แม็กซ์ชอบงานของมาร์เจอรี่ เอ็ม หลิวในระดับปานกลาง ซึ่งหมายความว่า เรายังไม่อยู่ในอาการขนาดคลั่งไคล้ แต่ก็ซื้อหามาอ่านได้ทุกเล่ม และก็แทบจะไม่มีเล่มไหนเลยที่พูดได้เต็มปากว่าผิดหวัง (แต่ในทางกลับกันก็ยังไม่มีเล่มไหนที่ทำเอาเรากรี๊ดสลบได้เช่นกัน)
The Last Twilight ของมาร์เจอรี่ เอ็ม หลิว
หนังสือเล่มที่เจ็ดในชุดสำนักงานนักสืบเดิร์กและสตีล (หรือที่สนพ.หัวใสเอามาแปลเป็นไทยแล้วใช้ชื่อว่าสนง.นักสืบทอมแอนด์เจอรี่ --- พูดตรง ๆ นะคะ ตอนที่แม็กซ์เจอกับมาร์เจอรี่ เราอยากเล่าให้เธอฟังมาก แต่คิดไปก็เหมือนดูถูกคนไทยกันเอง ก็เลยเงียบดีกว่า) เรื่องราวของกลุ่มคนที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ที่ต้องต่อกรกับองค์กรที่ เรียกตัวเองว่าเดอะ คอนโซเตียม ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีพลังเหนือมนุษย์เช่นกัน แต่ใช้มันในทางที่เลว
หนังสือแต่ละเล่มในชุดนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านเรียงกันก็ได้ เพราะไม่เกี่ยวข้องกันนัก นอกจากว่าตัวละครในเรื่องจะทำงานให้กับเดิร์กและสตีล แต่สำหรับเล่มนี้มีความพิเศษนิดนึงตรงที่เกี่ยวเนื่องกับเล่มสองในชุด หรือ Shadow Touch อยู่ไม่น้อย เพราะอไมรี่ พระเอกของเรื่อง รวมทั้งตัวร้ายก็เป็นตัวละครที่มีบทบาทในเล่มนั้นมาก่อน
ริกกิ คินน์เป็นหมอฝีมือดี และเป็นนักล่าไวรัส (ซึ่งก็คือหมอที่เข้าไปรักษาในบริเวณที่เกิดโรคติดต่ออย่างรุนแรง โดยเข้าไปเพื่อแสวงหาสาเหตุของโรค) เธอได้รับเรียกให้เข้าไปในประเทศแซอีย์ (หรือปัจจุบันชื่อว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก แต่ไม่ใช่ประเทศคองโกนะ กรุณาอย่างง) เพื่อสืบหาสาเหตุคนตายด้วยโรคระบาด แต่ก่อนที่เธอจะเดินทางไปถึงเสียอีก คณะของริกกิก็โดนโจมตีจากทหารรับจ้าง เธอรอดมาได้ แต่ผู้คุ้มกันซึ่งเป็นทหารหน่วยรักษาสันติภาพของสหประชาชนก็บาดเจ็บไปหลายคน
เรื่องตัดไปที่อไมรี่ ซึ่งเป็นมนุษย์เสือชีตาร์ และเคยเป็นหนึ่งในนักโทษที่ถูกองค์กรเดอะคอนโซเตียมจับตัวไปทดลอง เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่เขาเป็นอิสระ (เหตุการณ์ในเรื่อง Shadow Touch) แต่เขาก็ยังไม่อาจทำใจกลับไปแอฟริกาบ้านเกิดได้ จนกระทั่งหัวหน้าสำนักงานนักสืบที่เขาทำงานให้ออกคำสั่งให้เขาไปยังแซอีย์ เพื่อคุ้มครองริกกิ
แต่เมื่อไปถึงพบริกกิก็ตกอยู่ในอันตราย และการช่วยเหลือเธอ ทำให้พวกเขาทั้งคู่ตกเป็นเหยื่อของเชื้อโรคที่กำลังเข่นฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน ในขณะที่รอดูอาการว่าทั้งคู่ติดโรคหรือไม่ ค่ายที่พวกเขาทำงานก็ตกเป็นเป้าหมายโจมตีของทหารรับจ้างที่รู้จักชื่อของริก กิ และนั่นทำให้อไมรี่รู้ว่า เธอคือเป้าหมายที่แท้จริงของการโจมตี
อไมรี่ ริกกิ (และอีกหนึ่งสมาชิกในเดิร์กและสตีล) หนีไปได้ แต่ก็ต้องผจญภัยในป่าแอฟริกา พร้อมกับศัตรูนับร้อยที่ออกตามล่า อไมรี่ต้องเปิดเผยตัวตนจริงของเขาให้ริกกิรู้ แม้เขาจะรู้ว่า มันอาจนำอันตรายมาสู่ตัวเธอก็ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เพื่อปกป้องเธอซึ่งกลายเป็นคนที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
พล็อตของหนังสือเรื่องนี้ออกแนวแอ็คชั่นโรแมนซ์นะคะ แต่แม็กซ์อยากบอกว่า โดยเนื้อแท้แล้วเล่มนี้เป็นหนังสือที่โรแมนติคมาก ๆ เล่มนึง แม็กซ์เคลิ้มไปกับความรักระหว่างอไมรี่และริิกกิ ทั้งที่มันเกิดในช่วงเวลาที่ไม่หวาน แต่อ่านแล้วกลับหวานได้
สำหรับคนที่มีแผลเป็นทั้งในใจ และภายนอก ริกกิปิดกั้นตัวเองจากความรู้สึก เธอสูญเสียทุกคนที่เธอรักไปจากชีวิต แต่เมื่อเธอรัก ริกกิก็รักอย่างสุดหัวใจ หลายครั้งในเรื่อง เมื่อเธอปฏิเสธที่จะเอาตัวรอด หากไม่มีอไมรี่ไปด้วย ความรักของเธอทำให้แม็กซ์มองข้ามว่า การตัดสินใจของเธอเป็นเรื่องโง่ (เพราะมันดูไม่โง่เลยในขณะนั้น คุณจะมีชีวิตต่อไปทำไม ถ้าคนที่คุณรักที่สุดไม่อยู่ด้วยแล้ว)
ความรักของอไมรี่ และริกกิไม่ได้หวานชนิดที่บอกรักกันไปบอกรักมาทั้งวัน มันเป็นการซึมซับ และความรู้สึกที่ได้จากการอ่าน ดังนั้นเมื่อคำว่ารักออกจากปากของตัวละคร แม็กซ์จึงเชื่ออย่างไม่ข้อกังขาว่า มันเป็นความรัก (เช่นเดียวกับตัวละครที่รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความรักที่เกิดขึ้น)
ในส่วนของพล็อตเรื่องโรคระบาด คำตอบในเรื่องถือว่าใช้ได้ ยังไม่ดีนักในส่วนของการอธิบาย แต่อาจเพราะ (สปอยล์) แม็กซ์ คาดหวังคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ชนิดเหมือนหนังเรื่อง Outbreak แต่กลับกลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหน่อย ๆ แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ เรื่องนี้มันเป็นแนวพารานอมอลนะ ไม่ใช่นิิยายวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงถือว่าให้อภัยได้
ขอเตือนนิดนึงแล้วกันค่ะ ตอนจบของเล่มนี้มีประเด็นเดียวที่จบลงตัวจริง ๆ นั่นก็คือความรักของริกกิ และอไมรี่ ในขณะที่พล็อตอื่นยังเหลือให้ติดตามอ่านกันต่อในเล่มถัดไปด้วยค่ะ แต่มันก็ไม่ถึงกับทำใหหงุดหงิดหรอกนะคะ
คะแนนที่ 70
No comments:
Post a Comment