Dark Stranger by
Susan Sizemore My rating:
4 of 5 stars หนังสือเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับแม็กซ์ค่ะ เพราะเราไม่คิดว่า ตัวเองจะชอบมากขนาดนี้ เนื่องจากเรารู้สึกว่า ตัวเองเล่มเนื่อยมาก ๆ แล้วกับหนังสือในชุดไพร์มของซูซาน ไซซ์มอร์เสียแล้ว แต่คนแต่งก็เก่งพอค่ะที่พลิกเรื่องเล็กน้อย แล้วเอาพล็อตเรื่องที่เหมือนเหล้าเก่า มาใส่ขวดใหม่ แล้วทำให้มันดูใสปิ๊งขึ้นมาได้ซะงั้น
สุดท้ายเล่มนี้เลยกลายเป็นหนังสือที่เราชอบมากเล่มนึงเลยล่ะ
Dark Stranger ของซูซาน ไซซ์มอร์
หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุดแวมไพร์ของซูซาน ไซซ์มอร์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญก็คือ แทนที่จะต่อเนื่องกับหลายเล่มที่ออกมาก่อนหน้า ซูซานได้เอาคอนเซ็ปส์แวมไพร์ของเธอมาปรับ แล้วเขียนเรื่องให้เกิดขึ้นในยุคอนาคต จากนั้นก็ทำให้หนังสือเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในนิยายที่ตัวละครในชุดแวมไพร์ ของเธออ่านกัน (งงไหมคะเนี่ย) ดังนั้นโดยสรุปก็คือ เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในโลกของแวมไพร์ แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกอนาคต
ในโลกยุคอนาคตที่การเดินทางระหว่างดวงดาวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และมนุษย์ได้ขยายตั้งรกรากไปจนทั่วจักรวาล แต่อย่างไรก็ตามสงครามก็ยังคงมีอยู่ มันเป็นการเป็นการต่อสู้กันระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีผู้นำอยู่ที่อาณาจักรไบแซนท์ และฮาจิม ซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้มีโครงสร้างดีเอ็นเอคล้ายคลึงกับมนุษย์
หมวดโซอี้ แพพพาสเป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูตของอาณาจักรไบแซนท์ ซึ่งถูกจับขณะปฏิบัติภารกิจการเจรจาสันติภาพ เธอเป็นหนึ่งในมนุษย์หลายร้อยคนที่ถูกจับ และส่งไปขังในคุกที่ตั้งอยู่บนดาวอันห่างไกล ซึ่งที่นั่นเองเธอได้พบกับสังคมใหม่ ที่ซึ่งต้องปรับตัว
โครงสร้างคุกของฮาจิมนั้นจะปล่อยให้นักโทษใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ ปล่อยให้จัดการบริหารกันเอง เพียงแต่ไม่อาจหลบหนีออกไปจากที่คุมขังได้ นักโทษที่มียศสูงสุดในคุกแห่งนั้นคือ นายพลแมทเธียส เรเวน
แมทเธียส หรือด็อก (เพราะเขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในคุกแห่งนั้น) เป็นผู้ที่กุมชะตากรรมของนักโทษมนุษย์ทั้งหมดเอาไว้ในกำมือ เขาประเมินสถานการณ์และรู้ดีว่า โอกาสของการหนีออกไปจากคุกแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยง ดังนั้นเขาจึงเตือนตั้งแต่วันแรกให้นักโทษทุกคนต้องไม่พยายามหลบหนี แม้ความจริงก็คือด็อกสามารถออกไปจากคุกแห่งนี้เมื่อใดก็ได้ แต่ด้วยความรับผิดชอบในชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชา ด็อกตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น
โซอี้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพูดหลายภาษา ได้รับโอกาสจากด๊อกให้เป็นผู้ประสานงานระหว่างนักโทษที่เป็นมนุษย์ กับสิ่งมีชีวิตอื่นที่ถูกขังอยู่ในคุกแห่งเดียวกัน และนั่นเริ่มทำให้เธอมีโอกาสใกล้ชิดผู้นำที่ดูแข็งกร้าว แต่เป็นธรรมอย่างยิ่งคนนี้ โซอี้เรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมใหม่ รู้จักเพื่อนทหารที่ติดคุกอยู่ด้วยกัน เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับทุกคน แต่กระนั้นเธอก็ยังคงเก็บงำความลับสำคัญเอาไว้
นั้่นเพราะโซอี้ไม่ใช่เป็นแค่หมวดโซอี้ แพพพาส เจ้าหน้าที่การทูตทั่วไป เธอคือรัชทายาทแห่งบัลลังค์ของอาณาจักรไบแซนท์อีกด้วย ซึ่งเธอรู้ดีว่า หากความลับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทุกคนในคุกแห่งนี้ก็จะอยู่ในฐานะลำบาก เพราะเธอล่วงรู้ความลับสำคัญของอาณาจักรไปมาก ความลับที่ไม่อาจแพ่งพรายไปได้
และในขณะเดียวกัน ด็อกเองก็มีความลับเช่นกัน เพราะเขาไม่ใช่แค่หมอทหาร (สปอยล์)
เขาคือแวมไพร์ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับรองสิทธิพลเมืองเช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดา แต่กระนั้นก็ยังคงมีความระแวง และรังเกียจในหมู่มนุษย์ที่ไม่ไว้วางใจกลุ่มคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ด็อกตัดสินใจเก็บความพิเศษอันนี้ของตัวเอง ไว้เป็นความลับจากคนส่วนใหญ่ แต่เขาก็เปิดเผยมันออกมา เพื่อรักษาชีวิตโซอี้ หญิงสาวที่เขาเริ่มต้นยอมรับความตัวเองแล้วว่า มีความรู้สึกบางอย่างให้
แต่ความรักระหว่างเจ้าหญิง และนายทหารที่แม้จะเป็นถึงนายพลแต่ก็เป็นแค่คนธรรมดา (และเจ้าความลับของด็อกนั่นอีก) มันช่างดูเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ด็อกจะไม่ปกป้องโซอี้ ซึ่งรวมทั้งการทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเธอออกไปจากคุกแห่งนี้
ในแง่นึงหนังสือเล่มนี้ก็คือพล็อตแนวดอกฟ้ากับหมาวัดค่ะ มันอาจจะไม่ชัดแจ้งแบบนั้น แต่ด้วยฐานะของโซอี้ ทำให้เราแปลความเช่นกันก็ว่าได้ ในขณะเดียวกัน ฐานของด็อกในความเป็นผู้นำของกลุ่มนักโทษทหารทั้งหมด ทำให้สถานะของเขาโดดเด่นขึ้นมา และแน่นอนว่า ความเท่ห์ของพระเอกก็เป็นอะไรที่ทำให้แม็กซ์กรี๊ดไปหลายรอบ
เราชอบความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างโซอี้และด็อกค่ะ มันเริ่มต้นอย่างมีที่มาที่ไป และดำเนินไปอย่างน่าเชื่อ เรื่องราวไม่เร่งรีบที่จะยัดเยียดด็อกและโซอี้ให้กันและกัน ทั้งคู่มีเวลาทำความรู้จัก และเมื่อเป็นที่แน่ชัดว่า มันคือความรัก ทำให้การตัดสินใจในการเอาชนะอุปสรรคของความแตกต่างกันทางฐานะจึงดูเป็นไปได้ และน่าเชื่อมาก ๆ
ในแง่คาแร็คเตอร์ ก่อนที่เราจะเริ่มอ่านเล่มนี้ เรารู้สึกถึงความ “เกินไป” ในตัวพระเอกนะคะ เพราะเป็นทั้งนายพล เป็นหมอ (สปอยล์)
แถมยังเป็นแวมไพร์อีกต่างหาก ทำให้รู้สึกว่า อะไรจะมากขนาดนั้น จนกระทั่งได้อ่านเรื่องค่ะ เรารู้สึกว่า คนแต่งสามารถเขียนออกมาได้อย่างลงตัว เธอปล่อยข้อมูลแต่ละอย่างเกี่ยวกับด็อกจนเราไม่รู้สึกว่า มันมากเกินไป หรือเก่งเกินมนุษย์จนน่าหมั่นไส้ และทำให้เขากลายเป็นหัวใจหลักของเรื่อง เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ที่สามารถรักษากำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ฮึกเหิม และมีพลังในการสู้ต่อไป แม้จะถูกคุมขังชนิดที่ไม่เห็นโอกาสที่จะได้รับอิสรภาพเลย
สำหรับโซอี้ เธอเปรียบเสมือนคนอ่าน ที่ถูกแนะนำเข้าไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก เธอและคนอ่านค่อยเรียนรู้ชีวิต และกฏเกณฑ์ในคุกทีละน้อย ปรับตัว จนในทีสุดโซอี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของทุกคน การเพิ่มความสำคัญทีละน้อยของโซอี้เข้าไปในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในคุก ทำให้ในตอนท้ายที่สุดคนอ่านจึงเข้าใจว่า ทำไมนักโทษทุกคนจึงยินดีที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยโซอี้ออกจากคุก ไม่ใช่เพราะเธอคือเจ้าหญิงรัชทายาท แต่เพราะเธอคือโซอี้ ส่วนหนึ่งของพวกเขานั่นเอง
จุดเดียวที่เราคิดว่าเป็นข้อด้อยของหนังสือเล่มนี้ก็คือช่วงต้น เรื่อง ที่ไม่ได้บอกเล่ากฎเกณฑ์ของการปกครองคุกในยุคอนาคตให้ชัดเจน จนเรารู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะเอาความรู้เกี่ยวกับการปกครองคุกในยุคนี้มาปรับคิด ทำให้เราค่อนข้างงงกับฐานะของด๊อกในตอนต้นเรื่อง สงสัยว่าเขาเป็นฝ่ายไหนกันแน่ เพราะด๊อกทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มนักโทษมนุษย์ ทำให้เขามีหน้าที่ต้องติดต่อกับกลุ่มผู้คุม ซึ่งในตอนแรกเราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ จึงงงไปเล็กน้อย แต่เมื่อภายหลังมีการอธิบายรายละเอียดตรงนี้ จึงทำให้เริ่มเข้าใจมากขึ้น
โดยรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้สนุกอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน และทำให้แม็กซ์อยากอ่านเรื่องราวต่อไปมากเลยค่ะ (แต่ดูเหมือนจะต้องผิดหวัง เพราะข่าวว่าซูซานจะกลับไปเขียนชุดแวมไพร์ในยุคปัจจุบันต่อ)
คะแนนที่ 83
View all my reviews