Friday, January 23, 2009

Into the Shadow // Christina Dodd

เมื่อวานมีเพื่อนทักว่าพักนี้แม็กซ์ได้อ่านหนังสือสนุก ๆ หลายเรื่อง แล้วถามว่าแม็กซ์เตรียมจะอ่านเล่มอะไรต่อไป ซึ่งแม็กซ์ก็ตอบตามตรงไปว่า ยังไม่รู้ เพราะหลังจากได้อ่าน Pleasure Unbound ซึ่งสนุกมากเล่มนึง แม็กซ์ก็ไม่ค่อยจะมีความกระตือรือร้นที่จะอ่านอย่างอื่นเท่าไหร เพราะจากประสบการณ์ การได้อ่านหนังสือสักเล่มที่สนุกมาก เล่มที่อ่านตามมาหลังจากนั้นจะให้ความรู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าไหรนัก คิดว่าก็คงจะคล้ายอาการติดยามั้ง (ที่ต้องมั้งเพราะไม่เคยติดค่ะ ได้ยินแต่เขาเล่ามา) ที่บอกว่าเวลาไฮท์ (high) มันก็เหมือนสวงสวรรค์ แต่พอสร่างยาก็เหมือนนรก

นั่นเพราะแม็กซ์คิดว่า Pleasure Unbound เป็นช่วงสูงสุดแล้ว จนกระทั่งได้หยิบเล่มนี้มาอ่าน

Into the Shadow ของคริสติน่า ดอจจ์

มันเป็นความผิดของแม็กซ์เองแหละที่คิดว่าคริสติน่าหมดน้ำยาแล้ว คิดว่ายังไงเธอก็ไม่มีวันกลับมาเขียนหนังสือที่เหมือนเรื่อง A Well Favored Gentleman หรือ Someday my prince ได้อีก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อแม็กซ์ได้อ่านหนังสือสองเล่มแรกในชุด Darkness Chosen ซึงคือเรื่อง Scent of darkness และ Touch of darkness แม็กซ์มองเห็นหนังสือแนวพารานอมอลที่สนุกชนิดอ่านได้ แต่ไม่ถึงกับมีอะไรน่าจดจำเป็นพิเศษ

เหตุผลทั้งหมดนั่นทำให้แม็กซ์มองข้ามเล่มนี้ไป แต่ก็โชคดีแล้วล่ะที่แม็กซ์คิดว่าเล่มนี้ไม่น่าจะมีอะไร ก็เลยหยิบมาอ่าน เพราะถ้าหวังไว้เยอะว่าอยากอ่าน (อย่าง Twilight Fall ก็อาจจะต้องใช้เวลาทำใจสักระยะก่อนจะเริ่มอ่าน) ก็อาจพลาดได้อ่านเรื่องสนุก ๆ อย่างเล่มนี้ไปหลายวันก็ได้

ก่อนอื่นขอบอกว่า ตอนนี้เล่มนี้เป็นแนวพารานอมอลที่สนุกที่สุดที่แม็กซ์ได้อ่านในปีนี้นะคะ แต่เพื่อป้องกันความสับสนก็ขอบอกด้วยแล้วกันว่า ความสนุกของเรื่องไม่ได้มาจากพล็อตส่วนที่เป็นพารานอมอลเลยสักเล็กน้อย แต่มันอยู่ที่ตัวละครและการดำเนินเรื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า มันไม่ได้มีความคิดสร้างสรรอะไรในพล็อตพารานอมอล หนังสือเล่มนี้ก็จะยังเป็นโรแมนซ์ที่แม็กซ์ชอบมาก หากมันเป็นเพียงคอนเทมโพรารี่ธรรมดา

แม็กซ์ไม่คิดว่าจินตนาการด้านพารานอมอลของคริสติน่า ดอจจ์จะกว้างไกลหรือน่าสนใจ แต่วิธีที่เธอเขียนถึงพระเอกที่มีพฤติกรรมไม่เป็นสุภาพบุรุษนักชนะใจแม็กซ์ อย่างจัง

ว่าด้วยพล็อตพื้นฐานก่อน ด้วยความที่เล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุด จึงมีการท้าวความเกี่ยวกับข้อมูลเบสิกหลายอย่าง ตระกูลวารินสกี้ต้องคำสาปเนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาไปทำสัญญากับซาตาน เพื่อให้มีพลังเหนือมนุษย์ (นั่นก็คือสมาชิกในตระกูลกลายร่างเป็นสัตว์นักล่าชนิดต่าง ๆ ได้) แต่พวกเขาต้องแลกพลังที่ได้มาด้วยวิญญาณของสมาชิกในครอบครัว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน และเมื่อสามสี่สิบปีที่แล้ว หัวหน้าของครอบครัวคอนสแตนติน วารินสกี้ละทิ้งทุกอย่างเพื่อสาวน้อยยิปซีที่เขาลักพาตัวมา เขาพาเธออพยพมาอเมริกาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เปลี่ยนนามสกุลเป็นไวด์เดอร์ พวกเขามีลูกชายสามคน และในที่สุดหลังจากพันปีวารินสกี้ก็มีลูกสาวเป็นคนแรก

แต่แม้จะตัดขาดจากครอบครัวในรัสเซีย คำสาปก็ยังตามมา คอนสแตนตินในวัยหนุ่มทำชั่วไว้มาก ทำให้วิญญาณของเขาถูกกลืนกิน และจะต้องตายลงนรก หากลูกชายทั้งสี่ของเขา (แม็กซ์ไม่ได้พิมพ์ผิด) ไม่สามารถค้นหาวัตถุโบราณหรือที่เรียกว่าไอคอนที่เคยเป็นสมบัติประจำตระกูล กลับคืนมาได้ (ไอคอนเป็นรูปวาดเกี่ยวกับมาดอนน่าและบุตร --- และแม็กซ์ขออนุญาตบอกว่ามาดอนน่าคือพระแม่มารีนะคะ ไม่ใช่มาดอนน่าภรรยาของกาย ริชชี่) ในสองเล่มแรกลูกชายคนโตและคนรองทำสำเร็จ แต่ความหวังของพวกเขาก็หมดลง เมื่อรู้ข่าว (ในตอนจบเล่มสอง) ว่าลูกชายคนที่สามที่หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุสิบเจ็ดได้ตายลงในเทือกเขา หิมาลัย

ทว่าในหนังสือชุดสี่เล่ม มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ลูกชายคนที่สามจะตายใช่ไหม

คำตอบคือใช่ เพราะเล่มนี้เล่าเรื่องราวของแอดริค ลูกชายคนที่สาม คนที่ไม่เชื่อฟังพ่อ และหนีออกจากบ้าน กลายเป็นวารินสกี้แห่งความชั่วร้าย ไม่ใช่ไวด์เดอร์ที่กลับตัวแล้ว

พล็อตเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องอย่างที่ผู้หญิงยุคใหม่ควรจะชอบ มันเป็นพล็อตน้ำเน่าที่คนดีดีไม่ควรยอมรับว่าชอบกัน มันเป็นพล็อตแบบที่ถ้าแม็กซ์อ่านโดยฝีมือนักเขียนคนอื่น ก็คงเขวี้ยงกระแทกกำแพง แต่คริสติน่า ดอจจ์เป็นคนที่เขียนพล็อตแนวนี้ได้ดีที่สุด กับพระเอกที่มีพฤติกรรมเทียบเคียงกับผู้ร้ายหน่อย ๆ

มาฟังกันดู

แอดริคซึ่งบัดนี้กลายเป็นวอร์ลอร์ด (ชื่อที่ปญอ.มาก) แห่งเทือกเขาหิมาลัย เห็นคาเรนครั้งแรกในสถานีรถไฟ และตามแบบฉบับของพระเอกโรแมนซ์ที่ไม่เคยเรียนมารยาท เขารู้ว่าต้องการเธอ และเขาก็ได้เธอ เขาเข้าหาคาเรนในเต้นท์ตอนที่เธอคุมงานก่อสร้างโรงแรมให้บิดา เขาช่วยชีวิตเธอจากเหตุการณ์ถ้ำถล่ำ แต่เขาก็ใช้โอกาสนั้นในการเก็บตัวเธอไว้เป็นผู้หญิงของเขา ความสัมพันธ์ในฐานะของผู้จับ และผู้ถูกจับ

แต่ขอร้องนะคะ ถ้าหวังว่าคาเรนจะเป็นนางเอกชนิดที่น้ำตาไหลพราก ๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องยอมเป็นทาสรักให้กับแอดริค ก็ขอความกรุณาไปอ่านยอดรักซาตานแล้วกันนะคะ เพราะคุณคงไม่ชอบเล่มนี้ และถ้าหวังว่าแอดริคจะตบคาเรน ข่มขืนเธอหลายครั้ง ก็กลับไปเล่มอื่นอีกเช่นกัน เพราะเซ็กส์ในเล่มนี้ไม่ใช่การบังคับ (อย่างน้อยก็ในความคิดแม็กซ์) มันจะเป็นได้ยังไงกับคริสติน่า ดอจจ์คนที่สร้างสรรคำที่ฮิตกันในหมู่นักวิชาการโรแมนซ์กับคำศัพท์ที่ว่า Forced Seduction มันพอดีไม่มากหรือน้อยเกินไป

แต่ความสัมพันธ์นั้นไม่อาจยั่งยืน แอดริคไม่ใช่คนดี วิญญาณของเขาถูกลืนกินโดยความเลวร้ายที่ได้กระทำนับจากอายุสิบเจ็ด และเมื่อแคมป์ของเขาถูกศัตรูโจมตี เขาตัดสินใจปล่อยคาเรนไป โดยสัญญาว่า สักวันเขาจะกลับมา

สองปีผ่านไปไวเหมือนโกหก คาเรนได้พบกับผู้ชายอีกคนที่เตือนให้เธอนึกถึงแอดริค (หรือที่เธอรู้จักในนามวอร์ลอร์ด ซึ่งมันเป็นชื่อที่แม็กซ์ไม่ใช้ มัน... เกินไปน่ะ) แต่เขาเป็นนักพัฒนาเกมส์คอมพิวเตอร์สุดฮิต เป็นเศรษฐีพันล้าน พวกเขาพบกันในงานเลี้ยงที่เธอเป็นคนจัด เธอเกือบจะแน่ใจว่าชายทั้งสองคือคนเดียวกัน แต่เมื่อได้รู้จัก ริค ไวด์เดอร์ เธอชักจะไม่แน่ใจ (แต่คุณที่เป็นแฟนโรแมนซ์ก็คงพอเดาได้ใช่ไหมว่าเป็นยังไง)

อย่างที่บอกหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เด่นในเรื่องความสร้างสรรของพล็อต แต่แม็กซ์ชอบวิธีการดำเนินเรื่อง ชอบการกระทำของตัวละครที่มันดูบ้า และผิดศีลธรรมอย่างยิ่งในชีวิตจริง แต่ยอมรับเธอนะ มันสนุกในนิยาย ที่สำคัญคริสติน่า ดอจจ์เขียนเรื่องที่หมิ่นเหม่อย่างนี้ได้พอดี พระเอกไม่ได้วางอำนาจจนน่ารำคาญ นางเอกไม่ได้ไร้เดียงสาจนน่าตบ ทุกอย่างในความหมิ่นเหม่นั้น... พอดี

มันเป็นหนังสือที่แม็กซ์อ่านจบในเวลาอันรวดเร็ว พล็อตเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไร แล้วแม็กซ์ก็รู้ชัดเจนว่าอะไรทำให้แม็กซ์ชอบเล่มนี้ นั่นเพราะแอดริคเป็นพระเอกแบบที่แม็กซ์ชอบ ผู้ชายที่รู้ตัวว่าต้องการอะไร และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่ (สำคัญตรงนี้แหละ) ในการกระทำของเขามันอยู่ในกรอบที่แม็กซ์ยังรับได้ นั่นคือเขาไม่ทำร้ายนางเอกไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจหรือร่างกาย และมันต้องชัดเจนว่าทุกอย่างที่เขาทำ ไม่ว่ามันจะผิดแค่ไหน ก็เพราะความรักที่ห้ามไว้ไม่อยู่

แอดริคเป็นทั้งหมดนั่น และมากกว่า

คะแนนที่ 87

No comments: