Thursday, January 22, 2009

วัฒนธรรมแฟนเกิร์ล (ภาคจบ)

อันนี้เป็นบลอกต่อเนื่องกันกับบลอกก่อนหน้า ว่าด้วยเรื่องการหาเรื่องใส่ตัวของแม็กซ์ที่ไปเสือกเรื่องชาวบ้าน แต่ยอมรับนะคะว่า นานมาแล้วที่จะมีอะไรจุดชนวนความคิดได้ดีเท่ากับครั้งนี้

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่แม็กซ์เห็นในโพสต์ของแฟนเกิร์ลคนนั้น มันมาเป็นสองระลอกในสองโพสต์ เริ่มต้นด้วย " ที่สำคัญ สนพ.ที่ได้ลิขสิทธิ์ไปก็ยังไม่ได้พิมพ์แปล ออกมาเลย และนักอ่านบางคนก็ค่อนข้างจะเชื่อกระแสของคนอ่านนิยายด้วย แต่การที่คุณ เอาความเห็นของคุณที่อ่านแล้วผิดหวังมาเป็นการ ตัดกระแส ความนิยม และการรอคอยในการอ่านเรื่องนี้อยู่ ดิฉันก็ว่ามันไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับทาง สนพ. ที่จะแปลออกมาสักเท่าไหร่.."

และตามมาหลังจากแม็กซ์ออกงิ้วแล้ว ด้วยการกลับมาตอบ "แค่อยากให้เห็นใจสนพ. ที่จะแปลเรื่องนี้ด้วยเพราะ ถ้าคนอ่านที่อยู่เมืองนอกมีกระแส มาว่าไม่สนุกแล้ว นักอ่านคนที่รอฉบับแปล อาจจะไม่อยากซื้ออ่านเรื่องนี้เลย"

คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจแม็กซ์ก็คือ เราเป็นหนี้บุญคุณของสำนักพิมพ์ตรงไหน และเมื่อไหรคะ ทำไมเราจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสถานการเงินของสำนัก พิมพ์ด้วยการบอกว่าหนังสือเล่มนี้สนุกทั้งที่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง ของเรางั้นเหรอ เราไม่มีสิทธิที่จะแสดงความเห็นของเราออกมาเพราะต้องเป็นห่วงผลกำไรของสำนัก พิมพ์นั้นหรือไง

แล้วทำไมเราถึงยังต้องเป็นมีความรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณกับสนพ.ที่พิมพ์งานแปลให้เราอ่าน

มันเป็นธุรกิจ ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบกระบวนการ

เขาผลิตของมาขาย เราซื้อและออกความเห็น เมื่อใดคะที่ผู้บริโภคไม่มีสิทธิออกความเห็น เมื่อใดคะที่ผู้บริโภคต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบ เพื่อให้คนอื่นได้ลองมีประสบการณ์เดียวกัน มันเป็นหน้าที่ของคนซื้อในการตัดสินใจไม่ใช่หรือคะ แล้วทำไมจึงกลายเป็นความผิดของคนที่แสดงความเห็นไปได้

สำหรับกรณีของหนังสือ มันเป็นอีกเรื่องนึง นั่นเพราะของที่ขายมีสองเวอร์ชั่น ภาษาไทยและอังกฤษ แม็กซ์เป็นหนึ่งในคนที่อ่านภาษาอังกฤษและมีความเห็น และแสดงมันออกมา คำถามว่า แม็กซ์ต้องเป็นห่วงสนพ.ที่ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนั้น เกรงใจว่าเขาจะขายไม่ออกด้วยหรือ

แม็กซ์ต้องโกหกตัวเอง เขียนรีวิวชื่นชม หรือหุบปากไม่พูดอะไรเลยเพื่อผลกำไรของสนพ.หรือ แม็กซ์จำไม่ได้ว่า ชาติที่แล้วข้าพเจ้าเคยติดหนี้อะไรสนพ.อยู่ เพราะเท่าที่ทราบถ้าสนพ.เขาทำหนังสือแล้วขายดีเป็นเทน้ำ คนอ่านก็ไม่เห็นจะได้เงินเฉลี่ยคืนจากผลกำไรของสนพ.เช่นกัน

ในฐานะคนอ่าน แม็กซ์คิดว่าตัวเองมีสิทธิที่จะแสดงความชอบและไม่ชอบ ง่าย ๆ แค่นั้น คนอื่นที่มาฟังความเห็นของแม็กซ์ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน มีความคิด มีสมอง อะไรทำให้คนคนนั้นคิดว่า แค่ความเห็นของคนคนนึงจะมีผลต่อยอดขายของสนพ.หรือไง ทำไมถึงคิดว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไร้สมองขนาดนั้น

แค่ความเห็นส่วนบุคคลจะมีผลทำให้สนพ.ทั้งสนพ.เจ๊งกันเลยหรือไง

และคำถามที่น่าถามก็คือ ถ้าความเห็นของนักอ่านทำให้สนพ.เจ๊ง นักอ่านควรจะต้องรับผิดชอบกับมันด้วยเหรอ ในเมื่อการตัดสินใจในการผลิต (ในกรณีนี้คือการแปล) เป็นของสนพ. นักอ่านซึ่งอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษก็แค่บอกเล่าความเห็นส่วนตัวของพวกเขาออก มา ถ้าเขาไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ทำไมเขาต้องหุบปากและเงียบด้วย ในเมื่อถ้าเขาชอบแล้วบอกว่าชอบ สนพ.ก็ไม่ได้ให้เงินเดือนพิเศษแก่นักอ่านคนนั้นในฐานะที่ทำให้ยอดขายดีขึ้น นี่นา

อีกคำถามนึงก็คือ ตอนที่สนพ.ตัดสินใจทำหนังสือเรื่องอะไร เคยมีการถามความเห็นคนอ่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราวไหม เคยมีการถามบ้างไหมว่าคนอ่านต้องการอะไรที่แท้จริง

แม็กซ์เชื่อว่าไม่มี เพราะคนอ่านแต่ละคนก็ย่อมมีความต้องการต่างกัน ไม่มีทางที่คุณจะเอาใจคนทุกกลุ่มได้ แต่ละสนพ.มีทิศทางของตัวเอง บางสนพ.ขายเซ็กส์ บางสนพ.ขายความเป็นโรแมนซ์ บางสนพ.ขายในสิ่งที่เขาคิดว่าจะขายได้ แต่ละสนพ.ก็มีกลุ่มของตัวเอง

คนอ่านที่มีความต้องการที่แตกต่าง โดยเฉพาะในตลาดหนังสือแปลเมืองไทยไม่เคยมีสิทธิเลือก ถ้าคุณไม่ชอบในสิ่งที่สนพ.ผลิตขึ้นมา ทางออกเดียวของคุณก็คือ อ่านภาษาอังกฤษ และเมื่อเขาอ่านภาษาอังกฤษ สิทธิของเขาจะต้องถูกจำกัดอีกเพราะการวิจารณ์ในทางลบจะทำให้ยอดขายของสนพ. ตกลง เขาต้องแคร์ด้วยเหรอไง

และพูดตามตรงนะคะ ทุกวันนี้แม็กซ์คิดหนักเกี่ยวกับการทำงานของสนพ.ในประเทศไทย เพราะหลังจากเห็นผลงานของสนพ.โรแมนซ์ฉบับแปลบางแห่งที่ทำลายหนังสือจนหมด สภาพความเห็นหนังสือด้วยการแปลที่ไร้คุณภาพ การตัดเนื้อเรื่องชนิดเล่มยาวให้กลายเป็นเล่มสั้น การต่อเติมเพิ่มบางบททั้งที่ไม่มีในเรื่องเพราะเจ้าของสนพ.คิดว่า มันเป็นฉากที่คนอ่านต้องการ มันทำให้แม็กซ์รู้สึกว่า มันมากเกินไปแล้วนะ

No comments: