หายหน้าไปเกือบสองวัน ไม่ใช่เพราะงานยุ่งหรอกนะคะ (งานใหม่ที่พูดถึงยังไม่ได้เริ่มทำจนกว่าจะสิ้นปีค่ะ) แต่เป็นเพราะมัวแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่น่ะสิ หลังจากทำเวลาเคลียร์หนังสือที่ซื้อมากั๊กไว้ได้หลายเล่ม อาทิตย์นี้ถือว่าเราอ่านหนังสือได้ช้ามากเลยล่ะ
ไม่ใช่เพราะเล่มนี้ไม่สนุกหรอกนะคะ แต่เพราะเรามัวแต่ไปนั่งอ่านหนังสือแนวเจซัสเพนส์น่ะสิ ก็เลยละเลยโรแมนซ์ไปบ้าง อาทิตย์นี้ก็เลยต้องแก้ตัวนั่งอ่านหลายเล่มหน่อย
เริ่มต้นด้วยเล่มนี้แล้วกันค่ะ
Dark Light ของเจนย์ คาสเซิล
เราชอบงานของนักเขียนคนนี้ไม่ว่าเธอจะใช้นามปากกาว่าเจนย์ คาสเซิล, เจนย์ แอนด์ เครซ, หรืออแมนด้า ควิกค่ะ แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ระยะหลัง (เกือบจะสิบปีแล้วล่ะ) แม้เราจะซื้องานของเธอมาอ่านทุกเล่ม และอ่านจบในเวลาอันรวดเร็วหลังจากซื้อมา ระดับฝีมือของเจนย์ก็ไม่เหมือนเดิม เธอเปลี่ยนไป คงเพราะเดี๋ยวนี้ดังแล้ว ก็เลยมุ่งเน้นเขียนเรื่องไปในเชิงสอบสวนมากกว่าโรแมนซ์ แต่จะไม่สุดยอดสำหรับเหมือนในอดีต แต่เรา็ก็ไม่เคยผิดหวัง
แม็กซ์ชอบงานเขียนในนามปากกาเจนย์ คาสเซิล (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของเจนย์ แอนด์เขา) ซึ่งเป็นเรื่องราวในแนวพารานอมอลของเธอมากที่สุดในทั้งสามนามปากกาค่ะ แต่ถึงจะเขียนว่าเป็นแนวพารานอมอล คนที่เป็นแฟนแนวนี้ชนิดดายฮาร์ด ก็อย่าไปคาดหวังว่าคุณจะได้อ่านพล็อตเรื่องที่ลึกล้ำเต็มไปด้วยจินตนาการนะ คะ เพราะแม้จะเป็นเรื่องราวของโลกที่ไกลโพ้นออกไป สังคมในดาวฮาร์โมนี่ก็เป็นทุกอย่างที่เหมือนกับศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของพวก เรา จะยกเว้นก็แค่องค์ประกอบสองสามอย่างที่ทำให้ดาวนี้แตกไปจากโลก
เป็นเวลากว่าสองร้อยปีแล้วที่มนุษย์อพยพมาที่ดาวฮาร์โมนี่ หลังจากที่ประตูข้ามดาวเปิดออกบนโลกมนุษย์ ชาวโลก (ที่ไม่ใช่ควาย) กลุ่มนึงเิดินทางข้ามประตูนั้นมาโผล่ที่ดาวแห่งนี้ ซึ่งมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับโลก พวกเขาขนเอาเทคโนโลยี ขนถธรรมเนียมของตนเองมาด้วย แต่แล้ววันนึงประตูข้ามดาวได้ปิดตายลง มนุษย์ที่คิดเสมอว่าตัวเองมีทางกลับโลก ก็ถูกทิ้งให้เผชิญหน้ากับโลกใหม่ด้วยตัวเอง และแล้วเทคโนโลยีที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยเริ่มใช้การไม่ได้ อุปกรณ์ไฮเทคล้ำค่ากลายเป็นเศษขยะ มนุษย์ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดอีกครั้ง
คราวนี้สิ่งที่ช่วยพวกเขาไว้ก็คือพลังพิเศษที่ซ่อนไว้ในกาย มนุษย์เปิดรับพลังจิต และความสามารถพิเศษที่เคยถูกปิดกั้นเมื่ออยู่บนโลก โดยอาศัยอำพันเป็นเครื่องมือ มนุษย์สามารถเพ่งกระแสจิต และใช้มันแทนเทคโนโลยี เครื่องยนต์ที่สตาร์ทติดด้วยอำพัน โดยใช้คำสั่งที่มาจากพลังจิต นี่เป็นตัวอย่างการเอาตัวรอดของคนในฮาร์โมนี่
ที่เล่าไปทั้งหมดเป็นภูมิหลังของหนังสือชุดนี้ ซึ่งมีมาแล้วรวมเล่มนี้ก็ห้าเล่ม แต่ละเล่มเล่าเรื่องราวของพระเอกที่เป็นโกสต์ฮันเตอร์ ซึ่งไม่ใช่นักล่าผีตามคำแปลแบบตรงตัวหรอกนะคะ โกสต์ หรือผีในโลกแห่งฮาร์โมนี่นั้นเป็นพลังงานที่ถูกทิ้งค้างไว้ในดาวแห่งนี้ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากมนุษย์ต่างดาวที่เคยอาศัยอยู่ในฮาร์โมนี่ก่อน มนุษย์ และได้ละทิ้ง หรือตายไปจากดาวแห่งนี้ก่อนที่มนุษย์จะมาถึงเสียอีก สิ่งที่พวกนั้นทิ้งค้างไว้ก็คือเมืองใต้ดินขนาดใหญ่ และกับดักทางพลังจิตที่มีเฉพาะโกสต์ฮันเตอร์พวกนี้เท่านั้นที่สามารถเอาชนะ ได้ ดังนั้นความสามารถของเหล่าโกสต์ฮันเตอร์จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากในฮาร์โมนี่
และก็เหมือนความสามารถพิเศษเฉพาะตัวหลายอย่างที่ทำให้โกสต์ฮันเตอร์รวมตัว กัน ตั้งขึ้นเป็นสมาคม เพื่อควบคุมการทำงานของโกสต์ฮันเตอร์ สมาคมแห่งนี้ถูกมองโดยสายตาคนนอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากแก๊งค์มาเฟีย ที่มีความลับ และปกครองโดยความหวาดกลัว
ซึ่งคำกล่าวนี้อาจจะจริงสำหรับหัวหน้าสมาคมโกสต์ฮันเตอร์คนก่อนหน้า จอห์น ฟอนตาน่า แต่ฟอนตาน่าไม่เหมือนกับหัวหน้าสมาคมโกสต์ฮันเตอร์คนอื่น ๆ เขาเพิ่งขึ้นสู่ตำแหน่งหลังจากเอาชนะการท้าดวลกับหัวหน้าคนเก่าซึ่งมีชื่อ เสียงในด้านเลวร้าย แต่การที่เขาอนุญาตให้เซียร่านักข่าวสาวซึ่งทำสกู๊ปเปิดโปงหัวหน้าสมาคมคน เก่ามาตลอดสัมภาษณ์ จึงสร้างความแปลกใจให้กับเธออย่างมาก
แต่เรื่องแปลกใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อ ฟอนตาน่ายอมรับตามตรงถึงพฤติกรรมนอกลู่ของหัวหน้าคนก่อน พร้อมทั้งบอกว่าเขาพร้อมจะสะสางความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น แต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากเธอ และหนทางเดียวที่เขาจะปกป้องชีวิตเธอจากโกสต์ฮันเตอร์นอกลู่นอกทางได้ก็คือ พวกเขาต้องแต่งงานกัน
การแต่งงานในฮาร์โมนี่มีสองแบบ การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางสังคม เป็นการแต่งงานที่หย่าขาด และเลิกราได้ ในขณะที่การแต่งงานอีกแบบเป็นพื้นฐานของสังคม และต้องอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต แน่นอนว่าฟอนตาน่ายื่นข้อเสนอการแต่งงานแบบแรก
อย่างที่บอกนะคะ เล่มนี้ไม่ได้สร้างสรรในเชิงพล็อตแนวพารานอมอลที่วิจิตรพิศดารอะไร แต่นั่นไม่สำคัญเลย เพราะแม็กซ์ชอบตัวละคร และการดำเนินเรื่องที่โดยเนื้อแท้แล้ว ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากโรแมนซ์แนวปัจจุบันทั่วไป
เราเคยพูดประเด็นนี้หลายครั้งแล้ว และขอพูดอีกรอบว่า เจนย์เป็นนักเขียนชาวตะวันตกที่เข้าใจค่านิยมความเป็นครอบครัวแบบชาวตะวัน ออก เข้าใจความสำคัญของการเป็นครอบครัว และสำหรับฟอนตาน่าซึ่งเป็นลูกนอกสมรสในสังคมที่บูชาความศักดิ์สิทธิแห่งการ แต่งงาน ครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเขา และแม็กซ์ชอบที่การเป็นครอบครัวไม่ได้หมายความรวมเฉพาะคนที่เกิดมาโดยมีสาย เลือดเดียวกัน ในฐานะของลูกคนเดียวอย่างเรา แม็กซ์เชื่อถึงความผูกพันกันด้วยอย่างอื่น ความเป็นเพื่อน ความใกล้ชิด ความห่วงหาอาทร ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของครอบครัว โดยที่สายเลือดไม่เกี่ยวข้องเลย
เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นผ่านช่วงเวลาไม่กี่วัน แต่แม็กซ์เชื่อในความสัมพันธ์ของตัวเอกค่ะ เชื่อว่าแม้ทั้งคู่จะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเปิดเรื่อง พวกเขารักกันและเหมาะสมกันอย่างยิ่งในตอนจบเรื่อง การเขียนถึงตัวละครที่เหมาะสมต่อกันและกันอย่างมากเป็นอีกหนึ่งในพรสวรรค์ ของเจนย์ที่แม็กซ์ชื่นชม ทั้งฟอนตาน่าและเชียร่าอาจดูแปลก และประหลาดในสายตาคนอื่น แต่ทั้งสองเหมาะสมกับกันและกัน
ถ้าคุณจะอ่านเล่มนี้เพราะคิดว่าเป็นพารานอมอล แม็กซ์ไม่แนะนำนะคะ เพราะมันไม่ใช่พารานอมอลในแง่ที่สำคัญที่สุด (ในนั่นก็พล็อตที่ท้าทายและน่าสนใจ) แต่ถ้าคุณอยากอ่านโรแมนซ์ที่อบอุ่น การผจญภัยของตัวละครที่น่าติดตาม เรื่องราวของคนสองคนที่ค้นหากันและกันเจอ เรื่องนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ
แต่ก็ต้องจำไว้นิดนึงนะคะว่า แม็กซ์ชอบงานของเจนย์มาก ไม่ว่าเธอจะเขียนด้วยนามปากกาไหน คะแนนเล่มนี้ที่ 80
No comments:
Post a Comment