BOMB: A Day in the Life of Spencer Shrike by J.A. Huss
My rating: 5 of 5 stars
ต้องบอกว่า เราอ่านเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญจริง ๆ ไม่ได้คิดจะอ่านเลยนะคะ แต่ตอนกดเปิดอ่านดันพลาดไปเปิดเล่มนี้ขึ้นมา พอเปิดแล้วก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ก็ลองอ่านดูซะหน่อย ปรากฎว่า อ่านไปจบบทแรก อาการหนักเลยค่ะ อาการหนักเพราะว่า เรื่องราวช่างน่าสนใจ และยังเป็นแนวแบบที่เราชอบมาก ๆ (ซึ่งเราจะเขียนถึงต่อไป) และความชอบก็มีมากพอขนาดทำให้เราหยุดอ่าน
ประหลาดไหมคะ
เราหยุดอ่านเพราะว่า เล่มนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุด ตัวละครทั้งพระเอกนางเอก และตัวประกอบต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทในเล่มก่อนหน้า ที่สำคัญเรื่องราวดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับเล่มก่อนหน้าอีกต่างหาก เราซึ่งชอบพล็อต และทิศทางของเรื่องมาก ๆ คิดว่า ขืนอ่านไป อาจจะชื่นชมหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ครบถ้วน เลยตัดสินใจแบบเฉียบพลัน (ตอนเที่ยงคืนอีกแล้วค่ะ เราชอบเปิดหนังสือเล่มใหม่อ่านตอนเที่ยงคืน) ด้วยการกลับไปอ่านเล่มก่อนหน้าเรื่องนี้
เราขออนุญาตเกริ่นแบบยาว ๆ นะคะ เรื่องเคยอ่านผลงานของนักเขียนคนนี้ J.A. Huss มาแล้วเล่มนึง ซึ่งก็เป็นเรื่องในชุดนี้เช่นกัน ความแตกต่างคือ เล่มนั้น (Taut ซึ่งเล่มห้าในชุด เล่มนี้เป็นเล่มหก) ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับชุดมากมายนัก ทำให้เราอ่านได้รู้เรื่องจนจบ ปัญหาคือ เราไม่ได้ปิ๊งเรื่องนั้นมากมายหนักหนา คือคิดว่าโอเคอ่านได้ ตัวละครน่าสนใจ แต่ก็แค่นั้น ที่แน่ ๆ คือเราไม่ได้ชอบมากพอที่จะคิดย้อนกลับไปอ่านเล่มก่อน ๆ หน้าในชุด เราถึงกับพูดประเด็นนี้กับเพื่อนเลยนะคะว่า นี่เป็นเรื่องที่เราโผล่เข้าไปอ่านกลางชุด แต่การเขียนไม่ได้ดึงดูดใจทำให้อยากอ่านเล่มก่อนหน้าแม้แต่นิดเดียว
เล่มนี้แตกต่างออกไปค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวค่อนข้างเกี่ยวข้องต่อเนื่องกับสามเล่มแรกในชุดมาก และด้วยตัวของมันเอง เรื่องนี้เขียนได้น่าสนใจมาก ๆ มากขนาดเราคิดว่า คุ้มค่าที่เราจะย้อนกลับไปอ่านเพื่อให้ได้แบ็คกราวด์ของตัวละครในชุดนี้ก่อน
ดังนั้นก่อนจะเข้ารีวิว เราคงต้องบอกว่า ถ้าไม่ได้อ่านสามเล่มแรกในชุด (Tragic, Manic, Panic) และคิดจะอ่าน ก็หยุดอ่านรีวิวนะคะ เพราะไม่มีทางเขียนให้เข้าใจได้ว่า ทำไมเราชอบเล่มนี้มาก ๆ โดยที่ไม่สปอยล์สามเล่มแรกได้
