หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เก่าเก็บนานมาหลายปี (ตั้งแต่ปี 2005 โน่นแน่ะ) แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้อ่านเลยหรอกนะคะ เราอ่านเรื่องสั้นบางเรื่องไปแล้วบ้าง เพียงแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านจนจบทุกเรื่องเท่านั้นเอง
สำหรับคนที่สนใจงานของนักเขียนทั้งสี่คนที่ร่วมกันเขียนในเล่มนี้ แต่ไม่กล้าลองซื้อเล่มหนาของพวกเธอมาอ่าน เราก็ขอแนะนำให้ลองอ่านงานของทั้งสี่ที่เล่มนี้ดูกันได้ เพราะเราคิดว่าสไตล์การเขียนเป็นตัวแทนผลงานโดยรวมของนักเขียนแต่ละคนเลยที เดียว
หนังสือรวมเรื่องสั้น Hot Spell
หนังสือเรื่องสั้นทั้งสี่เรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องของไซโลห์ วอร์คเกอร์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในชุดอันโด่งดังของนักเขียนแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องของเมลจีน บรู๊ค เราถือว่าเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้เลยในการอ่านหนังสือชุดของเธอ
มาว่ากันทีละเรื่องแล้วกัน
The Countess's Pleasure ของเอ็มม่า โฮลี่
เรายกให้เอ็มม่า โฮลี่เป็นเจ้าแม่ผลงานแนวอีโรติค โรแมนซ์นะคะ ไม่ว่าจะมีใครเขียนเรื่องไหนออกมา อาจจะร้อนแรงกว่างานของเธอ ก็ไม่อาจเทียบกับเอ็มม่าซึ่งถือเป็นคนแรก ๆ ที่เริ่มบุกเบิกหนังสือแนวนี้ (ร่วมกับนักเขียนอีกคนที่ชื่อว่าโรบิน ชอนน์)
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นส่วนเสริมในหนังสือชุดเดม่อนแห่งยุควิคทอเรียน (ที่เล่มแรกของชุดก็คือ The Demon's Daughter) เล่าเรื่องของโลกที่น่าจะอยู่ในช่ีวงเดียวกับยุควิคทอเรียนที่เรารู้จักกัน เพียงแต่ในโลกของเอ็มม่า มนุษย์ได้ค้นพบว่า ตนเองมิใช่สิ่งมีชีวิตเดียวที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้ากว่าสัตว์อื่นเพียงชนิด เดียว ยังมีชาวยาม่า ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่คล้ายคลึงมนุษย์ แต่ไม่ใช่ อาศัยอยู่ด้วย การค้นพบยาม่าทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์กลายเป็นคนป่าเถื่อนและไร้วัฒนธรรม ในขณะที่สังคมของยาม่าเ็ป็นสังคมชั้นสูงชนิดที่มนุษย์โลกไม่อาจก้าวไปถึง
ในเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเคาท์เตสม่ายสาวที่เดินทางไปยังเมืองซึ่งอยู่ ระหว่างชายแดนระหว่างอาณาเขตของมนุษย์และยาม่า ที่นั่นเธอได้ปลดปล่อยความพิศวาสที่เก็บไว้ของตัวเองมานาน (จำได้ไหมว่าสังคมวิคทอเรียนนั้น กระทั่งขาโต๊ะก็ยังต้องเอาผ้ามาคลุม เพราะมันไม่สุภาพ) กับชายหนุ่มชาวยาม่าที่ทำงานในคลับเพื่อหาเงินส่งเสียกลับไปให้ครอบครัวที่ ยาม่า
พล็อตเรื่องเรียบง่ายไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นกันมาก แต่แม็กซ์ไม่แน่ใจว่า สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับยาม่าในหนังสือเล่มอื่น ๆ ของเอ็มม่ามาก่อนจะเก็ตกับความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และยาม่า นี่ไหม มันมีความซับซ้อนพอสมควร และอาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจแบ็คกราวด์ของเรื่อง
แต่สำหรับเรา (เนื่องจากตามอ่านงานของเอ็มม่าเกือบครบทุกเล่ม) นี่จึงไม่ใช่ปัญหา คะแนนที่ 70
The Breed Next Door ของโลร่า ลีย์
ถ้านับกันตามจริงแล้ว เรื่องสั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกที่โลร่าเขียนให้กับสนพ.เบิร์คเลย์ (หลังจากที่ทิ้งสนพ.อีลอร่ามาซบอกกัน) เรื่องนี้เป็นไปทุกอย่างตามสูตรของหนังสือชุดบรีดของโลล่าค่ะ เหมาะสำหรับคนที่อยากรู้ว่าสูตรชุดบรีดเป็นยังไง และเหมาะกับคนที่ชอบสูตรชุดบรีดของโลร่า (อย่างแม็กซ์ที่ตอนนี้ยังไม่เบื่อนะคะ)
เรื่องราวของทาเร็คที่ย้ายมาอยู่ข้างบ้านสาวสวยอย่างไลร่า เพราะได้รับมอบหมายให้มาจับตามองกลุ่มคนที่เคยทรยศต่อพวกบรีด (ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีส่วนผสมของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผสมปนเปกันอยู่) แต่แล้วเขาก็ต้องเสียสมาธิเพราะสาวน้อยข้างบ้านที่ยั่วเสน่ห์เขาเสียจริง และแน่นอนว่าตามสูตรแล้วไลร่าก็คือคู่แท้ของเขาอีกต่างหาก ซึ่งทำให้เมื่อทั้งคู่มีการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายต่อกัน (อย่าคิดมาค่ะ น้ำลายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว) ก็จะทำให้ไลร่าเกิดอาการที่เรียกกันว่า Mating Heat ที่ทำให้ดีกรีความร้อนแรงในหนังสือเล่มนี้ทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว
อย่างที่บอกเรื่องนี้เป็นพล็อตที่โลร่า ลีย์ให้บ่อยมาก ถ้าเคยอ่านแล้วยังไม่เบื่อเล่มนี้ก็น่าจะถือว่าโอเค ส่วนตัวเราซึ่งพูดเสมอว่า เพิ่งจะมารู้สึกว่าโลร่าเขียนหนังสือดีมาก ๆ ก็ตอนที่อ่านเรื่อง Tanner's Scheme ซึ่งเขียนหลังจากเล่มนี้หลายปี เรื่องสั้นเรื่องนี้เลยขาดเหตุผล และอารมณ์ในด้านลึกไปเยอะพอสมควร
คะแนนที่ 63
Falling for Anthony ของเมลจีน บรู๊ค
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเล่มนี้ที่เราเปิดอ่าน และก็ยังคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเมื่อเราหยิบมาอ่านอีกรอบ เรื่องราวในยุครีเจนซี่ เล่าเรื่องของคู่รักที่ไม่น่าจะลงเอยกันได้
นั่นก็เพราะแอนโธนี่เป็นเพียงหมอจน ๆ คนนึงที่พ่อของเอมิลี่ส่งเสียให้เล่าเรียน (สมัยนั้นหมอไม่รวยเหมือนตอนนี้หรอกนะ) ในขณะที่เธอเป็นลูกสาวของขุนนางบรรดาศักดิ์สูง แต่ในวันนึงก่อนที่แอนโธนีจะไปออกรบ (พร้อมกับคอลิน พี่ชายของเอมิลี่) จู่ ๆ สาวน้อยที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ก็จัดการรวบหัวรวบหางแอนโธนี่ซะอย่างงั้น
อ่านแล้วงงใช่ไหม แม็กซ์ก็งงค่ะ เราคงไม่บอกเหตุผลหรอกนะคะ แต่มันมีคำอธิบาย ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจใครที่นิยมลัทธิเยื่อบางนัก แต่มันโอเคสำหรับเรา
แต่แล้วในการรบ คอลินกลับเป็นเพียงคนเดียวที่กลับมาสู่บ้านได้ เพราะแอนโธนีเสียชีวิตลง สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ แอนโธนีไม่ได้ตายในการรบธรรมดา เขาได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตบางอย่าง และนั่นทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นเทพบุตร
ในฐานะของเทพบุตรฝึกหัด แอนโธนี่มีภาระต้องรับใช้สวรรค์ (หรือที่เรียกกันว่าเคย์ลั่ม) เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ก่อนที่เขาจะมีสิทธิเลือกที่จะคุ้มครองมนุษย์ต่อ ไปสู่สวงสวรรค์ของแท้ หรือว่าจะตกจากสวรรค์ (ด้วยการเกิดใหม่) แต่งานแรกที่แอนโธนีได้รับการคือ การกลับไปยังบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง เพื่อตามหาดาบของไมเคิล (ซึ่งเป็นผู้นำของเคย์ลั่ม) ที่หายไป ปัญหาก็คือ ดาบเล่มนั้นอยู่ในความครอบครองของเอมิลี่ หญิงสาวที่เขารักอย่างหมดหัวใจ แต่เข้าใจว่าเขาตายไปแล้ว
เรื่องสั้นเรื่องนี้มีความยาวมากที่สุดในเล่ม แต่มันแทบจะไม่เพียงพอเลยในการเล่าเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ นั่นก็เพราะนอกเหนือจากเรื่องราวของตัวเอกอย่างแอนโธนีและเอมิลี่แล้ว ยังมีเรื่องของฮิวจ์ ซึ่งเป็นเทพบุตรซึ่งเป็นอาจารย์ของแอนโธนี (คิดถึงโอบีวันที่เป็นอาจารย์ของอนาคิน) และลิลิธ ปีศาจสาวจากนรกผู้ต่อสู้กับฮิวจ์มานานนับพันปี เรื่องราวของทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาตร์อันยาวนานของทั้งคู่ก่อนที่ จะลงเอยกันในเรื่อง Demon Angel และเล่มนี้ก็ยังเล่าเหตุการณ์ที่คอลิน พี่ชายของเอมิลี่ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นพระเอกใน Demon Moon
โลกที่เมลจีน บรู๊คคนแต่งเรื่องนี้สร้างมันซับซ้อน และวิธีการเล่าเรื่องของเธอไม่เอื้ออำนวยกับการอ่านแบบลวก ๆ คุณต้องทุ่มเต็มร้อยและมีสมาธิอย่างเต็มที่ ไม่ควรรีบเร่งอ่าน เพราะทุกบรรทัดแฝงไว้ด้วยความหมาย
คะแนน 80
The Blood Kiss ของไซโลห์ วอร์คเกอร์
ในความคิดของแม็กซ์ เรื่องนี้อ่อนที่สุดในบรรดาสี่เรื่องในเล่มนี้ แต่ก็อาจเป็นเพราะไซโลห์เป็นนักเขียนที่ฝีมืออ่อนทีสุดในบรรดาสี่คนนี้ก็ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้ห่วยไม่ได้เรื่องหรอกนะคะ
มันโอเคเลยล่ะ เพียงแต่เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นดูอ่อนไปเท่านั้นเอง
โรมัน มอนต์โกเมอรี่เป็นราชาหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งกำลับมีปัญหา นั่นก็เพราะน้องชายของเขาดันไปเผ่นพล่านในเขตแดนของแวมไพร์ จนถึงจับตัวไป บทลงโทษของเหล่าแวมไพร์ก็คือการจับขังเป็นเวลาสองร้อยปี ซึ่งโรมันยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงปลอมตัวบุกเข้าไปในถิ่นของแวมไพร์ จากนั้นก็ปฏิบัติการช่วยชีวิตน้องชายออกมา แต่ตอนขากลับบ้านดันไม่กลับมือเปล่า เขายังเกี่ยวเอาบุตรสาวคนเดียวของหัวหน้าแวมไพร์ติดตัวมาด้วย
เธอชื่อจูเลียนน่า และเธอเป็นแวมไพร์ชนิดพิเศษ นั่นก็คือเธอยังไม่ใช่แวมไพร์ หากแต่เป็นมนุษย์ (จะเป็นแวมไพร์เมื่อเธอตาย และได้ดื่มเลือด) ดังนั้นเธอจึงมีคุณค่ามหาศาล เพราะยังมีทายาทสืบตระกูลแวมไพร์ได้ การจับตัวเธอไปของโรมันจึงกลายเป็นการกระตุ้นให้พ่อของเธอประกาศศึก โดยมีจูเลียนน่าเป็นของรางวัล ใครที่ช่วยเธอมาจากโรมันได้ ก็จะกลายเป็นเจ้าบ่าวของเธอไปโดยปริยาย
ปัญหาของแม็กซ์ต่อเล่มนี้ก็คือ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้พ่อของจูเลียนน่าเป็นตัวร้าย โอเคโรมันพูดและคิดหลายรอบถึงความเลวร้ายของพ่อเธอ แต่แม็กซ์ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวยังไง น้องชายโรมันก็เสือกบุกเข้าไปในดินแดนของเขาก่อน แล้วยังเรื่องจูเลียนน่า หากจะบอกว่าพ่อของเธอเลวที่เอาเธอเป็นเครื่องมือ ก็โรมันก่อนนั่นแหละดันเสือกไปยุ่งกะเธอก่อน แวมไพร์ก็ต้องการรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองไว้เช่นกัน
มันเหมือนการบอกว่า หมาป่าดี แวมไพร์เลว ยังไงยังงั้นเลยล่ะ
เพราะความไม่เท่าเทียบกันทางความเหนือธรรมชาติ แม็กซ์จึงให้คะแนนได้แค่ที่ 60
โดยสรุปทั้งเล่ม Hot Spell ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะคะ เพราะจะแนะนำให้คุณได้รู้จักนักเขียนถึงสี่คนที่เขียนเรื่องอยู่ในระดับใช้ ได้เลยทีเดียว ดังนั้นแม้ว่าแยกแต่ละเล่มคะแนนจะดูไม่ค่อยดีนัก เพราะแม็กซ์ไม่ค่อยชอบเรื่องสั้น แต่เมื่อรวมกัน เล่มนี้ได้ 83 เพราะยากนักที่จะหาหนังสือรวมเรื่องสั้นที่คุณภาพของแต่ละเรื่องอยู่ในระดับ สูงอย่างนี้ได้
No comments:
Post a Comment