เคท โนเบิ้ลเป็นนักเขียนชื่อไม่คุ้นหูแม็กซ์เลยนะคะ (เธอไม่ใช่ Kate Noble ที่เขียนหนังสือให้กับเบิร์คเลย์หรอกนะ คนละคนกัน) แต่พอแม็กซ์เห็นว่าจะมีหนังสือของเธอเรื่อง Dead Right ออกขาย เราก็สั่งซื้อทันที เพราะอะไรน่ะเหรอคะ
นั่นก็เพราะแชนน่อน แม็คเคนน่า
เคทเขียนเรื่องสั้นออกมาก่อนเรื่องนึงเมื่อปีก่อน โดยรวมอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกับเรื่องสั้นของแชนน่อน แม็กซ์ยังไม่ได้อ่านหรอกค่ะ แต่ดูแล้วคิดว่าน่าสนใจดี
บางครั้งเราก็สั่งซื้อหนังสืออย่างไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหรหรอกนะ
และลองนึกดูสิคะว่า แม็กซ์เจอกับความประหลาดใจมากขนาดไหน เมื่อเปิดหน้าลิขสิทธิ์ของหนังสือเรื่องนี้ดูเข้า แล้วเจอชื่อจริงของเคท ปกติแม็กซ์ก็ไม่ได้มีความจำยอดเยี่ยมอะไรหรอกนะคะ แต่พอเราเห็นชื่อจริงของเธอ เราก็รู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้น ๆ นะ
หลังจากเซิร์จข้อมูลดูแป๊บเดียว เราก็รู้ว่า แท้จริงแล้วเคท โนเบิ้ลเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เพราะเธอเคยเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม โดยใช้นามปากกาว่า ลอเรน แบช
และรู้อะไรไหมคะ แม็กซ์ชอบงานของลอเรน แบชมาก โดยเฉพาะสมัยที่เธอเขียนให้กับสนพ.วอร์เนอร์ (ที่ตอนนั้นยังไม่ขายกิจการให้แฮ็ทแชตเลย)
หนังสือเล่มแรกของลอเรนเรื่อง Lone Rider เป็นต้นแบบงานแนวโรแมนติกสืบสวนที่แม็กซ์เอาไปใช้วัดนักเขียนหน้าใหม่ทุกคน เลยนะคะ เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าเฟอร์เฟ็ค แต่มันน่าทึ่งสำหรับนักเขียนที่เพิ่งเขียนเล่มแรก
ปัญหาก็คือ คุณภาพงานเขียนของลอเรนตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอหายหน้าไปจากวงการในที่สุด แต่แม็กซ์ก็ยังคิดถึงเธออยู่นะคะ แม้เล่มหลัง ๆ ของเธอจะไม่ดี แต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอมีพรสวรรค์มากเกินกว่าที่จะหายไปเฉย ๆ
และตอนนี้เธอกลับมาแล้ว
Dead Right ของเคท โนเบิ้ล
หนังสือเรื่องนี้โฆษณาว่าเป็นเล่มแรกในซีรี่ย์เกี่ยวกับสายลับ ซึ่งเป็นพล็อตแนวที่แม็กซ์ชอบเสียด้วย เพื่อน ๆ รู้อะไรไหมคะ
แม็กซ์อยากจะชอบเรื่องนี้มาก ๆ แม็กซ์เตรียมใจแล้วว่าเราจะต้องชอบเรื่องนี้ ก็แหมเป็นงานของนักเขียนที่เรารอคอยการกลับมานานแล้ว พล็อตเรื่องก็แนวเราเลย เรื่องราวของสายลับที่ถูกคิดว่าตายไปแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้เขากำลังตามหาหญิงสาวที่เขารัก แต่คิดว่าทรยศเขาอยู่
แต่พอแม็กซ์เปิดหน้าแรก เราก็รู้เลยว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วล่ะที่จะยอมรับเรื่องนี้ เพราะบางส่วนของเรื่องเกิดขึ้นในประเทศไทยของเรานั่นเอง และจากประสบการณ์ที่อ่านหนังสือมา เราแทบจะไม่เคยเจอนักเขียนที่เขียนเรื่องเกิดในประเทศไทย (หรือเอ่ยถึงประเทศไทย) เขียนด้วยความเข้าใจในความเป็นเมืองไทยของเราจริง ๆ สักคน (อาจจะยกเว้นให้ซาบริน่า เจฟฟรีย์นะคะ ที่เราค่อนข้างยอมรับการเขียนเรื่องย้อนยุคที่เกิดในเมืองไทยของเธอ)
