แม็กซ์เป็นคนที่ไม่จำกัดตัวเองอยู่กับการอ่านหนังสือแนวใดแนวหนึ่ง ดังนั้นน้อยครั้งมากนะคะที่จะได้ยินแม็กซ์บอกว่า อ๋อ เราไม่อ่านหรอกค่ะแนวนี้ เราชอบแต่แนวพารานอมอล เพราะเราเป็นคนเบื่อง่าย ถ้าอ่านอยู่แค่แนวเดียวคงมีหวังเซ็งตาย
แต่ก็มีโรแมนซ์อยู่แนวนึงที่เราแทบจะไ่ม่หยิบหามาอ่าน หรือถ้าเป็นนักเขียนใหม่ ก็บอกได้เลยว่า ไม่มีทางซื้อมาลองอ่านแน่ ไม่ว่าราคาจะลดไปถูกขนาดนั้น นั่นก็คือแนวย้อนยุคคาวบอยตะวันตก อันที่จริงความไม่ชอบอ่านแนวประวัติศาสตร์ที่เกิดในอเมริกานี่ ตอนนี้ขยายไปจนถึงเรื่องแนวย้อนยุคที่เกิดในทวีปอเมริกาทั้งหมดแล้วมั้งคะ เพราะมาดูหนังสือที่ซื้อและอ่านในช่วงสองสามปีหลังนี่ เราแทบจะไม่ได้อ่านเลย จะยกเว้นก็คงเป็นเรื่องที่มีบางฉากเกิดขึ้นในอเมริกา ก่อนที่จะย้ายกันไปที่อื่น หรือกลับกัน
ไม่มีเหตุผลอธิบายอาการนี้ของตัวเอง ที่คิดมาได้สองสามอย่างก็ล้วนแต่โทษชาวบ้านทั้งนั้น เช่น เพื่อนคนที่เป็นกูรูตัวจริงเสียงจริงในใจแม็กซ์ (ซึ่งมีเพียงคนเดียว) ไม่ชอบแนวคาวบอยตะวันตกยิ่งไปกว่าแม็กซ์เสียอีก และเพื่อให้ดูหรู และเท่ห์อย่างเขา แม็กซ์ก็เลยเอามั่ง ทำเป็นไม่อ่าน
แต่ถึงจะพูดว่าไม่อ่านยังไง ทุกอย่างก็ย่อมมีข้อยกเว้น แม็กซ์ยอมอ่านงานของนักเขียนคนนึงที่ยังคงยืนหยัดเขียนเรื่องแนวคาวบอยตะวัน ตกนี่อยู่ เธอคนนั้นมีชื่อว่าซาร่าห์ แม็คคาร์ธี
บอกตามตรงว่าเราไม่คิดจะติดตามอ่านงานของเธอหรอกนะคะ แม้เธอจะถือเป็นนักเขียนระดับแนวหน้าของสนพ.อีลอร่าส เคฟ และเพื่อนหลายคนแนะนำ นั่นก็เพราะว่าเธอเขียนแนวเวสเทิร์น ซึ่งไม่ถูกโรคกะเรานัก จนกระทั่งเพื่อนคนนึงใช้วิธีบังคับฝืนใจ ด้วยการส่งหนังสือเรื่อง Promise Linger มาให้
ก็นะคะ เพื่อนอุตส่าห์ซื้อให้มาแล้ว เราก็สนองความใจดีด้วยการนั่งอ่านเสียหน่อย และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างความรักของเรากับซาร่าห์ แม็คคาร์ธี
สำหรับคนที่สนใจอยากรู้ หนังสือเรื่อง Promise Linger เป็นเล่มแรกในชุด Promise ที่เล่าเรื่องคาวบอยในตะวันตก และผู้หญิงที่รักพวกเขา หนังสือชุดนี้ออกขายกับสนพ.อีลอร่าอีกสองเล่ม รวมเป็นทั้งหมดสามเล่ม แต่แล้วก็เหมือนความสัมพันธ์ทุกอย่างที่ต้องมีการสิ้นสุด ซาร่าห์เดินออกจากอีลอร่า เข้าสู่อ้อมกอดของสนพ.เบิร์คเลย์ หลายสิ่งที่เธอนำติดตัวไปสนพ.ใหม่ ก็คือหนังสือชุดนี้
และเล่มนี้คือเล่มที่สี่ในชุด
Promise Reveal ของซาร่าห์ แม็คคาร์ธี
แม้จะเป็นเล่มสี่ในชุด แม็กซ์ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านชุดนี้มาก่อนในการทำ ความเข้าใจนะคะ เพราะว่าพล็อตเรื่องไม่ได้ต่อเนื่องกัน และประเด็นที่แม็กซ์คิดว่าคนแต่งกล่าวถึงน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในสามเล่มก่อนหน้าด้วย ดังนั้นจะอ่านเล่มก่อนหน้าหรือไม่อ่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา
หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวของตัวละครชนิดที่แม็กซ์ชอบ นั่นก็เพราะแม้ว่าแบรด สวอนสันจะเป็นนักเทศน์ผู้ได้รับการนับถือจากชาวเมือง เขาก็ไม่ได้เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นนักเทศน์ แบรดเป็นที่รู้จักกันในนามชาร์โดว์ โจรนอกกฎหมายชื่อดัง ผู้หลบหนีการจับกุมมาได้ตลอด จนกระทั่งวันที่เขาได้เผชิญหน้ากับสองพี่น้องตระกูลแม็คคินเนลี่ย์ (พระเอกเล่มสองและสามในชุด) ผู้ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของเขา แบรดกลายมาเป็นนักเทศน์เพราะความจำเป็น ดังนั้นเขาจึงไม่เหมือนนักเทศน์ที่เราคุ้นเคยหรือคาดหวัง เขาไม่ยอมถอยหรือแอบไปอยู่ข้างหลังชาวเมืองยามเกิดเรื่อง ในขณะเดียวการมาของเขาก็ทำให้เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันตกแห่งนี้มีความครบถ้วนมากขึ้น
เรื่อง เปิดขึ้นเมื่อแบรดถูกบังคับให้แต่งงานกับสาวน้อยเอวี่ วอร์ชิงตัน เพราะรูปวาดเปลือยของชายหนุ่มที่ไม่เห็นหน้า แต่ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นแบรด กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวประจำเมือง ทุกคนต่างเข้าใจผิด (หรือพยายามเข้าใจผิด เพราะคิดว่าแบรดเหมาะกับนิสัยเอาแต่ใจของเอวี่) การแต่งงานที่ไม่เต็มใจจึงเกิดขึ้น แต่แม้แบรดจะไม่เคยคิดถึงชีวิตแต่งงาน หรืออะไรที่ไกลเกินไปนัก เพราะเขาคิดเสมอว่า ชีวิตที่หลอกลวงนี้จะต้องจบลงไม่วันใดก็วันนึง เขา็ก็อยากทำให้ดีที่สุด และเขาไม่ต้องการปล่อยเอวี่ไป เมื่อเธอถูกส่งมาในมือเขา แบรดก็ตัดสินใจที่จะเก็บเธอไว้
แต่แล้วอดีตก็ไม่ยอมที่จะอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป เมื่อคนจากอดีตของแบรดกลับมา และคุกคามชีวิตในปัจจุบันของเขา
เราชอบตัวเอกในเล่มนี้มากค่ะ ทั้งพระเอกและนางเอก เราพบว่าทั้งสองเหมาะสมกัน แม้แรกเริ่มทุกคนจะคิดว่าทั้งคู่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และแบรดซึ่งเป็นนักเทศน์ผู้น่านับถือจะหักปีกแห่งความอิสระของเอวี่ ซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นจิตรกร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น แบรดเข้าใจเอวี่ เข้าใจความต้องการอิสระของเธอ ปล่อยให้เธอเป็นคนที่เธอเป็น ในขณะเดียวกันเขาก็เข้มแข็งพอที่จะปกป้องเธอจากอันตรายทั้งหมดได้ ซาร่าห์จับคู่ตัวละครคู่นี้ได้เหมาะค่ะ และแม็กซ์ชอบฉากการดวลกันครั้งสุดท้ายระหว่างแบรดและผู้ร้าย ที่ (สปอยล์) คนทั้งเมืองออกมาช่วยนักเทศน์ของพวกเขา จนแบรดไม่ได้ยิงปืนเลยสักนัด มันเป็นการบอกว่า เขาได้รับการยอมรับมากเพียงใดจากชาวเมือง
คำชมไปแล้วนะคะ มาถึงส่วนที่แม็กซ์มีปัญหาบ้าง อย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่า การอ่านสามเล่มก่อนหน้าก็ไม่ได้ช่วยให้เรารู้จักอดีตของแบรดดีขึ้น ทั้งที่มันมีส่วนสำคัญในเรื่องอย่างมาก อดีตหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่เขาเป็น และคนที่เขาเป็นในปัจจุบันก็น่าสนใจมาก นักเทศน์ที่มีความขัดแย้งในตัวเอง เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองดีพอที่จะได้รับความสุขในชีวิต ไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในเมืองที่อาศัยอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คือคนที่เหมาะที่สุดในการทำเช่นนั้นกับเมืองที่อยู่ ห่างไกลความเจริญ และเต็มไปด้วยเหล่าร้าย
ความสัมพันธ์ก่อนหน้าระหว่างแบรดและเอวี่ก็เป็นอีกประเด็นนึงที่ไม่มีการ พูดถึง เพราะเมื่อเปิดเรื่องแบรดและเอวี่ก็อยู่ในพิธีแต่งงานกันแล้ว เราอยากรู้ว่าทั้งสองซึ่งรู้จักกันก่อนหน้าเรื่องเปิดมีความรู้สึกต่อกัน อย่างไรบ้าง เพราะมันสำคัญต่อเรื่อง และอาจให้คำอธิบายถึงความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่โดนบังคับให้แต่งงานกัน แต่กลับพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้อย่างรวดเร็วและน่าเชื่อ
เราเปรียบเทียบการอ่านหนังสือเล่มนี้กับการเข้าไปดูหนังในโรงหนังช้าไป ครึ่งชั่วโมงค่ะ เรายังดูหนังเรื่องนั้นรู้เรื่อง และสนุกไปกับมัน แต่ก็มีบางอย่างที่ขาดหายไป บางอย่างที่เราคิดว่าจะต้องพูดเล่าในครึ่งชั่วโมงแรกที่เราพลาดเข้าไปดูไม่ ทัน แต่ความจริงก็คือ หนังสือเล่มนี้ไม่มีต้องต้นที่ขาดหายไป ไม่อาจหาพบได้แม้จะกลับไปอ่านสามเล่มแรก มันก็เลยทำให้ความสนุกกับเล่มนี้ลดน้อยลงไปบ้าง ซึ่งทำให้น่าเสียดายค่ะ เพราะเล่มนี้มีศักยภาพที่จะสนุกได้มากกว่าที่เป็นอยู่มากเลย
ในแง่ของความร้อนแรง ก็คงต้องบอกว่าถือว่าฮ็อตสำหรับหนังสือโรแมนซ์ทั่วไปนะคะ แต่เทียบกับสามเล่มแรกในชุดไม่ได้เลย ซึ่งแม็กซ์กลับคิดต่างจากคนอื่นนะคะว่าเป็นเรื่องดี เรารู้สึกว่าดีกรีมันเหมาะกับเนื้อเรื่องแล้วล่ะ
คะแนนที่ 70
No comments:
Post a Comment