Friday, May 30, 2014

Review: Panic


Panic
Panic by J.A. Huss

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้เดินตามรอยคอนเซ็ปต์ของหนังสือชุดนี้นะคะ นั่นคือ ไม่มีใครเป็นอย่างที่ตาเห็น ในเรื่อง Manic (เล่มสองในชุด) คนอ่านได้รับรู้ถึงเบื้องหลังที่ซ่อนภายใต้ฉากหน้าของคาแร็คเตอร์หลายตัว เล่มนี้ต่อยอดเพิ่มขึ้นไปอีกว่า เบื้องหลังของคนเหล่านั้นมันซับซ้อนยิ่งกว่าที่คาด

สำหรับเราคงต้องบอกตามจริงว่า เล่มนี้ค่อนข้างเกินขอบแห่งความน่าเชื่อไปค่อนข้างมาก เรายอมรับได้กับความสมจริงในสองเล่มแรกนะคะ (ว่าคาแร็คเตอร์เหล่านั้นแท้จริงเป็นอะไรกันบ้าง) เล่มนี้เราว่า มากเกินไปหน่อย นอกจากนี้ส่วนสืบสวนของเรื่องก็คลี่คลายง่ายเกินเหตุ (ในขณะที่ตัวร้ายก็ชัดเจนมากไป) องค์ประกอบหลายอย่างในเรื่องดูไม่สมจริงเท่าไหรนัก

แต่เขียนไปแบบนั้นไม่ใช่ว่า เราไม่สนุกกับการอ่านเรื่องนี้นะคะ แต่เราคิดว่า ทั้งพล็อตเรื่องและคาแร็คเตอร์ค่อนข้างที่จะ in your face มากเกินไปหน่อย ในขณะที่สองเล่มแรกมันจะแฝงอยู่อย่างน่าค้นหา

เล่มนี้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของทั้งรุกและโรนิน รับรู้ว่า รุกไม่ใช่สาวน้อยวัยสิบเก้าปีที่ช่างฝัน อดีตของเธอดำมืดกว่าที่คิด และโรนินไม่ใช่นายแบบรูปหล่อที่ไร้สมอง ตัวตนของเขาหลอกลวงมากพอกัน แต่ทั้งคู่ลงตัวระหว่างกันและกัน

ถ้าอ่านรีวิวอื่น ๆ จะพบว่า มีคาแร็คเตอร์ตัวนึงที่ถูกกล่าวถึงไว้อย่างมาก ฟอร์ดอาจจะถูกเรียกว่า เป็นมือที่สาม เป็นพระรองที่ไม่ได้นางเอกในตอนจบ แต่สำหรับเราอย่างที่บอกไปนะคะ เราไม่รู้สึกว่า เล่มนี้คือเรื่องรักสามเส้า เพราะมันเห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่า รุกไม่เคยมีฟอร์ดอยู่ในสายตา สำหรับเธอ เขาคือเพื่อนคนที่เข้าใจเธอมากกว่าใคร (ในบางครั้งอาจจะมากกว่าที่โรนินเข้าใจด้วยซ้ำ) แต่หัวใจของเธอชัดเจน และมั่นคง ไม่เคยหวั่นไหว ที่สำคัญสำหรับคนที่อ่านเล่มนี้ (อย่างน้อยก็สำหรับเรา) มันชัดเจนเช่นกันว่า รุกไม่อาจเข้าใจท่าทีของฟอร์ดได้ เขาไม่ได้แสดงออกชัดเจนพอว่า ต้องการเธอ และสำหรับหญิงสาวที่มีปัญหาอย่างรุก เธอต้องการความชัดเจนเพื่อที่จะได้เข้าใจ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรุกกับฟอร์ดในแง่ชู้สาวจึงไม่เคยเกิดขึ้น รุกไม่เคยมองฟอร์ดในแง่นั้น เขาเป็นเพียงเพื่อน

และสิ่งที่เราชอบมาก ๆ (และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รุกคิดอย่างไร) ก็คือฉากที่เธอบอกกับฟอร์ดว่า "The difference between you and Ronin is that you're looking for the girl I was and he's looking for the girl I want to be" ซึ่งประโยคนี้ชัดเจนมาก ๆ ว่า อนาคตระหว่างเธอและฟอร์ด เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

อย่างที่บอกนะคะ เราว่าเล่มนี้ล้นเกินไป ทำให้หลายอย่างเรารู้สึกถึงความไม่สมจริง (และทำให้รู้สึกเหมือนคนแต่งได้รับอิทธิพลมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น) แต่เพราะติดตามอ่านมาสองเล่มแรก เล่มนี้เหมือนการขยายความประเด็นที่กล่าวถึงเอาไว้ และในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างรุกและโรนินที่เราคิดว่า คือหัวใจของเรื่องทั้งชุด เราไม่ถึงกับถูกรบกวนด้วยความ "มาก" เกินไปเท่าไหร

คงไม่ต้องบอกนะคะว่า เราไม่ได้หลงเสน่ห์ฟอร์ดเหมือนอย่างที่นักอ่านคนอื่นรู้สึก ไม่แน่ใจว่า เพราะเราขวางโลก (เหมือนอย่างที่เราไม่ชอบเรื่องไททานิค ทั้งที่คนชอบทั้งเมือง) หรือเขาไม่ได้น่าสนใจสำหรับเราจริง ๆ แต่เขียนแบบนี้ตามไปอ่านรีวิวเรื่อง Taut ดูนะคะ (รอจนเราเขียนใหม่อีกรอบ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เขียนค่ะ ไม่ใช่อันที่เราเขียนไปก่อนหน้านะคะ) เพราะความคิดที่เรามีต่อฟอร์ดพลิกกลับทั้งหมด



View all my reviews

Review: Manic


Manic
Manic by J.A. Huss

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือสามเล่มในชุดที่เล่าเรื่องราวของรุกและโรนิน (Tragic, Manic, และ Panic) สำหรับเราแล้วเหมือนตุ๊กตารัสเซียน่ะค่ะ (ตุ๊กตาที่เมื่อเปิดออกจะพบว่า มีตุ๊กตาตัวเล็กกว่าซ่อนอยู่ข้างใน) เพราะเมื่อเราคิดว่า เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และรู้จักตัวละครดีแล้ว ก็พบว่า ยังมีบางสิ่งซ่อนอยู่ มีอะไรที่มากกว่านั้นซ่อนอยู่

ใน Tragic ความรักระหว่างรุกและโรนินเหมือนจะลงตัว แต่ทุกอย่างก็ยังใหม่ และความจริงก็คือ รุกยังไม่ได้รู้จักโรนินอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ (ด้วยเวลาในเรื่อง Tragic ก็แค่ไม่กี่วัน) วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะเขียนเล่มสองก็คือ สร้างความร้าวฉาน หาคาแร็คเตอร์ผู้ชายอีกคนเข้ามาในเนื้อเรื่อง ทำให้นางเอกต้องเลือก (และจะเป็นการทำลายหนังสือทั้งชุดนั้นไป อย่างที่เรารู้สึกกับเรื่อง Twilight) เล่มนี้มองเผิน ๆ ดูเหมือนว่ากำลังจะทำเช่นนั้น

รุกซึ่งเซ็นต์สัญญาเป็นนางแบบให้กับแคมเปญโฆษณารถมอเตอร์ไซด์ให้กับสเปนเซอร์ ไชค์ ซึ่งไม่ใช่แค่การโชว์ตัว หากแต่หมายถึงการที่เธอต้องเปลือยร่างให้สเปนเซอร์เพ้นส์สีลงเป็นเรือนร่าง และถ่ายรูปคู่กับนางแบบหนุ่ม ๆ ในท่าทียั่วยวน ในเวลาเดียวกับที่โรนินแฟนหนุ่มของเธอต้องจากไปใช้เวลากับอดีตแฟนเก่าที่ตอนนี้กำลังต่อสู้กับอาการติดยา สถานการณ์มันง่ายมากที่คนแต่งจะเอาสูตรสำเร็จนางเอกหลายใจ หรือมีชายหนุ่มมารุมมาตุ้มรุมรักเธอง่ายมาก ๆ

แต่คนแต่งไม่ได้เลือกทำเช่นนั้น และนี่เป็นสิ่งที่เราชอบในเล่มนี้ กระนั้นในแง่ความโรแมนติก ก็ต้องบอกว่า เทียบกับ Tragic ไม่ได้ เพราะครึ่งเล่มแรก พระนางแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำ แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าจะสร้างความเข้าใจผิดให้กับตัวละคร เรากลับรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราชอบที่รุกไม่ได้ออกแนวไม่หวั่นไหวเอาเสียเลย แต่การเขียนออกมาชัดเจนมากว่า เป็นเรื่องความรู้สึกทางเพศมากกว่าความหวั่นไหวทางอารมณ์ นั่นคือ การถ่ายแบบที่แนบชิดกับนายแบบคนอื่น ๆ หรือกับสเปนเซอร์ ทำให้รุกรู้สึกบางอย่างทางเพศ แต่เธอแยกแยะออกว่า นั่นไม่ใช่"อารมณ์รัก" ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากหนังสือแนวรักสามเส้าหลายต่อหลายเล่ม

ที่มากไปกว่านี้ เล่มนี้เริ่มลงลึกถึงตัวตนของโรนิน ที่ใน Tragic เขาเหมือนหนุ่มหน้าสวย เป็นอัศวินที่ขี่ม้าขาวมาช่วยซินเดอเรลลาอย่างรุก เล่มนี้คนอ่านได้รับรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้น มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย และมันไม่ได้สวยงามเหมือนภาพที่เขาแสดงออกต่อสาธารณะชน และนี่ดูเหมือนจะเป็นธีมของเล่มต่อ ๆ มา ซึ่งก็คือ คนอ่านไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวละครจนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ในหัวของพวกเขา เมื่อพวกเขาเป็นคนเล่าเรื่อง

ในแง่ของตัวละคร เล่มนี้แนะนำตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นหลายตัว บางคนมีบทบาทเล็กน้อยใน Tragic มาในเล่มนี้บทเริ่มเยอะขึ้น แต่อย่างที่บอกค่ะ อย่าคิดว่า รู้จักพวกเขาดีจนกระว่าจะได้เห็นความคิดของพวกเขา สิ่งที่เราชอบก็คือ คนแต่งไม่ได้มุ่งเน้นการขายคาแร็คเตอร์เหล่านี้ในฐานะของพระนางในเล่มถัด ๆ ไป โฟกัสไม่ได้เปลี่ยนไปจากรุกและโรนินเลย

อีกส่วนที่ชอบมาก ๆ ก็คือ คาแร็คเตอร์ของรุก ที่เราเคยบอกว่าไปว่า ชอบความลงตัวของ "ความไร้เดียงสา" และ "กร้านโลก" ของเธอ เล่มนี้ก็ยังคงรักษาสมดุลนั้นเอาไว้ นั่นทำให้เธอดูน่าค้นหา เพราะด้านนึงเธอดูใสซื่อและเด็กเหลือเกิน แต่อีกด้านกลับชาชินกับหลายสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งเมื่อเรื่องเปิดเผยถึงปูมหลังของเธอที่มากขึ้น ก็ทำให้เราเข้าใจเธอมากขึ้น ซึ่งจุดนี้สำคัญมากเลยนะคะ

นั่นเพราะเราเริ่มอ่านหนังสือชุดนี้ที่เรื่อง Taut ซึ่งเป็นเล่มที่ห้าในชุด (เล่มนีคือเล่มที่สอง) และบทบาทที่รุกออกมาในเล่มนั้นทำให้เราไม่ชอบเธออย่างรุนแรง เราคิดว่า การกระทำของเธอหลายอย่างดูไร้หัวใจ และน่ารังเกียจ (เล่าคร่าวแบบไม่สปอยล์ก็คือ เรื่อง Taut เป็นเรื่องของคาแร็คเตอร์ฝ่ายชายคนนึงที่หลงรักรุก แต่อกหักเพราะเธอเลือกโรนิน) อย่างที่บอกค่ะ ตอนอ่านเรื่อง Taut เรามองเห็นรุกผ่านสายตาของคาแร็คเตอร์อื่น (ซึ่งเป็นชายที่อกหักมาจากเธอ) ดังนั้นตัวตนของเธอที่เราเห็นในเล่มนั้น แตกต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในเล่มนี้ เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่ฟอร์ดออกมามีบทบาท (เขาคือชายที่อกหัก) เราอ่านเล่มนี้แล้วเข้าใจได้เลยว่าทำไมรุกถึงทำอย่างที่เธอทำในเรื่อง Taut

สรุปเราอยากบอกว่า อ่านเรื่องชุดนี้เรียงกันเถอะค่ะ คือสามารถอ่านข้ามได้รู้เรื่องนะคะ แต่คุณจะไม่ได้เห็นภาพทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนที่เราขอติก็ตรง "กับดัก" ที่วางไว้สำหรับจับผู้ร้ายในตอนท้ายเรื่อง เรารู้สึกว่า มันง่าย และไม่ได้มีแผนการที่แยบยลอะไรเท่าไหรนัก



View all my reviews

Review: Tragic


Tragic
Tragic by J.A. Huss

My rating: 3 of 5 stars



เราไม่ได้คิดจะอ่านเล่มนี้เลยนะคะ ในโหมดอารมณ์ที่เบื่อหน่ายเรื่องแนวไตรภาคที่เล่าเรื่องราวของคาแร็คเตอร์คู่เดิม เบื่อเรื่องที่จบอย่างค้างคา และจากที่เราอ่านเรื่อง Taut ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคาแร็คเตอร์หลักคู่นี้ แต่มีการกล่าวถึง และการกล่าวถึงนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราประทับใจเกิดความอยากอ่านขึ้นมาสักนิดเดียว

แต่เรื่องชุดนี้ส่งผลแปลก ๆ กับเราค่ะ เพราะหลังจากอ่านเรื่อง Taut ไปได้พักนึง เราไปหยิบอีกเล่มในชุด (ซึ่งเป็นอีกคาแร็คเตอร์นึง) มาอ่าน ก็ดันชอบมากจนรู้สึกว่า ต้องอ่านต่อแล้วล่ะ ปัญหาคือเล่มที่เราอยากอ่าน (และอยู่ในชุดนี้) ยังไม่ออกขาย สถานการณ์ที่เหลือทนมาก เราไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบเอาเล่มนี้ล่ะมาอ่านคั่นเวลา ไม่ได้คาดหวังนะคะ เพราะอย่างที่บอก เท่าที่เราได้เจอกับพระนางของเล่มนี้ (ในเล่มอื่นที่อ่านไปก่อนหน้า) เราไม่รู้สึกว่า พวกเขาน่าสนใจอะไรเลย

แล้วก็ต้องแปลกใจค่ะ เพราะเรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดเยอะมาก ที่สำคัญแสดงให้เราเห็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับนักเขียนคนนี้ นั่นก็คือ ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ตาเห็น นั่นคือ เราคิดว่า เรารู้สึกคาแร็คเตอร์พระนางของเล่มนี้แล้วจากการอ่านเล่มก่อนหน้า แต่เทคนิคการเล่าเรื่องของเธอคือ ผ่านมุมมองของตัวละครใดตัวละครนึง (นั่นคือใช้คำว่า "ฉัน" ในการเล่าเรื่อง) และทั้งรุกและโรนินไม่เคยเล่าเรื่องของเขา (ในเล่มที่เราอ่าน) เราจึงไม่ได้รู้จักทั้งคู่อย่างแท้จริง เราเพียงแค่ "เห็น" พวกเขาผ่านสายตาของคาแร็คเตอร์อื่น (ที่เป็นคนเล่าเรื่อง) และนั่นเป็นคนละเรื่องกันเลย

นี่ไม่ใช่สิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้จากการอ่านงานของนักเขียนคนนี้นะคะ แต่มันเกิดขึ้นในเล่มต่อไป (ซึ่งเราจะเขียนถึงต่อไป)

พล็อตของเรื่องนี้สั้น ๆ ง่าย ๆ และดูไม่สมจริงเท่าไหร รุก เด็กสาววัยสิบเก้าปีที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง เธอหนีมาจากความสัมพันธ์อันเลวร้าย (ที่ไม่ได้เล่าละเอียด แค่มันจบลงไม่สวย และเธอน่าจะเป็นเหยื่อถูกซ้อม) เพิ่งถูกไล่ออกจากงานหลังจากถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ไม่มีที่พัก และอาศัยในบ้านพักคนจรจัด เงินเหรียญสุดท้ายที่มีก็ถูกเธอตัดสินใจใช้ซื้อกาแฟสตาร์บัคกิน เพราะมันสุดทางแล้ว จะให้ทำอะไรล่ะ แต่ในร้านสตาร์บัคอย่างบังเอิญ (เหลือเชื่อ) รุกได้นามบัตรของช่างภาพแห่งสตูดิโอที่อยู่ใกล้ ๆ นามบัตรที่เขียนด้านหลังว่า ถ้าภาพถ่ายของเธอเข้าตา เธอจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน

มันดีกว่าไม่ทำอะไร และเรื่องก็พาฝันเหลือจริง เพราะแน่นอนว่า เมื่อรุกไปที่สตูดิโอแห่งนั้น เธอคือ "คนที่ใช่" นางแบบที่ตามหามานาน และชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

เราอ่านพล็อตที่คำโปรยเรื่อง และบอกตามตรงว่า ไม่รู้สึกว่า เรื่องน่าสนใจ ยิ่งรู้ว่า พระเอกของเรื่องเป็นนายแบบ เราก็ยิ่งออกอาการยี้เล็ก ๆ แต่คงต้องสารภาพว่า ประสบการณ์ขณะที่อ่าน เราอินไปกับเนื้อเรื่องนะคะ แม้จะรู้สึกว่า มันช่างพาฝันเหลือเกิน แต่คาแร็คเตอร์ของนางเอกค่อนข้างติดดิน เราชอบที่เธอเข้าใจความเป็นไปของโลก รู้ว่า นี่เป็นโอกาสที่อาจจะไม่กลับมาอีก เธอไม่ได้ปล่อยมันไป แต่ในขณะเดียวกันก็มองหาช่องทางเอาชีวิตรอด ปกติเราไม่ชอบนางเอกวัยกระเตาะ เพราะเด็กอเมริกันน่ารำคาญ แต่เราชอบตัวตนของรุกมาก คิดว่าลงตัวในแง่ของความใสซื่อ และกร้านโลก

นอกจากนี้เราชอบความไม่ซับซ้อนของเนื้อเรื่อง ความพาฝันเล็ก ๆ (มันอาจจะขัดกับสิ่งที่เราเขียนไปแล้วนะคะ คือเราไม่ชอบพล็อตเรื่องพาฝัน แต่กับเล่มนี้เราว่า มันลงตัว แม้จะดูไม่น่าเชื่อ แต่เราเชื่อ) เราชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างรุกและโรนิน (กระทั่งชื่อของพระเอกที่เรารู้สึกว่า ปัญญาอ่อนมาก ยังรู้สึกว่า ให้อภัยได้)

อันที่จริงตอนอ่านแค่เล่มนี้เล่มเดียวเรายังไม่ชอบมากเท่านี้นะคะ แต่เมื่อเราอ่านเล่มสองและสามในชุด (ที่รุกและโรนินเป็นตัวเอก) เรายิ่งรู้สึกว่า เล่มนี้เขียนได้ดี เพราะมีอะไรมากมายเกิดขึ้นในเล่มต่อ ๆ ไป แต่การอ่านเล่มนี้ไม่สร้างคำถาม (เราหมายความในแง่ที่ดีนะคะ) คืออ่านแล้วจบลงตัว ไม่ค้างคา ที่สำคัญประเด็นที่เปิดตามมาในเล่มหลัง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่คนแต่งมาเพิ่มเติมเอง แต่เป็นเบาะแสที่ทิ้งไว้ในเล่มนี้ แต่การเขียนที่ลงตัวไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า มันเป็นประเด็นใหญ่โตอะไร

ในบรรดาหนังสือในชุดนี้ที่เราอ่านไปทั้งหมด เล่มนี้หวานและเป็นโรแมนซ์มากที่สุด



View all my reviews

Thursday, May 29, 2014

Review: The Swan & the Jackal


The Swan & the Jackal
The Swan & the Jackal by J.A. Redmerski

My rating: 3 of 5 stars



คาดหวังกับเล่มนี้พอควรค่ะ เพราะชอบความซับซ้อนของคาแร็คเตอร์ของเฟดดริคที่เปิดตัวในสองเล่มแรก หนึ่งในสมาชิกขององค์กรนักฆ่ารับจ้าง ผู้ที่ถนัดเรื่องการทรมาน และเช่นเดียวกับกับคาแร็คเตอร์อื่น ๆ ในเรื่องชุดนี้ เขาไม่ใช่คนธรรมดา คำว่าธรรมดาในความหมายของเราก็คือ คนปกติ เฟดดริคไม่ใช่คนปกติทางด้านจิตใจ (ไม่ใช่เรื่องแนวพารานอมอลหรอกค่ะ) วัยเด็กที่ทารุณเปลี่ยนแปลงเขาจนไม่อาจใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปด้วย อันที่จริงเป็นโชคดีของเขาด้วยซ้ำที่มาทำงานอย่างที่ทำ เพราะมันเป็นทางออกให้กับความต้องการอันไม่ปกติของเขาโดยที่ชาวบ้านไม่เดือดร้อนเกินกว่าเหตุ

เราอยากอ่านเรื่องนี้เพราะอยากรู้จักตัวตนของเขาให้มากขึ้น และคิด (เอาเอง) ว่า เล่มนี้จะเป็นเล่มที่เขาพบคนที่เหมาะสมกับเขา (เราไม่อยากใช้คำว่า คู่กับเขานะคะ เพราะโทนของเรื่อง และคาแร็คเตอร์ที่ค่อนข้างสุดโต่ง เราลังเลที่จะคิดถึงเรื่องในชุดนี้แบบโรแมนติก)

เราอ่านคำโปรยปกหลังแล้วก็ต้องบอกว่า ผิดหวังเล็ก ๆ ค่ะ ยิ่งอ่านบทนำเรื่องยิ่งไปกันใหญ่ เรื่องเริ่มต้นที่ความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนระหว่างเฟดดริคและเซราฟินา ภรรยาผู้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเขาเสียอีก ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนว่าจะสมบูรณ์แบบ เซราฟินาเป็นนักฆ่าที่อำมหิตยิ่งกว่า และเธอคือคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจด้านมืดของเขา เธอคือคนที่สวรรค์ (หรือนรก) ส่งมาเพื่อเขา ความสัมพันธ์ที่เฟดดริคคิดว่าลงตัว แต่เมื่อเขาพบว่า ภรรยาที่รักทรยศด้วยการมีความสัมพันธ์กับชายอื่น แถมยังก่อเรื่องไล่ล่าฆ่าคนชนิดไม่มีเหตุผล เฟดดริคตัดสินใจออกตามล่าตัวเธอ แต่ในนาทีที่ต้องลงมือ เขาก็พบว่า ตัวเองไม่อาจทำร้ายเธอได้ เหตุการณ์จบลงพร้อมกับการหายตัวไปของเซราฟินา

หลายปีผ่านไป เฟดดริคยังตามหาตัวเซราฟินาอยู่ และเบาะแสเดียวที่เขามีที่จะนำทางเขาไปสู่เซราฟินาก็คือหญิงสาวไร้เดียงสานามว่า แคสเซีย เขาจับตัวเธอมากักขังไว้เพื่อรีดความลับเป็นเวลาเกือบปี แต่ไม่มีอะไรทำให้เขาเข้าใกล้เบาะแสของเซราฟินา

อย่างที่บอกค่ะ เราผิดหวังเล็ก ๆ เพราะมันเห็นได้อย่างชัดเจนมาก ๆ ว่า เฟดดริคยังมีใจให้กับเซราฟินาอยู่ และจากที่เราอ่าน เธอก็คือผู้หญิงที่ยิ่งกว่าเหมาะสมกับเขา ในโลกที่บิดเบี้ยวของหนังสือชุดนี้ ไม่มีคนดีหรอกนะคะ มีแต่คนเลวที่ควบคุมได้ และเรารู้สึกว่า เซราฟินาคือความควบคุมที่เฟดดริคมี (และเขาก็เป็นสิ่งนั้นให้กับเธอเช่นกัน) เราไม่รู้สึกว่า คาแร็คเตอร์ของแคสเซีย (ซึ่งคือด้านตรงข้ามของเซราฟินา) จะเหมาะสมกับเขา ระหว่างที่อ่านขอบอกว่า เบื่อหน่ายไปกับความ "ใสซื่อ" ของเธอยิ่งนัก

แต่ เราก็ถูกหลอกอย่างจัง ยกนิ้วให้คนแต่งเลยค่ะ ตอนที่เฉลยปริศนาเซราฟินา/แคสเซีย มันลบเลือนความหงุดหงิดที่มีในช่วงครึ่งเล่มแรกไปหมด แต่ในขณะเดียวกันมันก็บ่งบอกว่า เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นนะคะ เราชอบเล่มนี้ และคิดว่า เป็นเล่มที่สุดกว่าสองเล่มแรกเสียอีก แต่เป็นเรื่องที่เศร้า เศร้ามาก ๆ

ตามอ่านเรื่องชุดนี้ต่อแน่ ๆ แต่คงต้องบอกว่า ไม่แนะนำให้กับแฟนโรแมนซ์นะคะ มันไม่โรแมนติก หรือปกติ แต่มันน่าสนใจ (ซึ่งบอกอะไรได้เยอะ) มันเป็นด้านมืดของเราที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตอ่านเรื่องแนวโรแมนซ์ และเวลาที่เหลืออ่านเรื่องที่สุดโต่งแบบนี้



View all my reviews

Review: Shield of Winter


Shield of Winter
Shield of Winter by Nalini Singh

My rating: 4 of 5 stars



I am a big fan of Nalini Singh's Phy/Changeling series. However, after finished reading last year's Heart of Obsidian, I am a little bit afraid to get into this book. How can it measures against one of the best book I have ever read.

It cannot but it is still one of the best book I read this year.

After more than 10 books in the series I still feel everything is fresh and exciting. I think about other series with the same number of books and realize that I already give up most of them. But for this series especially with this book I am going in for the ride for a very long time. What make this book special for me is the storyline. After the epic event in Heart of Obsidian, I am one of the people who think that the series could end (of course I support more books in the series). This book continues the unresolved plot and at the same time reignite the interest I have for the series. It is very hard to explain. I love the series but all the time my focus is with a certain character (the hero of Heart of Obsidian) and with his story being told I ask myself what next and cannot think of a thing.

But this book give me the answer and have me waiting impatiently for the next book.

I love how the author resolve the problem (the infection) with logical reason. I love that Ms. Singh does not make Ivy (the heroine) to be the superwoman and wave her magical power to end all trouble. I think the author are one of the best authors today. The way she handles all the mysterious trail left in previous book. Some minor detail that seems so insignificant but become an relevant piece in the plot in the future book. Anyone remember a man who had been left for dead but found by a changeling or curious about the reason why Vasic help Ashaya escape. I am in awe of Ms. Singh's talent.

I also love the relationship between Ivy and Vasic. Does it remind me a little bit of Caressed by Ice? Yes, it is but there are something new and different enough to make both characters unique.

This book takes readers into the hidden world of an E and the Arrow. Although I think it is a little bit cheesy for the Arrow's Declaration at the end of book, it make sense to entwine an E with the Arrow.

This book would not disappoint fans of the series. It is actually a worthy add on to the already excellent series.



View all my reviews

Wednesday, May 7, 2014

Review: Here Without You


Here Without You
Here Without You by Tammara Webber

My rating: 3 of 5 stars



เราอ่านเล่มนี้เพราะเราอยากรู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรดและดอรีจะเป็นยังไงต่อ สิ่งที่เราได้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เราคิดว่า ในเล่มนี้ดอรีออกอาการน่ารำคาญค่อนข้างมาก และเราพบว่า ไม่อยากอ่านเรื่องราวของเธอ คือเราเข้าใจว่า สิ่งที่เธอเผชิญยาก และหนัก แต่ก็มีอีกหลายคนที่ต้องเผชิญ และพวกเขาไม่ได้มีคนที่อยู่ข้างกายและพร้อมจะช่วยเธอทุกอย่างเช่นที่เรดทำ ดังนั้นเราจึงรู้สึกว่า หมั่นไส้ในการกระทำของเธอหลายอย่าง

เราต้องบอกว่า คนแต่งเก่งมาก ๆ เธอเปลี่ยนความคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวละครได้ เธอทำได้กับเรดใน Good for You และเล่มนี้เธอเปลี่ยนความรู้สึกที่เรามีต่อบรู๊คได้ และสำหรับริเวอร์ต้องบอกว่า อ่านแล้วใจจะขาด

โดยรวมเราค่อนข้างชอบเรื่องชุดนี้นะคะ (และเมื่อคิดว่าเราไม่ชอบเรื่องแนว YA Contemporary) อ่านแล้วนึกถึงเหล่าบรรดาดาราเด็กวัยรุ่นที่ชีวิตพังทลาย ตัวละครเหล่านี้เป็นตัวแทนพวกนั้น และมากกว่านั้น เราคงต้องบอกว่า ปัญหาที่คาแร็คเตอร์เหล่านี้เผชิญและเป็นประเด็นในเรื่อง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นทั่วไป และเรื่องก็เล่าถึงวิธีการจัดการที่แตกต่างออกไป การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรที่ บรู๊คเลือกจะเก็บเด็กไว้ และยกให้พ่อแม่บุญธรรม แกรมห์ขอให้แฟนเก็บเด็ก และเลี้ยงดูเอง หรือดอรีที่ทำแท้ง เราคิดว่าเรื่องนำเสนอประเด็นเหล่านี้ได้ชัดเจน และอย่างที่บอกไปแล้ว พฤติกรรมของคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้ไม่น่ารำคาญ และน่าสนใจมากพอที่จะทำให้เราอ่านต่อไปจนจบชุดได้

เราชอบที่เรื่องความรักของตัวละครไม่ได้ถูกนำเสนอว่า เป็นรักนิรันดร์ และจบเรื่องด้วยการแต่งงาน แต่เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เกิด ไม่ว่าจะเป็นคู่ของเอ็มมากับแกรมห์ หรือเรดกับดอรี เราพบว่า มันน่าเชื่อถือมากกว่า

เราไม่ถึงกับแนะนำให้อ่านนะคะ แต่เราถือว่าเป็นตัวแทนของเรื่องแนว YA Contemporary ที่ใช้ได้เลย (แต่เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแนวนี้หรอกนะคะ เราอ่านน้อยมาก เพราะอ่านกี่เรื่องก็ทนพฤติกรรมเด็กวัยรุ่นฝรั่งไม่ได้)



View all my reviews

Review: Good For You


Good For You
Good For You by Tammara Webber

My rating: 3 of 5 stars



ครึ่งหลังของเล่มนี้อยู่ในระดับสี่ดาวเลยนะคะ แต่พอบวกกับครึ่งเล่มแรกที่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ สักหน่อย ก็เลยปีนไม่ถึงสี่ดาว

เล่มนี้ถือเป็นเล่มที่เรารอคอย เนื่องจากอ่านคำโปรยปกหลังไปแล้ว เราก็เลยรู้ว่า เล่มนี้จะเป็นเรื่องของเรด อเล็กซานเดอร์ แต่จากที่เรารู้จักคาแร็คเตอร์ของเขามาตลอดสองเล่ม เรามองไม่เห็นคุณสมบัติที่จะทำให้เขาเป็นพระเอกได้เลย และนั่นทำให้เราอยากรู้ว่า คนแต่งจะเปลี่ยนเขายังไง

คำตอบก็คือ เขาเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่เราแทบจะไม่สังเกต และเมื่อกระพริบตาอีกที เราก็ยอมรับเขาได้ (พร้อมกับข้อเสียต่าง ๆ ของเขา) เราชอบที่คนแต่งไม่ได้หาเหตุผล ข้ออ้าง หรือไถ่บาป เรดเป็นคนอย่างที่เขาเป็น และความจริงก็คือ (แม้เราจะไม่เชื่อว่า จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง) เราใจอ่อนกับพล็อตที่ว่าความรักของหญิงสาวดี ๆ สักคนสามารถเปลี่ยนแปลงคนที่เลวร้ายที่สุดได้

หลังจากเมาเหล้าขับรถจนประสบอุบัติเหตุ เรดถูกศาลสั่งลงโทษให้บำเพ็ญกิจกรรมช่วยสังคม และโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยซึ่งดอรี่เป็นผู้ดูแลก็ได้ต้อนรับการมาของดาราฮอลีวู้ดชื่อดัง สำหรับดอรี่ผู้เติบโตมาในครอบครัวของมิสชั่นนารีผู้เสียสละ เรดคือทุกอย่างที่เธอไม่ชอบ และความสัมพันธ์เริ่มต้นก็เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น และพบว่า ไม่มีใครที่ดีไปเสียทุกอย่าง หรือใครที่เลวร้ายไปทั้งหมด

ครึ่งเล่มแรกไม่น่าสนใจ เราไม่ได้ถึงกับรู้สึกว่า ดอรีดีเกินเหตุ (อันนี้ยกความดีให้กับคนแต่งนะคะ) แต่เราไม่รู้สึกถึงความน่าสนใจในคาแร็คเตอร์ของเธอ และเรดก็คือเรด และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้นะคะ เพราะความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน

ครึ่งหลังของเรื่อง เมื่อ พี่สาวของดอรีประสบอุบัติเหตุคือจุดเปลี่ยนทุกอย่าง และยกระดับเรื่องนี้ขึ้นมา ดอรีที่เคยดูสมบูรณ์แบบถูกท้าทาย และเราชอบ ชอบ และชอบที่มันเกิดขึ้น แม้เราจะร้องไห้ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มันทำให้เธอกลายเป็นคาแร็คเตอร์ที่มีมิติขึ้นมา ในทางเดียวกันเรดก็เปลี่ยนแปลงในแบบของเขา อย่างที่บอกนะคะ เรารู้ว่า ทำไมจึงเกิดขึ้น (และด้วยสายตาของคนอ่านโรแมนซ์ เป็นเพราะความรัก แต่ในอีกแง่นึงอาจจะอธิบายง่าย ๆ ว่า เป็นเพราะเขาโตขึ้น และเริ่มมีความคิดมากขึ้น)

ไม่ชอบความบังเอิญที่เรดมาเจอกับดอรี และพาเขากลับเข้าสู่ชีวิตของเธอ ไม่มีเหตุผล และเพิ่งโชคชะตาเกินไป นอกจากนั้น เราชอบครึ่งหลังของเรื่องมาก ๆ



View all my reviews

Review: Where You Are


Where You Are
Where You Are by Tammara Webber

My rating: 3 of 5 stars



เล่มนี้ให้อารมณ์ Cruel Intention (ใครเกิดทันกันบ้าง) เล็กน้อย โปรดสังเกตนะคะเราใช้เรื่อง Cruel Intention ไม่ใช่ Dangerous Liaison (ยังไม่ได้อารมณ์ระดับนั้น)

หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันได้ เอ็มมาก็นับวันเวลาที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ค และใช้เวลาอยู่กับแกรมห์ แฟนหนุ่ม แต่การโปรโมตหนังเรื่องล่าสุดที่เธอแสดงคู่กับเรด อเล็กซานเดอร์ ก็ทำให้เธอต้องเออออไปกับข่าวสร้างกระแสที่ว่า เธอและเรดเป็นแฟนที่คบหากันอยู่ สิ่งที่เอ็มมาไม่รู้ก็คือ เรด และบรู๊ค (ซึ่งเป็นอดีตแฟนของเรด และตอนนี้เป็นเพื่อนสนิทของแกรมห์ แต่ต้องการที่จะเป็นมากกว่า)กำลังวางแผนกันเพื่อจะแยกเธอและแกรมห์ออกจากกัน

ในขณะที่เราชอบพล็อตของเล่มแรก (โดยเฉพาะในส่วนของเรด) เล่มนี้เป็นพล็อตเรื่องเด็กมัธยมมาก ๆ แต่การเขียนของคนแต่งทำให้ไม่ถึงกับรู้สึกว่าเด็กเกินไปนะคะ และอารมณ์ก็ไม่ถึงกับเป็นเด็กอเมริกันน่ารำคาญเท่าไหรนัก

ในแง่ของการเล่าเรื่อง เราว่าเล่มนี้อ่านไปได้เรื่อย ๆ เราชอบความซื่อสัตย์มั่นคงระหว่างแกรมห์และเอ็มมา ซึ่งก็สมกับพื้นฐานของคาแร็คเตอร์ที่คนแต่งวางเอาไว้ พล็อตที่แม้เราจะบอกไปแล้วว่า เด็กมัธยม แต่ก็อ่านได้น่าติดตามในระดับนึง

หลังจากการเปิดเผยของบรู๊คเกี่ยวกับอดีตระหว่างเธอและเรด (ซึ่งทำให้เราช็อคไปในระดับนึง คือเราไม่ได้ชอบคาแร็คเตอร์ของเขา แต่คิดว่าเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น) เล่มนี้เราอ่านเรื่องราวของเรดแบบระมัดระวัง (ในใจก็คือว่า เขาจะกลายเป็นพระเอกเล่มสามได้ยังไง) กระนั้นเราก็ยังคิดว่า เขาน่าสนใจมากกว่าทุกคนในเรื่อง

และนี่เป็นเหตุผลเดียวที่แม้เล่มนี้จะไม่ได้ดีจับใจ แต่เราก็หยิบเล่มสามมาอ่าน



View all my reviews

Review: Between the Lines


Between the Lines
Between the Lines by Tammara Webber

My rating: 3 of 5 stars



ลังเลระหว่างการให้สองดาวหรือสามดาว สุดท้ายให้สามดาวนะคะ เป็นเพราะความแปลกของการเล่าเรื่อง แบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และเราคิดว่า น่าสนใจดี และความน่าสนใจนี้ทำให้เราอ่านหนังสือชุดนี้ทั้งสี่เล่มติดต่อกันในสี่วัน (สำหรับเรานั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอกับสามดาวนะคะ)

เริ่มต้นด้วยการเตือนสปอยล์เลยแล้วกันค่ะ เราว่าหนึ่งในความสนุกของเรื่องนี้ก็คือ การเปิดอ่านโดยไม่อ่านคำโปรยปกหลัง และไม่อ่านคำโปรยของเล่มต่อ ๆ มาในชุดด้วย (เพราะมันสปอยล์เล่มแรก)

เอ็มมา ดาราสาวระดับกลาง ๆ กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อเธอคัดตัวและได้บทสำคัญในหนังฟอร์มใหญ่ที่เล่นคู่กับเรด อเล็กซานเดอร์ ดาราหนุ่มสุดฮ็อตในขณะนี้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นแนว YA อายุของดาราทั้งสองอยู่ที่สิบกว่า ๆ ดังนั้นตอนอ่านเรื่องนึกถึงจัสติน บีเบอร์ กะเซเรนา โกเมซ (แม้คนแต่งจะไม่ได้บรรยายหน้าตาไปในทางนั้นเลย แม้พฤติกรรม เรดค่อนข้างใกล้กะบีเบอร์อยู่ไม่น้อย)

กองถ่ายที่เต็มไปด้วยดาราเด็กวันทีนที่ไม่มีผู้ใหญ่ดูแล เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ความรัก การอกหัก ความสับสน เพียงแค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือนในชีวิต แต่มันเปลี่ยนแปลงเอ็มมาไปตลอดกาล

เรื่องนี้แปลก เพราะคนเล่าเรื่องสองคนไม่ได้คู่กัน เรื่องโฟกัสอยู่ที่เอ็มมา และเรด กับเส้นทางชีวิตที่ดูเหมือนจะสวนทางกันของทั้งสอง เราคิดว่า เราคงพบว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากกว่านี้ ถ้าเราไม่ได้อ่านคำโปรยของเล่มต่อ ๆ ไปของชุดนี้ก่อนเริ่มอ่านเล่มนี้ เพราะนั่นทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่า เอ็มมาไม่ได้คู่กับเรด หากแต่เป็นแกรมห์ (ซึ่งเล่นเป็นดาราประกอบในหนัง) เราคงจะรู้สึกเซอร์ไพร์สกับทิศทางของเรื่องมากกว่านี้ แต่เนื่องจากเรารู้แล้ว ก็เลยเล็งพระเอกได้ถูก ซึ่งคงต้องบอกว่า เราไม่คิดว่า แกรมห์น่าสนใจเท่ากับเรด แต่ไม่ได้รู้สึกว่า เอ็มมาผิดที่เลือกเขานะคะ

เรื่องนี้เหมือนเรื่องราวของคนที่แตกต่างกันมาก ๆ สองคนที่ช่วงชีวิตนึงมาเจอกัน เกือบจะเป็นได้มากกว่านี้ (หากเรดเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูก) แต่สุดท้ายก็จากกันไป และเอ็มมาได้เจอกับชายที่เหมาะสมกับเธอมากกว่า

สิ่งนึงที่เราชอบในเรื่องนี้ก็คือ นี่อาจจะเป็น YA ยุคปัจจุบัน (ที่ไม่มีพารานอมอลมาผสม) เล่มแรกที่เราอ่านแล้วไม่รำคาญตัวละคร อาจจะเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยม แม้ตัวเองจะเป็นเด็กมัธยม แต่พวกเขาล้วนเป็นดาราที่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ประเด็นในเรื่องแม้จะเป็นเรื่องที่วัยรุ่นต้องเผชิญ (แอบรัก อกหัก เมาเหล้า ท้อง) วิธีการนำเสนอจึงอยู่ในขอบที่เราไม่เบื่อหน่าย

โดยรวมคงต้องบอกว่า เราชอบเรื่องนี้เท่าที่เราจะชอบได้ สำหรับเรื่องแนว YA Contemporary คือเราไม่ชอบอ่านเรื่องแนวนี้ แต่เล่มนี้เราอ่านแล้วโอเค ที่สำคัญเราอยากอ่านต่อเล่มต่อไป แต่ไม่ใช่เพราะเอ็มม่า หากแต่เป็นเรดค่ะ



View all my reviews

Review: Leo's Chance


Leo's Chance
Leo's Chance by Mia Sheridan

My rating: 4 of 5 stars



เรื่องนี้เป็นเล่มสอง และแม้จะเป็น Companion Book แต่เราคิดว่า ถ้าอ่านเรื่อง Leo ก่อนจะชื่นชมเล่มนี้ได้อย่างเต็มที่นะคะ เพราะถ้าอ่าน Leo แล้ว จะเข้าใจเลยว่า พระเอกของเรื่องอยู่ในช่วงอารมณ์ไหนของชีวิต

สำหรับเราเล่มนี้เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ (แปลว่าเราน้ำตาไหลทุก ๆ 5 หน้า) อ่านแล้วถอนหายใจเป็นระยะ ซึ่งอย่างที่บอกค่ะ เราคิดว่า เราคงไม่ดื่มด่ำไปกับเรื่องนี้ได้มากเท่านี้ หากเราไม่ได้อ่านเรื่อง Leo ก่อน

และเช่นเดียวกัน การเขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์ทำไม่ได้ค่ะ

เรื่องนี้พาคนอ่านเข้าไปเห็นมุมมองของเจค หลังจากที่ได้เห็นด้านของเอวี่ไปแล้ว ที่แตกต่างจากเรื่องอื่นที่เขียนในลักษณะเดียวกัน (คือเล่าเรื่องเดิม แต่เปลี่ยนมุมมอง) เราพบว่า คนแต่งเรื่องนี้ไม่ได้เอาเปรียบคนอ่านค่ะ เนื่องจากเราอ่านสองเล่มนี้แบบติดต่อกัน ทำให้จดจำเรื่องราวในเล่มแรกได้แม่น สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือ แม้จะเล่าเหตุการณ์เดียวกัน แต่สิ่งที่เอวี่ และเจคมองเห็น ไม่ใช่อย่างเดียวกัน และนี่คือความจริงที่คนแต่งที่เขียน Companion Book ไม่ได้ใส่ใจ ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะคะ ตัวเอกพระนางไปงานเลี้ยง เรื่องที่เป็น Companion Book ที่เราเคยอ่านมา ทั้งพระนางเห็นและบรรยายเหตุการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้นในงานนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสนใจของแต่ละคนย่อมมองไม่เหมือนกัน สิ่งที่นางเอกสังเกตเห็น พระเอกอาจจะไม่เห็น ซึ่งเล่มนี้ใช้ประโยชน์ตรงนี้มาสร้างความแตกต่างให้กับทั้งสองเล่ม

คือเราไม่ได้อะไรจากเนื้อเรื่องเพิ่ม แต่เราไม่ได้รู้สึกเหมือนเคยอ่านมาแล้ว และแน่นอนว่า เรายังได้มุมมองด้านลึกที่มากขึ้นของพระเอก

เล่มนี้อย่างที่บอกเรียกน้ำตาอย่างมาก อาจจะเพราะเรารู้แล้วว่า อะไรเกิดขึ้นกับเจค อารมณ์มันก็เลยท่วมท้นเรื่องไปหมด

อย่างที่บอกค่ะ ชอบเรื่องนี้มากกว่าเล่มแรก แต่รู้ว่า จำเป็นต้องอ่านเล่มแรกเพื่อที่จะได้มองเห็นความงดงามของเล่มนี้ได้มากกว่า

ป.ล. ลืมพูดถึงประเด็นนี้ไปตอนรีวิวเล่มแรก แต่เนื่องจากทั้งสองเรื่องเล่าเหตุการณ์เดียวกัน เลยขอพูดตรงนี้ เราชอบฉากจบของเรื่องมาก ๆ เมื่อเอวี่วิ่งไปหาเจคที่ทำงาน และบอกเขาว่า เธอเลือกเขา



View all my reviews

Review: Leo


Leo
Leo by Mia Sheridan

My rating: 3 of 5 stars



หยิบเรื่องนี้มาอ่านเพราะมีคนแนะนำค่ะ (จริง ๆ เขาแนะนำเรื่อง Archer's Voice) แต่เพิ่งได้บทเรียนเรื่องการอ่านหนังสือข้ามเล่มในชุดไปหมาด ๆ เราเลยตัดสินใจหยิบเล่มนี้มาอ่านก่อน (เพียงเพื่อจะรู้ว่า จริง ๆ Archer's Voice กะเล่มนี้ไม่เกี่ยวกันเลยสักนิดเดียว แต่คนแต่งจัดเป็นชุดเดียวกัน คือตามจักรราศี)

แต่ไม่ผิดหวังนะคะ ดีกว่าที่คิดเยอะ แต่คงต้องบอกอะไรบางอย่างที่อ่านแล้วอาจจะรู้สึกแปลก ๆ สักหน่อย คือเล่มนี้เป็นเล่มแรก มีอีกเรื่องนึงก็คือ Leo's Chance ซึ่งถือเป็น Companion (Companion Book ก็คือ เรื่องที่เล่าจากอีกมุมมองนึงของตัวละคร เนื่องจากตอนนี้การเล่าเรื่องผ่านมุมมองเดียวกำลังเป็นที่นิยม คนแต่งก็เลยเขียนขึ้นมาอีกเล่ม เล่าเหตุการณ์เดียวกัน แต่ผ่านมุมมองของตัวละครอีกฝ่าย) เรื่องก็คือ เราชอบ Leo's Chance มาก ๆ แต่ไม่คิดว่า ควรจะอ่านเล่มนั้นก่อนนะคะ เราว่าที่เราชอบเล่มนั้นมาก เพราะเราได้อ่านเล่มนี้แล้ว

และยังมีคำเตือนอีกอย่าง เรื่องนี้สปอยล์เยอะค่ะ เขียนรีวิวโดยไม่สปอยล์ไม่ได้ จริง ๆ ไม่แนะนำให้อ่านคำโปรยปกหลังด้วยซ้ำ เพราะอ่านแล้วสปอยล์เต็ม ๆ แต่สปอยล์ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสนะคะ และการเลี่ยงสปอยล์ก็ยากมากด้วย เราอ่านแบบเดาสปอยล์ขาดแต่ต้น ก็ยังสนุกไปกับเรื่อง

สำหรับเอวี่แล้ว ลีโอคือเพื่อนสนิท คือรักแรก เด็กกำพร้าสองคนที่เติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่ทั้งคู่มีกันและกันเสมอ ดังนั้นเมื่อลีโอได้รับอุปการะเป็นลูกบุญธรรมและต้องเดินทางจากไป ทั้งคู่ให้คำมั่นสัญญาแก่กันและกัน เมื่อวัยสิบแปดปีจะกลับมาหากันอีกครั้ง

แต่ลีโอผิดสัญญา เอวี่ไม่เคยได้เจอกับเขาอีกเลย

จนกระทั่งหลายปีผ่านไป เอวี่ได้พบกับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ร่ำรวย สมบูรณ์แบบ และลีโอคือคนที่นำเขาเข้ามาในชีวิตของเธอ เจคเป็นเพื่อนของลีโอ ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก แต่ก่อนตาย ลีโอบอกให้เจคตามหาเอวี่ และเมื่อได้เจอ เจครู้ว่าเขาได้พบกับหญิงสาวที่ต้องการให้แล้ว

ความสัมพันธ์ที่เหมือนฝัน เรื่องราวดั่งซินเดอเรลลา ที่ชายหนุ่มผู้พร้อมทุกอย่างหลงรักแม่บ้านทำความสะอาดของโรงแรม เรื่องนี้มีอะไรที่ลึกมากไปกว่าที่เล่า

เราคิดว่า คนที่อ่านน่าจะคาดเดาเรื่องราวได้ไม่ยาก แต่เจ้าส่วนที่คาดเดาได้นี่แหละ ที่ว่าเจคคือลีโอ ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของเจคตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เรื่องนี้มีอะไรที่มากไปกว่าเรื่องราวของมหาเศรษฐีมาตกหลุมรักสาวน้อยไร้เดียงสา

เราชอบความสัมพันธ์ของพระนาง (ด้วยเหตุผลของสปอยล์นั่นแหละ) ทำให้รู้ว่า มันไม่ใช่การพบรักเพียงแค่เห็นหน้า

ส่วนประเด็นใหญ่อีกอย่าง ที่ทำไมลีโอไม่กลับมาหาเอวี่ ก็พอเดาได้ เมื่อ "แม่" ของเขาออกมามีบท ยอมรับว่าร้องไห้ไปเยอะมาก จนตาบวมไปทำงานในวันรุ่งขึ้น (แต่ยังไม่เท่ากับตอนที่อ่าน Leo's Chance หรอกนะคะ

สรุปอ่านแล้วติดใจฝีมือคนเขียนค่ะ หยิบ Leo's Chance มาอ่านอย่างทันควัน



View all my reviews