และเล่มนี้ก็เ่ช่นกัน ดังเต้ จอห์นสันเป็นสายลับซีไอเอที่ไปปฏิบัติการในกัมพูชา (ซึ่งแม็กซ์ก็ไม่เข้าใจว่าจะไปทำแป๊ะอะไร) แล้วถูกจับตัวมาขัง + ทรมานในคุกเมืองไทย เริ่มต้นมันก็มั่วแล้วนะคะ เราไม่รู้สึกว่ามันโยงกันเข้ามาได้ยังไง ยิ่งตอนหลังมาเปิดเผยอีกว่า ผู้ร้ายเป็นมาเฟียรัสเซีย เราก็ยิ่งงงว่า มันมาเมืองไทยได้ยังไง ระหว่างอยู่ที่นั่นดังเต้ถูกตีสนิทโดยผู้คุมคนไทย ซึ่งเสนอว่าจะช่วยให้เขาหนี ดังเต้จัดทำ Blood Chit หรือหนังสือที่เขียนด้วยเลือดของดังเต้ จดเบอร์โทรศัพท์ของผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นหลักประกันว่า คนที่ช่วยเหลือเขาจะได้รับความช่วยเหลือทุกอย่าง (ประมาณว่าจะให้ลี้ภัยไปอเมริกากันทั้งครอบครัวนั่นเลยนะ) จากคนที่อยู่เบื้องหลังเบอร์โทรศัพท์ที่ดังเต้จดให้ แต่การหนีของเขาก็ไม่สำเร็จ ก่อนที่อยู่ดี ๆ เขาก็ถูกส่งตัวไปขังไว้ในคุกที่กรุงเทพ ก่อนที่เพื่อนสายลับของเขาจะมาพบตัวและช่วยพอกลับอเมริกา
การเริ่มต้นเรื่องก็เป็นสิ่งที่แม็กซ์ยากจะทำใจยอมรับแล้วนะคะ มันขาดความสอดคล้องต่อเนื่อง แม็กซ์พยายามถามตัวเองว่า ที่เราไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เพราะมันว่าประเทศไทยห่วยแตกรึเปล่า ซึ่งเมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ใช่นะคะ แม็กซ์ยอมรับว่าเมืองไทยเรายังเป็นประเทศที่เงินซื้อหาได้ ขอให้มีเงินก็ติดสินบนข้าราชการหรือใครก็ได้ เราเชื่อว่าการคอรัปชั่นในเมืองไทยมีจริง และมีอย่างแพร่หลาย แต่เรารู้สึกว่าคนแต่งไม่ได้รู้จักประเทศไทย ไม่ได้รู้ว่า แม้คนไทยจะซื้อได้ แต่ไม่ใช่แบบที่เขาเขียน อย่างน้อยมันต้องแนบเนียนหน่อยสิ
แล้วไอ้ Blood chit นี่เอง แม็กซ์พอจะรู้ประวัติศาสตร์ของมันมาบ้างว่าเป็นเหมือนจดหมายที่แจ้งว่า คนที่ถือเป็นมิตร และต้องมีการตอบแทนบุญคุณกัน แต่คิดดูให้ดีนะคะ สายลับซีไอเอนี่นะมีการออก Blood Chit กันได้ มันไม่น่าเชื่อ เท่าที่แม็กซ์รู้ เขาใช้กันในการทหาร (ทหารที่เครื่องบินโดนยิงตกในเขตศัตรู แล้วได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่เป็นพลเมืองของศัตรู คนที่ช่วยก็จะได้รับการช่วยกลับ ในกรณีที่พวกเขาถูกรัฐบาลของตัวเองเอาผิด) ในเคสนี้มันไม่มีเหตุผลเลยที่ดังเต้จะใช้ Blood Chit ให้ตายสิ เขาเป็นสายลับนะโว้ย แล้วจะหวังให้ใครมาช่วยอีกวะ
การบรรยายฉากที่เกิดในเมืองไทยเป็นไปแบบที่คนไทยจำไม่ได้หรอกค่ะว่า เกิดในประเทศนี้ เพราะมันลางเลือนและมุ่งเน้นเฉพาะการดูถูกคนไทยที่เห็นแก่เงิน และโหดร้ายเลวทราม ในคุกที่ดังเต้อาศัยอยู่มีนักโทษการเมืองจากพม่าถูกขังไว้ด้วย พวกนั้นถูกทรมานเช้าเย็นหลังอาหาร แม็กซ์ไม่บอกนะคะว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสถานที่ยังงั้น แต่เราไม่รู้สึกว่า รัฐบาลไทยจะทำไปเพื่ออะไร ถ้าเป็นการจับนักโทษการเมืองของคนไทยเองไปขังก็ไปอย่างนะคะ เราจะเอานักโทษการเมืองพม่ามาทำอะไร พวกนั้นเป็นศัตรูของรัฐบาลทหารพม่า เราจะเอาพวกนี้มาต่อรองอะไรได้
เราอาจจะพูดไปโดยไม่รู้ความจริงหรอกนะ เราเชื่อว่าคนไทยทำได้ แต่เราไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร
แม็กซ์มีความรู้สึกว่า เคทไม่เคยมาเหยียบเมืองไทยด้วยซ้ำ เธอแค่เลือกเมืองไทย เพราะมันดูป่าเถื่อนดีเข้ากับเนื้อเรื่องของเธอดี เพราะสิ่งที่เธอบรรยายว่าเป็นประเทศไทย มันคือประเทศอะไรในโลกก็ได้
เราเคยพูดรึยังว่า จากประสบการณ์ที่แม็กซ์อยู่อเมริกามาหลายปี แม็กซ์เชื่อว่า คนอเมริกันเป็นกบในกะลามากที่สุดในโลก คนอเมริกันส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเด็กในมหาวิทยาลัยไม่รู้จักโลกภายนอกประเทศของตัวเอง ดังนั้นการจะคาดหวังให้พวกเขารู้จักประเทศไทยเป็นไปไม่ได้เลย (เราเคยโดนถามว่า เราขี่ช้างไปไหนต่อไหนในกรุงเทพใช่ไหม) และเคทก็กำลังแสดงความด้อยปัญญาของตัวเองออกมา
ขอกลับมาที่เนื้อเรื่องกันต่อค่ะ ดังเต้เมื่อถูกช่วยเหลือกลับมาอเมริกันอันแสนดีและแสนสุขแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษเกิดขึ้น บางครั้งเขาเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ แต่เขาไม่ต้องกาารให้ตัวเองเป็นหนูทดลองของรัฐบาล ดังเต้จึงปลีกตัวออกมาจากซีไอเอ จนกระทั่งเขาถูกลอบวางระเบิดเพื่อหมายปองเอาชีวิต
และนั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่า คาตาลีน่า ดีออง หญิงสาวที่เขารักจนสุดหัวใจ และเป็นคนคนเดียวกับทีทรยศเขายังมีชีวิตอยู่ และนั่นทำให้ดังเต้เริ่มสืบหาว่าเธออยู่ที่ไหน สิ่งที่ดังเต้ไม่รู้ก็คือ นั่นเป็นแผนการของคนร้ายที่ต้องการตามหาตัวแคทอยู่ และหวังใช้ดังเต้เป็นเครื่องมือในการหาตัวเธอ
แม็กซ์รู้สึกเสียดายหนังสือเรื่องนี้ด้วยหลายเหตุผลนะคะ นอกจากการเอาประเทศไทยเป็นฉากโดยที่คนแต่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเทศเรา สักนิดแล้วก็คงเป็นในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างดังเต้ และแคท ที่เราว่าเขาเขียนได้ดี และสื่อถึงความผูกพันของทั้งคู่มาก (ผ่านการเล่าเหตุการณ์ในอดีต) ทำให้เรารู้สึกว่าสองคนนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ปัญหาก็คือ ตลอดเวลาเกือบทั้งเล่ม ดังเต้เข้าใจว่าแคททรยศเขา และใช้เวลาหมดไปกับการตามหาเธอ
หนังสือเรื่องนี้หนาสามร้อยสี่สิบหน้า และดังเต้ไม่ได้พบกับแคทจนกระทั่งปาเข้าไปเกือบสองร้อยห้าสิบหน้า และจากนั้นแคทก็หนีไปอีก ก่อนที่จะกลับมาร่วมมือกันก็ปาเข้าไปหน้าสอยร้อยแล้ว เื่รื่องมันไม่ควรโฆษณาว่าเป็นโรแมนติกสืบสวน เพราะมันไม่โรแมนติคหรอกนะที่พระนางไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย
แล้วในส่วนสืบสวนก็ยังอ่อนด้อย ดังเต้ไม่ได้ค้นพบความจริงอะไรสักอย่าง คนอ่านรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ร้ายคิด และนั่นทำให้คนอ่านรู้เรื่องมากกว่าดังเต้เสียอีก มันไม่ได้แสดงความเก่งกาจของพระเอกเลยสักนิด
บอกตามตรงว่า เสียดายค่ะ (แม็กซ์ใช้คำนี้บ่อยมาก) เพราะเราเชื่อว่าฝีมือการเขียนของเคท มีศักยภาพที่จะทำให้หนังสือเล่มนี้ดีเทียบเท่ากับนักเขียนชื่อดังหลายคน แต่การวางพล็อตที่ไม่แน่น และการดูถูกประเทศอื่นที่ไม่ใช่อเมริกาของเธอ ทำลายทุกอย่างที่ควรจะดีมาก ๆ ในเล่มนี้ไป
คะแนนที่ 33
No comments:
Post a Comment