Saturday, January 31, 2009

My Feeling is so blue

ชื่อบลอกไม่ได้หมายความว่า แม็กซ์ตัวกลายเป็นสีฟ้าไปแล้วหรอกนะคะ แต่มันเป็นความรู้สึกตอนนี้อย่างมาก ก็เลยขออนุญาตอีกวันที่จะไม่พูดถึงโรแมนซ์ แต่เป็นการพูดเพ้อเจ้ออีกวันแล้วกัน

เพราะความรู้สึกตอนนี้มันสร้างอารมณ์รีวิวอะไรไม่ออกเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ในบลอกก่อน คุณ Thasorn ก็ขอให้เจอนาฬิกาด้วยนะคะ มันอาจจะยากที่เป็นไปได้ แต่ใครจะรู้ล่ะคะ ส่วนดีดี แม็กซ์ดีใจนะที่ขับรถไม่เป็น แต่เวลาที่ฝนตก แล้วแท็คซี่มันเล่นตัวนี่ ก็เกิดอาการอยากมีรถขึ้นมาทุกทีเลยล่ะ แต่สามสิบหกบาทนี่ มันก็โหดโคตรเลย

ความบลูนี่มันมาด้วยหลายเหตุผล ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายด้วยค่ะ (เนื่องจากตากฝนเมื่อวาน) แต่ไม่ถึงกะออกอาการ เนื่องจากฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไว้ ก็เลยมีลักษณะเหมือนไก่หงอย จะป่วยก็ไม่ป่วย แต่ก็ไม่รู้สึกสดใสเลย

เฮดฮันเตอร์โทรมาถามว่าอยากเปลี่ยนงานไหม เค้ามีงานที่ใหม่ให้ เงินเดือนดีกว่าที่เดิม (เยอะเหมือนกัน) ตำแหน่งใหญ่ขึ้น แต่เป็นบริษัทที่เล็กกว่าที่เดิม (เยอะ) ก็เลยเพิ่มความสับสนใจชีวิตมาเข้าไปอีก

เพราะที่ทำงานนี่โอเคนะคะ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คิดว่าอาจจะถึงจุดอิ่มตัวกับที่นี่แล้ว ไม่รู้สึกว่ามีอะไรท้าทายอีกต่อไป งานที่เป็นปัญหาตอนเข้ามา ก็สางจนหมด ทำให้ตอนนี้วันวันเวลาว่างมากจนมีเวลามาคิดเรื่อยเปื่อย และรู้สึกดีเพรสขนาดนี้ บางทีนะคะ อาจถึงเวลาเปลี่ยนงาน แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจสั่นไหววุ่นวาย มันก็อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะค่าจ้างที่ได้จากนี่ก็ยากที่จะหางานที่อื่นมาเทียบได้ ที่สำคัญความมั่นคงของที่นี่ก็ดีกว่าที่อื่น แล้วยังโบนัสอีกล่ะ

ช่วงนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจคนที่ทำงานที่เดิมเป็นสิบปีได้แล้วนะ คะ เพราะพอตำแหน่งก้าวไปถึงจุดนึง คุณก็จะเริ่มเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากขยับอีกแล้ว ที่เดิมมันอาจไม่เพอร์เฟ็ค แต่มันก็อาจจะดีกว่าความไม่แน่นอนของงานที่ใหม่ (ที่อาจจะดีกว่าหรือเลวกว่า)

ก่อนหน้าแม็กซ์ไม่เคยทำงานที่ไหนนานเกินสองปี (ยกเว้นราชการที่ลาออกไม่ได้ เพราะติดใช้ทุน ก็เลยทำไปสามปี) ทุกครั้งตอนที่ลาออก แม็กซ์ย้ายด้วยความเต็มใจ และรู้สึกท้าทายโดยงานที่ใหม่ ไม่เคยรู้สึกเสียดาย หรือมองย้อนกลับไปที่ก่อนสักครั้ง และไม่เคยเสียใจ แต่ตอนนี้ดูทุกอย่างมันเบลอไปหมด เบื่อที่เดิมก็เบื่อนะ (มันเป็นความเบื่อแบบทั่วไป ไม่ได้มีปัญหากะใคร เจ้านายก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดี ลูกน้องก็ดี แต่มันราบเรียบเกินไป) แต่ก็ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับที่ใหม่แล้ว เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่เกินกว่าจะไปฟาดฟันกันใหม่อีกรอบ (งานที่เดิม ออกฤทธิ์จนคนเค้ารู้กันไปทั่วแล้วว่าเป็นยังไง)

สับสนในตัวเองเอามาก

แต่เรื่องที่ทำให้เซ็งและเครียดที่สุดก็เป็นการรบรากับร้านหนังสือที่ซื้อ กันอยู่เป็นประจำ (ขอถอนหายใจสักทีนึง) แม็กซ์ซื้อหนังสือที่ร้านนี้ตั้งแต่หนังสือราคาเล่มละร้อยห้าสิบ ไปจนถึงสี่ร้อยสี่สิบ (สำหรับเล่มที่ราคา 6.99 เหรียญนะ) แล้วตอนนี้ราคากลับมาที่ต่ำกว่าสองร้อยอีกรอบ นับเวลาไปก็มากกว่าสิบปีแล้ว

ไม่มีครั้งไหนที่แม็กซ์รู้สึกผิดหวังและหมดอารมณ์ได้เท่ากันครั้งนี้ บางทีอาจเพราะเค้ารู้ว่า ยังไงเราก็ต้องซื้อหนังสือที่เค้า เพราะราคาของเขาดีที่สุดในเมืองไทย (และประเทศข้างเคียง) แล้วในตอนนี้ แถมหนังสือก็ยังถือว่าส่งเร็วพอกะเมกาเลย นั่นทำให้เขารู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าที่ดีก็ได้ เพราะยังไงลูกค้าก็ต้องง้อซื้อจากเขา

และแม็กซ์ก็ต้องยอมรับนะ ว่าตอนนี้ (เน้นว่าตอนนี้) แม็กซ์ก็ไม่มีทางเลือก แม้จะไม่พอใจ และไม่ชอบวิธีการให้บริการของเขายังไง ก็คงต้องซื้อเขาอ่านอยู่ดี แต่คนอย่างแม็กซ์ไม่ยอมให้ใครถือไพ่เหนือกว่าได้ตลอดหรอกนะคะ แม็กซ์มองหาทางออก (และเริ่มต้นติดต่อทางเลือกแล้วด้วย) เพียงแต่การเจรจายังไม่สิ้นสุด ก็เลยขอว่ายังไม่เล่าให้ฟังนะคะ

ถ้าผลสรุปมาเป็นข่าวดี แม็กซ์จะมาเล่า และเสนอวิธีแก้ปัญหาน่าเบื่อหน่ายอันนี้กับเพื่อนที่มีความรู้เบื่อ "ร้านนี้" เช่นเดียวกับแม็กซ์

ขอโทษที่เป็นอีกวันที่ต้องมาอ่านเรื่องชีวิตของแม็กซ์ แต่ไม่มีอารมณ์ทำอะไรอย่างอื่นเลย

No comments: