Friday, January 23, 2009

Lessons From a Courtesan // Jenna Petersen & Let the Night Begin // Kathryn Smith

อาจเป็นเพราะความบังเอิญนะคะที่แม็กซ์ได้อ่านหนังสือสองเล่มที่มีธีมเรื่อง ต่างกัน แต่กลับมีพล็อตที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เพราะฝีมือของคนแต่งอีกนั่นแหละที่ทำให้พล็อตที่ดูเหมือนจะเหมือนกัน มีการดำเนินเรื่อง และผลสรุป รวมทั้งความรู้สึกของแม็กซ์ที่ต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่ด้วยเหตุอันใดอันหนึ่งทำให้ทั้งคู่ต้องแยกกัน อยู่เสมือนคนไม่รู้จักกัน ก่อนที่จะมีเหตุการณ์นำพาทั้งคู่ให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง และนั่นก็นำไปสู่ความรักครั้งที่สอง

เริ่มด้วยเล่มแรกกับแนวย้อนยุคธรรมดากัน

Lessons from a courtesan ของเจนน่า ปีเตอร์เซ่น

เล่มนี้เปิดเรื่องด้วยการแต่งงานระหว่างจัสติน และวิคทอเรีย แต่หลังจากคืนวันแต่งงานอันวาบหวาม จัสตินก็ทิ้งวิคทอเรียให้อยู่ที่บ้านในชนบทตามลำพัง ส่วนตัวเขาก็ใช้ชีวิตราวกับหนุ่มโสดในลอนดอน และสำหรับสาวน้อยอย่างวิคทอเรีย แม้ว่าการแต่งงานของเธอจะเป็นการจับคู่โดยไม่มีความรักมาเกี่ยวข้อง การกระทำของจัสตินก็ทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย

สามปีต่อมา นางบำเรอสาวสวยที่เพิ่งมาถึงลอนดอนสร้างความฮือฮาในวงสังคม ภูมิหลังที่ดูคลุมเครือแต่เต็มไปด้วยประสบการณ์ทางเพศทำให้เธอกลายเป็นนาง บำเรอที่ถูกติดตามตื้อมากที่สุด คนอื่นอาจจรู้จักเธอในนามว่า เรีย แต่จัสตินรู้ว่าเธอคือวิคทอเรีย ภรรยาที่เขาทิ้งไว้ในบ้านชนบท ด้วยเหตุผลบางอย่างวิคทอเรียมาลอนดอน และปลอมตัวเป็นนางบำเรอ ซึ่งทำให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไม่เต็มใจนัก

เหตุผลของวิคทอเรีย (ถ้าจะเรียกว่ามันคือเหตุผลนะ แม็กซ์ไม่แน่ใจเท่าไหรว่าความมีเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย) คือ เพื่อนสนิทของเธอซึ่งเป็นนางบำเรอในลอนดอนหายตัวไป ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากปลอมตัวแทรกเข้ามาในวงการอาชีพของเพื่อน สนิท เพื่อสืบหาความจริงว่าเพื่อนหายไปไหน

และเมื่อจัสตินรู้ความจริง เขายื่นคำขาดกับเธอ เขาจะช่วยเธอในการตามหาเพื่อน แต่ระหว่างนั้นเธอจะต้องแสดงตัวเป็นเมียเก็บของเขา และต้องมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้นในความจริงด้วย

แม็กซ์มีปัญหาในการอ่านหนังสือของเจนน่าเสมอ จะว่าไปก็เหมือนกับจีน่า โชว์วอลเตอร์ที่มักจะขึ้นต้นเรื่องได้น่าอ่านมาก แต่ความสนุกจะค่อย ๆ ลดลง จนถึงหน้าสุดท้ายที่ทำให้แม็กซ์รู้สึกเหมือนว่าเสียเวลาในชีวิตไปมาก (แต่ก็ต้องขอบอกว่า ตอนนี้แม็กซ์เปลี่ยนความคิดกับงานของจีน่าแล้วนะคะ หลังจากอ่านชุด Lords of the underworld แม็กซ์ว่าเธอมีพัฒนาการ และเขียนเรื่องได้น่าติดตามตลอดทั้งเล่มแล้ว) เล่มนี้ก็เช่นกัน การขึ้นต้นเรื่อง ด้วยความที่พล็อตนี้ (พระเอกนางเอกแต่งงานกันแล้ว แต่มีเรื่องขัดแย้งกันจนอยู่กันไม่ได้) เป็นแนวโปรด ทำให้แม็กซ์รีบหยิบมาอ่าน ซึ่งประมาณหนึ่งในสามของเล่มก็ถือว่าน่าติดตามดีค่ะ จนกระทั่งความสนุกมันลดน้อยถอยลงไป ด้วยความงี่เง่า และโง่บัดซบของตัวละคร

ที่บอกว่างี่เง่า และโง่นี่ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกนะคะ แต่อาจเพราะแม็กซ์เอาเรื่องนี้ไปเทียบกับหนังสืออีกเล่ม (Upon a wicked time ของคาเรน เรนนี่) ที่พล็อตคล้ายกัน แต่เล่มนี้เทียบไม่ได้กระทั่งนิ้วก้อยเท้าของเล่มนั้น

ความลับในอดีตที่ทำให้จัสตินต้องทอดทิ้งวิคทอเรียไม่มีน้ำหนักมากพอ และ (สปอยล์ค่ะ อยากอ่านก็ลากเม้าท์ลง) การ ที่เขาโทษว่าเป็นความผิดของวิคทอเรียเมื่อค้นพบความจริงว่า เธอตั้งท้องและแท้งลูกของเขา ซึ่งเธอไม่ยอมบอกเขา เป็นเรื่องที่งี่เง่าและทุเรศที่สุด ให้ตายสิเขาทิ้งเธอไปหลังจากคืนวันแต่งงาน เธอท้องและแท้ง เขาคาดหวังให้เธอส่งข่าวให้เขารู้หรือไง ผู้ชายบัดซบมาก แล้วยังตอนจบอีก จะขอคืนดีกะนางเอก ยังมีหน้ามาพูดว่า เราต้องลืมความผิดพลาดในอดีต แม็กซ์บอกตามตรงนะว่า ไม่เห็นว่านางเอกจะมีความผิดพลาดอะไรในอดีตสักนิด

ส่วนตัววิคทอเรียเองก็ไม่ใช่ว่าใช้ได้ เหตุผลของเธอในการปลอมตัวเป็นนางบำเรอมันงี่เง่า และแสดงความมีมันสมองน้อยมาก แล้วก็ขอบอกตามตรงว่า สุดท้ายแล้วที่หาตัวเพื่อนของเธอเจอ ก็ไม่ได้เป็นเพราะความดีของจัสติน หรือฝีมือการสืบคดีของวิคทอเรียเลยสักนิดเดียว

พล็อตเรื่องอาจจะถูกใจแม็กซ์นะคะ แต่หนทางการดำเนินเรื่องมันยังกะถนนลูกรังแน่ะ คะแนนก็เลยได้ตามสภาพค่ะ ที่ 47

ตามด้วยอีกเล่มเลยแล้วกันค่ะ (ทดแทนที่ไม่ได้รีวิวไปเสียหลายวัน)

Let the night begin ของแคธลิน สมิท

หนังสือเล่มที่สี่ในชุด Brotherhood of the Blood เรื่องราวของอัศวินหกคนที่ค้นพบ The Blood Grail ซึ่งเปลี่ยนพวกเขาทั้งหกคนให้กลายเป็นแวมไพร์ หนึ่งในอัศวินฆ่าตัวตายเพราะยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ และแน่นอนว่าที่เหลืออีกห้าคนก็คือพระเอกในหนังสือชุดนี้

และแม้จะบอกว่าเป็นเล่มที่สี่ในชุด แม็กซ์ก็ขอบอกว่าไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มก่อนหน้าหรอกนะคะ เพราะแม็กซ์ก็ยังไม่ได้อ่านเล่มหนึ่งและเล่มสามเลยด้วยซ้ำ (มันไม่น่าอ่านขนาดนั้น) และที่เลือกเล่มนี้มาอ่าน ก็เพราะว่าพล็อต และคำชมจากเพื่อนที่บอกว่า "เล่มนี้โอเคนะ"

เช่นเดียวกับเล่มแรกที่เขียนถึงไป เล่มนี้ก็เป็นเรื่องราวของเรนย์และโอลิเวียภรรยาของเขาที่ทะเลาะและแยกกัน อยู่มานานสามสิบปี จนกระทั่งโอลิเวียได้รับจดหมายข่มขู่ให้เธอส่งมองตัวเรนย์ มิฉะนั้นพวกนั้นจะฆ่าเจมส์หลานชายของเธอ

สำหรับโอลิเวียมันไม่ใช่การเลือกที่ยาก เธอเป็นผู้เลี้ยงเจมส์มาตั้งแต่น้องสาวของเธอตาย และเรนย์แม้จะเป็นผู้ชายที่เธอเคยรัก แต่เขาก็ทรยศเธอด้วยการเปลี่ยนให้เธอเป็นแวมไพร์โดยไม่ถามความประสงค์ ทำให้เธอกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ด้วยการดื่มเลือด เวลาสามสิบปีที่แยกกันอยู่ไม่ได้ทำให้ความโกรธของเธอลดน้อยลงเลย

แม็กซ์ไม่ชอบแวมไพร์ของแคธลิน (จากเล่มที่ได้อ่านมา) พวกเขาดูทนทุกข์และขี้บ่น น่ารำคาญโคตร ๆ (อย่างแชฟเพลพระเอกเล่มหนึ่งที่น่ารำคาญมากจากแม็กซ์อ่านไม่จบ) แต่สำหรับเรนย์ แม็กซ์คิดว่าแคธลินเขียนได้ดี เขาเป็นแวมไพร์ที่แชฟเพลไม่ชอบ (จากการอ่านเล่มหนึ่ง แชฟเพลคิดว่าเรนย์มีความสุขกับการเป็นแวมไพร์มากเกินไป) และนั่นทำให้แม็กซ์คิดแล้วว่า เล่มนี้น่าจะสนุก

เรนย์ไม่ทนทุกข์ เขาเห็นข้อดีของการมีชีวิตอย่างอมตะ และเหนืออื่นใดเขารู้ใจตัวเอง เขารักโอลิเวีย เขาอาจจะผิดที่เปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์โดยไม่ถามความเห็นเธอ แต่เขาไม่เสียใจในการกระทำ และยังหวังเสมอว่า จะได้กลับมาอยู่กับเธออีกครั้ง มันอาจดูไม่น่าเชื่อถ้าคิดว่าเขาปล่อยเธอไปนานถึงสามสิบปี แต่สำหรับคนที่คิดว่าเขาจะอยู่ตลอดไป แม็กซ์โอเคกับการกระทำนี้

ดังนั้นเมื่อโอลิเวียเดินกลับเข้ามาในชีวิต เธอเล่าเรื่องเกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียงเรื่องการขอแลกเปลี่ยนตัวเจมส์และเรนย์ เธอขอให้เขาเดินทางไปสก๊อตแลนด์เพื่อตามเจมส์ และเช่นเดียวกับพระเอกในเล่มแรกที่รีวิวไป เรนย์ยื่นข้อเสมอให้โอลิเวียกลับมาร่วมเตียงกับเขาอีกครั้ง

ที่ต่างจากเล่มแรก แม็กซ์พบว่าเล่มนี้เหตุผลในการแยกจากกันน่าเชื่อ และการกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งยิ่งน่าเชื่อ แม็กซ์รับรู้ในความเจ็บปวดของโอลิเวียเมื่อเธอคิดว่าเรนย์ทรยศเธอ เปลี่ยนเธอเป็นสัตว์ประหลาด เธอไม่รู้ถึงวิธีการเอาชีวิตรอดด้วยซ้ำ ถึงการที่เธอโทษให้ทุกอย่างเป็นความผิดของเขามันอาจมากเกินไป แต่ก็ยังถือว่าแม็กซ์รับได้ ส่วนเรนย์ เขาพบผู้หญิงที่เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือ (ซึ่งยาวนานมาก) ร่วมด้วย เขารักเธอ เขากล้ายอมรับ และเผชิญหน้ากับมัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังฉลาดพอจะอ่านการกระทำของโอลิเวียออก เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าแค่การที่เธอขอให้เขาออกตามหาเจมส์ แต่เขาก็ทรนงในตัวเองมากพอว่า เขาจะทำให้โอลิเวียละทิ้งแผนร้ายทุกอย่างที่มี เพราะเขาจะทำให้เธอกลับมารักเขาอีกครั้งได้

แม็กซ์ชอบที่เขาบอกกับเธอ หลังจากที่เธอสารภาพถึงความจริงทั้งหมด ที่เขาบอกเธอว่า เขาสงสัยแล้วว่าเธอคงมีเจตนาอื่นแฝง แต่เขาไม่สนใจ และถ้าในที่สุดเธอยังทรยศเขา มันก็เป็นความผิดของเขาเองที่ทำให้เธอรักได้ไม่มากพอ

โดยรวมแม็กซ์ชอบเรนย์ ชอบความสบายในความเป็นแวมไพร์ของเขา เขาไม่เคยมองว่ามันเป็นคำสาป (ซึ่งต่างจากตัวละครตัวอื่นในเรื่อง) เขาไม่เชื่อว่าเขาคือผู้ถูกสาป และจะต้องตกนรก เขาแน่ใจว่าถ้าเขาตาย เขาก็มีสิทธิที่จะได้ขึ้นสวรรค์เช่นกัน

โอลิเวียในอีกทางนึงถือว่าโอเค แม็กซ์ไม่ชอบการที่เธอโทษทุกอย่างให้เป็นความผิดของเรนย์ แต่ในท้ายที่สุดเมื่อเธอต้องเลือก เธอก็พิสูจน์ว่าเธอรักเรนย์แค่ไหน แม็กซ์ให้เธอสอบผ่านค่ะ

สรุปท้ายของคอมเม้นต์แคธลินหน่อยแล้วกันค่ะ มันไม่เกี่ยวอะไรกะเล่มนี้นะ (แม็กซ์ถือว่าเล่มนี้อาจจะเป็นเล่มที่ดีที่สุดของแคธลินเลยก็ได้) แม็กซ์ว่าเธอเป็นคนที่เขียนเรื่องตามแนวตลาดมากจนน่ารำคาญ เดิมเธอเขียนเรื่องแนวย้อนยุค พอแนวแวมไพร์ฮิต เธอก็มาเขียนชุดนี้ ตอนนี้เทรนด์เปลี่ยนไปที่แนว Urban Fantasy เธอก็ได้ฤกษ์ออกหนังสือชุดใหม่ที่เรียกว่าชุด "ฝันร้าย" ที่แม้หนังสือจะไม่ออก แต่ดูแล้วก็คล้ายกับ UF อย่างไม่น่าเชื่อ แม็กซ์เห็นแล้วก็คงบอกได้แต่ว่าเธอเป็นคนตามแฟชั่น แต่ไม่คิดสร้างแนวอะไรเป็นของตัวเอง และนี่อาจจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมหลังจากเขียนหนังสือมาหลายสิบเล่มในหลายปี เธอยังไม่ได้เลื่อนระดับเป็นหนังสือแนวหน้าของเอว่อนเสียที

กลับมาที่คะแนนค่ะ อยู่ที่ 73 ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดที่แม็กซ์เคยให้กับหนังสือของแคธลิน

No comments: