Rome by Jay Crownover
My rating: 5 of 5 stars
เราหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเพราะกำลังอยู่ในโหมดอ่านงานของคนแต่ง เจย์ คราวโนเวอร์ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ หลังจากที่เราอ่านเล่มแรกในชุดเรื่อง Rule แล้วก็ติดใจมาก แต่เพราะผิดหวังพอควรกับเล่มสองในชุด Jet พอมาเล่มนี้เราก็เลยไม่รู้ว่าควรจะต้องตั้งความหวังดีไหม
คำวิจารณ์ที่เราได้ยินเกี่ยวกับนักเขียนคนนี้ก็คือ ตอนที่เธอเขียนเรื่อง Rule ออกมานั้น เธอพิมพ์ขายเอง แต่ดันโด่งดังระดับติดอันดับหนังสือขายดี จนทำให้เธอถูกติดต่อโดยสนพ.วิลเลี่ยมมอร์โรว์ (เครือเอวอนนั่นแหละ) ซื้อลิขสิทธิ์ไปพิมพ์ขายใหม่อีกรอบ แถมยังซื้อสิทธิ์ของเรื่องอื่น ๆ ในชุดของเธออีก แต่จากเสียงวิจารณ์ ตอนที่เธอพิมพ์ขายเอง เรื่องของเธอเต็มไปด้วยการสะกดคำที่ผิดพลาด แต่เรื่องราวน่าสนใจ น่าติดตามอ่านมาก ๆ เมื่อเทียบกับงานที่เธอมาออกกับสนพ.ใหญ่แล้ว เรื่องถูกตรวจสอบเป็นอย่างดี แต่กลับไม่น่าติดตามเหมือนเก่า
และเนื่องจากเล่มนี้คืองานเขียนเล่มแรกเต็ม ๆ ที่คนแต่งเขียนให้กับสนพ. (สองเล่มแรกนั้นเธอเขียนก่อนขายงานได้) เราก็เลยเตรียมใจไว้เล็กน้อย ว่าเรื่องอาจจะไม่จับใจเราเหมือนอย่างที่เรารู้สึกกับเรื่อง Rule
แต่ผิดคาดค่ะ มากเท่าที่เราชอบเรื่อง Rule เล่มนี้คือที่สุดของเรา
เป็นเล่มที่โดนใจเรามาก ๆ และที่ถูกใจเราก็คือ คนแต่งคงเอกลักษณ์ความธรรมดา ๆ ของตัวละครเอาไว้ แถมพล็อตก็ทั่วไปไม่ได้สร้างสรร แต่กลับทำให้เราพุ่งความสนใจไปที่เนื้อเรื่องได้ตลอดเวลา และติดตามชีวิตของคนธรรมดาเหล่านี้อย่างแทบหยุดหายใจ
โรม อาร์เชอร์ถูกปลดประจำการหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บในการรบ บาดแผลภายนอกของเขาหายดีแล้ว แต่เหมือนกับทหารผ่านศึกหลายคน จิตใจของโรมบอบช้ำ เมื่อบวกกับปัญหาทางครอบครัวที่ร้าวฉานเพราะการตายของเรมี่ น้องชาย ทำให้โรมที่กลับมาจากสงครามไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมที่จากไป และไม่ใช่แค่โรมคนเดียวที่สับสน ทุกคนรอบข้างเขาก็สับสนไปด้วย
นั่นเพราะทุกคนรู้จักโรม อาร์เชอร์ในฐานะพี่ชายคนโต ผู้ดูแลน้องชายฝาแฝดเจ้าปัญหาทั้งสองคน ลูกชายผู้รับผิดชอบ ชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่โรมที่กลับมาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น โดยเฉพาะบาดแผลในใจ ความโหดร้ายของสงคราม การต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในวัยยี่สิบแปดปี หลังจากใช้เวลาสิบปีในกองทัพ โรมมาถึงทางแยกของชีวิต เขาถอยหลังให้ทุกอย่างกลับไปเป็นดั่งเช่นอดีตไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
แต่สำหรับทุกคนที่รู้จักเขา ไม่มีใครรู้ว่า ควรจะปฏิบัติเช่นไร ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง จะหยาบคาย หรือไร้มารยาทมากแค่ไหน ทุกคนรักเขา แต่ก็เพราะรักและห่วงที่มากมาย ทำให้ไม่ใครกล้าเผชิญหน้ากับความจริง ทุกคนยกเว้นคอรา เลวิส ส่วนหนึ่งเพราะเธอแทบจะไม่ได้รู้จักโรมก่อนหน้าที่เขาจะไปออกรบ เธอไม่มีทัศนคติบูชาโรมแบบที่คนอื่น ๆ รู้สึก ดังนั้นคอราจึงมองทุกอย่างตามแบบที่มันเป็น เมื่อโรมทำตัวงี่เง่า เธอก็กล้าพอที่จะพูดออกมา แทนที่จะนิ่งเงียบและทนกับพฤติกรรมของเขา
ดังนั้นการพบกัน (แม้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่ทั่งคู่มองกันแบบจริงจัง) จึงไม่ได้หวานชื่น คอราเทเบียร์ราดหัวโรม เมื่อเขาพูดจาไม่เป็นมงคลเกี่ยวกับชีวิตคู่ของน้องชายและแฟน (ซึ่งเป็นพระนางเล่มแรก) นั่นยิ่งกว่าทำให้โรมหันมาสังเกตเห็นคอรา ผู้ที่เป็นเสมือนพี่สาวคนโตของหัวโจกตัวแสบแห่งร้าน Marked (ซึ่งเป็นร้านสักที่ช่างส่วนใหญ่เป็นพระเอกในหนังสือชุดนี้ และเป็นที่มาของชื่อชุดว่า Marked Man)
เราไม่คิดว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องแนว New Adult เหมือนอย่างสองเล่มแรกในชุดนะคะ เพราะด้วยอายุของตัวละคร (โรมยี่สิบแปด ส่วนคอราแม้ไม่ได้บอกไว้ในเรื่อง แต่ก็เยอะกว่าพระนางในเล่มก่อนหน้า) ด้วยตัวเนื้อเรื่องเอง แม้จะเป็นการค้นหาตัวเอง (ซึ่งก็ถือเป็นพล็อตหลักของ NA) แต่ก็เกิดขึ้นเพราะความเปลี่ยนแปลงในชีวิต (ไม่ใช่เพราะเป็นเพิ่งเรียนจบ และออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง) ซึ่งว่าไปก็คงบอกว่า เป็นเรื่องแนวปัจจุบันทั่ว ๆ ไป
องค์ประกอบที่เราชอบเล่มแรกในชุดนี้ (เรื่อง Rule ซึ่งเป็นเรื่องราวของน้องชายของโรม พระเอกเล่มนี้) ก็คือ ความเป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไปของตัวละคร เล่มนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ในความหมายของคำว่า ธรรมดา ไม่ใช่ว่า ตัวละครไม่น่าจดจำนะคะ แต่ประเด็นที่โรมเผชิญ ก็เป็นสิ่งที่ทหารอีกนับพันต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ที่อเมริกาส่งทหารไปในตะวันออกกลาง โรมจึงไม่ใช่ตัวละครที่พิเศษ แตกต่าง หรือมีความสำคัญขนาดต้องเปลี่ยนแปลงโลก เขาก็แค่เป็นผู้ชายอีกคนที่ต้องเอาชนะปีศาจร้ายในใจ และใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดที่เป็นไปได้
และเช่นเดิม พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรสร้างสรรเป็นพิเศษ อันที่จริงคนแต่งใช้พล็อตที่เก่าแก่ที่สุดด้วยซ้ำ เริ่มจากการปิ๊งกันของชายและหญิงที่แตกต่างกันอย่างมากทางบุคลิก โรมที่แม้จะเป็นพี่ชายของรูล ซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก และเจาะ ร่างกายเขามีแค่แผลเป็นจากการรบ เขาเป็นพี่ชายใหญ่ผู้รับผิดชอบที่แม้ตอนนี้กำลังหลงทาง แต่ไม่มีใครคิดว่า เขาจะมาลงเอยกับคอร่า หญิงสาวที่ทำงานในร้านสัก และถือว่าเป็นมือโปรในการเจาะ ประเด็นนึงที่เรานึกขำทุกคนที่อ่าน (หรือนึกถึง) คือเมื่อนึกว่า ตัวละครผู้ชายในเรื่องนี้ (ก็บรรดาพระเอกในเล่มก่อนหน้า และอนาคตพระเอกในเล่มต่อ ๆ ไป) ล้วนผ่านมือเจาะของคอร่ามากันหมดแล้วทั้งสิ้น ประเด็นก็คือ เธอไม่ได้แค่เจาะหูนะคะ อะไรที่เจาะได้ เธอก็เจาะไปหมด ดังนั้นเมื่อเธอพูดถึงประสบการณ์ที่เธอจัดการเจาะชิ้นส่วนสำคัญของน้องชายของโรมแล้ว เราก็ฮานะคะ
แต่ท่ามกลางความแตกต่างกันทั้งทางนิสัย และรูปลักษณ์ภายนอก เรารู้สึกว่า การจับคู่ทั้งสองเหมาะสมและลงตัวมาก และนี่คือเหตุผลสำคัญที่เราชอบเล่มนี้ เราชอบในความเข้ากันได้ของทั้งคู่ ทำให้เราเชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เริ่มต้นอย่างตั้งใจเท่าไหรนัก
โดยรวมก็คือ ขอบอกว่า เราชอบความเป็นโรแมนซ์ของเรื่องนี้ แม้ทั้งโรม และคอร่าจะไม่ได้เดินเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ แต่เราชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ว่าไปก็คือ เราชอบคาแร็คเตอร์ทั้งพระเอกและนางเอก และนั่นก็ได้ใจเราไปเกินครึ่ง
เราพบว่า เส้นทางการค้นหาตัวเองโรมน่าเชื่อ มันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และไม่ได้เป็นไปโดยไม่มีอุปสรรค แม้ว่าด้วยวิธีการเล่าเรื่องโดยผลัดกันเล่าผ่านมุมมองของโรม และคอร่า ทำให้เราพลาดจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องไป ฉากที่
หนังสือเรื่องนี้เหมือนเป็น slow burn ของเรานะคะ คืออย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่ออ่านไปถึงจุดนึง เราก็ระลึกได้ว่า นี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ เลยนะ เป็นหนังสือที่เราชอบมาก ๆ เราไม่รู้นะคะว่า เป็นฉากไหน หรือจุดไหนในเรื่องกันแน่ รู้แต่ว่า เมื่อนาฬิกาถึงเที่ยงคืน และเรายังเหลืออีกร้อยกว่าหน้าจึงจะจบเล่ม เราพบว่า ตัวเองไม่อาจหยุดอ่านได้ และไม่อาจรีบอ่านให้จบเพื่อจะได้เข้านอนได้ เราอยากละเลียดความรู้สึกที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ (คืนนั้นเรานอนตอนตีสาม เพราะเราอ่านแบบกลัวหนังสือจะจบ ทั้งที่ง่วงก็ง่วง และต้องไปทำงาน แต่เมื่อเจอหนังสือที่เราชอบมาก ๆ เรามักจะเป็นแบบนี้ค่ะ กลัวจะจบมาก ๆ)
คะแนนที่ 85
View all my reviews
No comments:
Post a Comment