Wednesday, January 21, 2009

ปกหนังสือไม่ใช่แค่เปลือกหุ้มกระดาษ (1)

มีข่าวร้อน ๆ เกี่ยวกับเรื่องปกหนังสือในโลกโรแมนซ์ตอนนี้ แม็กซ์ก็เลยคิดว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะให้เราพูดถึงเรื่องปกหนังสือกันบ้าง เพราะเท่าที่จำได้คิดว่าเราไม่เคยพูดถึงเรื่องอย่างจริงจังสักครั้ง

คงไม่ต้องบอกนะคะว่า มันเป็นความเห็นของแม็กซ์ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็บอกกล่าวกันได้ค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าคิดกันยังไงบ้างเกี่ยวกับปกหนังสือ

เริ่มต้นด้วยข่าวร้อนก่อนแล้วกัน

ปกของหนังสือเรื่อง In Twilight's Shadow ของแพตตี้ โอเชย์ถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการนำภาพของนางแบบที่ชื่อว่า ดิทตา ฟอน ทีส มาให้เป็นส่วนหนึ่งของภาพปกโดยที่เจ้าของภาพไม่ได้อนุญาต ทั้งนี้ตัวดิทตาเองได้ทำการฟ้องสนพ. เซ็นต์มาร์ติน และบริษัทเอเจนซี่ที่นำรูปของเธอไปขายให้กับเซ็นต์มาร์ตินแล้ว

ข่าวนี้กำลังถูกจับตามองกันอยู่ว่า จะทำให้หนังสือเล่มนี้ (ซึ่งออกขายนานแล้วล่ะ) จะกลับมาดังไหม หรือว่าบรรดาคนอ่านที่โง่สักนิดนึง จะโทษว่าเป็นความผิดของแพตตี้คนแต่งหนังสือ ทั้งที่ความจริงแล้วคนแต่งไม่มีสิทธิออกเสียงในเรื่องปกหนังสือสักเท่าไห รนัก (ยกเว้นคุณจะเป็นนักเขียนดังโคตร ๆ)

เรามาเปรียบเทียบดูภาพปก และรูปของดิทตากันว่าเหมือนไหมนะคะ

คดีนี้ยังไม่ตัดสิน แต่สำหรับคนที่คิดจะเก็งกำไรสักนิดนึง หรือชอบสะสมของหายาก แม็กซ์ก็แนะนำนิดนึงว่า ถ้าคดีไปถึงศาล แล้วตัดสินให้ดิทตาเป็นฝ่ายชนะ หนังสือเรื่องนี้ก็จะถูกเก็บออกไปจากตลาด ซึ่งนั่นแสดงว่า จะทำให้หนังสือเรื่องนี้ที่มีปกนี้กลายเป็นของหายากไป ดังนั้นในเวลานี้ที่ยังหาซื้อกันได้อยู่ ใครคิดจะสะสมก็รีบกันหน่อยแล้วกันนะคะ

จบเรื่องข่าวไปแล้ว แม็กซ์ก็กลับมาพูดถึงเรื่องปกหนังสือกันต่อนะคะ แต่ถ้าจะไม่พูดถึงปกหนังสือรูปหญิงสาวสามแขนอันโด่งดัง มันก็ตกยุคไปหน่อย เพราะปกของหนังสือเรื่องนี้ ถือว่าเป็นตำนานในวงการเรื่องปกโรแมนซ์เชียวนะ หลายคนน่าจะเคยเห็นมันมาก่อน แต่สำหรับคนที่ไม่เคย นี่คือปกหนังสืออันโด่งดัง ที่ได้ฉายาว่า Three handed Lady

ถ้าคุณมองภาพนี้แล้วยังเห็นไม่ชัด ก็มาดูใกล้ ๆ กันนะคะ

ว่ากันว่าคริสติน่า ดอจจ์เกิดจากปกของหนังสือเล่มนี้แหละค่ะ (เรื่องนี้เป็นหนังสือเล่มที่สองที่เธอเขียน) และที่น่าชื่นใจก็คือ มีสนพ.หนึ่งในเมืองไทยเอาปกรูปนี้มาทำปกเวอร์ชั่นแปลภาษาไทยอีกต่างหากนะคะ แต่แม็กซ์จำชื่อเรื่องของเวอร์ชั่นภาษาไทยที่ใช้ปกนี้ไม่ได้ล่ะค่ะ คนที่รู้ช่วยส่งข่าวด้วยนะ

พูดถึงหนังสือปกเห่ย ก็ต้องพูดถึงเรื่อง Get Lucky ของซูซาน บร็อคแมนน์ที่คนแต่งเองโวยวายจนกลายเป็นจุดขายของหนังสือไปเลย สำหรับคนที่อ่านเล่มนี้แล้วคงพอรู้ว่า ลัคกี้พระเอกในเรื่องเป็นตัวละครที่แสนหล่อเหลา หล่อชนิดสั่นสะท้านใจสาว เรามาดูกันว่า คนที่เป็นตัวแทนของลัคกี้ในภาพปกที่ฮาร์ลิควินจินตนาการกัน


เห็นได้ชัดว่าจินตนาการของนักเขียน คนอ่าน และสำนักพิมพ์ช่างแตกต่างกันราวกับฟ้ากะเหว

เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ แม็กซ์ขอพูดย้อนประวัติศาสตร์ของปกหนังสือตามความเข้าใจของตัวเองกันหน่อยนะ คะ ปกโรแมนซ์เริ่มต้นด้วยปกรูปคู่ชนิดที่ตัวละครกอดกันกลม ซึ่งเขามีศัพท์เรียกเฉพาะกันในวงการว่า Clinch Cover ซึ่งปกประเภทนี้ก็ยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่อาจจะดูสวยงามขึ้นตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเท่านั้นเอง

สองปกนี้อายุน่าจะประมาณสามสิบปีขึ้นไปแล้วนะคะ

แล้วเรามาดูปกกอดกันกลมของยุคปี 2008 กันค่ะ

จากงานวิจัยพบว่า ปกชนิดนี้ (Clinch Cover) เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเขียนแนวโรแมนซ์ เป็นครั้งแรก เพราะปกแบบนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหนังสือเหล่านี้เป็นแนวอะไร คนอ่านสามารถซื้อมาได้โดยไม่ต้องคิดมาก ที่สำคัญสะดุดตาคนอ่านนัก

ถึงแม้ว่าถ้าคุณถามคำถามนี้กับนักอ่าน หลายคนก็จะบอกว่าพวกเค้าเกลียดปกแบบนี้ แต่คำตอบอยู่ที่ยอดขายค่ะ เพราะจากการเก็บข้อมูลระหว่างปี 2006 - 2007 สำหรับยอดขายของนักเขียนหน้าใหม่ (เน้นตรงใหม่นะคะ นั่นคือเพิ่งออกหนังสือเล่มแรก หรือมีผลงานก่อนหน้าแต่อาจจะไม่ดังนัก) พบว่า หนังสือของนักเขียนที่มีปกชนิดกอดกันกลมขายดีกว่าปกชนิดอื่นราว 5,300 เล่ม และยังมีอัตราการขายมากกว่าปกชนิดอื่นราว 11%

คำถามก็คือ พวกคุณชอบปกชนิดกันไหม ขอความเห็นคนที่อ่านบลอกหน่อยนะคะ

แต่นอกจาก Clinch Cover แล้วก็ยังมีปกอีกหลายแบบที่สนพ.สร้างสรรมาให้ดึงดูดใจคนอ่าน เมื่อหลายปีก่อน กระแสของปกการ์ตูนมาแรงมาในโลกโรแมนซ์ หนึ่งในสนพ.แรก ๆ ที่ทำออกมาก็คือเอว่อน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก (ว่ากันว่าทำให้ราเชล กิ๊บสันเกิดได้เลยทีเดียว) แต่โลกของเราก็คือ โลกแห่งการเลียนแบบ เพราะหลังจากที่เอว่อนประสบความสำเร็จ อีกหลายสำนักพิมพ์ก็เริ่มเข็นปกการ์ตูนของตัวเองออกมากันใหญ่

ส่วนตัวแม็กซ์แล้ว ปกการ์ตูนเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในบรรดาทุกปกที่สนพ.เคยผลิตออกมาสู่ตลาดเลยนะ คะ นักเขียนหลายคนที่เรามองข้ามไม่ยอมซื้อมาอ่านตั้งแต่ต้น ก็เพราะเจ้าปกการ์ตูนนี่แหละ เราว่าไม่มีเสน่ห์ หรือน่าสนใจเลยสักนิดเดียว แต่ก็อย่างว่านะคะ คนต้องมีคนชอบแน่ ๆ เพราะปกชนิดนี้ก็ยังยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ไม่เยอะเหมือนก่อนเท่านั้นเอง นั่นก็เพราะว่าสำหรับเรื่องแนวปัจจุบัน การหาปกให้กับหนังสือพวกนั้นค่อนข้างยาก คุณไม่สามารถใช้ปกกอดกันกลมแบบแนวย้อนยุคได้ การใช้รูปคู่หนุ่มสาวก็ดูไม่เป็นที่นิยม ทั้งที่ความจริงแล้วเราค่อนข้างชอบนะคะ แต่เท่าที่รู้ ปกแบบนี้ได้ทำลายอาชีพของของมิเชล เจโทรไปเลย ทั้งที่เธอเป็นนักเขียนที่ดีมาก ๆ ที่แม็กซ์ชอบคนนึง

เท่าที่รู้ ปกหนังสือของมิเชลไม่ได้รับการตอบรับจากคนอ่าน ถึงขนาดที่เธอต้องเปลี่ยนนามปากกาไปใช้ชื่อใหม่เลยนะคะ เพราะว่าชื่อเดิมขายไม่ออกแล้ว (ซึ่งแสดงว่าทางสนพ.ยังเห็นว่าเธอเป็นนักเขียนที่มีความสามารถ เพียงแต่โชคร้ายที่ขายไม่ออกเท่านั้นเอง) และปกแรกในนามปากกาใหม่ของเธอก็คือ ปกการ์ตูนนั่นเอง

แต่แม็กซ์ชักจะรู้สึกว่าระยะหลัง ปกของนักเขียนชื่อดังที่ดูเหมือนจะทิ้งแนวโรแมนซ์ไปเขียนเรื่องสืบสวนเป็น หลักหลายคน เริ่มกลับมามีปกแบบกึ่งสอบสวน และโรแมนซ์ ลองสังเกตปกหนังสือเหล่านี้ดูให้ดีดีนะคะ

ปกเหล่านี้ดูแว่บแรกอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไรนะคะ แต่ถ้าดูให้ดีจะพบว่าเป็นรูปชายหญิงในท่าทางที่ส่อให้เห็นพอสมควรว่าเป็น หนังสือโรแมนซ์ (ภาพที่ลงในบลอกนี่เห็นค่อนข้างชัดนะคะ แต่ถ้าดูตัวเล่มจริงกันแล้ว แว่บแรกจะแทบไม่เห็นเลยค่ะ เพราะความเงาของภาพปก)

แม็กซ์ถือว่าเทรนด์อันนี้เป็นความดีของหนังสือโรแมนซ์นะคะว่าขายดีขึ้น จนขนาดนักเขียนที่ตอนนี้เหมือนจะละทิ้งแนวนี้ไปแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะเสาะแสวงหาแฟนโรแมนซ์กันอยู่

แรงบันดาลใจในการสร้างสรรภาพปกมาจากหลายอย่างค่ะ หนึ่งในนั้นก็คือบรรดาภาพเขียนที่มีชื่อเสียงของศิลปินชื่อดังในอดีต อย่างปกข้างล่างนี้ เป็นส่วนหนึ่งของภาพเขียนล้ำค่าในอดีตหลายภาพ ที่ถูกตัดเอาบางส่วนมาเป็นภาพปก


ดูกันออกไหมคะว่า สองปกนี้ถูกตัดออกมาจากภาพเขียนอันเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือภาพ Madam Recamier ซึ่งเขียนโดย Baron François-Pascal-Simon Gérard ภาพจริง ๆ เป็นยังงี้ค่ะ

นอกจากการเอาภาพเขียนจริง ๆ มาทำเป็นปกหนังสือแล้ว ตอนนี้ก็ำกำลังนิยมผลิตภาพปกที่ดูแล้วคล้ายกับเป็นภาพเขียน ทั้งที่ความจริงไม่ได้มาจากภาพเขียนเหมือนสองรูปข้างบนหรอกนะคะ

และนอกจากจะลอกเลียนสไตล์ของภาพเขียนแล้ว ปกโรแมนซ์ก็ยังเอาสไตล์ของโปสเตอร์หนังมาใช้อีกต่างหาก โดยเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับเจน ออสเตน

ดูคล้ายกันไหมคะ สองรูปแรกเป็นโปสเตอร์หนังฮอลีวู้ด ส่วนรูปสุดท้ายเป็นปกหนังสือโรแมนซ์นั่นเอง

ปกโรแมนซ์ส่วนใหญ่เป็นรูปคู่ชายหญิง เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับความรัก แต่หลายครั้งก็โชว์แค่ฝ่ายชายหรือหญิงเท่านั้นบนปก จากงานวิจัย พบว่า รูปผู้ชาย โดยเฉพาะชายกึ่งเปลือยเป็นที่นิยมมากในแง่ยอดขาย มีเจ้าของบลอกเกี่ยวกับโรแมนซ์ที่ดังมาก (ดังขนาดไหนก็ลองคิดดูแล้วกันว่า มีสนพ.มาซื้อลิขสิทธิ์งานเขียนของเธอใสนบลอกไปพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสืออกขาย เชียวล่ะ) ที่ใช้นามแฝงในอินเตอร์เน็ตว่าสมาร์ทบิชเชส เรียกปกชายกึ่งเปลือยพวกนี้ว่า mantitty (แปลตรงตัวก็แยกคำว่า Man ออกจาก tit แล้วกันค่ะ) ถ้าสนใจอย่างรู้ความหมายของคำคำนี้จริง ๆ ก็ตามไปอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ ถ้าตามคำจำกัดความของสมาร์ทบิชเชส Mantitty ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปผู้ชายคนเดียวหรอกนะคะ อาจจะเป็นรูปคู่ก้อได้ แต่ต้องเป็นชายที่แมนเหนือชาย (ประมาณกร้ามขึ้นยังงั้นแหละ)

มาดูตัวอย่างปกแบบนี้กัน

พูดถึงภาพปกที่เป็นผู้ชายแล้ว เราก็คงต้องมาพูดถึงนายแบบภาพปกกันบ้าง อันนี้แม็กซ์ออกตัวเลยนะคะว่าไม่เชี่ยวชาญ เพราะรสนิยมส่วนตัวไม่ชอบผู้ชายบึกขนาดนี้ (บอกตามตรงว่า ดูมายังไม่ค่อยจะเห็นว่าปกแบบนี้สวยเลยล่ะ)

รู้สึกว่าบลอกมันจะยาวไปแล้วนะคะ ขอตัดเป็นภาคหนึ่งและภาคสองแล้วกันค่ะ

No comments: