Tuesday, January 20, 2009

วิกฤตเศรษฐกิจ กับอุตสาหกรรมหนังสือ

แม็กซ์ได้ยินหลายคนพูดนะคะว่า ปี 2009 นี่จะเป็นการเผาจริง จะมีคนตกงานมากมาย อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยจะไม่ถึง 0% ข่าวร้ายต่าง ๆ ทยอยมา แต่ส่วนตัวเราแล้ว ในฐานะที่เคยเป็นบัณฑิตจบใหม่ยุคที่เกิดวิกฤตในประเทศไทยครั้งปี 1997 เราค่อนข้างเฉย ๆ เพราะในเวลานั้นที่ทุกคนบอกว่าทุกอย่างแย่มาก แม็กซ์ก็มีชีวิตผ่านมาได้ ครั้งนี้จะหนักหนาอะไร

แต่ความจริงก็คือ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศไทย แต่เป็นประเทศมหาอำนาจที่ระบบเศรฐกิจของเขาผูกพันกับทั่วโลก และที่ทำให้เราเป็นห่วงมากที่สุดก็คงเป็นอุตสาหกรรมหนังสือของเขา

เพราะแม็กซ์ไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทยเป็นหลัก ถ้าอุตสาหกรรมหนังสือในอเมริกาได้รับผลกระทบ หนอนหนังสืออย่างเราที่อยู่ห่างไกลออกไปครึ่งโลก ก็ย่อมเดือดร้อนไปด้วย สำหรับคนที่สนใจผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกาที่มีผลต่ออุตสาหกรรม หนังสือ เราขอให้ตามไปอ่านกันเต็ม ๆ ที่ลิงค์นี้ค่ะ เป็นบทความที่เจนจากบลอกเดียร์ ออเตอร์เขียนไว้ ซึ่งเราคิดว่าเขียนได้ดีมาก และน่ากลัวมาก ๆ เช่นกัน

โดยสรุปบทความนั้นนะคะ

มีความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนังสือ โดยเฉพาะเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ก่อนหน้า (ที่เราเรียกกันว่า The Great Depression ในช่วงปี 1920s) คนมักคิดว่า หนังสือเป็นสิ่งบันเทิงราคาถูกที่คนซื้อหามาอ่านกันได้ในบ้าน ดังนั้นหนังสือไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้มากนักเมื่อเทียบกับ อย่างอื่น แต่ในความเป็นจริงก็คือ โลกของเราเปลี่ยนแปลงไป อินเตอร์เน็ต และเกมส์คอมพิวเตอร์ก้าวเข้ามาแทนที่ คนสามารถหาความสุขในบ้านได้จากหลายสิ่ง ที่ไม่ใช่หนังสือ ดังนั้นถ้าหนังสือไม่ปรับตัวเอง ก็คงต้องพบกับหนทางที่ยากลำบากในอนาคตแน่นอน

อุตสาหกรรมการผลิตหนังสือของอเมริกาตั้งอยู่บนรูปแบบของการที่มีหนังสือขาย ดีเพียงเล่มหรือสองเล่ม จากนั้นก็ใช้กำไรที่ได้จากการขายเรื่องเหล่านั้นมาสนับสนุกหนังสือเล่มอื่น ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างเรื่อง The DaVinci Code ของแดน บราวน์ หรือเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ ของเจเค โรว์ลิ่งค์

ปัญหาก็คือ คุณไม่มีวันรู้หรอกว่า เมื่อไหรคุณจะได้ค้นพบหนังสือขายดีในระดับเหล่านี้ แม็กซ์จำได้ว่า ตอนที่หนังสือเรื่องทไวไลท์ของสเตฟานี ไมเยอร์ออกขายครั้งแรก แม็กซ์ได้ยินชื่อของหนังสือเล่มนี้ เพราะสนพ.เอามันไปโฆษณาไว้ในตอนท้ายหนังสือโรแมนซ์เล่มนึง เราอ่านแล้วก็สนใจ พอดีเห็นวางขายอยู่ในร้านหนังสือในเมืองไทย ก็ลองซื้อมาอ่าน สำหรับเรา มันเป็นหนังสือที่สนุกใช้ได้ แต่ถ้าถามว่า แม็กซ์คิดไหมว่ามันจะกลายเป็นหนังสือขายดีชนิดเทน้ำเทท่า จะทำให้เด็กผู้หญิงทั่วโลกตาลอย ฝันหวานถึงแวมไพร์ที่ชื่อเอ็ดเวิร์ด

แม็กซ์คงตอบว่าไม่ และมีหลายคนเช่นกันในอุตสาหกรรมหนังสือที่คิดเช่นนั้น แต่ความคิดไม่สำคัญหรอกค่ะ ยอดขายต่างหาก

คำถามก็คือ เมื่อหมดผลบุญของหนังสือขายดีแล้ว สำนักพิมพ์จะอยู่กันยังไง สนพ.ที่พิมพ์เรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ขาย มีกำไรสูงมากเฉพาะในปีที่มีหนังสือเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ออกขาย (เจ็ดปี) หลังจากเล่มสุดท้าย Harry Potter and the Deadly Hallows ออกขายไปเมื่อสองปีก่อน ปีที่แล้วสนพ.ก็ต้องไล่พนักงานออกถึงสี่ร้อยคน เพราะหนังสือที่ขายต่อมา (และไม่ใช่แฮรี่) ไม่อาจฉุดผลประกอบการของสนพ.ได้

ปัญหาแบบเดียวกันก็กำลังจะเกิดขึ้นกับแฮ็ทชาร์ด (สนพ.ที่พิมพ์เรื่องทไวไลท์)

ในความคิดของแม็กซ์ ปัญหาใหญ่ของสนพ.ก็คือ ความกดดันที่ต้องค้นหาหนังสือ และนักเขียนใหม่ทุกปี แน่นอนถ้าคุณค้นพบนักเขียนพรสวรรค์ คุณอาจขายชื่อของนักเขียนคนนั้นหากินได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า นักเขียนจะไม่ย้ายค่าย ในโลกของโรแมนซ์ สนพ.เอว่อนสูญเสียลิซ่า เคลย์แพสให้กับสนพ.เซ็นต์มาร์ติน, สนพ.ดอร์เชสเตอร์เสียคริสตีน ฟีแฮนให้กับสนพ.เบิร์คเลย์ เรื่องนักเขียนย้ายค่ายเกิดขึ้นตลอดเวลา

นี่ยังไม่นับว่า ชื่อนักเขียนก็ไม่ใช่ว่าจะขายได้ตลอดไป ไม่มีเครื่องประกันอันไหนที่บอกว่า ถ้านักเขียนคนนี้เขียนหนังสือดังหนึ่งเล่ม เขาจะเขียนเล่มต่อมาได้ยอดขายในระดับเดียวกัน

และก็อีกนะ นักเขียนที่ดังจากหนังสือเล่มนึง ก็ย่อมที่จะเรียกค่าตัวสำหรับเล่มต่อไปในราคาที่สูงขึ้น บางครั้งก็มากกว่าสามเท่าตัว และถ้ายอดขายมันฟุบ ก็ย่อมหมายถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นกับสนพ.แห่งนั้นเลยทีเดียว เท่าที่ทราบสนพ.แรนด้อมเฮ้าท์ก็กำลังประสบปัญหานี้อยู่ สนพ.นี้จ่ายเงินค่าเขียนให้กับนักเขียนมากเกินไป ดังนั้นแม้หนังสือจะขายดีติดอันดับ แต่มันก็ไม่คุ้มกับต้นทุนที่ลงไป จนตอนนี้สนพ.นี้กำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง

และสำหรับคนที่อยากรู้ สนพ.แรนด้อมเฮ้าท์เป็นสนพ.ที่พิมพ์งานของนักเขียนที่คนไทยรู้จักกันอย่างจู ลี่ การ์วู้ด, ลินดา โฮเวิร์ด, จูดิธ แม็คน็อค, ซูซาน บร็อคแมนน์ ถ้าดูจากชื่อนักเขียน พวกเราคงคาดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องยอดขายเลยจริงไหมคะ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น

ตัวอย่างของความล้มเหลวที่เกิดจากการซื้องานเล่มถัดไปของนักเขียนที่ ประสบความสำเร็จก็คืองานของชาร์ล เฟย์เซีย ซึ่งงานเรื่อง Cold Mountain ของเขาประสบความสำเร็จ ขายได้ถึง 1.6 ล้านเล่ม (ปกแข็งนะคะ ถือเป็นยอดที่สูงมาก) สนพ.แรนด้อมจ่ายเงินให้เขา 8 ล้านเหรียญเป็นค่าเขียนหนังสือเรื่อง Thirteen Moon ซึ่งเมื่อออกขายในฉบับปกแข็งขายได้ 240,000 เล่ม ซึ่งถือว่าเยอะมากแล้ว แต่ก็ไม่คุ้มกับการลงทุนแปดล้านที่ลงไป

ในบทความนี้มีการเสนอทางออกที่น่าสนใจไว้หลายอย่างนะคะ ลองเข้าไปอ่านกันเองดูแล้วกัน

นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอเมริกา ประเทศต้นเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เรากลับมามองกันที่ประเทศไทยบ้าง

ขอบอกก่อนแล้วกันว่า แม็กซ์เขียนบลอกวันนี้โดยไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งในอุตสาหกรรมหนังสือใน ประเทศไทยชนิดลึกซึ้งเลย เราไม่ได้ทำงานในด้านนี้ ทุกอย่างเป็นเพียงความเห็นและการสังเกตเห็นของเราเอง และที่เขียนก็เกี่ยวข้องเฉพาะกับการผลิตหนังสือแนวโรแมนซ์เท่านั้นค่ะ

ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า การใช้คำว่าอุตสาหกรรมหนังสือ สำหรับการผลิตหนังสือโรแมนซ์อาจจะดูไม่เหมาะสม เมื่อคิดว่า ยอดที่พิมพ์ขายมีไม่กี่พันเล่ม (เมื่อเทียบกับอย่างน้อยหนึ่งแสนเล่มสำหรับปกอ่อนของตลาดในอเมริกา) ด้วยยอดขายที่ไม่มาก บ่งบอกว่า กลุ่มลูกค้าเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย และส่วนใหญ่มักจะต้องเป็นคนที่รักการอ่านอย่างจริงจัง

ดังนั้นแรกเริ่มเราคิดว่า ผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจน่าจะมีไม่มากนัก แต่จากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านของนักอ่าน (ที่ทำโดยเพื่อนของเราคนนึงสำหรับการศึกษาในระดับปริญญาโทของเขา) พบว่า คนอ่านก็ยังคงอ่านหนังสือเหมือนเดิม แต่พฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เคยซื้อ ก็จะรอจนกระทั่งมีการลดครึ่งราคา หรือใช้วิธีเช่าอ่านจากร้านเช่าหนังสือแทน

ทั้งหมดนี้มีผลกระทบต่อสนพ.อย่างแน่นอน ประเด็นก็คือ ผลกระทบที่เกิด มากพอจะทำให้มีผลต่อความอยู่รอดของสนพ.หรือไม่

เราอาจจะมองโลกในแง่ดีนะคะ แต่เรามีความรู้สึก (คือเราไม่รู้ข้อเท็จจริงหรอกค่ะ แค่คาดเดาเอาจากที่เห็น) ว่าสนพ.ที่ทำโรแมนซ์ในเมืองไทย ยังไม่ได้อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขนาดจะได้รับผลกระทบของพิษเศรษฐกิจแบบเต็ม ๆ

หมายความว่ายังไงเหรอคะ

เรายังมีความรู้สึกว่า สนพ.โรแมนซ์เป็นเหมือนธุรกิจในครอบครัว ที่มีคนทำงานอยู่ไม่กี่คน ซึ่งข้อดีของธุรกิจแบบนี้คือ การปรับเปลี่ยนตัวเองได้เร็ว ทำให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้ง่าย เช่นสามารถปรับกำลังการผลิต (ยอดพิมพ์ออกจำหน่าย) หรือปรับเปลี่ยนตัวพนักงานได้ทันที นอกจากนี้แล้วยังได้เปรียบตรงที่มีต้นทุนคงที่ในจำนวนไม่มากนัก (เพราะไม่ได้จ้างพนักงานจำนวนมาก)

อย่างไรก็ตามข้อเสียของธุรกิจขนาดเล็กก็คือเรื่องเงินทุน ที่มักเป็นสาเหตุของความล้มเหลวของธุรกิจขนาดเล็กเกือบทั้งหมด แต่สำหรับเรื่องนี้ แม็กซ์มีมุมมอง (เช่นกัน ที่ไม่รู้ว่าถูกต้องไหม) สนพ.ที่ผลิตงานโรแมนซ์ในเมืองไทยนั้น อยู่ในธุรกิจมาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มากกว่าสิบปี การที่ธุรกิจยืนอยู่ในตลาดได้นานขนาดนั้น แสดงว่าต้องมีสายป่านที่ยาวไม่น้อย

ที่เรามองด้วยความเป็นห่วง น่าจะเป็นสนพ.เกิดใหม่ ที่เกิดขึ้นตามกระแสความแรงของการผลิตหนังสือในช่วงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะสังเกตว่ามีสนพ.ใหม่เกิดขึ้นราวกับดอกเห็ด (ซึ่งเป็นยังไงแม็กซ์ก็ยังไม่เคยเห็น) สนพ.เหล่านี้เข้ามาจับงานทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญที่แท้จริง แม็กซ์ไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะฝ่าฝันอุปสรรคไปได้สักแค่ไหน

สุดท้ายที่เราขอรวมเอาเรื่องตลาดหนังสือทั้งในอเมริกาและเมืองไทยมาผูกติด กัน เท่าที่เรารู้ ตลาดในอเมริกาตอนนี้มีแต่หดตัว ทางเดียวที่สนพ. (ที่อเมริกา) จะเติบโตได้ ก็คือการขยายออกไปนอกประเทศ ประเด็นที่เรามองว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจโรแมนซ์ในเมืองไทยก็คือ เรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง แต่ทุกอย่างอาจจะกำลังเปลี่ยนไป ยอดขายลิขสิทธิ์การแปลที่ผ่านอาจเป็นเพียงรายได้เล็กน้อยของเขา แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทางสนพ.ให้ความสำคัญอย่างมากในภาวะที่เศรษฐกิจ ผันผวน

ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา และความเห็นของเรา แม็กซ์สรุปได้แค่ว่า ต้องดูกันต่อไปค่ะ

No comments: