ยังไม่เลิกพูดเรื่องงานหนังสือที่ไปมานะคะ เพราะเสียเงินไปเยอะเพื่อไปงานนี้ ก็ต้องพูดถึงมากหน่อยเป็นธรรมดา
ขอบอกตามตรงว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมที่เราอยากไปงานนี้ก็เพราะชอบของฟรีค่ะ ตั้งใจอย่างยิ่งยวดว่า ยังไงงานนี้ต้องได้ของแจกฟรีในงานมาให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้ายเมื่อไปถึง ก็กลับพบว่า สิ่งที่เราต้องการอย่างที่สุดก็คือการได้พูดคุยกับนักเขียน
บรรยากาศมันพาไปอย่างมาก
แม็กซ์ไม่อาจพูดได้ว่า สนิทหรือรู้จักนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษหรอกนะคะ ดังนั้นที่แม็กซ์กำลังจะพูดถึงต่อไปเป็นความรู้สึกชนิดผิวเผินที่ตัวเองได้ รับเท่านั้นเองนะคะ
นักเขียนคนแรกที่เราได้พบในงาน ชนิดที่ไม่ใช่แค่การเดินผ่านแล้วเห็นในล็อบบี้ หรือลิฟต์โรงแรมก็คือ วาเนสซ่า กิลฟอย หลายคนคงจะไม่รู้จักเธอ แม็กซ์เองก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ เธอเป็นนักเขียนให้กับสนพ.อีลอร่าส เคฟ เขียนเรื่องแนวพารานอมอล ซึ่งแม็กซ์ยังไม่เคยได้อ่าน (แต่คิดว่าคงจะอ่านค่ะ) เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก แล้วก็มีจิตใจดีมากอีกด้วย จากที่ได้พูดคุยกัน เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี และไม่เห็นข้อเสียของใครเลยด้วยซ้ำ
ระหว่างที่แม็กซ์ร่อนเร่สายตาสอดส่ายมองหาของแจกฟรี แม็กซ์ก็ได้หลงเข้าไปในห้องสัมนาห้องนึง ซึ่งคนนั่งกันเต็มห้อง อย่างไม่รู้เรื่องอะไรนัก แม็กซ์เห็นนักเขียนนั่งกันอยู่สามคน มีคนเดินเข้าไปรุมล้อมพวกเธอมากมาย ด้วยประสานิสัยไทยมุงที่อยู่ในดีเอ็นเอ แม็กซ์ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปสืบว่า มันคืออะไร และก็ได้รู้ว่าสามสาวในรูปเป็นหนึ่งในนักเขียนชื่อดังที่สุดกลุ่มหนึ่ง
เรียงจากซ้ายไปขวาคือ แอลเอ แบงค์ ผู้โด่งดังจากซีรี่ย์ชุด แวมไพร์ฮันเตรส (ที่ตอนนี้แม็กซ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้แล้ว เพราะหลังจากคุยกับเธอ แอลเอยืนยันว่าชุดนี้จบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งแน่นอน) ถัดมาคือแมรี่เจนิส เดวิสสัน ที่หลายคนรู้จักจากชุดเบ็ตซี่ และคนขวามือสุดคือนักเขียนหน้าใหม่ (ในวงการพรินต์บุ๊ค แต่คนอ่านอีบุ๊คคงคุ้นกับชื่อของเธอ) นั่นคือ ดาโกต้า แคสสิดี้
แอลเอ แบงค์เป็นคนที่อบอุ่นมาก อันนี้เป็นความรู้สึกที่ได้จากการพูดคุยกันแค่แป๊บเดียวนะคะ เพราะแม็กซ์เป็นคนแปลกหน้า แต่เธอจับมือแม็กซ์ไว้ขณะที่กำลังพูดคุยกับเธอตลอด และทำให้แม็กซ์มีความรู้สึกว่าเธอสนใจในสิ่งที่แม็กซ์กำลังพูด
แมรี่เจนิส เดวิสสัน นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่แม็กซ์เจอกับเธอ เราเจอกันตลอดงานหลายครั้ง (หรือพูดให้ถูกแม็กซ์เจอกับเธอมากกว่า เพราะเธอเป็นคนดังเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นแม็กซ์ ในขณะที่แม็กซ์สังเกตเห็นเธอหลายครั้ง) และแม็กซ์บอกได้เลยว่า จากการที่ได้ยินเธอพูด ไม่ว่าจะเป็นการพูดอย่างเป็นทางการในเวิร์คช็อป หรือว่าการพูดคุยตามธรรมดา มันทำให้แม็กซ์เกิดความรู้สึกอยากกลับไปอ่านหนังสือของเธออีกครั้ง นั่นเพราะว่า เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ขันได้ฮาสุดสุด เป็นคนอารมณ์ดีมาก เป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนตลอด
ส่วนดาโกต้า แคสสิดี้ เธอเป็นคนที่มีน้ำเสียงเซ็กซี่อย่างมาก และเธอเรียกคนว่า "ดาร์ลิ่ง" ตลอดเวลา ซึ่งแม็กซ์พบว่าตัวเองชอบมาก และเช่นเดียวกับแมรี่เจนิส เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมาก ๆ
แต่คนที่ทำให้แม็กซ์ช็อคโลก ตกใจทำอะไรไม่ถูกไปเลยก็คือ คนที่สี่ ที่ไม่อยู่ในรูปนี้ เธอเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มาร่วมทำเวิร์คช็อปอันนี้เช่นกัน แต่เธอนั่งแยกตัวออกมาต่างหาก ท่าทางแปลกแยก และดูโดดเดี่ยวนิด ๆ แม็กซ์น่าจะรู้นะว่าเธอเป็นใคร
แม็กซ์จะไม่โกหกว่าตัวเองเป็นคนเก่งหรือฉลาดขนาดที่รู้ล่วงหน้าว่าเธอคือใคร ตอนที่แม็กซ์ขอเธอถ่ายรูป แม็กซ์ขอเธอถ่ายรูป เพราะรู้สึกว่าตัวเองขอถ่ายรูปนักเขียนทั้งสามคนนั้นแล้ว หากไม่ถ่ายรูปเธอด้วย มันก็คงดูไม่สุภาพเท่าไหรนัก และนั่นเป็นผลความดีที่แม็กซ์ได้รับกับตัวอย่างทันควัน
เพราะหลังการสัมนาเริ่มขึ้น เธอก็แนะนำตัว และแม็กซ์ก็อึ้งกิมกี่ เพราะว่าเธอคือแคลลี่ย์ อาร์มสตรองค์
คนที่อ่านบลอกของแม็กซ์มาตลอดก็คงรู้ว่า แม็กซ์คลั่งไคล้หนังสือชุด Women of the otherworld ขนาดไหน และตรงหน้าของแม็กซ์ก็คือคนที่สร้างสรรงานชุดนี้ขึ้นมา
หรือพูดให้ถูกคนที่สร้างตัวละครอย่างเคลย์ตัน, เจรามี่, อีเลน่า, นิค, ลูคัส, เพจ, อีฟ ทำเอาแม็กซ์กรี๊ดสลบ ไม่อยากจะเชื่อว่าได้อยู่ในห้องเดียวกับเธอ
โอ้ แม็กซ์พูดไม่ออกเอาเลย
และแคลลี่ย์ก็เป็นนักเขียนที่มีแพสชั่นในงานเขียนของตัวเองอย่างมาก มันปรากฎอยู่ในทุกคำพูดของเธอเมื่อพูดเกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง "ฉันเขียนงานอย่างที่ฉันอยากเขียน ไม่ใช่สิ่งที่ตลาดต้องการ" และนั่นทำให้เธอต้องใช้เวลาหลายปีเหลือเกินกว่าที่หนังสือเรื่อง Bitten ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของเธอจะมาถึงอเมริกา (ทั้งที่เขียนเสร็จและออกขายในแคนาดาและอังกฤษก่อนหน้านั้นตั้งหลายปี)
ของแถมของการหลงเข้าไปในห้องนั้นก็คือ แม็กซ์ยังได้พบกับเจอาร์ วาร์ด ซึ่ง เป็นคนที่จะเข้ามาพูดในหัวข้อถัดไปด้วย จากจำนวนคนที่เข้าไปรุมล้อมเธอ แม็กซ์บอกตามตรงว่าไม่ได้มีโอกาสได้คุยอะไรกับเธอมากนัก นอกจากบอกอย่างเสียงสั่น ๆ ว่าชอบงานของเธอมาก และเป็นไปได้ไหมหากจะขอลายเซ็นต์ และถ่ายรูปคู่กับเธอ ซึ่งเธอก็ยอมให้ถ่ายอย่างไม่อิดออด ของแถมก็คือ แม็กซ์ยังได้พบกับเจสสิก้า แอนเดอร์เซ่น นักเขียนคนที่แม็กซ์ทำนายว่าจะเป็นนักเขียนที่ดังมาก ๆ อีกคน
รูปที่เอามาฝากกันไม่ได้ถ่ายในวันแรกที่แม็กซ์เจอกับเจอาร์ แต่เป็นงานนึง ที่เจอาร์ วาร์ด แมรี่เจนิส และคริสตีน ฟีแฮนเปิดโอกาสให้นักอ่านถามคำถามเกี่ยวกับหนังสือของเธอชนิดที่ไม่มีการ เซ็นเซอร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะเฉลยปริศนาทั้งหมดที่มีในเรื่องหรอกนะคะ
สิ่งที่แม็กซ์ประทับใจมาก ๆ ในวันนั้นก็คือ ความรู้สึกเป็นมิตร และเพื่อนร่วมอาชีพกันอย่างมากของนักเขียนทั้งสามคนซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า น่าจะเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน เจอาร์ให้เกียรติคริสตีนตลอดในระหว่างการพูด แมรี่จานิสปล่อยมุขตลกแซวคนโน้นทีคนนี้ที ในขณะเดียวกันก็ชื่นชม โดยเฉพาะคริสตีน ที่แมรี่เจนิสบอกว่าเป็นคนที่ส่งเสริมให้เธอมีอาชีพที่เป็นอยู่ เพราะคริสตีนเป็นคนที่โปรโมตงานเรื่อง Undead and Unwed ของแมรี่เจนิส สมัยที่เธอเป็นเพียงนักเขียนอีบุ๊คกระจอก ๆ ในขณะที่คริสตีนเป็นคนดังที่ไม่จำเป็นต้องสนใจส่งเสริมงานของใครเลย
คริสตีน ฟีแฮนดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ และเช่นเดียวกับนักเขียนคนอื่น สุภาพกับนักอ่าน ๆ แล้วก็ใจดีสุดสุด เมื่อเธอทำการแจกการ์ตูนเรื่องดาร์คฮันเกอร์พร้อมลายเซ็นต์ให้กับนักอ่านที่ ไปร่วมงานฟรีเจ้าค่ะ
อ้อ แล้วแม็กซ์พูดถึงน้ำดื่มยี่ห้อคาร์พาเธียนแล้วรึยัง อาจจะหอบกลับมาฝากให้เพื่อนที่เมืองไทยดูกันนะคะ แต่เขาห้ามของเหลวเข้าเครื่องบิน (มันเป็นข้ออ้างมากกว่าค่ะ อันที่จริงคือลืมคิดไป)
แล้วยังมีงานนึงที่แม็กซ์พลาดไม่ได้ เมื่อสี่ผู้ยิ่งใหญ่ (อันที่จริงแม็กซ์อยากบอกว่าสามนะ แต่ไหน ๆ มากันสี่คน ก็เรียกว่าสี่แล้วกัน) ที่แมรี่ บาล็อคธ์ แมรี่ โจ พุธเนย์ แพทริเซีย ไรซ์ และนิโคล จอร์แดน เปิดโอกาสให้แฟนหนังสือพูดคุยด้วย
แม็กซ์ถือว่าพวกเธอเป็นเสาหลัก และเสาเอกแห่งวงการโรแมนซ์ย้อนยุคเลยนะคะ โดยเฉพาะแมรี่ โจ (คนที่สองจากขวา) ที่แม็กซ์ถือว่าเป็นคนที่ทำให้แม็กซ์หันมารักนิยายโรแมนซ์แนวย้อนยุคอย่าง จริงจัง
แต่ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ แพทริเซีย ไรซ์ (คนซ้ายสุด) เขียนเรื่องของไมเคิลจากเรื่อง The Marquess แล้ว แต่ไม่มีสนพ.ไหนซื้อไปพิมพ์ ซึ่งสิ่งนี้แม็กซ์ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่น่าให้อภัยได้
แม็กซ์บอกรึยังว่ารักเรื่อง The Marquess มากแค่ไหน
ส่วนแมรี่ บาล็อกธ์ก็พูดถูกใจมากเรื่องที่เธอทนไม่ได้กับการที่นักเขียนสมัยนี้เอาตัว ละครของเจน ออสเต็นมาเขียนใหม่ เธอบอกให้พวกนั้น "ไปหาตัวละครของตัวเองมาเขียนได้ไหม และปล่อยเจนให้อยู่ตามลำพัง" นั่นสะท้อนความรู้สึกของแม็กซ์ตรงเป๊ะเลย
และจะลืมคนนี้ได้ยังไง แมเดลีน ฮันเตอร์ นักเขียนอีกคนที่แม็กซ์อยากพบมากที่สุด เพียงเพื่อจะบอกกับเธอว่า แม็กซ์รักเฮย์เดน และรอคอยการมาของคริสเตียนมาแค่ไหน (สำหรับคนที่อยากรู้ The Sin of Lord Easterbrook จะวางขายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าค่ะ)
ยังมีนักเขียนอีกหลายคนที่แม็กซ์ยังไม่ได้พูดถึงค่ะ แต่เนื่องจากวันนี้กินยาเข้าไป ทำให้ง่วงมาก วันนี้ก็เลยของจบข่าวเอาดื้อ ๆ แล้วกัน
No comments:
Post a Comment