Friday, January 23, 2009

Darkyn Series // Lynn Viehl

อย่างที่บอกในบลอกก่อนล่ะค่ะว่า ไม่ได้ถึงขนาดเกิดอาการคลั่งหนังสือชุดดาร์คคินอันนี้หรอกนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ความคิดตอนนี้ถึงได้วนเวียนอยู่กับซีรี่ย์ชุดนี้มากจัง

ส่วนหนึ่งคงเพราะแม็กซ์คิดว่า Twilight Fall คือจุดเปลี่ยนสำคัญของหนังสือชุดนี้ก็ได้ค่ะ

โอเคมาถึงคำเตือน กำลังจะสปอยล์กันอย่างแหลกลาน (เขียนถูกไหมคะ รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ภาษาไทยของเราวิบัติเหลือเกิน มันวิบัติด้วยตัวของมันเองจริง ไม่ได้เพื่อกระแดะโกหกชาวบ้านว่าอยู่เมืองนอกนานหลายปีจนภาษาไทยอ่อนแอหรอก นะคะ )

ในเล่มแรก If Angel Burns ซึ่งเป็นเล่มเปิดชุด เล่าเรื่องของไมเคิล ไซเปี้ยน คาร์คคินผู้นำของเหล่าดาร์คคินแห่งทวีปอเมริกาเหนือ เขาถูกทำร้ายปางตายจากกลุ่มบรีทเท่นจนเสียโฉม เพราะถึงเหล่าคิน (ชื่อที่พวกเขาเรียกตัวเอง) จะร่างกายที่รักษาตัวเองได้ แต่การถูกทำร้ายโดยทองแดงหลายครั้ง ทำให้แผลบนใบหน้าของไมเคิลรักษาตัวเองอย่างผิดปกติและผิดรูปร่างไป ความหวังเดียวของเขาก็คือ ฝีมือผ่าตัดของอเล็กซานดร้า หมอศัลยกรรมที่ได้ชื่อว่ามือไวที่สุดในโลก ด้วยความไวในฝีมือของเธอ อเล็กซ์อาจจะเป็นคนเดียวที่ทำให้ใบหน้าของเขากลับมาเป็นสภาพเดิมได้ แต่แล้วความกระหายในเลือดของไมเคิลระหว่างผ่าตัด ก็เปลี่ยนชีวิตของอเล็กซ์ไปตลอดกาล เมื่อเธอได้รับเลือดของเขา และกลายเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนแรกในรอบหลายร้อยปีที่เปลี่ยนเป็นคินได้สำเร็จ

อย่างที่บอกค่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่ถึงกับสนุกจนทำให้อยากอ่านต่อ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดไม่อยากอ่าน หรือคิดจะเอาไปเขวี้ยงผนัง ส่วนหนึ่งคงเพราะแม็กซ์ไม่รู้สึกเชื่อมต่อกับไมเคิลและอเล็กซ์เลย ทั้งคู่เป็นตัวละครที่แม็กซ์ไม่รู้สึกว่าน่าสนใจ หรืออะไรทั้งสิ้น ซึ่งนี่เองก็เป็นความรู้สึกที่ตามติดมาในเล่มหลัง ๆ เพราะไมเคิลและอเล็กซ์เป็นตัวละครที่ถือได้ว่าเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักคู่ หนึ่งทีเดียว

อเล็กซ์มีความเป็นอิสระมากเกินไป เพราะขนาดอ่านมาแล้วหกเล่ม เธอก็ยังรู้สึกว่าการเป็นคินเป็นความเลวร้าย เธอต้องการหาวิธีการรักษา และดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ให้อภัยไมเคิลกับการที่ทำให้เธอหมดอนาคตจากการ เป็นศัลยแพทย์ นี่เป็นความรู้สึกของแม็กซ์เมื่อได้อ่าน หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยนะคะ ข้อดีก็คือ เพราะเราไม่ได้แคร์ไมเคิลกับอเล็กซ์มากนัก เราก็เลยไม่ต้องตามลุ้นเรื่องราวของพวกเขาเท่าไหร ก็เลยไม่เป็นปัญหาที่บางครั้งชีวิตรักของพวกเขาจะมีอุปสรรคกันบ้าง (ถ้าเป็นตัวละครที่ชอบ แม็กซ์จะไม่ชอบให้พวกเขาต้องมาผจญเวรผจญกรรมกันต่ออีกหลังจากเล่มที่พวกเขา เป็นตัวละครหลักจบลงน่ะค่ะ อยากให้พวกนี้โผล่มาแบบแฮ็ปปี้ในชีวิตมากกว่า)

ข้อมูลเกี่ยวกับคินที่เราได้ในเล่มนี้ก็คือ ที่มาของเหล่าคิน ว่าพวกเขาเป็นอดีตไนท์ เทมเพาล (Knight Templars) ไม่ใช่พวกนอกศาสนาอย่างที่กลุ่มบรีธเท่นกล่าวหา (อันที่จริงบรีธเทนอ้างตัวเองเป็นไนท์ เทมเพาลด้วยซ้ำ)

คะแนนที่ 57

ในเล่มสอง Private Demon เป็นเรื่องของเธียรรี่ ดูแรนด์ ซึ่งเป็นคินที่ที่อาศัยอยู่ในยุโรป ผู้ซึ่งบ้านถูกลอบโจมตีโดยบรีธเท่น เขาถูกทรมานปางตาย ยิ่งความจริงที่ว่าภรรยาของเขา (ซึ่งเป็นคินเช่นกัน) เป็นสายให้กับพวกบรีธเท่นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดของเขาทวีคูณขึ้น ในตอนจบของเล่มแรกเธียรรี่อยู่ในสภาพกึ่งบ้า ไม่มีสติเท่าไหรนัก

ด้วยโชคชะตาหรืออะไรบางอย่างนำเขาให้ไปพบกับเจม่า หญิงสาวที่ขอยืมเวลาอาศัยอยู่บนโลก เธอป่วยด้วยโรคเบาหวาน (ซึ่งถ้าเป็นในเด็กจะอาการรุนแรงมาก) ผู้ซึ่งตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยใช้ชีวิต เธอถูกปกป้อง หรือจะเรียกให้ถูกว่าครองงำโดยมารดา และหมอประจำตัวที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตของเธอไว้ให้นานที่สุด

แต่การมีชีวิตแบบนั้น ก็เหมือนไม่มีชีวิต ดังนั้นเมื่อเจม่าได้พบกับเธียรรี่ จึงเป็นครั้งแรกที่เธอตื่นขึ้น มันอาจเป็นความเจ็บปวด แต่มันก็คือชีวิต และเพราะเธียรรี่นั่นเองที่ทำให้เจม่าได้พบกับความจริงเบื้องหลังอาการเจ็บ ป่วยของตัวเธอเอง

ความรู้สึกของแม็กซ์ตอนได้อ่าน เล่มนี้เหมือนหนังสือผ่านทางค่ะ เพราะในเวลานั้นแม็กซ์เกิดอาการกรี๊ดสลบไปกับตัวละครรองที่กำลังจะเป็น พระเอกในเล่มสามไปแล้ว ก็เลยอ่านเล่มนี้อย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไหรนัก คะแนนก็เลสะท้อนมาอย่างที่เห็น ที่ 57


แล้วก็มาถึงเล่มนี้ เล่มที่หลายคนบอกว่าพระเอกใจร้ายไปสักนิด แต่สำหรับแม็กซ์ ลูแคนเป็นตัวละครทีอยู่ในใจเสมอ แม็กซ์ชอบพระเอกแบบนี้ที่สุด บอกแบบนี้หลายคนคงจะเดาได้ว่าลูแคนน่าจะเป็นยังไง เขาปรากฎตัวในเล่มแรกในฐานะของมือสังหารประจำตัวริชาร์ด (ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของคิน อาศัยอยู่ในไอร์แลนด์) เขาได้รับมอบหมายให้ไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับอเล็กซ์ ลูแคนเป็นศัตรูคนสำคัญของไมเคิลด้วยทัศนคติในการการ "จัดการ" ปัญหาที่แตกต่างกัน นี่ยังไม่รวมชื่อเสียงความเป็นคนโหดเหี้ยมของเขานะ แต่ในตอนท้ายเล่มแรก ไมเคิลก็แก้ปัญหาของคินผู้เป็นอันตรายอย่างลูแคนด้วยการมอบดินแดนให้เขาดูแล (เป็นซยูสะเรน) ณ ฟลอริด้า โดยให้เหตุผลว่า ศัตรูควรเก็บไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่าเพื่อน

การมีดินแดนเป็นของตัวเองเป็นความใฝ่ฝันของลูแคนที่ตลอดชีวิตเขาจำต้องใช้ชีวิตในฐานะมือสังหารเอก แต่ที่มากไปกว่านั้น เขาเองก็มีภารกิจ (ที่พอแม็กซ์รู้ความจริงถึงภารกิจอันนี้ก็เกิดอาการกรี๊ดสลบในทันที เท่ห์โคตร) และมันเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เขาทำทุกอย่างเพื่อผลักไล่ไสส่งซาแมนธาออกไปจากชีวิตของเขา แม้ความจริงเขาจะต้องการเธอมากแค่ไหน

ซาแมนธา บราวน์เป็นตำรวจหญิงที่กำลังสืบคดีฆาตกรรมประหลาดในฟลอริด้า เบาะแสนำเธอมาสู่คลับที่ลูแคนเป็นเจ้าของ และท้ายสุดก็นำเธอมายังผู้ชายที่กำลังจะทำมากกว่าแค่หักอกเธอ เขาจะทำให้ชีวิตของเธออยู่ในอันตราย และจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

เกือบตลอดทั้งเล่มนี้ คนอ่านจะอึ้งไปกับการกระทำของลูแคนในบางครั้ง เขาเป็นตัวละครชนิดที่แม็กซ์ชอบ ชายที่ยืนอยู่บนขอบแห่งความถูกต้อง ชายที่เลือกทำบางสิ่งที่เลวร้าย เพื่อความดีที่ยิ่งใหญ่กว่า คนที่ถูกประนามเพราะยอมทำภารกิจที่ไม่มีใครกล้าทำ แม้มันจะจำเป็นต้องทำ และชายผู้เสียสละทุกอย่างเพื่อความสงบสุขในระยะยาวของเหล่าคิน

คะแนนที่ 77

สำหรับ Night Lost เล่มนี้แม็กซ์เคยรีวิวไปแล้วล่ะค่ะ เ่ล่าอย่างสรุปก็คือ ไม่ควรอ่านเล่มนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่าน Dark Need เพราะเนื้อเรื่องมันเกี่ยวข้องกันมาก เป็นเรื่องภารกิจที่ลูแคนเริ่มต้นเอาไว้ในเล่มก่อนหน้า

ปัญหาสำหรับแม็กซ์ในเล่มนี้ (และยังไม่ได้พูดไว้ในรีวิว) ก็คือ การที่ลูแคนไม่ปรากฎตัวเลย ทั้งที่เขาเป็นคนเริ่มต้นเอาไว้ (นี่เป็นเหตุผลที่แม็กซ์อยากอธิบายนะคะ มันฟังดูดี แต่ความจริงก็คือ แม็กซ์อยากเห็นลูแคนอีก เขาไม่มีบทเลยนับจากเล่มของเขาเอง)

เล่มนี้เป็นบทสรุปของพล็อตเรื่องที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เล่มหนึ่ง เีกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างไมเคิล และริชาร์ด (กษัตริย์แห่งคิน)

คะแนนที่ 67 สังเกตไหมคะว่าเทรนด์คะแนนมันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ Dark Need แล้วก็ลดลงมาหน่อยในเล่มนี้ (เพราะไม่มีลูแคน) ก็ก็ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับสองเล่มแรก

สำหรับ Evermore เล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นการหยุดพักของคนแต่ง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ (ดูคะแนนก็น่าจะรู้ว่าแม็กซ์ชอบเล่มนี้) เพราะเป็นครั้งแรกที่พล็อตเรื่องไม่เกี่ยวเนื่องกับเล่มอื่นในชุด แถมยังเป็นเรื่องของตัวละครที่แทบจะไม่ค่อยมีบทบาทในชุดเท่าไหร และเช่นกันค่ะ เล่มนี้รีวิวไปแล้ว คนที่ชอบเรื่องความรักที่ถวิลหากันเป็นพันปี แต่ไม่บอกรักกันสักที คงชอบเล่มนี้

เล่มนี้ถือเป็นเล่มที่แม็กซ์เชื่อในความรักระหว่างพระเอกและนางเอกมากที่ สุดก็ว่าได้นะคะ ที่สำคัญหลังจากได้อ่าน Twilight Fall มาแล้ว ทำให้แม็กซ์เกิดอาการอยากกลับไปอ่านเล่มนี้อีกครั้ง เพราะทั้ง เจย์รและไบร์นที่ออกมาใน TF ดูน่ารักมาก ๆ

คะแนนที่ 70

เล่มสุดท้าย (ในขณะนี้เดือนกรกฎาคม 2008) ก็คือ Twilight Fall ที่รีวิวไปแล้วค่ะ คะแนนที่ 73

ข่าวดีสำหรับแฟนของลินน์ วีลล์ก็คือ ในที่สุดหลังจากเฉียดไปเฉียดมาหลายรอบ ลินน์ก็กลายเป็นนักเขียนหนังสือขายดีระดับติดอันดับของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์ไปแล้ว กับอันดับที่ 19 กับเรื่อง Twlilight Fall

สิ่งที่แม็กซ์สังเกตเห็นจากงานของลินน์ วีลล์ก็คือ การที่เธอวิพากษ์สังคมผ่านคำพูด และความคิดของตัวละคร เธออาจจะไม่ได้แสดงความเห็นออกมาอย่างชัดเจน หรือยัดเยียดให้คนอ่านนะคะ แต่สิ่งเล็กน้อยในเรื่องมีหลายประเด็นเหมือนกันที่เธอแสดงความเห็นทางการ เมืองและสังคมออกมา ส่วนที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นมุมมองต่อศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก ที่แม้เธอจะไม่กล้าให้ตัวร้ายเป็นพระ แต่ก็แอบแฝงอยู่ในองค์กร ความเห็นเรื่องการแต่งงานของเพศเดียวกัน

อีกส่วนหนึ่งที่เราเห็นก็คือ เธอก็ยังหนีไม่พ้นการใช้ Stereotye ในเรื่อง TF ที่มีนางเอกเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ตลอดทั้งชุดเรายังไม่เคยเห็นนางเอกที่มีความต้องการทางเพศแนว Submissive เราก็ได้เห็นในเล่มนี้ ไม่รู้ว่าทำไมนะคะ แปลกดี หรือว่าเธอมองคนเอเชียเป็นแบบนั้น

No comments: