Tuesday, January 20, 2009

Freefall // JoAnn Ross

ถือโอกาสที่ช่วงนี้อารมณ์อยากอ่านเรื่องแนวโรแมนติกสืบสวนกำลังพุ่ง แม็กซ์เลยกวาดเอาหนังสือค้างเก่าข้ามปีหลายเล่มมาอ่าน โดยเฉพาะเล่มนี้ซึ่งเป็นงานของโจแอน รอสส์ซึ่งแม็กซ์ซื้องานของเธอดองมาหลายปีมากแล้ว (ดองติดต่อกันมา 6 เล่ม)

แต่ก่อนจะเริ่มรีวิว ถือโอกาสประชาสัมพันธ์ Reading List ของแม็กซ์หน่อยแล้วกันนะคะ เราตั้งใจว่าปีนี้จะเก็บสถิติการอ่านหนังสือให้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เพราะตั้งใจจะทำหลายอย่างเกี่ยวกับการอ่านหนังสือในปีนี้ แม็กซ์ก็เลยจัดทำ My Reading List ขึ้น ที่ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมาหรอกนะคะ ใน MRL จะบอกถึงวันที่ และชื่อหนังสือ เพื่อแสดงว่าในแต่ละวันแม็กซ์กำลังอ่านหนังสือเรื่องอะไรอยู่

คนที่สนใจอยากรู้ก็ตามไปอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ

กลับมาที่รีวิวประจำวัน

Freefall ของโจแอน รอสส์

ชื่อของโจแอน รอสส์อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยเท่าไหร แต่ก็มีงานของเธอที่เคยถูกนำมาแปลบ้างนะคะ แต่เป็นงานสมัยที่เธอยังเขียนเล่มเล็ก ๆ ให้กับฮาร์ลิควิน (และสนพ.เพลินในอดีตเคยนำเอามาแปล) สำหรับแม็กซ์แล้ว เราไม่ค่อยสนใจงานสมัยที่เธอเขียนแนว category เท่าไหรนักหรอก เราชอบเธอยุคที่เขียน Single Title (หรือเล่มหนา ๆ นะ)

แต่คำว่าชอบก็ไม่ใช่ว่า เราถึงกับเป็นแฟนหนังสือเบอร์หนึ่งของเธอหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ดองงานของเธอไว้หลายเล่มหรอก

หนังสือเล่มนี้โฆษณาว่าเป็นเล่มแรกในชุด High Risk ที่เราอ่านไปจนจบแล้วก็ยังไม่เก็ตว่ามันมีความเสี่ยงสูงยังไง แต่ถ้าให้เดานะคะ มันคงจะเป็นเรื่องของบรรดาอดีตทหารที่หันมาทำงานให้บริษัทที่ชื่อว่าฟินิกซ์ แต่ในเล่มนี้พระเอกของเรา็ยังไม่ได้ตกลงใจที่จะทำงานให้กับบริษัทนี้หรอกนะ คะ

และแม้จะบอกว่าเป็นเล่มแรกในชุด แต่ตัวละครหลายตัวในเล่มนี้ เคยออกมามีบทบาทในหนังสือเล่มก่อน ๆ ของโจแอนหลายตัว (แต่ไม่ใช่พระเอกและนางเอก) นิสัยของโจแอนก็คือ มักนำตัวละครมารีไซเคิลใช้บ่อย ซึ่งก็เป็นข้อดีตรงนี้ทำให้เราได้พบกับตัวละครหลายครั้ง ข้อเสียก็คือ บางครั้งคุณนึกไม่ออกว่าเคยพบพวกเขามาแล้วในเล่มไหนบ้าง

แซคคารี่ พระเอกของเราเป็นทหารหน่วยซีลที่ในการปฏิบัติภารกิจครั้งหนึ่งเกิดความผิด พลาดใหญ่หลวง จนขนาดเขาเกิดอาการโรคหลอนหลังผ่านสงคราม (PTSD) แซคซึ่งลาออกจากการเป็นซีล กลับมาบ้านเกิด และรับช่วงกิจการก่อสร้างจากผู้เป็นบิดา ลูกค้าคนนึงของเขา ซาบริน่าซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์หลอนพอ ๆ กับแซคก็กลับมาบ้านเกิดเช่นกัน หลังจากที่ย่าของเธอเสียชีวิต ซาบริน่ารับมรดกของตระกูลทั้งหมด รวมทั้งแผนการปรับปรุงบ้านที่ย่ากำลังทำ และนั่นทำให้เธอได้พบกับแซคอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน เกาะอันเป็นบ้านเกิดที่พวกเขาอาศัยอยู่ ก็ไม่ใช่เมืองแห่งความสงบสุขอีกต่อไปแล้ว เพราะมีฆาตกรอยู่ในกลุ่มพวกเขา ฆาตกรที่ฆ่าคนมานาน และตอนนี้ก็กำลังออกล่าเหยื่ออย่างไม่ใส่ใจต่อกฎหมาย

และดูเหมือนว่าซาบริน่าจะเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหมายตาไว้เสียด้วย

การเปิดเรื่องของหนังสือเล่มนี้น่ารำคาญที่สุด และนี่เป็นเหตุผลที่แม็กซ์อ่านไม่จบตอนที่หยิบมาอ่านครั้งแรก มันเป็นการเล่าเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดกับแซค และซาบริน่า ซึ่งไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย นอกจากทั้งสองกำลังเผชิญกับความโหดร้ายของสงคราม และการก่อการร้าย อ่านแล้วก็งง ปรับอารมณ์ไม่ค่อยจะถูก แต่หลังจากนั้น เรื่องก็เริ่มดีขึ้น ไม่ได้สนุกมากมายอะไรหรอกนะคะ แต่ก็น่าสนใจพอที่จะทำให้อ่านต่อได้จนจบ

ผู้ร้ายในเรื่องเลวเกินเหตุ แม็กซ์คิดว่าตัวเองเสียคนไปกับการอ่านผู้ร้ายที่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อมาเจอฆาตกรต่อเนื่องที่จับ และกักขังผู้หญิงโดยการทำให้เธอเป็นทาส ก่อนที่จะฆ่าพวกเธอทิ้ง โดยไม่มีแรงจูงใจอะไร (นอกจากบอกว่าฆาตกรเป็นโรคจิต) เราจึงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

อีกอย่างการผูกเรื่องฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอกทั้งสอง ซึ่งไม่ใช่คนที่มีหน้าที่ในการสืบสวนคดีเลย เพราะแซคก็ไม่ใช่ตำรวจ ซาบริน่าก็ดูจะไม่เกี่ยวอะไร ทำให้เรารู้สึกเหมือนการสืบสวน และโรแมนซ์มันแยกออกจากกันมากเกินไป และไม่ได้รวมเป็นเนื้อเดียวให้น่าติดตาม

ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างแซค และซาบริน่า ก็ไม่น่าสนใจ ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ไม่น่าสนใจ ทั้งคู่เคยปิ๊งกันสมัยเป็นวัยรุ่น แต่เพราะซาบริน่าเด็กเกินไป (อายุสิบหก) แซคจึงห้ามใจไว้ แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง เขาและเธอจึงเริ่มต้นความสัมพันธ์กันอย่างไม่มีอุปสรรค สิ่งที่แม็กซ์ไม่ชอบก็คือ การจัดการกับปัญหาทางจิตใจที่ทั้งแซค และซาบริน่าเผชิญอยู่ เรารู้สึกว่าคนแต่งตั้งประเด็นเรื่อง PTSD ของแซค เอาไว้ แต่ทำเหมือนมันเป็นโรคที่รักษาได้ง่าย ๆ และสำหรับคนที่อ่านเรื่อง Reckless ของรูธ วินด์ (ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมาก) มาแล้ว เรายอมรับไม่ได้ค่ะ กับวิธีที่โจแอนจัดการกับเรื่อง PTSD ของแซค

แต่มันก็ไม่ใช่ว่า เราไม่ชอบไปหมดทั้งเรื่องหรอกนะ ในฉากสุดท้าย (สปอยล์) ที่ซาบริน่าเผชิญหน้ากับพ่อของทหารที่เสียชีวิตจากภารกิจที่พังพินาศของแซค เราชอบฉากนี้มากค่ะ

แต่น่าเสียดายที่ความประทับใจแบบนี้มันมีไม่มากพอ

คะแนนที่ 53

No comments: