ก่อนจะเข้ารีวิว ขอแม็กซ์พูดถึงไอเดียที่เพิ่งเกิดหลังจากได้อ่านคอมเม้นต์ของคุณ What ever it is หน่อยแล้วกันนะคะ ไม่มีอะไรมากในคอมเม้นต์นั้นนอกจากคำถามว่า มีการแปลหนังสือเรื่อง The Mane Attraction ออกมารึยัง
ปกติบลอกของเราไม่ค่อยจะเกี่ยวกับโรแมนซ์แปลเท่าไหรนัก เพราะแม็กซ์อ่านฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลัก (โอเค อ่านแต่ภาษาอังกฤษ) แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่แคร์อุตสาหกรรมการแปลในเมืองไทยหรอกนะคะ เพียงแต่เรารู้สึกว่า ตัวเองไม่มีความสามารถในการกำหนดทิศทาง หรือให้คำแนะนำอะไรผู้ผลิตได้
คำถามที่ว่า เล่มนี้มีแปลเป็นไทยแล้วรึยังไม่ได้ถูกถามขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้หรอก นะคะ มีหลายคนถามมา และคำตอบเกือบทั้งหมดของเราก็คือ ยังไม่มี เพราะเราอ่านหนังสือที่เพิ่งออกขายเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นแม้สนพ.มีโครงการจะแปล ก็น่าจะยังผลิตไม่ทันเสร็จ แล้วยังอีกหลายเรื่องที่เราอ่านและรีวิวอยู่ในข่ายที่ไม่น่าจะแปลออกมาแล้ว มีคนซื้อ หรือล่อแหลมต่อศีลธรรมอันดีงามของเหล่าพี่บานเขา (มีคนถามมาว่าพี่บานนี่คือใคร ก็คงบอกว่าเป็นกลุ่มคนที่วันวันไม่เคยทำอะไร ประชาชนไปแจ้งความก็ตบโต๊ะแล้วก็ข่มขู่ด้วยความรู้ทางกฎหมายแบบหางอึ่ง จากนั้นก็ใส่เกราะเอาแก๊สน้ำตาหรือระเบิดไปไล่ยิงประชาชน หาคนผิดมาลงโทษไม่เคยได้ แต่ชอบนักที่จะไปไล่จับคนทำหนังสือโรแมนซ์ตามงานสัปดาห์หนังสือ เพื่อให้ทีวีมาถ่ายไปออกข่าวว่ามีผลงาน คงพอนึกกันออกนะคะว่าเราพูดถึงใคร)
วันนี้เราเลยถือว่าเป็นโอกาสฤกษ์ดีที่จะตั้งคำถามคนที่อ่านบลอกของ แม็กซ์ว่า ถ้าให้เลือกหนังสือหนึ่งเล่มที่คุณอยากเห็นให้มีการแปลออกมามากที่สุด หนังสือเล่มนั้นคือเรื่องอะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่แม็กซ์รีวิวไปหรอกนะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเล่มที่แม็กซ์ชอบด้วย ถ้ามีคนตอบคำถามมากพอ แม็กซ์จะลองดูว่า เราจะใช้วิธีล็อบบี้จากอินเตอร์เน็ตนี่สำเร็จไหม
โอเคค่ะ กลับมาที่รีวิวของวันนี้กัน
แม็กซ์เป็นคนที่อ่านงานของอลิซาเบ็ธ บอยล์มาตั้งแต่เล่มแรก (Brazen Angel) ที่เราไม่ชอบอย่างรุนแรง แต่ก็หัวรั้นตามอ่านเล่มต่อ ๆ มาของเธอ ความรู้สึกไม่ชอบอย่างรุนแรงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เรายอมรับงานเขียนของเธอได้มากขึ้นเรื่อย จนมาถึงตอนนี้เธอกลายเป็นนักเขียนที่อยู่ข่ายที่แม็กซ์ต้องซื้ออ่าน แม้จะยังไม่มีเล่มไหนของเธอที่โดนใจแม็กซ์แบบเต็ม ๆ แต่ก็ไม่ค่อยผิดหวัง
แต่ในช่วงสองสามปีหลังมาเนี่ย แม็กซ์หยุดอ่านงานของเธอไปซะเฉย ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนหนึ่งคงเพราะใจของแม็กซ์รอคอยแต่เรื่องราวของออร์แลนโด้ซึ่งเป็นหนึ่งใน ตัวละครในชุดเดนเวอร์ ตัวละครที่ตายไปแล้ว แต่คนแต่งยังให้ความหวังว่า สักวันเขาจะกลับมา (ซึ่งเราเดาว่าคงกลับมาในชุดมาร์โลว์ซึ่งเป็นชุดที่แทรกพารานอมอลเข้าไปด้วย หน่อย) เราก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นอยากอ่านงานของเธอนัก
และนี่เป็นสาเหตุที่ดองเรื่องนี้ข้ามปีค่ะ
Love Letters from a Duke ของอลิซาเบ็ธ บอยล์
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุด The Bachelor Chronicles แต่ถ้าไม่เดินดูหนังสือในชุดนี้ตามชั้นก็อาจจะงงนิดหน่อยนะคะ เพราะว่าเล่มแรกในชุด (Something about Emmaline) ตอนที่ออกขายยังไม่ได้ใช้ชื่อชุดนี้เลย นั่นเฟลิซิตี้ซึ่งเป็นผู้จัดทำ The Bachelor Chronicles ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมประวัติชายโสดในวงสังคมชั้นสูงยังไม่ได้โผล่ออกมา มีบทบาทในชุด (เธอโผล่มาในเล่มสองของชุดเรื่อง This Rake of Mine)
แม็กซ์คิดว่าไม่จำเป็นต้องอ่านสองเล่มแรกในชุดเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวใน เล่มนี้หรอกนะคะ แม้ว่าจะมีตัวละครจากเล่มก่อนหน้าโผล่กันออกมาเดินกันสลอน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สับสนแต่อย่างใด จะมีประเด็นนิดนึงก็คงเป็นเรื่องราวของตัวละครรองอย่างฟิพเพ่น และแดช (ซึ่งจะเป็นพระนางในเรื่องของตัวเองที่จะออกขายเดือนพฤษภาคมปีหน้า) เท่านั้นแหละที่มีอดีตย้อนไปไกลกันหน่อย แต่สองคนนี่ก็ไม่ใช่โฟกัสของเรื่อง
เฟลิซิตี้ แลงค์ลีย์มีความฝันมาตลอดชีวิตว่าจะต้องแต่งงานกับดยุค และในวัยสิบหกปีเธอก็เลือกมาร์ควิสแห่งสแตนดอน ผู้ซึ่งเป็นทายาทของดยุคแห่งโฮลิงเดรคว่าเป็นคนที่เหมาะสม เฟลิซิตี้เขียนจดหมายไปหาเขาบอกความประสงค์และต้องการทำความรู้จัก จดหมายของเธอไปไม่ถึงสแตนดอนซึ่งในเวลานั้นเป็นนายทหารและออกรบ แต่เป็นปู่ของเขา หรือตัวโฮลิงเดรคเองที่ได้รับจดหมายของเธอ และสิ่งที่เฟลิซิตี้เขียนก็น่าสนใจพอที่จะทำให้ปู่ของพระเอกเราตอบจดหมายเธอ ทั้งสองติดต่อกันเป็นเวลาสี่ปี โดยเฟลิซิตี้คิดมาตลอดว่าตัวเองกำลังคุยกับสแตนดอน จนกระทั่งโฮลิงเดรคตายลง และทายาทของเขากลายเป็นดยุคคนต่อไป
สำหรับออเบรย์ สเตอร์ลิ่ง หรือที่รู้จักกันในนามแทชเชอร์ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันได้สืบทอดบรรดาศักดิ์โฮลิงเดรค เขาเป็นลูกชายคนที่สามของลูกชายคนที่สามของดยุคแห่งโฮลิงเดรคที่เพิ่งตายลง แต่ก็กลับเป็นเขาที่เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลสเตอร์ลิ่งที่เหลือ อยู่
เมื่อแทชเชอร์กลับมาจาสงครามเพื่อสืบทอดบรรดาศักดิ์จากปู่ที่เพิ่งเสีย ชีวิต เขาพบว่าปู่ของตัวเองติดต่อกับหญิงสาวในนามของตัวเขาเอง พร้อมทั้ง (เกือบจะ) หมั้นหมายเขากับเธอเสียแล้ว นั่นทำให้แทชเชอร์เดินทางไปพบกับเฟลิซิตี้เพื่อเคลียร์ความเข้าใจผิดอันนี้ สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ เฟลิซิตี้ซึ่งกำลังมีปัญหาในชีวิตของตัวเองเช่นกัน พ่อของเธอหายตัวไปอย่างลึกลับ ทรัสตีที่ดูแลเงินของพวกเธอไม่ยอมให้เธอและน้องสาว รวมทั้งญาติสาวอีกคนเข้ามาออกงานในลอนดอน แต่เฟลิซิตี้ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เธอรู้ว่าเธอต้องมารอพบดยุคของเธอในลอนดอน และทำทุกอย่างเพื่อเข้าเมืองมา
ดังนั้นเมื่อแรกพบกัน แทชเชอร์ที่แต่งตัวไม่ค่อยจะสมฐานะของดยุคนัก จึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนรับใช้ที่ถูกส่งมาจากเอเย่นต์หางาน และแทชเชอร์ก็นึกสนุกพอที่จะรับบทตามความเข้าใจผิด นั่นเพราะเขาอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฟลิซิตี้
พล็อตเรื่องเล่มนี้ก็คือการเข้าใจผิด เฟลิซิตี้ที่หลงรักคนรับใช้ของตัวเองเข้าทุกวัน ต้องเลือกระหว่างดยุคผู้สูงศักดิ์คนที่เธอฝันหามาตลอดชีวิต กับคนรับใช้หล่อเหล่าที่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเธอ เล่มนี้เป็นหนังสืออ่านเบา ๆ แบบไม่ต้องคิดมาก
นั่นก็เพราะคิดมากไม่ได้หรอกค่ะ มีช่องโหว่งเต็มไปหมดในพล็อต ตั้งแต่เหตุผลว่าทำไมเฟลิซิตี้ถึงได้มีอาการคลั่งดยุคขนาดนั้น (ตั้งแต่ในเรื่อง This Rake of Mine แล้วล่ะที่เธอเป็นอย่างนี้) เราพอสรุปได้จากข้อมูลที่ไม่ชัดเจนนักนะคะถึงเหตุผล แต่มันไม่ดีพอน่ะค่ะ แล้วยังเรื่องทุกคนดูเหมือนจะรู้กันหมดว่าแทชเชอร์แล้วแท้จริงคือโฮลิงเดรค แต่เฟลิซิตี้เป็นคนเดียวที่ไม่เก็ตเสียที
เรื่องราวของตัวละครรองอย่างญาติของเฟลิซิตี้ที่ชื่อว่าฟิพเพ่น และกัปตันแดชโจรสลัดหนุ่มชาวอเมริกันก็ไม่เห็นจะน่าสนใจ ว่ากันว่าคู่นี้เป็นที่เรียกร้องของแฟนหนังสือของอลิซาเบ็ธกันมากนะคะ (สองคนนี้เริ่มเจอกันตั้งแต่เล่มสองในชุด แล้วเรื่องราวก็ต่อมาถึงเล่มนี้อีก ก่อนจะมีเรื่องของตัวเองในเล่มห้าในชุด) แต่แม็กซ์ไม่ชอบสองคนนี้อย่างรุนแรงทำให้รู้สึกว่าคนแต่งเสียเวลามาก ๆ ที่มาเล่าเรื่องของคู่นี้ ไม่เห็นจะน่าสนใจ และก็น่ารำคาญกันทั้งคู่เลย (โปรดสังเกตนะคะ แม็กซ์ไม่ค่อยใช้คำว่าน่ารำคาญ ดังนั้นถ้าแม็กซ์ใช้ก็แสดงว่ามันต้องน่ารำคาญจริง)
โดยรวมเล่มนี้อ่านได้ค่ะ ไม่เลวร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่หนังสือที่ดีที่สุดที่คุณจะได้อ่านในชีวิตนี้หรอก นะ เรื่องราวความเข้าใจผิด และหญิงสาวที่ต้องเลือกระหว่างรักแท้ และความสูงศักดิ์ (ที่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็ได้ทั้งสองอย่างมาครอบครอง)
คะแนนที่ 60
No comments:
Post a Comment