สเปนเซอร์ ไชค์กำลังมาถึงจุดสูงสุดของชีวิต เขาเป็นเจ้าของกิจการ Shrike Bike ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง (ประกอบมอเตอร์ไซด์แบบสั่งทำ ราคาแพง) เขามีรายการทีวีเป็นของตัวเอง เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ เขามีพร้อมทุกอย่าง ขาดเพียงผู้หญิงคนที่เขารักที่สุด
และปัญหาก็คือ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีใจให้กับเขา สเปนเซอร์และเวโรนิก้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่ตลอดเวลาสเปนเซอร์ไม่เคยยอมรับหรือแสดงออกว่า เขามีใจให้กับเธอ ไม่เรียกว่าเธอเป็นแฟนด้วยซ้ำ
นี่เป็นประเด็นที่เราพบว่าตัวเองชอบมาก เพราะการอ่านเล่มนี้ซึ่งเล่าเรื่องผ่านมุมมองของสเปนเซอร์ เรารู้อย่างชัดเจนว่า เขารู้สึกอย่างไรต่อเวโรนิก้า แต่เหตุผลคือ ทำไมเขาจึงทำตัวแบบนั้น ตามจีบเธออย่างไม่ลดละ แต่ในเวลาเดียวกันก็กันเธอให้ออกห่างไปจากชีวิต เหตุผลมันอยู่ที่อดีตของเขา (และคือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องย้อนกลับไปอ่านสามเล่มแรกในชุด)
แต่มันใกล้จะถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแล้ว แค่อีกไม่นาน ปัญหาก็คือ เวโรนิก้ามาถึงจุดแห่งการสิ้นสุดความอดทน (ในมุมมองของเธอ) เธอเสียเวลาในชีวิตไปกับผู้ชายที่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าในตัวของเธอเลย เธอรักสเปนเซอร์สุดหัวใจ แต่เขาไม่เคยตอบสนอง เขาแค่ต้องการความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอ แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือกับผู้หญิงคนอื่น สำหรับเธอ มันถึงเวลาบอกลา
เล่มนี้ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดของอุปสรรคที่กั้นขวางสเปนเซอร์จากการแสดงความรู้สึกของเขาอย่างเป็นรูปธรรมนะคะ แม้จะคาดเดาได้ว่า เกิดจากการกระทำในอดีตของเขา ยังมีความลับอีกหลายอย่างที่คนอ่านไม่รู้ ทำให้การอ่านเรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงที่ว่า สเปนเซอร์รักเวโรนิก้า (ซึ่งชัดเจนมาก ๆ ในเล่มนี้) แต่เขาไม่ต้องการให้เธอเสี่ยงกับปีศาจจากอดีตที่อาจจะกำลังรอทำร้ายพวกเขาอยู่ ทำให้เขาต้องแสดงออกให้คนทั่วไปคิดว่า เธอไม่มีความหมายต่อเขาแม้แต่นิดเดียว
เราชอบเล่มนี้กับฉากที่เล่าย้อนไปในอดีต เมื่อครั้งที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก และเราชอบสเปนเซอร์แบบมาก ๆ
หนังสือเล่มนี้ไม่หนาเลยนะคะ แต่เราดื่มด่ำไปกับการอ่าน มีความสุขมาก ๆ เมื่อจบก็เกิดอาการเซ็งชีวิตอย่างแรง เพราะเรื่องเต็ม ๆ ของสเปนเซอร์และเวโรนิก้ายังไม่ออกขายจนกว่าจะสิ้นเดือนมีนาคม นี่คือเหตุผลที่เราไม่ชอบอ่านเรื่องที่จบแบบ Cliffhanger มาก ๆ
สำหรับเราแล้ว เล่มนี้สุดยอด แต่ต้องเตือนก่อนว่า เราชอบเพราะพล็อตของเล่มนี้เวิร์คสำหรับเรา เราชอบเรื่องที่เล่าผ่านคาแร็คเตอร์ของพระเอก เราชอบ "เสียง" ของสเปนเซอร์ นอกจากนี้เราชอบเรื่องที่พระเอกรักนางเอกมากแบบที่สเปนเซอร์รักเวโรนิก้า แต่ไม่อาจแสดงออกได้ (เรานึกนะคะว่า ถ้าในเล่มเต็ม ๆ ที่เล่าเรื่องพวกเขา แล้วคนแต่งหาเหตุผลมาอธิบายความจำเป็นที่สเปนเซอร์ต้องเล่นละครว่าไม่แคร์เวโรนิก้าไม่ได้อย่างชัดเจน เราจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ซึ่งเราตอบไม่ได้นะคะ แต่ในเล่มนี้ เหตุผลยังเป็นปริศนาไม่ชัดเจนเท่าไหร เราเลยปล่อย ๆ ไปก่อน)
อารมณ์ในเรื่องท่วมท้นโดนใจ โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่อง เมื่อนางเอกยื่นคำขาดบอกเลิกความสัมพันธ์ เมื่อเธอต้องการก้าวไปสู่อนาคตกับผู้ชายคนอื่นที่เห็นค่าในตัวของเธอ เราชอบวิธีการที่พระเอกจัดการกับปัญหานี้
อ่านเล่มนี้แล้วทำให้เราคิดว่า อาจจะกลับไปอ่านหนังสือชุดนี้ใหม่อีกครั้ง คราวนี้จะค่อย ๆ อ่านนะคะ ไม่เร่งรีบ เราน่าจะชอบมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเล่มของฟอร์ด (Taut เล่มห้า) ที่เราคิดว่าธรรมดา เล่มนี้ทำให้เราเริ่มรู้สึกถึงความสามารถของคนแต่งตรงที่ไม่มีคาแร็คเตอร์ไหนเป็นอย่างที่ตาเห็น หรือนึกคิด
ในสามเล่มแรก (ยกเว้นช่วงท้ายเล่มสามที่ความจริงเปิดเผย) สเปนเซอร์เป็นช่างมอเตอร์ไซด์ที่มีแต่กำลังแต่ไร้สมอง เวโรนิก้าเป็นหญิงสาวที่ไล่จับสเปนเซอร์ ถูกเขาหลอกใช้ แล้วปฏิบัติอย่างไม่ใยดี ทั้งสองไม่ใช่ตัวละครแบบนั้น สามเล่มแรกถูกเล่าโดยตัวละครที่เป็นคนนอก คนที่ไม่รู้ได้รู้จักสเปนเซอร์หรือเวโรนิก้ามาตั้งแต่ต้น คนอ่านจึงถูกหลอกไปกับมุมมองที่ไม่ถูกต้อง และนี่คือสิ่งที่เราชอบมาก ๆ กับเรื่องชุดนี้ค่ะ ที่ไม่มีใครเป็นอย่างที่คิด หรือเห็น (แต่ในขณะเดียวกันคนแต่งก็ไม่ได้จู่ ๆ เปลี่ยนแปลงตัวตนพวกเขานะคะ เพียงแค่มุมมองของคนเล่าเรื่องไม่ได้รู้จักตัวละครเหล่านั้นดีเท่านั้นเอง)
สรุปชอบมาก ๆ แต่คงต้องเตือนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่อ่านเดี่ยว ๆ ได้อย่างรู้เรื่อง และอาจจะไม่ได้ชื่นชมไปกับหลาย ๆ สิ่งในเล่มนี้ได้ครบถ้วนหากไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า
คะแนนที่ 85
ป.ล. เรารอ Guns ซึ่งจะออกขายสิ้นเดือนมีนาคม 2014 และจะเล่าเรื่องของสเปนเซอร์กับเวโรนิก้าแบบเต็ม ๆ ขอบอกว่าใจสั่นมาก กลัวใจคนแต่ง ทำให้เราปฏิญาณเลยนะคะว่า จะไม่อ่านเรื่องที่ไม่จบชุด หรือลงเอยด้วยดีอีกแล้ว (อย่างแนว In death ที่ไม่จบก็จริง แต่ความสัมพันธ์ตัวเอกลงตัวไปแล้ว) ลุ้นเหนื่อยค่ะ
View all my reviews
No comments:
Post a Comment