เธอเป็นนักเขียนที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

แต่หากพูดในฐานะของนักอ่านที่อ่านเรื่องแนวพารานอมอลมาจนเปื่อยแล้ว เราก็คงต้องบอกว่า เล่มนี้ไม่มีอะไรใหม่ให้น่าค้นหา หรือน่าติดตามมากนัก

เรื่องของด็อกเตอร์เอมิลี่ จิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านการบำบัดรักษาสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ เอมิลี่อาจจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เธอมีความสามารถพิเศษในการรับรู้ว่า "ใคร" คือมนุษย์ และใครคือคนอืน (คนอื่นเป็นชื่อเรียกคนที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่อยู่ปะปนกับพวกเราคนธรรมดา)

เอมิลี่ถูกเรียกตัวไปโดยตำรวจที่รู้จักกัน (ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง คนแต่งก็ไม่ยอมเฉลยว่าเธอรู้จักกับตำรวจนายนั้นได้ยังไง ทั้งที่ทำเหมือนมันจะเป็นประเด็น แต่ก็ตกไปซะเฉย ๆ) ให้ไปดูสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้บอกว่าเหยื่อที่ตายนั้นเป็นคนธรรมดา หรือคนอื่น

การทำงานครั้งนี้ก็ทำให้เธอได้เจอกับคอลิน นายตำรวจหนุ่มผู้มีความลับ ซึ่งเอมิลีรู้ในทันทีที่ได้พบเขาว่าเขาคือชิฟเตอร์ หรือคนที่กลายร่างได้ และในโลกในซินเธีย อีเดน ชิฟเตอร์เป็นกลุ่มคนอื่นที่น่ากลัวที่สุด เพราะพวกนี้มีสองร่าง และบ่อยครั้งที่ความเป็นสัตว์มีอำนาจควบคุมเหนือด้านที่เป็นมนุษย์

แต่เอมิลี่ก็ไม่อาจกำจัดความรู้สึกผูกพันและชิดใกล้คอลินได้ อย่างรวดเร็วพวกเขาก็เริ่มความสัมพันธ์กัน

และอย่างที่บอก เล่มนี้สนุกอ่านได้เพลินนะคะ เรื่องราวผสมระหว่างโรแมนซ์และการสืบสวนทำได้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอกก็เขียนดี เพียงแต่อย่าคาดหวังจะเจออะไรใหม่ที่ใช้ความคิดสร้างสรรเท่านั้นเอง

หลายประเด็นในเรื่องถูกเปิดออก แต่ไม่มีการบอกเล่าอย่างจริงจัง ตัวร้ายก็ดูแบนราบ ประมาณ "กูเลวเพราะอยากเลว" แต่ก็คิด (เอาเอง) นะคะว่า เนื่องจากเล่มนี้เป็นเพียงเล่มแรกในชุด คาดว่าเล่มต่อ ๆ ไป น่าจะมีการลงในรายละเอียดมากขึ้น

คะแนนที่ 67



View all my reviews

Review: Eternal Hunter


Eternal Hunter
Eternal Hunter by Cynthia Eden

My rating: 4 of 5 stars



ซินเธีย เอเดนเป็นนักเขียนที่ยิ่งเขียนก็ยิ่งพัฒนาฝีมือ ยิ่งเราอ่านของเธอมากขึ้น เราก็ยิ่งชื่นชอบงานเขียนของเธอมากยิ่งขึ้น

สำหรับเล่มนี้เราก็ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่เลยค่ะ เพราะคนที่ได้อ่านรีวิวที่เราเขียนให้กับเรื่อง Midnight's Master ซึ่งเป็นหนังสือเล่มล่าสุด ก่อนถึงเล่มนี้ของเธอ ซึ่งเป็นหนังสือที่เราชอบมาก ๆ มากเสียจนเรารู้สึกว่า มันคงเป็นจุดสูงสุดที่ไม่น่าจะเทียบได้แล้ว เราจึงค่อนข้างเตรียมใจรับความผิดหวังที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่หลังจากอ่านหนังสือไปเพียงสองสามหน้า เราก็รู้ว่า หนังสือเรื่องนี้มีความสนุกและน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันเลย

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด Night Watch เรื่องราวของบริษัทตามจับอาชญากรที่มีนามว่าไนท์ วอชท์ (ซึ่งบริษัทพวกนี้เป็นเอกลักษณ์นึงของระบบยุติธรรมของอเมริกา ที่การประกันตัวจะมีนายหน้าค้ำประกัน และเมื่อผู้ต้องหาหนีประกัน เหล่านายหน้าก็จะจ้างนักสืบเพื่อตามจับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าประกันที่วางลงไป) แม้เล่มนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับชุดมิดไนท์ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในโลกเดียวกัน นั่นคือโลกที่มนุษย์อยู่รวมกับสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น

จูด โดโนแวนเป็นนักล่าของไนท์ วอชท์ ในงานชิ้นนึงที่เขาตามล่าคนร้ายทำให้เขาได้มีโอกาสได้พบกับผู้ชายอัยการประจำรัฐคนใหม่ หญิงสาวที่มีนามว่าเอริน เจอโรม หญิงสาวที่ดูภายนอกไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดา แต่สำหรับจูดซึ่งไม่ใช่ชายธรรมดา หากแต่เป็นมนุษย์เสือ เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ "พิเศษ" ในกายของเอริน

เอรินใช้เวลาตลอดชีวิตพยายามเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ เธอถูกขับไล่ออกจากสังคมของพวกเหนือมนุษย์ เพราะความ "พิเศษ" ของเธอธรรมดาเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ "พิเศษ" เกินกว่าที่จะเป็นมนุษย์ธรรมดา และนั่นทำให้เธอต้องเดินอยู่ระหว่างสองโลก การได้พบกับจูดทำให้เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงของเธออีกครั้ง

เรื่องราวยิ่งยุ่งไปกว่าเดิม เมื่อเอรินตกเป็นเป้าหมายของการติดตามของคนโรคจิต ที่อ้างตัวว่าเป็นคู่แท้ของเธอ ชายผู้ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้เอรินสนใจ แม้จะหมายความถึงการฆ่าคนทุกคนที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ไม่สำคัญว่าเธอจะต้องการหรือไม่ก็ตาม และนั่นทำให้เอรินตัดสินใจยอมให้จูดเข้ามาในชีวิต เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ตัวว่าไม่อาจต่อกรกับคนร้ายผู้แข็งแกร่งกว่าตามลำพังได้ และในฐานะของมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นเสือขาวหายาก จูดเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่อาจจะเอาชนะศัตรูคนนี้ของเธอได้

หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจตั้งแต่เริ่มต้น แค่เพียงหน้าแรกที่บรรยายการออกล่าของจูดที่มีต่อเหยื่อที่เขาตามจับ มันก็แสดงพลังอันเหลือล้นของพระเอก ความน่าสนใจยิ่งทวีเพิ่มพูนขึ้น เมื่อจูดและเอรินเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก

หลายคนน่าจะรู้ว่า เราชอบหนังสือที่ปฏิกริยาทางเคมีระหว่างพระเอกและนางเอกระเบิด และเรื่องนี้ก็เข้าข่ายนั้นเต็มที่ ต้องแต่วินาทีแรกที่ทั้งคู่เจอกัน เรารู้สึกถึงความร้อนแรงในหน้ากระดาษ เราไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้มีฉากเซ็กส์ฮ็อตติดเรตอะไรนะคะ แต่มันเป็นที่จิตใจมากกว่า และในเรื่องนี้ซินเธียเขียนได้ดีมาก ๆ

เรารู้สึกถึงความโหยหาที่จูดและเอรินมีให้กัน แม้ในยามที่ทั้งคู่ยังไม่ีรู้ว่า มันคือความรัก ในเล่มนี้เราได้อ่านพระเอกที่มีคาแร็คเตอร์เป็นอัลฟ่า แต่ไม่น่ารำคาญ เพราะเขาเชื่อมั่นในความสามารถของนางเอกว่าเอาตัวรอดได้ และในขณะเดียวกันเอรินก็ไม่ใช่นางเอกที่เก่งแต่ปาก เธอประเมินสถานการณ์และรู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไร

ความสัมพันธ์ของจูดและเอรินเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง คนแต่งเขียนได้ดีเสียจนเราไม่รู้สึกว่า ทั้งคู่ถูกจับโยนเข้าหากันเพราะสถานการณ์ เพราะแม้ในยามที่จูดยังไม่รู้ว่าเอรินมีคนร้ายคอยติดตาม เขาก็ปักใจลงไปแล้วว่า ยังไงจะต้อง "จีบ" สาวคนนีให้ได้ เราชอบพระเอกที่รู้ใจตัวเอง และไม่ยอมรับคำปฏิเสธ (ซึ่งประเด็นนี้บางครั้งก็ทำให้พระเอกและผู้ร้ายไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร แต่ในเล่มนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลยนะคะ)

จุดที่เราว่าอ่อนที่สุด น่าจะเป็นชาติกำเนิดของนางเอก เพราะเรารู้สึกว่า คนแต่งให้ข้อมูลเสมือนว่ามันจะมีความลับดำมืดบางอย่างซ่อนอยู่ แต่พอเอาเข้าจริงก็กลับไม่มีอะไรในกอไผ่ หรือไม่มีประเด็นอะไรร้ายแรงพอขนาดทำให้นางเอกต้องกังวลขนาดนั้น ถึงกระนั้น (สปอยล์) ก็ยังฮามาก ๆ นะคะ เมื่อนางเอกเปิดเผยความจริงว่าเธอเป็นลูกครึ่งหมาป่า ในขณะที่พระเอกนั่งด่าพวกมนุษย์หมาป่าทั้งหลายว่า โรคจิตมาตลอดทั้งเรื่อง

เราเอาเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกะเรื่อง Midnight's Master เราพบว่า เล่มนี้มีความลงตัวในภาพรวมมากกว่า แต่สิ่งที่ MM กินขาดก็คือพระเอก ไม่ใช่ว่าจูดไม่เท่ห์ หรือแย่อะไรเลยนะคะ แต่เป็นเพราะไนออลเป็นคาแร็คเตอร์ชนิดที่เราชอบสุดหัวใจ แต่กระนั้นเล่มนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันพัฒนาการในฝีมือการเขียนของซินเธีย เอเดน

คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: I'll Be Slaying You


I'll Be Slaying You
I'll Be Slaying You by Cynthia Eden

My rating: 3 of 5 stars



เรารักงานเขียนของซินเธีย เอเดน ทุกคนน่าจะสังเกตความจริงข้อนี้กันได้นะคะ เหตุผลที่เรารักงานเขียนของเธอ เพราะเรารู้สึกว่า ซินเธียพัฒนาขึ้นในทุก ๆ เล่มที่เธอเขียน เรารู้สึกเหมือนเราได้อ่านเล่มที่ดีที่สุดของเธอแล้ว จากนั้นก็รู้ว่าคิดผิด เมื่อหยิบเล่มต่อไปของเธอมาอ่าน เพราะมันดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นเมื่อเล่มใหม่ของเธออกขาย เราก็ไม่รีรอที่จะหยิบขึ้นมาอ่านเกือบจะในทันทีที่ซื้อมาจากร้านหนังสือค่ะ และหลังจากอ่านจบ ก็คงต้องบอกว่า เราไม่ผิดหวังเลยนะคะ แม้มันอาจจะไม่ได้เข้าข่ายว่า ดีกว่าเล่มก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากมาตรฐานที่เราตั้งต้นให้กับซินเธียแล้ว เล่มนี้ก็ไม่ได้ต่ำไปสักนิดเดียว





I'll be Slaying You ของซินเธีย เอเดน

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มสองในชุด Night Watch และด้วยคามขี้เกียจ ก็ขอลอกสิ่งที่เราเขียนเองในบลอกก่อนหน้ามาแล้วกันค่ะ

Night Watch เป็นชื่อของบริษัทตามจับอาชญากร ซึ่งบริษัทพวกนี้เป็นเอกลักษณ์นึงของระบบยุติธรรมของอเมริกา ที่การประกันตัวจะมีนายหน้าค้ำประกัน และเมื่อผู้ต้องหาหนีประกัน เหล่านายหน้าก็จะจ้างนักสืบเพื่อตามจับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าประกันที่วางลงไป แม้เล่มนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับชุดมิดไนท์ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในโลกเดียวกัน นั่นคือโลกที่มนุษย์อยู่รวมกับสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น

ตัวเอกในเล่มนี้ก็คือ ซานดรา แดเนียล หรือที่ทุกคนเรียกว่า ดี เป็นหนึ่งในพนักงานของไนท์วอช และแม้ดีจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนนึง แต่ความแสบ และเก่งกาจของเธอก็เลื่องลือไปไกล (ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่า ดีมีบทออกเล็กน้อยในเรื่อง Midnight's Master) ดีเป็นนักล่าแวมไพร์มือหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีแวมไพร์พิเศษเดินทางมาที่แอตแลนตา ดีจึงเป็นคนที่ถูกเลือกให้ออกไปจัดการ

แวมไพร์ลึกลับคนนี้ไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแวมไพร์แต่กำเนิด นั่นคือแวมไพร์ที่เป็นต้นสายของแวมไพร์ทั้งปวง ตามตำนาน แวมไพร์ตัวแรกเกิดขึ้นเพราะความผิดปกติทางยีน ทำให้จากพ่อแม่ที่เป็นคนธรรมดา มีลูกที่เป็นแวมไพร์ ซึ่งกลายร่างเป็นแวมไพร์เมื่อพวกเขา "ตาย" จากชีวิตมนุษย์ แวมไพร์แต่กำเนิดเกิดขึ้นมาตลอดประวัติศาสตร์ แต่ไม่บ่อยครั้งนัก และแวมไพร์เหล่านี้เองที่เมื่อแลกเปลี่ยนเลือดกับมนุษย์ ก็จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา และมนุษย์ที่พวกเขาสร้างให้เป็นแวมไพร์ และแวมไพร์ที่เกิดต่อเนื่องในสายเดียวกัน ทั้งหมดจะถูกควบคุมทางจิตใจโดยแวมไพร์แต่กำเนิดต้นสาย ดังนั้นชีวิตแวมไพร์จึงไม่ใช่ชีวิตที่มีอิสระ พวกเขาถูกควบคุมไว้โดยแวมไพร์แต่กำเนิด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะโหดเหี้ยม และบ้าเลือด

ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่า แวมไพร์แต่กำเนิดเดินทางมาในเมือง ทุกคนคาดหวังว่า เลือดจะต้องนองแผ่นดิน ดีจึงต้องรีบค้นหาแวมไพร์คนนั้นให้เร็วที่สุดก่อนเรื่องร้ายแรงจะเกิดขึ้น ข้างกายดี มีชายหนุ่มนามว่า ไซมอน เชส ผู้ที่กระโดดเข้ามาช่วยเธอ หลังจากโดนลอบยิงในตอนต้นเรื่อง ชายหนุ่มผู้นี้เข้ามาในหัวใจของดีอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ไซมอนเองก็มีความลับของเขาเช่นกัน และการค้นหาแวมไพร์แต่กำเนิดก็เป็นหนึ่งในภารกิจของเขา

หนังสือเล่มนี้หลอกคนอ่านพอสมควรนะคะ เราตีโจทย์แตกแค่ครึ่งเดียวกันค่ะ อีกข้อตีผิด ดังนั้นเรายกให้เป็นความดีของคนแต่ง (สปอยล์) ที่ทำเหมือนหลอกว่า ไซมอนเป็นแวมไพร์แต่กำเนิด ทว่าความจริงคือ เป็นดีต่างหากที่เป็น และเธอเป็นอย่างไม่รู้ตัว เพราะเธอยังไม่ได้ "ตาย" ไปจากการเป็นมนุษย์

เราชอบเล่มนี้เพราะความเหมาะสมและคู่ควรกันของพระเอกและนางเอก ตอนแรกก่อนที่จะอ่าน เรากลัวว่า คาแร็คเตอร์ของดีจะแข็งเกินไป เพราะเท่าที่เธออกมามีบทในเล่มแรก เราไม่ค่อยรู้สึกว่า ดีน่าสนใจ คือดูแล้ว เธอเหมือนนางเอกหนังสือแนว Urban Fantasy ไปหน่อย แต่พอมาในเล่มของตัวเอง คนแต่งโชว์อีกด้านนึงของเธอให้เห็น และเราชอบที่เธอยอมรับความรู้สึกที่มีต่อไซมอนอย่างไม่หลอกตัวเอง

และไซมอน ข้อดีของซินเธียก็คือ เธอเขียนพระเอกได้ดีมากค่ะ และในเล่มนี้เธอก็ทำได้อีก เธอให้น้ำหนักความเจ้าเล่ห์ของเขาที่คิดจะหลอกใช้ดี กับความเป็นฮีโร่ได้ลงตัวมาก ๆ แต่สำหรับคนแต่งที่เขียนคาแร็คเตอร์อย่างไนออลให้เรากรี๊ดสลบไปหลายรอบได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สรุปว่า สมราคาคุยค่ะ (เพราะคนแต่งบอกว่า พระเอกของเธอเป็นแบดบอย) เราชอบเพราะเราเชื่อในการกระทำของไซมอนว่าจริงใจกับดี โดยเฉพาะ (สปอยล์) ฉากที่เขายอมเสียเลือดใหักับดี เพื่อให้เธอรอด ส่วนตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ซึ้งมาก ๆ

เราชอบประเด็นเรื่องมิตรภาพระหว่างดี และเพื่อน ๆ ในไนท์วอชของเธอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ดีจะเก่งขนาดไหน เธอก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดตามลำพังได้

อย่างไรก็ตามค่ะ อาจจะเนื่องจากเราอ่านหนังสือของซินเธียที่สนุกกว่าเล่มนี้ ซึ่งไม่ได้บอกว่า เล่มนี้ไม่สนุกนะคะ เพียงแต่มีหนังสือเล่มอื่นของเธอที่สนุกกว่า มันก็เลยทำให้เราอดไม่ได้ที่จะต้องเอาไปเปรียบเทียบกัน และนี่คือข้อเสียเดียวที่เรานึกออก นั่นคือ มันมีเล่มอื่นของซินเธียที่สนุกกว่า

คะแนนที่ 73




View all my reviews

Review: Immortal Danger


Immortal Danger
Immortal Danger by Cynthia Eden

My rating: 4 of 5 stars



เราอ่านหนังสือที่ซินเธีย เอเดนเขียนเล่มแรกเรื่อง Hotter after midnight มาปีก่อนค่ะ เราค่อนข้างชอบหนังสือเล่มนั้นนะคะ แม้ว่าจะติตรงที่ว่า เรื่องราวของเธอไม่มีอะไรใหม่ หรือสร้างสรรในส่วนของพารานอมอลเลย กระนั้นเราก็ยังคิดว่า เธอเป็นนักเขียนที่มีอนาคตไกลพอสมควรเลยล่ะ

และหนังสือเล่มที่สองของเธอก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะเราชอบเรื่อง Midnight Sin มาก ดังนั้นเมื่อหนังสือเล่มที่สามออกวางขาย เราจึงไม่พลาดที่จะหยิบมาอ่านทันที

หนังสือเล่มนี้อยู่ในโลกที่ซินเธียสร้างขึ้นในหนังสือสองเล่มแรกของเธอ แต่การดำเนินเรื่องของเล่มนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสองเล่มที่เรากล่าวถึงไปแล้วหรอกนะคะ เราคุยกับซินเธียถึงความเกี่ยวพันกันของเล่มนี้กะเรื่องอื่น ๆ ก้อได้รับคำตอบว่า มันไม่เกี่ยวกันค่ะ ซึ่งเป็นความจงใจของเธอเอง แม้ว่าบรรดากฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกพารานอมอลในเล่มนี้จะเ็ป็นอันเดียวกับที่ใช้ใน Hotter after midnight และ Midnight sin แต่ตัวละครแยกต่างหาก เธอบอกว่าเรื่องนี้จะเน้นเหตุการณ์ที่เกิดในฝั่งเวสต์โคสต์ ในขณะที่สองเล่มแรกเกิดขึ้นทีด้านอีสต์โคสต์

มายา แบล็คเป็นตำรวจสาวที่ดวงซวยมากพอที่จะเผชิญหน้ากับแวมไพร์ในตรอกมืด การต่อสู้ของเธอจากปีศาจกระหายเลือดจบลงด้วยความตายของแวมไพร์ ในขณะที่เธอเอาชีวิตรอดมาได้ ถ้าคุณจะเรียกการกลายเป็นแวมไพร์ของเธอว่ามีชีวิตรอดนะ

ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านไปหลังจากเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกปีศาจ มายาเอาชีวิตรอดอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอกลายเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งปีศาจก็หวาดกลัว และชื่อเสียงของเธอก็นำเอาอดัม โบรดี้เข้ามาในชีวิต

อดัมซึ่งกำลังตามหาหลานสาวที่ถูกแก๊งค์แวมไพร์จับตัวไป รู้ดีว่ามายาคือความหวังเดียวของเขา เธอสืบเชื้อสายมาจากแวมไพร์ตัวที่เป็นผู้นำของแก๊งค์ที่จับแคมมี่หลานสาวของเขาไป และแม้อดัมจะไม่หวาดกลัวแวมไพร์ แต่เขาก็ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะติดตามคนร้ายเหล่านั้น นอกจากขอให้มายาช่วย

และนั่นหมายถึงการตอบแทนด้วยเลือดของเขา

ทั้งสองเริ่มต้นการตามหาเด็กสาววัยเก้าปี การเดินทางที่ทำให้มายาเปิดหัวใจออกมาอีกครั้ง แต่สำหรับหญิงสาวที่สูญเสียทุกคนที่เธอรักมาตลอด การเริ่มต้นความรักกับมนุษย์ธรรมดาอย่างอดัมจึงไม่เป็นการฉลาดเอาเสียเลย

จุดเด่นมาก ๆ ของหนังสือเรื่องนี้ก็คือตัวละครค่ะ เราติดบ่วงไปกับความน่าสนใจของเรื่องนี้ตั้งแต่หน้าแรกที่เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของมายา แล้วยัง ปฏิกริยาทางเคมีระหว่างมายาและอดัมก็ดูสมจริง และเด่นชัดซึ่งเราชอบมาก ๆ มันเป็นความลงตัวของตัวพระนาง และยิ่งทำให้เรื่องน่าติดตาม โดยเฉพาะเมื่อมายารู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องคอยปกป้องอดัม ซึ่งแม้จะเป็นผู้ชาย แต่ก็อ่อนแอกว่า (สปอยล์) ซึ่งเธอก็ต้องพบกับความแปลกใจนะคะ เมื่อพบความจริงว่า เขาคืออะไร

เราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเชื่ออย่างหมดใจกับสิ่งที่คนแต่งพยายามนำเสนอ หลายครั้งที่เราอ่านหนังสือแล้วคนแต่งขึ้นต้นเหมือนจะนำเสนอนางเอกที่เก่ง และเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะตกม้าตายด้วยพฤติกรรมห่วย ๆ ของพวกเธอ แต่เล่มนี้ มายาเท่ห์มาก แล้วก็เก่งจริง ในข้อนี้คนแต่งนำเสนอผ่านทั้งการเล่าเรื่อง การโชว์ออฟของเธอในการเอาชนะคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว และยังแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางจิตใจของเธออีกด้วย และในขณะเดียวกัน "ความเก่ง" ของนางเอกก็ถูกแทรกให้เห็นด้านที่อ่อนโยนของเธอเป็นระยะ แม้บางครั้งจะรู้สึกว่ามากไปสักหน่อย (ที่นางเอกต้องรักหมาและเด็ก) แต่ก็ทำได้สม่ำเสมอจนไม่รู้สึกว่ากระโดดน่ะค่ะ

ทางด้านพระเอกซึ่งปกติในเรื่องที่คาแร็คเตอร์ของนางเอกค่อนข้างแข็ง ก็มันจะถูกพวกเธอโดดเด่นเกินหน้า แ่ต่ในเล่มนี้เราคิดว่า อดัมก็ยืนเทียบกับมายาได้ค่ะ ด้วยความลับที่เขาซ่อนเอาไว้จากมายา ทำให้อดัมไม่สามารถแสดงฝืมือได้อย่างเต็มที่นัก และหลายครั้งดูเหมือนว่าจะต้องพึ่งพาเธอเป็นหลักในการเอาชีวิตรอด แต่เมื่อเขายอมพูดความจริง (ว่าตัวเองเป็นอะไร) ตานี้ก็เป็นทีของพี่แกในการโชว์ความเป็นพระเอกบ้าง แต่ก็เหมือนเิดิมนะคะ มันไม่ได้ทำให้บุคลิคของมายาเสียไป เธอไม่ได้กลายเป็นสาวน้อยที่รอคอยความช่วยเหลือของพระเอก เธอเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่อดัมทำให้มันง่ายขึ้น

ข้อเสียเดียวที่เรารู้สึกจากเรื่องนี้ก็คือ ตัวร้ายโง่จัง (สปอยล์) ทั้งที่รู้ว่าอดัมเ็ป็นอะไร และมีพลังอำนาจมากแค่ไหน แต่ไหงปล่อยเขาเข้าไปเผชิญหน้าเจ้านายตัวเอง ทำให้พออดัมปล่อยพลังออกมา เป็นอันได้ตายกันเป็นเบือ

ตามกระแสนิยมนะคะที่จะต้องมีตัวละครรองเด่น ๆ ออกมามีบทบาท เพื่อเปล่งรัศมีความเป็นพระเอกในเล่มถัดไป แต่ในเรื่องนี้ เราชอบตรงที่ตัวละครรองที่ปรากฎตัวออกมานั้น ดูไม่ค่อยออกว่า มีเจตนาเช่นไร เป็นฝ่ายดีหรือเลว

แล้วังมีความลับที่ซ่อนอยู่ในเรื่องโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอดัม ที่แม้จะหลอกคนอ่านไม่ได้ (เพราะคิดว่าซินเธียไม่ได้มีเจตนาจะหลอกคนอ่านนะคะ) ก็ถึงกับทำให้มายาช็อคไปได้พอสมควร และเราก็ชอบปฏิกริยาของเธอตอนที่อดัมเปิดเผยความจริงค่ะ

มีหลายจุดในเรื่องที่เราชอบจนบอกไม่ครบค่ะ เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างลงตัวไปเสียทุกอย่าง

ไม่อยากจะเชื่อค่ะว่า ซินเธียให้เวลาเป็นหนังสือสามเล่มก่อนที่จะทำให้เรากลายเป็นแฟนตัวยงของเธอได้

คะแนนของเล่มนี้ที่ 83




View all my reviews