อันที่จริงเม็ก คาบอทมีกำหนดการแจกลายเซ็นต์ในเมืองไทยทั้งหมดสามงาน วันพุธที่ร้านเอเชีย บุ๊ค สาขาสยามพาราก้อน วันพฤหัสที่ร้านบีทูเอส สาขาห้างเซ็นทรัลเวิร์ล และวันศุกร์ที่ร้านคิโนะคูนิยะ สาขาสยามพาราก้อน
แม็กซ์ไปแค่งานเดียวค่ะในวันสุดท้าย เพราะปกติเราซื้อหนังสือที่ร้านนี้อยู่แล้ว ก็เลยเลือกที่จะไปร้านนี้ (อันที่จริงโกหกแหละค่ะ ความจริงคือไม่รู้ว่าเม็กจะไปที่ร้านอื่นด้วย กว่าจะรู้ข่าว ก็สายเกินกว่าจะจองคิวแล้วล่ะ)
งานเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง แต่ตามประสาคนเห่อพอสมควรอย่างเราก็เลยไปแต่ไกโห่เวลาบ่ายสองโมงครึ่งแน่ะ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนะคะที่เราได้เป็นคิวแรก
พื้นที่ในการจัดงานค่อนข้างเล็กไปหน่อยค่ะ แต่เราคิดว่าคงเป็นเพราะตอนออกแบบร้าน ไม่น่าจะมีใครคิดถึงงานแจกลายเซ็นต์อย่างนี้ของนักเขียน ก็เลยใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ไปกับการวางชั้นหนังสือ ทำให้ดูคับแคบพอสมควร
พอดีเราเกี่ยวเพื่อนไปพร้อมกันด้วนสองคน เวลาเกือบสองชั่วโมงที่รอการมาถึงของเม็กจึงไม่รู้สักว่ามันน่าเบื่อนัก (แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนของเราจะเบื่อเราไหมนะคะ)
ขอพูดถึงเม็ก คาบอทก่อนแล้วกัน เราสารภาพตรงนี้ (และเราก็ดันเผลอไปพูดต่อหน้าเม็กอีกต่างหาก) ว่าเราไม่ชอบงานในนามปากกาเม็กของเธอนักหรอกค่ะ ไม่ได้ต่อต้านอะไรเธอหรอกนะคะ นอกจากจะบอกว่า เรารู้สึกว่าหนังสือของเธอเด็กเกินไปสำหรับเราสักหน่อย เราไม่ชอบเรื่องราวของเด็กวัยทีนเอจนักหรอกค่ะ ก็เลยไม่ค่อยได้อ่านงานของเธอนัก
แต่ในนามปากกาแพทริเซีย คาบอท ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพการเขียนหนังสือของเธอ เป็นอีกเรื่องนึง แม็กซ์ชอบ ไม่สิ รักงานเขียนของเธอในนามปากกานี้ โดยเฉพาะเรื่อง Portrait of my heart ที่แม็กซ์ยังคิดว่าเป็นหนังสือที่มีพระเอกที่น่ารัก และน่ากระทืบมากที่สุดที่เราเคยอ่าน
ดังนั้นจึงเป็นเล่มนี้ที่แม็กซ์หยิบติดมือไปให้เธอเซ็นต์ชื่อ
เวลาสี่โมงครึ่ง (ค่อนข้างตรงเวลาค่ะ) เม็กก็มาปรากฎกาย พร้อมกับความเป็นกันเองอย่างมาก คิดเอาแล้วกันค่ะว่า เรานั่งรอการมาของเธอเป็นเวลานานมาก แต่พอได้เห็นความสดใส ความเป็นกันเอง เธอคว้าไมค์และเริ่มต้นทักทายทุกคน บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายและสนุกสนานขึ้น
แต่ก็คงเป็นประเพณีของไทยนะคะ (ที่มันดีนะ แม็กซ์คิด) ต้องมีการมอบดอกไม้และของที่ระลึกกันก่อน
คนขวามือคือใครไม่รู้ล่ะค่ะ (กะว่าจะถามแต่ไม่ได้ถาม) คิดว่าน่าจะเป็นคนของทางแพน แม็คมิลแลนซึ่งเป็นสปอนเซอร์จัดงานนะ ส่วนคนตรงกลางคือตัวแทนของทางร้าน (แม็กซ์เดาว่าน่าจะเป็นผู้จัดการของร้านสาขาพาราก้อนนะ) และคนทางขวามือสุดก็คือคุณเม็กเองนั่นแหละ
จากนั้นก็เป็นการสัมภาษณ์เม็กเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเจ้าหน้าที่ของทางแพนฯ ซึ่งแม็กซ์ชอบสำเนียงของเธอมากเลยล่ะ (ฟังดูน่ารักดี) แต่ไม่มีรูปมาฝาก เพราะรูปที่ถ่ายมา เธอดูไม่ค่อยสวยนัก (ไม่อยากลงน่ะค่ะ เราเองก็คงไม่ชอบให้คนเอารูปที่ดูไม่สวยเราเท่าไหรมาลง-- อธิบายเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่เธอไม่สวยนะคะ แต่แม็กซ์ฝีมือถ่ายห่วยเองแหละ)
แฟนหนังสือมากันไม่น้อยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ๆ ในวัยรุ่น และเด็ก ๆ เหล่านี้ก็แสนที่จะกล้านะคะ เพราะแย่งกันตั้งคำถามเม็กกันใหญ่ ส่วนแม็กซ์ก็นั่งเงียบ (เพราะไม่รู้จะถามอะไร)
หลังจากการสัมภาษณ์ก็ถึงเวลาแจกลายเซ็นต์ ซึ่งแม็กซ์เอาหนังสือเก่ากึ๋กเรื่อง Portrait of my heart ที่เขียนในนามปากกาแพทริเซีย คาบอทมาให้เธอเซ็นต์ ซึ่งทำให้เม็กแปลกใจถึงกับบอกแม็กซ์ว่า เราเป็นคนแรกที่เจอได้พบในเมืองไทยเลยนะคะที่อุตส่าห์ขุดกรุนิยายเก่ามาขนาด นี้
แม็กซ์ (ขนาดไม่ได้กรี๊ดเท่าไหรนะ) ก็ออกอาการพูดไม่ออก ขนาดที่ว่า ถ้าอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษมาฟังคงจะเก๊กซิมไม่น้อย เพราะที่สอนมามันหายไปหมด แต่ก็ยังอุตส่าห์โพล่งไปอีกนะว่าชอบงานแนวโรแมนซ์ (สำหรับผู้ใหญ่) ของเธอมากกว่าหนังสือเด็ก และเสียดายที่เธอไม่ได้เขียนอีกต่อไป
ผลก็คือเธอตอบว่า แม็กซ์คิดผิด ไม่รู้จริง เพราะเธอเพิ่งเขียนเรื่องแนวโรแมนซ์ย้อนยุคจบไป และเล่มนั้นมีชื่อเรื่องว่า Ransom my heart ซึ่งผู้ช่วยของเธอที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็เสริมว่า เล่มนั้นจะออกขายเดือนมกราคมปีหน้านี้แหละ (ข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากกลับมาค้นในเน็ต เล่มนี้ออกขายกะสนพ.เอว่อน เป็นเล่มไซดเทรด ที่เธอใช้นามปากกาเป็นการเขียนร่วมกันระหว่างเม็ค คาบอท และมีอา ซึ่งเป็นชื่อนางเอกของหนังสือชุดไดอารี่ของเจ้าหญิง
ทำเอาแม็กซ์กรี๊ดสนั่นลั่นมือ ดีใจออกนอกหน้า คาดว่าคงทำให้คนที่ต่อแถวอยู่ตามหลังคงหมั่นไส้กันไม่น้อย เพราะพูดมาก ช้าจนทำให้พวกเขาต้องรอคิวกันนาน แล้วยังทำเป็นสนิทชิดเชื้อกับนักเขียนอีกต่างหาก
แม็กซ์เผ่นกลับมาก่อนงานจะเลิกค่ะ เพราะกลัวว่าจะหารถกลับบ้านไม่ได้
โดยรวมเราชอบนะคะ ที่สำคัญไม่รู้ว่างานอย่างนี้จะมีขึ้นอีกไหมในเมืองไทย เพราะว่ากันแล้ว เม็กก็เป็นนักเขียนในระดับบิ๊กจริง ๆ ที่มาเยือนประเทศเรา (ที่แม็กซ์นึกออกนะคะ แต่คิดว่าในอดีตก็มีมากันหลายคน เพียงแต่อาจจะไม่ได้จัดงานแจกลายเซ็นต์เป็นล่ำเป็นสันอย่างงี้) และเธอก็ไม่ได้มาในฐานะของนักเขียนโรแมนซ์ แต่เป็นนักเขียนหนังสือเด็กที่ประสบความสำเร็จ
อยากรู้ค่ะว่าจะเป็นไปได้ไหม ถ้าจะมีนักเขียนโรแมนซ์ แบบโรแมนซ์จริง ๆ มาเยือนเมืองไทย หรือจะมีใครจัดได้บ้าง ประเด็นนี้ส่วนตัวเราคิดว่าเป็นไปได้นะคะ เพียงแต่จะมีใครคิดทำไหมเท่านั้นแหละ โดยเฉพาะตอนต้นปีหน้าจะมีงานหนังสือที่ออสเตรเลีย ซึ่งนักเขียนดัง ๆ หลายคนอย่างเชอริลีน, แมรี่ เจนิส ไปร่วมงาน หรือกระทั่งนักเขียนที่อยู่ใกล้บ้านเราอย่างแคธลีน ดังเต้ (ฟิลิปปินส์), สเตฟานี ลอว์เรนส์ (ออสเตรเลีย), หรือนลินี ซิงค์ (นิวซีแลนด์) เราคิดว่าถ้ามีใครทุ่มทุนเชิญเธอมา (ออกค่าตั๋วเครื่องบิน และที่พัก) พวกเธอน่าจะมานะคะ เพราะระยะเวลาในการเดินทางก็ไม่นานเท่าไหร
คิดว่ายังไงกันบ้างคะ
No comments:
Post a Comment