กระแสโรแมนซ์แนวย้อนยุคกำลังจะกลับมา เห็นได้จากมีนักเขียนใหม่ ๆ หลายคนเริ่มออกผลงานแนวย้อนยุค หลังจากที่โรแมนซ์แนวนี้ซบเซาไปหลายต่อหลายปี นักเขียนหลายคนเลิกเขียน หรือเปลี่ยนแนวเขียนไป อย่างแคธลีน สมิท ก็หันไปเขียนชุดแวมไพร์ (แต่เพราะกระแสย้อนยุคที่กลับมา ตอนนี้เธอก็กำลังจะกลับมาเขียนเรื่องย้อนยุคแล้ว)
การกลับมาอีกครั้งของเรื่องแนวย้อนยุคทำให้แม็กซ์ได้ค้นพบนักเขียนใหม่ที่ น่าสนใจหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเชอรี่ โธมัส, หรือโจแอนน่า บอนน์
นักเขียนอีกคนที่แม็กซ์ได้ยินคนพูดถึงกันหลายคนก็คือแมรี่ เบลย์นีย์ ซึ่งทำให้เราค่อนข้างเิกิดความรู้สึกว่าอยากอ่านงานของเธอมาก และผิดหวังไม่น้อยเมื่อหนังสือเล่มแรกของเธอซึ่งมีกำหนดการวางขายในเดือน มกราคมที่ผ่านมาถูกเลื่อน แต่แล้วก็ดีใจที่การเลื่อนนั้นเป็นไปเพื่อที่จะนำเอาเล่มแรกนั้นมาพิมพ์รวม กับเล่มที่สองในชุด แล้วขายในราคาต่ำ
นั่นเป็นข้อเสนอที่ปฏิเสธยากมาก เพราะของมันถูกน่ะ แถมยังเป็นนักเขียนที่เราอยากอ่านอีกต่างหาก
แม็กซ์ควรจะรู้นะว่า ควรระมัดระวังในสิ่งที่คาดหวังไว้
Traitor's Kiss และ Lover's Kiss ของแมรี่ เบลย์นีย์
หนังสือเล่มเดียวนี้รวมเอาเรื่องราวไว้ถึงสองเรื่อง ไม่ใช่เรื่องสั้นนะคะ แต่เป็นเรื่องขนาดยาวเต็มคราบ หนังสือเล่มที่หนึ่งและสองในชุดพี่น้องตระกูลเพนนิสแทน
เราคิดว่าปัญหาแรกที่เราเจอกับการอ่านเรื่องชุดนี้ก็คือ การเปิดเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพี่น้องในตระกูลของตัวเอกเลย ไม่ว่าจะเป็นใน Traitor's Kiss ที่กาเบรียลติดคุกอยู่ในฝรั่งเศส และใน Lover's Kiss โอลิเวียถูกลักพาตัวออกไปจากบ้าน นั่นจึงไม่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าครอบครัวเพนนิสแทนมีความพิเศษน่าสนใจ เหนือกว่าครอบครัวอื่นเลย นอกจากนี้แล้วตัวละครที่เกี่ยวข้องที่ควรจะเป็นตัวเรียกแขกให้คนอ่านติดตาม อ่านหนังสือชุดนี้ต่อก็ไม่ทรงพลังพอ ไม่น่าสนใจพอ ลองนึกถึงตัวละครอย่างมาร์ควิสแห่งโรธการ์ (ของโจ เบฟเวอรี่) หรือดยุคแห่งมอนต์ฟอร์ด (ของดาเนียล ฮาร์มอน) ตัวละครอย่างดยุคแห่งมาร์ยอนซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลเพนนิสแทนเทียบไม่ได้ เลย
ไล่พูดถึงแต่ละเรื่องกันเลยแล้วกัน
เล่มแรก Traitor's Kiss
กาเบรียล เพนนิสแทนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กลายเป็นสายลับ และกลายเป็นคนที่ได้ชื่อว่าขายชาติ แต่เขาซึ่งเป็นคนอังกฤษและ ถูกกล่าวหาว่าขายชาติกลับติดคุกอยู่ในฝรั่งเศส และนั่นเป็นหน้าที่ของชาร์ล็อตต์ในการช่วยเขาออกมา ซึ่งเธอก็ทำได้ด้วยแผนการที่ง่าย (จนเกินกว่าที่แม็กซ์จะเชื่อ) ทั้งสองใช้เวลาด้วยการในการหาทางให้กาเบรียลกลับอังกฤษอย่างปลอดภัย และนั่นทำให้เกิดความผูกพันอย่างเลี่ยงไม่ได้
สำหรับผู้หญิงที่เคยถูกสามีของตัวเองทรยศอย่างไม่น่าให้อภัย ชาร์ล็อตต์ไม่อาจที่จะเชื่อใจชายใดได้อีก นอกจากนี้เธอยังมีภารกิจส่วนตัว การไถ่บาปที่เธอเท่านั้นที่จะทำไ้ด้ เธอไม่มีเวลาให้ชายช่างฝันอย่างกาเบรียล คนที่ไม่ควรจะมารับบทเป็นสายลับ และถลำลงเล่นเกมส์ที่เขาเองก็ไม่คุ้นเคย
พล็อตเรื่องในเล่มนี้มันดูง่ายเกินไป แม็กซ์อ่านแล้วนึกว่ามันจะซับซ้อน แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่มีอะไรเลย การแก้ปัญหา และการอธิบายเหตุการณ์ที่นำไปสู่การที่กาเบรียลโดนกล่าวหาเป็นเป็นไส้ศึกก็ ง่ายจนไม่น่าเชื่อ แม็กซ์คาดหวังตลอดเรื่องว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจโผล่เข้ามาในเรื่อง แต่ก็ไม่มี
นอกจากพล็อตเรื่องที่เราคิดว่าอ่อนเกินไปสำหรับคาแร็คเตอร์ที่คนแต่ง สร้างไว้ -- อธิบายง่าย ๆ ก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นที่พล็อตจะต้องง่ายแนวพระเอกรวย นางเอกจน พระเอกดูถูกนางเอก นางเอกร้องไห้ พระเอกใจอ่อน ปล้ำ แล้วก็ดีกัน แต่ในเล่มนี้คนแต่งสร้างตัวละครอย่างชาร์ล็อตต์ที่แม็กซ์คิดว่าเป็นตัวละคร ที่มีความซับซ้อนและน่าสนใจ แต่เรื่องราวของเธอที่คนแต่งกำหนดให้กลับไม่่น่าสนใจเทียบเท่า มันเลยดูเหมือนเอานักรบไวกิ้งไปปล่อยไว้ในดิสนีย์แลนด์ แทนที่จะดูสนุก กลับกลายเป็นเรื่องตลกไป ทั้งที่สถานการณ์ในเรื่องมันไม่ขำเอาเลย
การแก้ปัญหาที่ผูกไว้ตอนต้นเรื่องก็ง่ายจนไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญอ่านเรื่องนี้แล้วไม่มีไคล์แม็กซ์ของเรื่องค่ะ อ่านไปเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ
คะแนนก็เลยเป็นไปตามนั้นที่ 50
เล่มที่สอง Lover's Kiss
เล่มนี้เล่าเรื่องของโอลิเวีย น้องสาวคนเดียวของตระกูลเพนนิสแทนซึ่งถูกลักพาตัวไป แล้วถูกช่วยชีวิตไว้โดยไมเคิล การ์เร็ต อดีตนายทหารผ่านศึก บอกตามตรงนะคะว่าหลังจากผิดหวังกับเล่มแรกในชุดมาก ๆ เราก็เกือบจะไม่อ่านเล่มนี้แล้วล่ะ แต่คนแต่งก็ทำได้ดีตรงที่เอาตัวละครที่น่าสนใจมาก ๆ ในเล่มแรกมาเป็นพระเอกเล่มนี้
นั่นก็เพราะไมเคิล การ์เร็ตไม่ใ่ช่ทหารทั่วไป เขาเองก็เป็นสายลับ และเขาในชื่ออื่นได้โผล่เข้ามาช่วยชีวิตกาเบรียลไว้ในเล่มแรก คาแร็คเตอร์ของเขาน่าสนใจพอที่จะทำให้แม็กซ์อ่านเล่มนี้ต่อได้ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เรารู้สึกว่าเล่มนี้ดีกว่าเล่มแรก... นิดนึง
ปัญหาใหญ่ของเราที่มีต่อเล่มนี้ก็คือพล็อตเรื่องที่อ่อนไปอีกนั่นแหละ เปิดเรื่องด้วยการให้โอลิเวียถูกลักพาตัวไป แต่เชื่อไหมคะว่า ตลอดทั้งเรื่องไม่มีการสืบหาความจริงในเรื่องนี้ เพียงแค่เมื่อไมเคิลพาตัวโอลิเวียมาส่งคืนให้กับบรรดาพี่ชายของเธอ เขาก็ถูกขอร้องให้อยู่ต่อเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองเธอ แค่นั้น ส่วนเรื่องคนร้ายที่ลักพาตัวเธอไปกลับไม่ถูกพูดถึง จนกระทั่งมาเฉลยตอนท้ายเรื่อง ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องที่แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับพล็อตเลย แถมยังเอาตัวละครอื่นที่ไม่เคยมีบทบาทในเรื่องมาเป็นคนไขปริศนา (ตอนท้ายยังมีคำอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ตัวละครตัวนี้คนแต่งสร้างจากตัวละครในนิยายเรื่องอื่นที่เธอชอบมาก แม็กซ์ไม่เข้าใจว่ามันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่อง)
ข้อที่ดีกว่าเล่มแรกหน่อยก็คือ คาแร็คเตอร์ของตัวเอกในเรื่องไม่หนักเท่ากับที่เธอวางไว้ในเล่มแรก ดังนั้นเมื่อมาอยู่ในพล็อตที่อ่อนก็เลยไม่ทำให้แม็กซ์เกิดอาการขัดใจเวลา อ่านนัก เพราะโอลิเวียก็เป็นสาวน้อยวัยยี่สิบที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในครัวทำอาหาร เราชอบเธอที่แสดงความรักด้วยการทำอาหารให้ไมเคิลกิน แล้วก็เสียใจเวลาที่เขา (โกหก) ว่าไม่ชอบอาหารที่เธอทำ อ่านแล้วน่ารักดีค่ะ
ส่วนไมเคิล เขาเป็นตัวละครที่เสียดาย (นิดหน่อย) เพราะเขามีแบ็คกราวด์แบบตัวละครที่เราชอบ ชายหนุ่มที่เตรียมตัวจะเป็นนักเทศน์แต่ละทิ้งทุกอย่างมาเพื่อเป็นทหาร เขาต้องค้นพบศรัทธาของตัวเองอีกครั้ง เขาน่าจะเป็นตัวละครที่มีความลึกมากกว่านี้ค่ะ แต่เพราะความอ่อนในพล็อตเรื่องและการดำเนินเรื่องก็เป็นสาเหตุทำให้เขาไม่ สามารถเป็นตัวละครทีทรงพลังอย่างที่เขาควรจะเป็นได้
ในเล่มนี้บรรดาพี่ชายของโอลิเวียเริ่มมีบทบาทเด่นขึ้น เพื่อให้สมกับการที่จะได้เป็นพระเอกในอนาคต ซึ่งความน่าสนใจมันก็เพิ่มมา (เช่นกันอีกนิดหน่อยเอง)
ข้อดีอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือ เหมาะที่จะนำไปแปลเป็นภาษาไทยอย่างยิ่ง เพราะฉากเอ็กซ์แทบไม่เห็น บรรยายก็ไม่เห็นภาพอะไร นางเอกก็ใสอย่างที่คนอ่านชอบ (ต่างจาก Traitor's Kiss) อย่างงี้เวลาแปลไม่ต้องตัดค่ะ น่าจะผ่านเกณฑ์พี่บานฉลุย
แต่สำหรับเราได้คะแนนแบบไ่ม่เกี่ยวกับดีกรีความร้อนแรงเลย อยู่ที่ 53
No comments:
Post a Comment