แม็กซ์อ่านรีวิวของหนังสือชุดนี้จากเว็บไซด์ The Good, the bad, and the unread และรู้สึกว่าน่าสนใจดี พอดีเช็คกับร้านหนังสือเจ้าประจำที่ซื้อกันอยู่ ก็เจอว่า ทางร้านมีหนังสือสองเล่มแรกอยู่ในร้านอยู่ เราก็เลยสั่งซื้อเพิ่มแค่เล่มสามเล่มเดียว
พออ่านจบก็ได้ข้อสรุปที่เราคิดอยู่มานานว่า หนังสือซิลลูเอ็ต ดีไซร์มีความเหมือนกับฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นอย่างมาก ในแง่ความเน่า และการบีบหัวใจคนอ่านด้วยการกระทำของพระเอกที่มีต่อนางเอก แต่เรายกให้ดีไซร์เหนือกว่าค่ะ เพราะว่านางเอกในเรื่องมีกระดูกสันหลังพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องชุดนี้ที่แม้พระเอกจะมีอารมณ์โง่บ้างในบางโอกาส แต่ก็มีช่วงเวลาที่ฉลาดอยู่ไม่น้อย
พล็อตเบื้องหลังของชุด
หนังสือชุดนี้เล่าเรื่องราวของเหล่าบรรดาเจ้าชายจากประเทศยูดาร์ ซึ่งเ็ป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน ดูชื่อตัวละครแล้วก็ประมาณเหล่าชีคมาเจอกัน แต่ไม่มีการเรียกว่าชีคหรอกนะคะ กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศนี้มาเป็นเวลานานกำลังป่วย และเขาไม่มีทายาท จึงทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะยากลำบาก เนื่องจากแคว้นใกล้เคียงซึ่งเป็นชนเผ่าต่าง ๆ ที่มารวมกันเป็นประเทศ แล้วยกให้ยูดาร์เป็นผู้นำ เรียกร้องโอกาสในการขึ้นเป็นผู้ปกครองบ้าง แคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองเสนอทางออกเพื่อสันติภาพโดยการให้เจ้าชายรัชทายาท แต่งงานกับลูกสาวคนโตของแคว้นตัวเอง ปัญหาก็คือ เจ้าชายแต่ละคนล้วนไม่มีใครรักประเทศมากกว่าผู้หญิง
เล่มแรก The Desert Lord's Baby
เล่มนี้เล่าเรื่องของเจ้าชายฟารูค ทายาทองค์โตแห่งราชบัลลังค์ เขารู้ว่าตนเองมีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ความเป็นชายชาตรี ดังนั้้นตามคำสั่งของกษัตริย์ผู้เป็นลุง หากเขาและญาติผู้พี่ (ซึ่งมีสิทธิในบัลลังค์เช่นกัน) มีลูกได้ก่อนกัน เขาคนนั้นก็จะมีสิทธิเป็นรัชทายาท และสำหรับฟารูคเขาได้เปรียบ เพราะโดยที่เขาไม่รู้ตัว อดีตหญิงคนรักได้ตั้งท้องและคลอดลูกของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ก็เหมือนนิยายเล่มเล็กที่ต้องรักษาความเน่าให้ครบถ้วน พล็อตเรื่องจึงเกิดจากความเข้าใจผิดของทั้งสอง เริ่มต้นแต่สมัยที่ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน คาร์เมนคิดว่าตนเองเป็นเพียงของเล่นชั่วข้ามคืนของฟารูคเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเธอดันเกิดท้องขึ้นมา คาร์เมนจึงไม่ต้องเรียกร้องอะไรจากเขา เพราะไม่ต้องการให้เขาคิดว่าเธอตั้งใจท้องเพื่อเอาลูกเป็นข้อต่อรอง ดังนั้นเธอจึงหาเหตุเลิกกับเขา โดยทำเหมือนตัวเองเืบื่อหน่ายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแล้ว
เกือบสองปีผ่านไป ฟารูคกลับมาหาคาร์เมนอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูก แต่ข่าวที่ได้รับก็มาพร้อมกับคำโกหก เพราะญาติผู้พี่ (ที่เป็นคู่แข่ง) หลอกเขาว่า ตนเองเป็นคนส่งคาร์เมนไปยั่วยวนฟารูคเอง และแท้จริงแล้วคาร์เมนก็เป็นชู้รักของเขาต่างหาก
และทั้งที่ฟารูคก็พอจะรู้แล้วนะว่าญาติผู้พี่มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน เป็นหลัก พระเอกของเราก็แสดงความโง่โดยการเชื่ออย่างมั่นใจว่า หญิงคนรักทรยศ แต่เขาเป็นเจ้าแห่งทะเลทรายที่ยอมไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงบังคับคาร์เมนและลูกให้กับยูดาร์ไปพร้อมกับเขา
พล็อตของเล่มนี้เข้าแนวเรื่องของฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นมากค่ะ แตกต่างกันตรงที่นางเอกเคยเป็นแม่ม่ายมาก่อน และพระเอกมีเซลล์สมองเยอะกว่าเท่านั้นเอง (ที่พูดอย่างนี้เพราะฟารูคค้นพบความจริงเกี่ยวกับนางเอกได้โดยที่ไม่ต้องมี ใครมาเฉลย เขาพบกับความจริงโดยพิจารณาจากนิสัยของนางเอกเพียงอย่างเดียวว่า ยังไงเธอก็คงทรยศเขาไม่ได้แน่)
คะแนนที่ 53
เล่มที่สอง The Desert Lord's Bride
เชแฮป เป็นน้องชายคนรอง คนที่รับภาระต่อจากฟารูคที่สละสิทธิ์ในราชบัลลังค์ ดังนั้นจึงเป็นเขาที่มีหน้าที่ต้องแต่งงานกับฟาราห์ โบมอนค์ลูกสาวนอกกฎหมายของเจ้าผู้ครองแคว้นข้างเคียงยูดาร์ เพื่อสมานฉันท์ประเทศและหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมือง แต่เชแฮมไม่พอใจหญิงสาวที่ถูกเลือกให้เขามากนัก เพราะฟาราห์ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกตะวันตกมาตลอดมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป เธอเป็นหญิงสาวชื่อเสียงเสีย เป็นเมียน้อยของผู้ชายที่เธอทำงานให้ และเธอยังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขาึซึ่งเป็นถึงเจ้าชาย
เขาจึงมีแผนเด็ดด้วยการแอบไปทำความรู้จักเธอในงานเลี้ยงภายใต้ชื่อปลอม เขาจะหลอกให้เธอรัก หลอกให้หลง จากนั้นก็จะแต่งงานกับเธอโดยเร็วเพื่อสันติภาพในภูมิภาค สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดก็คือ เขาจะตกหลุมรักเธอ และแน่นอนว่า ฟาราห์ย่อมไม่ใช่หญิงสาวอย่างที่ใครเข้าใจว่าเป็นกัน
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงการรักแรกพบ ที่เมื่อฟาร่าห์ได้เจอกับเชแฮปเธอก็ละทิ้งทุกอย่างที่เธอรู้จัก และติดตามเขากลับไปยังประเทศของเขา จากการรู้จักกันเพียงคืนเดียว มันดูเหลือเชื่อไปหน่อยนะ โดยเฉพาะเมื่อปูเรื่องมาว่าฟาราห์เป็นนักธุรกิจผู้เก่งกาจ และแสนฉลาด การที่อยู่ดี ๆ เจ้าหล่อนก็ยอมตามผู้ชายที่เพิ่งเจอกันในงานเลี้ยงขึ้นเครื่องบินตามเขากลับ ไปยังประเทศที่อยู่ในดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการลักพาตัวผู้หญิงไปขาย มันไม่น่าเชื่อ
และถ้าคุณคิดว่าดาวพระศุกร์เน่าแล้ว คุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไงนะคะ แต่คนแต่งเก่งมากในแง่ของการนำเอาพล็อตพวกนี้มารวมกันได้ อ่านแล้วมันไม่น่าเชื่อหรอกนะ แต่นิยายเล่มเล็กอย่างนี้ก็ไม่ได้อ่านเพื่อประเทืองปัญญาอะไรอยู่แล้วนี่
คะแนนที่ 57
เล่มสาม The Desert King
ตามคำวิจารณ์ที่อ่านจาก TGTBTU เขาบอกว่า งานของโอลิเวีย เกทส์มีการพัฒนาจากเล่มแรกไปสู่เล่มสุดท้ายมาก ซึ่งเราเห็นตามนั้นเลยค่ะ เพราะเราคิดว่าเล่มสามเรื่องราวของคาเมล น้องชายคนเล็กเป็นเล่มที่ดีที่สุดในชุดนี้เลยล่ะ
เพราะพี่ชายทั้งสองคนล้วนสละสิทธิแห่งราชบัลลังค์ หน้าที่และภาระจึงตกมาถึงคาเมล และนั่นหมายความว่าเขาต้องแต่งงานกับหญิงสาวที่เคยทรยศเขาอย่างเจ็บปวดเมื่อ เจ็ดปีก่อน
เพียงชั่วข้ามคืน อไลยาห์ พบว่าเธอไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าหญิงที่เป็นหลานสาวของกษัตริย์หากแต่เป็นลูกสาว ของกษัตริย์ คนที่กุมชะตาของบ้านเมืองอยู่ในมือ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ทำร้ายเธออย่างเจ็บปวดที่สุด การจากไปของคาเมลเมื่อเจ็ดปีก่อนทำให้เธอเกือบตาย และกว่าที่อไลยาห์จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ได้ มันก็ต้องใช้เวลาเกือบสองปี เธอไม่ต้องการแต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะความเป็นนางเอกที่ต้องห่วงบ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใด เธอเลือกที่จะทำให้สิ่งที่ถูกต้อง แม้จะหมายถึงการทำลายชีวิตของเธอเองก็ตาม
ครึ่งเล่มแรกคงเป็นที่ถูกใจในของบรรดานักอ่านที่ชอบเรื่องที่พระเอกทำร้าย จิตใจนางเอกค่ะ เพราะคาเมลทั้งทำ ทั้งพูด และแสดงออกอย่างชัดเจนในการทำให้อไลย่าห์เจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้เล่มนี้น่าอ่านขึ้นมาสำหรับแม็กซ์ก็คงเพราะอไลยาห์ก็ไม่ใช่ ตุ๊กตาไร้สมองที่ทนให้คาเมลทำอยู่ฝ่ายเดียว เธอโต้กลับ และบางครั้งก็ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่า อาจจะว่าแม็กซ์โรคจิตก็ได้นะ แต่เราไม่ชอบให้พระเอกเป็นฝ่ายทำอยู่ทางเดียว
ในแง่อารมณ์ของเรื่องแล้ว เราว่าเรื่องนี้ลึกซึ้งที่สุด ความสัมพันธ์ในอดีตยังคงส่งผลต่อปัจจุบันของทั้งอไลยาห์และคาเมล มันยังกำหนดการกระทำของพวกเขา และเป็นกุญแจไปสู่ความสุขที่มาถึง
เช่นเดียวกันกับสองเล่มแรก องค์ประกอบของความน้ำเน่าสไตล์ฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นยังมีครบถ้วน แต่แม็กซ์ชอบนางเอกของโอลิเวีย เกทส์มากเลยแหละ (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับบรรดานางเอกอ่อนแคลเซียมของเพรสเซ่น) พวกเธอเจ็บปวด ร้องไห้ ช้ำใจ แต่เธอลุกขึ้นและเผชิญหน้ากับพระเอก และเิดินจากเขามา เมื่อเขาทำเกินไป
คะแนนที่ 63
ป.ล. ลืมชมไปอย่างนึงค่ะ หนังสือชุดนี้เป็นเรื่องที่เกิดในดินแดนแถบตะวันออกกลางที่ให้กลิ่นความเป็น ตะวันออกกลางที่ชัดเจนมาก ไม่ใช่ฝรั่งที่แสร้งใช้ชื่อแบบตะวันออกกลาง ทั้งประเพณี คำพูด วัฒนธรรมหลายอย่างคล้ายคลึงกับสังคมตะวันออกกลางที่เป็นกันอยู่ เราไม่ค่อยเห็นโรแมนซ์ที่ให้ความชัดเจนในเรื่องวัฒนธรรมของเรื่องที่เกิดใน ดินแดนแถบนี้ได้ชัดเท่าเรื่องชุดนี้ค่ะ
No comments:
Post a Comment