ตั้งใจจะอ่านเล่มนี้ตั้งนานแล้วล่ะค่ะ เพราะค่อนข้างโอเคกับเล่มแรก When darkness comes นะคะ เพราะถึงจะไม่สนุกเท่ากับชุดแวมไพร์อื่น ๆ แต่ก็ถือว่า ดีกว่าที่คาดเยอะ
เล่มนี้ก็เหมือนกับเล่มแรกล่ะค่ะ อาจจะไม่สนุกสุดยอด แต่ก็ถือว่าใช้ได้น่าอ่านทีเดียวล่ะ
Embrace the darkness ของอเล็กซานดร้า ไอวี่
เริ่มต้นก็ขอวิจารณ์ชื่อชุดอีกรอบ (หลังจากพูดไปแล้วรอบนึงในรีวิวของเรื่อง When Darkness comes) เพราะจนอ่านเล่มสองจบไปแ้ล้ว แม็กซ์ก็ยังไม่เก็ตว่ามันเป็นชุด Guardian of Eternal ไปได้ยังไง ยังไม่เห็นประเด็นเลยนะคะ เพราะในเล่มนี้ยิ่งไปกว่าเล่มแรกเสียอีก (ในเล่มแรกพระเอกยังเป็นผู้พิทักษ์ของฟีนิกซ์) เพราะไวเปอร์ไม่ได้มีหน้าที่ต้องพิทักษ์หรือคุ้มครองใครสักคน การที่เขาเลือกจะปกป้องนางเอกจากเหล่าร้ายก็เพราะเขารักเธอ แต่มันไม่ใช่หน้าที่
คิดว่าคงเป็นชื่อชุดที่ตั้งให้ฟังดูเท่ห์อย่างเดียวล่ะค่ะ
กลับมาเข้าเรื่อง ทั้งพระเอกและนางเอกเล่มนี้เป็นตัวละครที่มีบทบาทมาแล้วตั้งแต่เล่มแรก ไวเปอร์เป็นทั้งเพื่อนและหัวหน้าเผ่าแวมไพร์ที่ดังเต้พระเอกเล่มแรกสังกัด อยู่ ส่วนเชย์เป็นปีศาจที่ถูกส่งมาตามล่าแอ็บบี้ นางเอกเล่มแรก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะช่วยพวกเขาแทน ในระหว่างการต่อสู้กับผู้ร้ายในเล่มแรก เชย์เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยไวเปอร์ ดังนั้นเธอจึงไม่สบอารมณ์อย่างมาก เมื่อพบว่าไวเปอร์กลายเป็นคนที่เข้ามาประมูลแล้วได้ตัวเธอไปเป็นทาส
เชย์เป็นปีศาจลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และชาร์ล็อตต์ (แม็กซ์ค้นข้อมูลแล้วนะคะ คิดว่าปีศาจจำพวกชาร์ล็อตต์นี่น่าจะเป็นจินตนาการของคนแต่งเอง เพราะหาที่มาคำอธิบายไม่เจอเลยค่ะ) ว่ากันว่าเธอเป็นชาร์ล็อตต์คนสุดท้ายที่อยู่ในโลกของเรากันแล้ว เพราะชาร์ล็อตต์คนอื่น ๆ ล้วนทิ้งโลกของเราไปสู่โลกมืดเพื่อตามเจ้าชายของพวกเขาไปอีกมิตินึง (คิดว่าเจ้าชายของพวกเขาก็น่าจะเทียบเคียงกับซาตานนะคะ) แต่เชย์ติดอยู่ที่นี่เพราะพ่อของเธอหลงรักมนุษย์ และไม่ยอมอพยพไปกับพวกของตัวเอง
ด้วยคำสาปที่ติดตัวมา เชย์ต้องทำตามคำสั่งของเอวอร์ นักค้าทาสที่เห็นโอกาสเอาชาร์ล็อตต์คนสุดท้ายออกขาย ว่ากันว่าเลือดของชาร์ล็อตต์สามารถรักษาอาการป่วยได้ทุกอย่าง และเชย์ก็เป็นที่ต้องการเพราะเลือดของเธอ แต่ไ่ม่ใช่สำหรับไวเปอร์
หลังจากร่วมกันต่อสู้กับผู้ร้ายเล่มก่อน ไวเปอร์ก็ไม่อาจสลัดเชย์ออกไปจากใจได้ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินข่าวการประมูลตัวชาร์ล็อตต์ เขาจึงไปที่นั่น และทุ่มไม่อั้นเมื่อให้ได้ตัวเธอมา
แต่ก็ต้องพบว่า ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องการตัวเชย์ ยังมีศัตรูที่ตามล่าพวกเขาอยู่อีก และไวเปอร์พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ
หนังสือเล่มนี้เขียนอย่างไม่มีประเด็นเป็นชิ้นเป็นอันค่ะ ครึ่งเล่มแรกแม็กซ์บอกเลยว่า รู้สึกเหมือนคลำทางอยู่ในความมืด ไม่ใช่ว่าอ่านไม่รู้เรื่องหรอกนะคะ ภาษาในเรื่องนี้ไม่ยากเย็นอะไร แต่เพราะความไม่มีประเด็นเป็นชิ้นเป็นอันของเรื่องต่างหาก ก็เลยดูเหมือนเรื่องดำเนินไปอย่างไร้จุดหมายพิกล ไวเปอร์ซื้อตัวเชย์มา แต่เขาไม่ต้องการอะไรจากเธอสักนิด ส่วนเชย์ก็ไม่ไว้ใจแวมไพร์เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าเลือดของชาร์ล็อตต์ เป็นที่ต้องการของแวมไพร์แค่ไหน
ครึ่งเล่มแรกเป็นคลำทางไปหาพล็อต ส่วนครึ่งเล่มหลังเริ่มดีขึ้น เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเชย์และไวเปอร์เริ่มพัฒนาขึ้น ส่วนตัวแม็กซ์คิดว่าอเล็กซานดร้าเขียนพล็อตพารานอมอลได้ไม่ดีนักหรอกค่ะ ไม่น่าสนใจ หรือน่าค้นหกอะไรเลย แต่เธอเป็นคนที่เขียนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองได้ดี และน่าเชื่อ เพราะในท้ายที่สุดเมื่อไวเปอร์และเชย์ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อกันและกัน แล้ว มันดูสมจริงอย่างยิ่ง
และเช่นเดียวกับเล่มแรก ข้อเสียของเรื่องนี้ก็คือการปูพื้นตัวละคร และการบรรยายโลกของแวมไพร์อันเป็นพื้นหลักของเรื่องทำได้ไม่ดีนัก เราไม่รู้เลยว่าไวเปอร์เคยเป็นใครมาก่อน มีอดีตเช่นไร แล้วทำไมเขาจึงกลายเป็นคนอย่างที่เขาเป็นในปัจจุบัน เราแค่ได้เห็นเขาในปัจจุบันเท่านั้น (แล้วประเด็นเรื่องการสูญเสียความทรงจำในชีวิตสมัยที่เคยเป็นมนุษย์ของแวม ไพร์ถูกพูดถึงนิดเดียว จนแม็กซ์ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม เพราะดูเหมือนว่าคนที่กลายเป็นแวมไพร์จะจำอดีตของตัวเองสมัยที่เป็นมนุษย์ ไม่ได้ --- ไวเปอร์พูดไว้ตอนท้าย ๆ เรื่อง ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านก็ช่วยคอนเฟิร์มความเข้าใจของแม็กซ์ด้วยนะคะ)
อย่างที่บอกค่ะ ถ้าอ่านเล่มนี้โดยหวังจะเจอพล็อตเรื่องที่สร้างสรร ก็ขอความกรุณาให้ไปอ่านงานของนรินี ซิงค์แทน แต่ถ้าอยากอ่านเรื่องของพระเอกและนางเอกที่มีความสัมพันธ์กันอย่างจริงใจและ จับต้องได้ ก็ลองอ่านเล่มนี้ดู
คะแนนที่ 70
No comments:
Post a Comment