Tuesday, January 20, 2009

ผลประโยชน์ขัดกัน

วันนี้ขึ้นชื่อบลอกด้วยประโยชน์ที่ดูหนัก และความจริงมันก็หนักแหละ เพราะเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทอง และผลประโยชน์ที่มันอาจจะไม่ลงตัว

ในฐานะที่เราทำงานเกี่ยวกับกับสภาพเศรษฐกิจ (แต่แม็กซ์ก็ไม่คิดว่ามีใครที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจหรอกนะ อาจจะยกเว้นบรรดาข้าราชการที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การ งานของตัวเอง ต่างกับพวกทำงานเอกชนอย่างเรา) เวลาเราอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับธุรกิจ หลายครั้งก็ชอบเอามาโยงเกี่ยวกับความเป็นไปในเมืองไทย

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อแม็กซ์อ่านเจอข่าวว่า สนพ.อีลอร่าส เคฟ ฟ้องร้านหนังสือบอร์เดอร์เรียกค่าเสียหายเป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญ

แม็กซ์มีโอกาสได้อ่านคำฟ้อง และคิดว่ามันเป็นประเด็นที่น่าสนใจ (บอกก่อนนะคะ แม็กซ์ไม่ได้จบกฎหมายจากอเมริกา เพียงแค่มีโอกาสเข้าเรียนวิชากฎหมายของอเมริกาบ้างเล็กน้อย และระบบกฎหมายของอเมริกาก็แตกต่างจากประเทศไทยมาก ความรู้ทางกฎหมายที่เรามี จึงไม่อาจเอาไปปรับใช้ได้)

หนึ่งในประเด็นที่เราสนใจมากที่สุดก็คือ การที่อีลอร่ากล่าวหาว่า ร้านหนังสือบอร์เดอร์ร่วมมือกับบริษัทเบเกอร์แอนด์เทย์เลอร์ในการฉ้อโกง ด้วยการสั่งซื้อหนังสือจากสนพ.อีลอร่า ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร้านบอร์เดอร์มีความตั้งใจจะขาย

ก่อนจะลงลึกไปถึงคดีนี้ เราขอปูพื้นเกี่ยวกับธุรกิจร้านหนังสือให้ฟังกันก่อนนะคะ ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด ธุรกิจร้านหนังสือไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือในอเมริกามีลักษณะเหมือนกันก็คือ เจ้าของร้านหนังสือสามารถคืนหนังสือที่ขายไม่หมดได้ ดังนั้นระบบการสั่งซื้อหนังสือของร้านหนังสือ แม้จะมีการจ่ายเงินให้กันไปก่อน แต่ภายหลังระยะเวลานึงแล้ว ร้านหนังสือสามารถทำเรื่องขอคืนหนังสือที่รับมาแล้วเหลือจากการขายได้ ทางสำนักพิมพ์จะต้องให้เครดิตแก่ร้านหนังสือเท่ากับจำนวนหนังสือที่ส่งคืน (หักออกจากยอดที่ร้านหนังสือจ่ายออกไปเพื่อหนังสือเล่มใหม่ที่เข้ามา)

นี่เป็นระบบของร้านหนังสือที่มีมานาน เื่พื่อให้การอธิบายครอบคลุมกรณีที่แม็กซ์พูดถึง เราเพิ่มคนกลางเข้าไปอีกหนึ่งคน (ในกรณีนี้ก็คือบริษัทเบเกอร์แอนด์เทเลอร์) คนกลาง หรือที่เรียกกันว่า สายส่ง จะเข้าไปเป็นคนกลางรับหนังสือจากสนพ.ต่าง ๆ จากนั้นจะเป็นคนกระจายหนังสือไปยังร้านหนังสือแทนที่ทางสนพ.เอง ความสะดวกของการใช้บริการคนกลางจะทำให้สนพ.ที่มีขนาดเล็กสามารถเข้าถึงร้าน หนังสือที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้ เพราะร้านหนังสือส่วนใหญ่ย่อมไม่ยินดีที่จะติดต่อกับสนพ.แต่ละแห่งด้วยตนเอง (เพราะปริมาณหนังสือมีไม่มากพอ) นี่ยังไม่นับความยุ่งยากในการขนส่ง และการจัดการระบบฐานข้อมูลอีกด้วย

เพราะลักษณะพิเศษของธุรกิจร้านหนังสือนี่เอง ทำให้บรรดาหนังสือที่เข้าไปขายในร้าน ถูกมองว่ามีลักษณะไม่ต่างกับการ "ฝากขาย" (แม้ว่าความจริงจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะการฝากขายไม่มีการจ่ายเงินค่าของให้กับผู้ผลิตจนกว่าจะมีการขายออกไป ได้ แต่ร้านหนังสือจะจ่ายเงินให้กับสนพ.หรือคนกลางทันทีที่ได้รับหนังสือ จากนั้นถึงทำเรื่องขอคืน) การที่สนพ.อีลอร่า ฟ้องทั้งร้านบอร์เดอร์ และบ. เบเกอร์แอนด์เทเลอร์จึงเป็นคดีที่แปลกพอสมควร

ยิ่งเมื่อนำข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงมาเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยยิ่งทำให้วิญญาณนักกฎหมายของแม็กซ์ตื่นขึ้น (หลังจากหลับไปนาน เพราะตั้งแต่เรียนจบยังไม่เคยใช้วุฒิไปทำอะไรเลย นอกจากตะโกนใส่หน้าตำรวจพูดมากว่า ฉันจบกม. ขอร้องอย่ามาอ้างข้อกม.มั่ว ๆ เพื่อข่มขู่ประชนชนโว้ย)

และขอบอกเลยนะคะว่าในคำฟ้องไม่ได้เขียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด สิ่งที่แม็กซ์เขียนต่อไป มาจากการคาดคะเนของผู้เชี่ยวชาญ หรือคนที่อ้างตัวว่าเป็นวงใน (และรู้เรื่องที่เกิดขึ้น) นั่นก็คือ

สนพ. อีลอร่า กล่าวหาว่าร้านบอร์เดอร์ ด้วยการสมคบคิดจากสายส่งบ. เบเกอร์แอนด์เทเลอร์ ร่วมมือกันบ่อนทำลายสนพ.อีลอร่า ด้วยการสั่งหนังสือจากสนพ.เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะนำไปวางขาย (กล่าวคือ สั่งไปแล้วเอาไปเก็บในสต๊อค ไม่ได้เอาไปวางขายในร้าน) ซึ่งทำให้สนพ.มีต้นทุนเพิ่มในการสั่งพิมพ์หนังสือให้ครบตามจำนวนที่ทาง บอร์เดอร์สั่งมา ค่าขนส่งและค่าเก็บรักษา มีความเสียหายเกิดขึ้นเป็นเงินถึงหนึ่งล้านเหรียญ

คดีนี้เพิ่งฟ้องกันค่ะ ยังไม่ได้เริ่มต้นพิจารณาคดีเลย แต่ผู้เชี่ยวชาญทางกม.ของอเมริกาหลายคนมองว่า มันเป็นคดีที่ไม่น่าชนะ เพราะโดยปกติแล้ว ร้านหนังสืออย่างบอร์เดอร์ก็ย่อมต้องการขายหนังสือให้มากที่สุด การที่หนังสือของอีลอร่าขายไม่ได้ จนเหลือคืนเป็นจำนวนมาก ก็เป็นความผิดของอีลอร่าเองที่ผลิตหนังสือไม่ถูกใจตลอด

ส่วนตัวแม็กซ์ค่อนข้างเห็นเอียงตามความเห็นนี้นะคะ นั่นเพราะบอร์เดอร์เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการร้านหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้เป็นสำนักพิมพ์ด้วย แม็กซ์มองไม่เห็นส่วนได้เสียอะไรเลยกับการที่สนพ.อีลอร่าจะอยู่หรือไป สนพ.อีลอร่าเป็นอีกหนึ่งสนพ.ในบรรดาสนพ.นับพันที่บอร์เดอร์ขายในร้าน ไม่มีเหตุผลที่บอร์เดอร์จะต้องบ่อนทำลายอีลอร่า

คดีของเมืองนอกมีแค่นี้ล่ะค่ะ (อันที่จริงมีการฟ้องกันอีกหลายคดีที่เกิดจากอีลอร่า แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่เราพูดในวันนี้) แต่มันจุดประกายให้แม็กซ์คิดถึงสภานการณ์ของร้านหนังสือในประเทศไทย

ไม่รู้ว่าสังเกตกันไหมนะคะ แต่สถานการณ์ในเมืองไทยแตกต่างออกไป เพราะร้านหนังสือไม่ได้ประกอบกิจการร้านหนังสืออย่างเดียว ร้านหนังสือเป็นบริษัทในเครือเดียวกับสำนักพิมพ์ และกับสายส่งอีกต่างหาก

ถ้าแม็กซ์เข้าใจผิดก็ขอให้แก้ความเข้าใจผิดด้วยแล้วกัน เราเขียนตามที่เห็น แต่ยังไม่ได้เช็คข้อมูลอย่างเป็นทางการ

ร้านนายอินทร์เป็นร้านหนังสือที่มีสาขาทั่วประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ชื่อว่าอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง (จำกัด) ซึ่งบริษัทแห่งนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือที่ผลิตหนังสือขายภายใต้สำนักพิมพ์ หลายชื่อ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีบริษัทจัดจำหน่ายหนังสือเป็นของตัวเองซึ่งไม่ได้ให้ บริษัทเฉพาะสำนักพิมพ์ของตัวเองเท่านั้น ยังรับจัดจำหน่ายใหักับอีกหลายสนพ.อีกด้วย

บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของร้านหนังสือซีเอ็ด ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ผลิตหนังสือในนามหลายสำนักพิมพ์ และเช่นเดียวกัน ก็ยังมีธุรกิจจัดจำหน่ายเปิดให้บริษัทกับสนพ.อื่นอีกด้วย

นี่เป็นแค่ตัวอย่างว่า ธุรกิจร้านหนังสือในประเทศไทย ไม่ใช่ร้านที่เปิดขึ้นมาเพื่อขายหนังสือเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นหนึ่งในเครือของธุรกิจสิ่งพิมพ์อันใหญ่โต

แม็กซ์ไม่ได้กำลังจะพูดว่า บริษัทที่แม็กซ์กล่าวถึงกำลังทำอะไรผิดหรอกนะคะ มันเป็นธุรกิจเท่านั้นเอง เพียงแต่กำลังมองในมุมมองของข้อกล่าวหาที่สนพ.อีลอร่ายกขึ้นมา เพราะหนึ่งในข้อต่อสู้ (ที่แม็กซ์เห็นด้วยที่สุด) ก็คือ ร้านบอร์เดอร์ไม่มีส่วนได้เสียกับการอยู่หรือไปของสนพ.อีลอร่า แต่ข้อต่อสู้เรื่องนี้ไม่อาจยกขึ้นมาได้ เมื่อนึกถึงลักษณะการทำธุรกิจในกรณีของประเทศไทย

ทำไมเหรอคะ

โปรดอย่าเข้าใจผิด คิดว่าแม็กซ์กำลังกล่าวหาใครนะคะ มันเป็นแค่ตัวอย่าง ที่จิตใจ อาจจะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีนักอย่างแม็กซ์นึกถึง ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่สนับสนุนภาพที่แม็กซ์กำลังพูดถึง มันเป็นความคิด ว่า "มันอาจจะเกิดขึ้นได้" เท่านั้นเอง

สมมุติว่ามีสนพ.เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งทำหนังสือเน้นกลุ่มนักอ่านกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่นทำแต่นิยายโรแมนซ์ หรือนิยายสืบสวน) มีแฟนประจำที่ติดตามงานอยู่พอควรเลยล่ะ อาจจะไม่ได้ขึ้นชื่อขนาดรู้จักกันไปทั่วประเทศ แต่ในโลกเสี้ยวเล็ก ๆ ที่พวกเขาอยู่ พวกเขาคือคนดังเชียวนะ หากสนพ.แห่งนี้ใช้บริษัทจัดจำหน่ายของสนพ.ที่มีขนาดใหญ่กว่า หรืออาจจะส่งหนังสือไปขายในร้านที่อยู่ในเครือเดียวกับยักษ์ใหญ่เหล่านั้น (ซึ่งแม็กซ์คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่แ้ล้วล่ะ)

ถ้าบังเอิญว่า สนพ.ใหญ่กำลังต้องการบุกตลาดหนังสือแนวนั้นพอดี แต่การเข้าไปเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดที่แม้จะเล็ก แต่นักอ่านก็มีความจงรักภักดีอย่างสูงต่อผู้ผลิตเดิม พวกเขาจะทำยังไง วิธีการง่าย ๆ ที่แม็กซ์คิด (และอาจจะทำนะ เพราะเราเชื่อว่าเราเลวพอ) ก็คือ ในร้านหนังสือที่อยู่ในเครือของตัวเอง สั่งหนังสือจากสนพ.เล็ก ๆ แห่งนั้นเป็นจำนวนมาก อาจจะมากกว่าจำนวนที่เขาเคยพิมพ์ขายปกติเสียอีก ทำอย่างนั้นติดต่อกันสักหกเดือน แล้วก็เริ่มคืนหนังสือ

ลองคิดดูแล้วกันว่า สถานการณ์สำหรับสนพ.เล็ก ๆ มันจะเลวร้ายแค่ไหน จากรายได้ที่เคยเป็นบวก เพราะขายหนังสือได้ ก็จะกลายเป็นติดลบทันที เพราะว่าจะมีตัวหักลบมาจากยอดหนังสือคืน แถมสภาพของหนังสือที่คืนมา ก็ย่อมไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง ที่สำคัญการที่พิมพ์เกินจำนวนที่เคยพิมพ์ สำหรับหนังสือที่ตลาดมีความเป็นพิเศษส่วนตัวสูง (นั่นคือ ไม่ใช่หนังสือที่ขายให้กับทุกเพศและทุกวัยได้) อาจจะหมายถึงจำนวนที่เหลือค้าง ไม่มีใครต้องการ (เพราะยอดคนซื้ออาจะมีแค่สองพัน ในขณะที่ยอดพิมพ์ปกเข้าไปแล้วเจ็ดพัน อันเนื่องจากมาจากการสร้างยอดปลอมโดยร้านหนังสือ)

แม็กซ์คำนวนความเสียหายไมไ่ด้หรอกนะคะ แต่คิดว่ามันน่าจะมากพอที่จะทำให้สนพ.เล็ก ๆ ล้มลงได้เลยล่ะ

มองในมุมกลับกัน ทางร้านหนังสือไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยในการบ่อนทำลายสนพ.เล็ก ๆเพียงแต่หนังสือมันขายไม่ออกจริง ๆ ทั้งที่ทางร้านก็พยายามขายอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าสนพ.เล็กเกิดหัวใสฟ้องคดีกลับบ้างล่ะ (เอาเป็นคดีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่อีลอร่าฟ้องบอร์เดอร์แล้วกัน แม้กม.ไทยและอเมริกาจะไม่เหมือนกัน แต่เราคิดว่า น่าจะพอเทียบเคียงกันได้) ร้านหนังสือจะยกข้อต่อสู้อะไรในการสู้คดี เพราะเขาไม่อาจอ้างได้แล้วล่ะ ว่าตัวเองไม่มีส่วนได้เสีย

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงสิ่งที่แม็กซ์คิดนะคะ ไม่มีหลักฐานอะไรว่า มันเกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้น แค่แม็กซ์คิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้ (และคงเป็นโชคดีที่เราไม่ได้ทำงานในวงการธุรกิจสิ่งพิมพ์)

No comments: